“เอ็ดวิน ยัน ฮอปสัน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ CMG ผู้บริหารและจัดจำหน่ายแบรนด์สินค้ากลุ่มแฟชั่น ความงาม และเทคโนโลยีกว่า 30 แบรนด์ในไทย มองว่าความสำเร็จในปีที่ผ่านมาที่สามารถเติบโตได้เกินเป้าหมาย มาจากปัจจัยการดำเนินงาน 5 ข้อ ได้แก่

1. การบริหารจัดการร้านค้า – ปีที่ผ่านมา CMG เปิดหน้าร้านออฟไลน์เพิ่มขึ้น 180 จุด ทำให้มีจุดขายสะสม 2,200 จุดในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทั่วไทย พร้อมกับนำเทคโนโลยี AI มาช่วยวิเคราะห์ดาต้าเพื่อปรับปรุงการบริการลูกค้าแต่ละสาขา
2. ผลักดันแพลตฟอร์มออมนิแชแนล – ปีที่แล้วมีการเปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซใหม่ให้กับ 2 แบรนด์ในเครือ คือ “CASIO” และ “MLB” รวมถึงมีการขยายแบรนด์ในเครือเข้าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ได้แก่ Central Online, Lazada, Shopee, TikTok ให้มากขึ้น จนทำให้ยอดขายของ CMG ในช่วงแคมเปญออนไลน์ต่างๆ เติบโตได้ดับเบิล ดิจิต
3. การขยายฐานลูกค้าใหม่ – ใช้ดาต้าจากระบบ CRM ของบริษัทมาใช้เจาะขยายฐานลูกค้าใหม่ มีการทำแคมเปญการตลาดรวมกว่า 1,200 แคมเปญ ทำให้มีลูกค้าใหม่เข้ามากว่า 1 ล้านราย และเพิ่มผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียรวมทุกแบรนด์กว่า 7.7 ล้านคน
4. การขยายแบรนด์ใหม่ – CMG มีการนำเข้าแบรนด์ใหม่มาอยู่ในพอร์ตต่อเนื่อง ปีที่แล้วมีแบรนด์ใหม่เข้ามา คือ
   – แบรนด์รองเท้า “Crocs” จากสหรัฐอเมริกา
   – แบรนด์ชุดและรองเท้ากีฬา “FILA” ต้นกำเนิดจากอิตาลี
   – แบรนด์ความงาม “L:A BRUKET” จากสวีเดน
   รวมถึงเข้าไปเป็นพันธมิตรกับแบรนด์รองเท้า “SKECHERS” เพื่อนำวางจำหน่ายในทุกสาขาของศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล

5. พัฒนาบุคลากร – มีการ reskill – upskill บุคลากรในเครืออยู่เสมอ และส่งเสริมให้เติบโตในอาชีพ จนทำให้ CMG ได้รางวัล “สุดยอดนายจ้างดีเด่นปี 2566” จาก Kincentric Thailand ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5

สำหรับปี 2567 บริษัทมีการวางงบลงทุนไว้ 7,000 ล้านบาท และตั้งเป้าเติบโต 20% โดยการลงทุนจะใช้ขยายจุดขายอีก 180 จุด และมีแผนจะขยายไปต่างประเทศที่ “เวียดนาม” ตามที่บริษัทแม่คือ เซ็นทรัล รีเทล ได้เริ่มลงทุนไว้แล้ว

• “เซ็นทรัล รีเทล” รุกธุรกิจค้าส่ง ส่ง GO Wholesale ท้าชน “แม็คโคร” เต็มสูบ

นอกจากนี้ ยังจะลงทุนด้านเทคโนโลยี AI Analytics และระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยปรับปรุงการดำเนินงานเพิ่มอีก ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริการหน้าร้าน กระบวนการทำงานของพนักงาน แพลตฟอร์มออมนิแชแนล และปรับปรุงประสิทธิภาพระบบ CRM ด้วย

โลกยกย่อง Gene Yoon จากพนักงาน Fila กลายเป็นผู้ซื้อกิจการทั้งหมด แล้วปรับกลยุทธ์ใหม่จนทำให้ Fila กลับมาสดใสมูลค่าหุ้นพุ่งได้อีกครั้ง ล่าสุดมีการประเมินว่าชายผู้ปลุกผี Fila มีมูลค่าทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 830 ล้านเหรียญสหรัฐ ใกล้เข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีเข้าไปอีกระดับ

หากมองในตัวสินค้า Fila สร้างปาฏิหาริย์ไว้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 วันนี้รองเท้าหนาหนักสไตล์ย้อนยุคโดนใจลูกค้าหลายพันคน ทำให้ Fila ฟื้นกลับมาจากความตายได้สำเร็จ

การฟื้นตัวของ Fila ทำให้ Yoon Yoon-soo หรือที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า Gene เพิ่มความมั่งคั่งจนทำให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มเป็น 830 ล้านเหรียญจากการถือหุ้นของเขาในบริษัท Fila Korea Ltd. บริษัท Fila สัญชาติเกาหลีตัดสินใจซื้อแบรนด์ Fila ระดับโลกในปี 2007 ท่ามกลางเสียงยกย่องว่านี่คือมหกรรม “กุ้งกลืนปลาวาฬ“

ของเก่าขายได้

สิ่งสำคัญที่ทำให้ Fila ฟื้นกลับมาจากความตายได้สำเร็จคือการนำผลิตภัณฑ์ที่เป็นสัญลักษณ์ในยุค 90 กลับมาสู่ตลาดใหม่อีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่ผู้ซื้อที่ต้องการดีไซน์คลาสสิก

กลยุทธ์ขายของเก่านี้ได้ผลมาก เห็นได้ชัดจากรองเท้ารุ่น Disruptor 2 ที่เปิดตัวใหม่ในปี 2017 นั้นเป็นหนึ่งในรองเท้าผู้หญิงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเมื่อปี 2018 (ตามการจัดอันดับของ Lyst แพลตฟอร์มค้นหาแฟชั่นระดับโลก) เบื้องต้น Fila ประเมินว่า Disruptor 2 มียอดขายมากกว่า 10 ล้านคู่ ณ เดือนมกราคม

เมื่อมีนักข่าวไปสอบถามเรื่องทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น Yoon Yoon-soo ในวัย 73 ปีปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ ที่ผ่านมา Yoon Yoon-soo เคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเกาหลีใต้ช่วงปี 2017 ว่าสำหรับเขา Fila เป็นมากกว่าแบรนด์กีฬาธรรมดาแต่เหมือนเป็นลูกที่เขาให้กำเนิดเมื่ออายุ 45 ปี

ได้พลังเซเลบฯ

ทั้งนางแบบ Kendall Jenner, นักร้องสาว Rihanna ถูกบันทึกว่ามีส่วนช่วยให้ Fila กลายเป็นกระแส เสื้อผ้าพร้อมโลโก้สีแดง–ขาว–ฟ้าถูกพูดถึงในวงกว้างบนราคาที่ไม่แพง สิ่งที่เกดขึ้นทำให้ Fila เปลี่ยนเป้าหมายจากกลุ่มคนอายุ 30-40 ปีมาเป็นลูกค้าอายุน้อยลง ขณะเดียวกันก็ปรับลดราคาสินค้าลงเพื่อเอาใจกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบสินค้าย้อนยุคในราคาไม่แพง

เซ็กเมนต์ใหม่ทำให้ Fila ฟื้นตัวเร็วมาก หุ้นของ Fila Korea พุ่งขึ้น 400% จากต้นปีที่แล้วมาปิดทื่ระดับ 4,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อมิถุนายนที่ผ่านมา โดย Yoon และครอบครัวเป็นเจ้าของหุ้น Fila ประมาณ 20%

ความสำเร็จของ Fila สะท้อนความสำเร็จของ Yoon Yoon-soo ด้วย ข้อมูลระบุว่า Yoon เป็นคนยุค bloomer ช่วงปลายที่จบการศึกษาระดับวิทยาลัยในช่วงอายุ 30 ปี ตัวเขาเริ่มต้นทำงานที่ Fila ในปี 1991 ด้วยตำแหน่งหัวหน้าธุรกิจประจำเกาหลีใต้ และรับเงินเดือนประจำปีมูลค่า 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ 

ตามประวัติระบุว่า Yoon ไม่เคยฝันว่าจะมั่งคั่งด้วยธุรกิจแบรนด์กีฬา ตัวเขาฝันถึงการเป็นแพทย์ซึ่งอาจเป็นเพราะแม่ที่เสียชีวิตจากโรคไทฟอยด์ไม่นานหลังจากที่เขาเกิด แถมเขายังสูญเสียพ่อไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อเขาศึกษาชั้นมัธยม ตัวเขามุ่งมั่นกับการสอบเข้าโรงเรียนแพทย์แต่ล้มเหลวถึง 3 ครั้ง ในที่สุด Yoon ก็จบการศึกษาด้านรัฐศาสตร์และการทูต

การจบการศึกษาด้วยอายุ 30 ปีทำให้ Yoon ไม่ถูกคัดเลือกให้เข้าทำงาน หลังจากพยายามหลายครั้ง Yoon ก็ได้งานที่ J.C. Penney Co. เพื่อติดต่อนำสินค้าเกาหลีมาขายในสหรัฐอเมริกา ที่นี่เองที่ Yoon ได้พบกับแบรนด์ Fila ในสหรัฐอเมริกา และชักชวนให้บริษัทผลิตรองเท้าในเกาหลีใต้รับเป็นซัปพลายเออร์ หลังจากนั้น Yoon จึงรับหน้าที่จัดตั้งและเป็นผู้นำธุรกิจ Fila ในเกาหลี

แผนคิดการใหญ่ด้านธุรกิจของ Yoon เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมในเดือนมกราคม 2007 เขาเป็นหัวหอกในการซื้อกิจการแบรนด์ Fila ระดับโลกและบริษัทในเครือทั้งหมด จนปี 2010 ก็สามารถนำบริษัทเข้าตลาดเป็นบริษัทมหาชนได้ที่เกาหลีใต้

จากอิตาลีสู่เกาหลีใต้

สำหรับแบรนด์ Fila แต่เดิมนั้นเริ่มต้นในอิตาลีตั้งแต่ปี 1911 ก่อนหน้านี้ Fila ถูกขายให้กับบริษัทหลักทรัพย์ชื่อ Cerberus Capital Management ของสหรัฐอเมริกาในปี 2003 ความมั่งคั่งของ Fila สิ้นสุดลงในปี 2000 เมื่อบริษัทได้รับผลกระทบจากยอดขาย และภาวะขาดทุนจากการลงทุนเกินตัว

อีกส่วนสำคัญของกลยุทธ์ปลุกผี Fila คือ Yoon ตัดสินใจถือหุ้นใหญ่ในบริษัท Acushnet Holdings Corp. ผู้ผลิตลูกกอล์ฟยี่ห้อ Titleist ตั้งแต่ปี 2011 ก่อนหน้านี้ Acushnet จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กตั้งแต่ปี 2016 ทำให้ Fila Korea มีรายได้มากถึง 3 ล้านล้านวอนในปี 2018 ที่ผ่านมา ซึ่ง 61% มาจากรายได้ของ Acushnet ที่ Fila Korea ถือหุ้นอยู่

สำหรับยอดขายรองเท้าและเครื่องแต่งกายของ Fila ที่ไม่รวมรายได้จาก Acushnet พบว่าเพิ่มขึ้น 52% เป็น 1.2 ล้านล้านวอนในปี 2018

ปัจจุบัน Fila ดำเนินงานใน 70 ประเทศ สถิติชี้ว่า Fila มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายตลาดโดยเฉพาะจีน ซึ่ง Fila Korea ถือหุ้น 15% ในการร่วมทุนกับ Anta Sports Products Ltd. ทำตลาดแดนมังกรอย่างจริงจัง.

Source