Insight – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 24 Dec 2019 06:17:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 The 1 Insight 2020 : เจาะลึกการใช้จ่ายของ “คนรวยยุคใหม่” ไลฟ์สไตล์ต้องมาก่อน https://positioningmag.com/1258181 Mon, 23 Dec 2019 09:44:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258181 เปิดคู่มือเพื่อนักการตลาดไทยฉบับล่าสุดกับรายงาน “The 1 Insight” ประจำปี 2020 วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันของ The 1 หนึ่งใน Loyalty Platform รายใหญ่ของไทย ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล ที่มีสมาชิกกว่า 16 ล้านคน ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ กับประเด็นสุดฮิต มาเเรงอย่างอินไซต์ “วิถีคนรวยยุคใหม่” ในยุคดิจิทัลดิสรัปชั่น 

กลุ่ม “New Wealth” ที่มีกำลังซื้อสูง พวกเขาใช้จ่ายอย่างไร เปลี่ยนเเปลงมากน้อยเเค่ไหน เเละธุรกิจต้องปรับตัว วางแผนเเละตอบโจทย์ลูกค้าอย่างตรงใจอย่างไร… ตามมาดูกัน 

รวยเร็วอายุน้อย ใช้จ่ายมากกว่าคนทั่วไป 3 เท่า

สำหรับ The 1 Insight ฉบับแรกที่เพิ่งเปิดตัวในวันนี้ (23 ธ.ค.) เป็นเรื่อง “New Wealth” หรือ “คนรวยยุคใหม่” ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงและทุกธุรกิจให้ความสนใจ ด้วยทัศนคติและวิถีชีวิตแตกต่างไปจากสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเครื่องแสดง “สถานะ” (Status) ที่จากเดิมวิถีคนรวยเป็นเรื่องวัตถุนิยม และยึดติดกับคำว่า “ฉันมีอะไร” หรือ “ฉันเป็นใคร” มาเป็นการให้ความสำคัญกับนิยามความเป็นตัวของตัวเองว่า “ฉันให้คุณค่ากับอะไร” มากขึ้นเเละเน้นการได้ประสบการณ์ที่ดี 

โดยกลุ่ม New Wealth จาก ฐานข้อมูลของ The 1 หมายถึงลูกค้าคนไทยที่มีการใช้จ่ายเฉลี่ยราว 4 เเสนบาทต่อปีขึ้นไป คิดเป็น 1-2% จากสมาชิก 16 ล้านราย เเต่กลับน่าสนใจเเละต้องจับตามองอย่างมาก เพราะมีการเติบโตที่ก้าวกระโดด ซึ่งการใช้จ่ายไม่ได้จำกัดเเค่การซื้อของลักชัวรี่เท่านั้น เเต่รวมไปถึงการใช้จ่ายในกลุ่มสุขภาพ อาหาร งานอดิเรก ความบันเทิงต่างๆ ด้วย 

“ลูกค้ากลุ่ม New Wealth จะเป็นกลุ่มคนที่เติบโตขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจในการซื้อสินค้าหลักของตลาด จากข้อมูลสมาชิกของ The 1 พบว่า ในปี 2019 มีสมาชิกที่มีรายได้สูง มีกำลังซื้อสูง ช่วงอายุน้อยกว่า 45 ปี มากถึง 47%  ซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2017 ขึ้นมา 4% และมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกนัยหนึ่งคือคนกลุ่มนี้จะเป็นตัวแปรหลักของเศรษฐกิจในอนาคต ธีรพล ไทยหิรัญ Head of The 1 Data & Insight กล่าว

นอกจากนี้ ฐานข้อมูลสมาชิก The 1 พบว่า กลุ่มสมาชิก New Wealth ของ The 1 มีพฤติกรรมการใช้จ่ายสินค้าและบริการ ทุกๆ 5 วัน ซึ่งมากกว่าสมาชิกกลุ่มอื่นๆ ถึง 3.5 เท่า สอดคล้องกับยอดใช้จ่ายเฉลี่ยที่สูงมากกว่าสมาชิกกลุ่มอื่นๆ ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว 

ด้วยตัวเลขที่น่าสนใจขนาดนี้ ทำให้ New Wealth กลายเป็น Potential Customers กำลังซื้อสูง ฉลาดใช้เงิน หาความคุ้มค่าก่อนซื้อ ซึ่งทุกแบรนด์ต้องให้ความสำคัญ 

ทั้งนี้ TOP 5 กลุ่มสินค้าที่สมาชิก The 1 ซื้อมากที่สุด ได้เเก่ เเฟชั่น ความงาม สมาร์ทโฮม อาหาร กลุ่มเเม่เเละเด็ก ตามลำดับซึ่งกลุ่มลูกค้า The 1 คิดเป็น 87% ของคนที่มาซื้อสินค้าในเครือเซ็นทรัลทั้งหมด โดยในปีนี้คาดว่ายอดสมาชิกจะได้ 17 ล้านคน เเละในปี 2020 ตั้งเป้าเพิ่มให้ได้เป็น 19 ล้านคน 

Shop Hard , Redeem Harder

The 1 Insight ได้รับความร่วมมือจาก Pulse Metrics บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านบิ๊กดาต้าและการวิเคราะห์ข้อมูลเอเชีย มาช่วยเสริมการทำงานด้านการใช้เทคโนโลยีด้าน AI เพื่อให้มีความเเม่นยำมากขึ้น 

เยน ชิน ผู้ก่อตั้งเเละกรรมการผู้จัดการ Pulse Metrics กล่าวถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนรวยรุ่นใหม่ในเอเชียว่า ทุกวันนี้อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือลูกค้า ซึ่งก่อนซื้อส่วนใหญ่มักจะเทียบราคากับเจ้าอื่นๆ ก่อน จึงเป็นความท้าทายของผู้ขายที่ต้องเเข่งขันครองใจผู้ซื้อให้มากที่สุด ทั้งเรื่องความน่าเชื่อถือ ราคาเเละคุณภาพสินค้า

“คนไทยช้อปปิ้งเก่งมากเป็นลำดับต้นๆ ของเอเชีย เเละมีวัฒนธรรมชื่นชอบการบริการ ซึ่งนำมาสู่ความนิยมในการเเชทถามก่อนซื้อ หรือพูดคุยก่อนการตัดสินใจ เเละสิ่งที่น่าสนใจคือคนรวยรุ่นใหม่คือ Shop Hard, Redeem Harder พวกเขาคำนวณการใช้เงินว่าจะสิ่งตอบเเทนกลับมาหรือไม่ ใช้เงินอย่างชาญฉลาดมากขึ้น” 

อ่านเพิ่มเติม : รู้จัก Conversational Commerce คนไทยซื้อของออนไลน์ผ่าน “แชท” มากสุดในโลก

โดยผู้บริหาร Pulse Metrics เเนะนำว่าการเข้าใจลูกค้าต้องยึดหลัก P-U-R-E นั่นคือ P- Purpose มีเป้าหมาย  U-Useful มีประโยชน์ R-Relevant มีความหมายเเละความสำคัญ E- Explain อธิบายได้ 

3 อินไซต์ เจาะ New Wealth ของปี 2020 

โดยยก 3 ประเด็นการตลาดที่โดดเด่นของพฤติกรรมผู้บริโภคที่นำมาเสนอ ประกอบด้วย 1) Re-defining Luxury 2) More On Experience และ 3) Smart Wealth 

สามารถอ่านข้อมูลฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ slideshare.net/The1Insight (ดาวน์โหลดฟรี) 

1. Re – defining Luxury

เป็นการนิยามคำว่า “ลักชัวรี่” แบบใหม่ ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิต ความชอบ และการซื้อสินค้าลักชัวรี่ที่แตกต่างไปจากยุคก่อน ซึ่งประกอบด้วยเรื่องที่น่าสนใจ ดังนี้

  • De-Aging Luxury การปรับตัวของแบรนด์หรูชื่อดังระดับโลก ที่เพิ่มความ Casual เพื่อให้ดูเด็กลงและเข้าถึงง่ายขึ้น และเริ่มสร้าง Brand Visibility บนโลกออนไลน์มากขึ้น โดยสื่อสารผ่านโซเซียลมีเดียไปยังกลุ่มเป้าหมาย ใช้กลุ่ม Influencer ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
  • Luxury goes Online เนื่องจากกระแสดิจิทัล ดิสรัปชั่น ทำให้วิถีชีวิตของผู้บริโภคคุ้นชินกับโลกออนไลน์ ส่งผลให้กลุ่ม New Wealth หันมาซื้อสินค้า Hi – End ผ่านช่องทางออนไลน์ อย่างการตลาดแบบ e-Commerce รวมถึงแพลตฟอร์ม Omnichannel  ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของแบรนด์
  • Niche is Chic เมื่อการบ่งบอกเอกลักษณะเฉพาะตัวทั้งความชอบ รสนิยม และตัวตน เป็นสิ่งที่ New Wealth ให้ความสนใจ จึงเกิดสินค้าจากแบรนด์ที่เฉพาะกลุ่มมากขึ้น ทั้งแบรนด์เสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนเครื่องไฟฟ้าในครัวเรือนที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่าง 

    “กลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮม มียอดขายในเซ็นทรัลกว่า 700 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา” ธีรพลกล่าว 

  • Healthy is Wealthy การลงทุนใช้เงินเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้กับตนเอง ทั้งการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ การสวมใส่เเก็ดเจ็ทต่างๆ ที่ช่วยเรื่องการออกกำลังกาย หรือการใช้จ่ายกับคอร์สความงามเพื่อดูแล ทั้งภายในและภายนอก

2. More On Experience

การที่กลุ่ม New Wealth ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่ได้รับหลังจากการใช้เงินที่ต้องเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และดีกว่ามาตรฐานทั่วไป เช่น การลงทุนไปกับการท่องเที่ยวด้วยตั๋วเครื่องบิน First Class หรือการรับประทานอาหารที่ไม่จำเป็นต้องหรูหรา แต่ขอให้ได้ประสบการณ์ที่ดี อย่าง Street Food ในห้างดัง ประกอบด้วยเรื่องที่น่าสนใจ ดังนี้

  • Fine Food Everywhere เพราะการดื่มด่ำกับรสชาติอาหารและบรรยากาศเป็นสิ่งที่ New Wealth ยอมจ่ายเพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดมา ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารในร้าน Street Food ชื่อดัง ร้านอาหารการันตีคุณภาพจาก ‘มิชลินสตาร์’ หรือ Chef Table รวมถึงการซื้อวัตถุดิบชั้นดี หรือสินค้านำเข้าจาก Special Store มาประกอบอาหารเองที่บ้านกันมากขึ้น
  • Passionate Hobbyist กลุ่ม New Wealth มักจะลงทุนเงินและเวลาไปกับงานอดิเรกของตนเอง เพื่อพัฒนาทักษะในสิ่งที่ตัวเองหลงใหลมากที่สุด เช่น การลงทุนกับเครื่องทำกาแฟที่ชื่นชอบ การเข้าคอร์สเรียนและหนังสือที่สนใจ สินค้าลักชัวรี่สำหรับตกแต่งบ้าน หรือการเลือกสินค้าที่ตรงกับเทรนด์รักษ์โลกที่กลายเป็นสิ่งที่ New Wealth ตระหนักในปัจจุบัน
  • Over – The – expectation Service กลุ่มลูกค้า New Wealth พร้อมจ่ายเงินมากกว่าให้กับการบริการแบบ On – demand ที่ต้องมอบประสบการณ์สุดพิเศษ และรองรับความต้องการได้ทันที อาทิ วีไอพีเลาจน์ บริการผู้ช่วยช้อปปิ้ง หรือบริการแบบ Omnichannel ที่ Personalized ความต้องการของแต่ละคน


3.Smart Wealth 

กลุ่ม New Wealth วางแผนการใช้เงิน รวมถึงคะแนนและพริวิลเลจต่าง ๆ ที่ได้รับจากการเป็นสมาชิกลอยัลตี้แพลตฟอร์มหรือบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ ซึ่งประกอบด้วยเรื่องที่น่าสนใจ ดังนี้

  • Credit Card Centric กลุ่ม New Wealth มีบัตรเครดิตหลากหลายใบ เพื่อเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรแต่ละใบให้ตรงกับโปรโมชั่น และสิทธิประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ ณ ขณะนั้น โดยไม่ต้องควานหาบัตรอีกต่อไป ด้วย e-Wallet Application

“ปัจจุบันคนรวยยุคใหม่มีบัตรเครดิตเฉลี่ย 4 ใบต่อคน เเละมีบัตรหลักในการใช้จ่าย เเต่เมื่อมีโปรโมชั่นก็จะเลือกใช้จ่ายให้ได้ประโยชน์กลับมาตามความต้องการมากที่สุด” 

  • Privilege Planner กลุ่ม New Wealth เริ่มให้ความสนใจกับการ Redeem คะแนน เพื่อแลกเป็นส่วนลดและสิทธิพิเศษ รวมถึงร่วมกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟ จากโปรโมชั่นบัตรเครดิต และการเป็นสมาชิกของแบรนด์ต่างๆ จนเรียกได้ว่าเป็น “The New Currency” ของคนยุคนี้

@เทรนด์ซื้อเเบรนด์เนมทางออนไลน์

ด้าน ฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ Project Manager ของ Central Chat & Shop เเพลตฟอร์มซื้อของออนไลน์ของห้างในเครือเซ็นทรัล ที่เน้นการให้บริการผ่านการพูดคุยโดยตรงกับผู้ซื้อ กล่าวว่า ด้วยเทรนด์ที่คนไทยชอบเเชทก่อนซื้อของกำลังมาเเรงมาก ซึ่งเป็นช่องทาง social commerce ที่เราให้ความสำคัญเเละกำลังเจาะตลาดนี้ ตามกลยุทธ์ที่จะขยายเป็น Omni Channel ธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ โดยปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 78% เเละตั้งเป้าว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า 

“ 1 ใน 5 ของยอดซื้อสินค้าใน Central Chat & Shop เป็นกลุ่มกระเป๋าลักชัวรี่เเละน้ำหอมเเบรนด์ดัง ซึ่งเป็นหมวดที่เราทำตลาดได้เพราะที่อื่นไม่มีขาย อีกทั้งลูกค้ายังมั่นใจว่าได้ของเเท้เเน่นอน นอกจากนี้ลูกค้าออนไลน์ยังคำนึงถึงการที่สั่งเเล้วต้องได้เร็วที่สุด เเละไม่อยากลุ้นว่าสินค้าจะหายระหว่างทางหรือไม่” 

อย่างไรก็ตาม เเม้ยุคนี้เเชทบอทจะเข้ามามีบทบาทในการช่วยตอบลูกค้า เเต่เขามองว่าการใช้การตอบโต้ระหว่างบุคคลยังสำคัญ เพราะลูกค้าจะให้ความไว้วางใจมากกว่า รวมถึงสร้างสัมพันธ์ให้กลับมาซื้อซ้ำได้มากกว่า 

 

]]>
1258181
ตู้แช่สะเทือน! “ไอศกรีมกูลิโกะ” บุกไทย https://positioningmag.com/62265 Thu, 21 Jan 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62265

เพียงแค่ต้นปีก็ดูท่าว่าตู้แช่ไอศกรีมก็ดุเดือดเข้าซะแล้ว จากการมาของ “ไอศกรีมกูลิโกะ” ผ่านการดำเนินธุรกิจของ “เอซากิ กูลิโกะ” ที่ได้จัดตั้งบริษัท กูลิโกะ โฟรเซ่น(ประเทศไทย) จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ถือว่าเป็นการดำเนินธุรกิจไอศกรีมนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก เพราะมองว่าตลาดในประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีอากาศร้อนตลอดทั้งปี ผู้บริโภคก็ชอบเปิดรับสิ่งใหม่ๆ

 

ก่อนหน้านี้ ไอศกรีมกูลิโกะเคยสร้างกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์บนโลกออนไลน์อยู่พักใหญ่ กับการตามล่าหา “ไอศกรีมกูลิโกะ” ที่เคยลงตู้แช่มาแล้วในปี 2557 แต่เป็นเพียงการนำร่องทดลองตลาดเพียง 3 เดือน แต่ในช่วงนั้นมีวางจำหน่ายในโซนชานเมือง แถบรังสิต บางนา ปทุมธานี เท่านั้น จำนวน 70 ตู้แช่

 

สาเหตุที่เลือกทดลองตลาดในทำเลชานเมืองก่อนเป็นเพราะว่า “ใกล้โรงงาน” ที่ผลิตเท่านั้นเอง เพราะทางกูลิโกะได้จ้าง “จอมธนา” ตั้งอยู่แถวลาดหลุมแก้ว เป็นผู้ผลิตให้ ทั้งในช่วงทดลองและขายจริง หากขายดีกูลิโกะจึงจะตั้งโรงงานเอง โดยใช้สูตรจากทางญี่ปุ่น มีการนำเข้าวัตถุดิบบางส่วน และใช้วัตถุดิบภายในประเทศด้วย

 

หลังจากนั้นทางกูลิโกะก็ได้กลับไปทำการบ้านอยู่พักใหญ่ จึงได้ฤกษ์วางตลาดในวันที่ 27 มกราคม 2559 ด้วยไอศกรีม 4 รูปแบบ ได้แก่ พาลิตเต้ 35 บาท, ไจแอนท์ โคน 25 บาท, พาแนปป์ 25 บาท และเซเว่นทีน ไอซ์ 20 บาท

 

ในการสู้ศึกไอศกรีมครั้งนี้ กูลิโกะจึงต้องเตรียมพร้อมกลยุทธ์รอบด้าน ทั้งในเรื่องสินค้า ราคา พรีเซ็นเตอร์ และช่องทางจัดจำหน่าย เรียกว่ามาทั้งทีต้องมีอาวุธครบมือพร้อมรบ กับคู่แข่งที่ครองตลาดมายาวนาน อย่าง “วอลล์ และเนสท์เล่” ได้ทันที

 

กูลิโกะใช้จุดเด่นเรื่องสินค้าที่มีคาแร็กเตอร์ในตัวเอง และการออกแบบแพ็กเกจจิ้งสไตล์สินค้าญี่ปุ่นเป็นตัวดึงดูด และคีย์พอยต์สำคัญ คือ เลือกตั้งราคาในช่วงระหว่าง 20-40 บาท ซึ่งเป็นช่วงราคาที่มีช่องว่างในตลาด เพราะตลาดไอศกรีมส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราคาต่ำกว่า 15 บาท ในขณะที่หากเป็นไอศกรีมระดับพรีเมียม จะมีราคา 40 บาทขึ้นไป ซึ่งคู่แข่งอย่างวอลล์เองก็มีหลากหลาย แต่ในช่วงราคา 20-40 บาทยังมีไม่มาก

 

กลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ คนเมือง ที่มีกำลังซื้อ ดังนั้นช่องทางจัดจำหน่ายเน้นเข้าร้านสะดวกซื้อก่อนเป็นอันดับแรก โดยจะมีวางจำหน่ายที่เซเว่นฯ, แฟมิลี่มาร์ท, ท็อปส์, แม็กซ์แวลู, บิ๊กซี, ฟูจิ และมินิมาร์ททั่วไป โดยกูลิโกะต้องลงทุนแยกตู้แช่เป็นของกูลิโกะโดยเฉพาะ  แต่จะวางจำหน่ายที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน ในเขตต่างจังหวัดอาจจะมีการวางจำหน่ายในช่วงกลางปีนี้

 

คิโยทะคะ ชิมะโมริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กูลิโกะ โฟรเซ่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตลาดในประเทศไทยมีศักยภาพสูงมาก เนื่องจากมีอากาศร้อนตลอดทั้งปี ทำให้ทานได้ทั้งปี และคนไทยชอบลองของใหม่ๆ ด้วย หลังจากทดลองตลาดมาก่อนหน้านี้พบว่าผลตอบรับดีมาก กระแสในโลกออนไลน์มีส่วนช่วยทำให้คนรู้จัก ในการทำตลาดช่วงแรกก็ได้จำหน่ายแค่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน หลังจากนั้นค่อยไปตามหัวเมืองต่างจังหวัด”

 

สำหรับเป้าหมายของธุรกิจไอศกรีมนั้น ตั้งเป้ารายได้ 600-900 ล้านบาทภายในปี 2563  และมีส่วนแบ่งตลาดในตลาดไอศกรีม 10% รวมทั้งมีตู้แช่ในร้านค้าทั้งร้านสะดวกซื้อและร้านโชห่วย 10,000 ตู้ ส่วนไอศกรีมรูปแบบอื่นอาจจะมีการวางจำหน่ายเพิ่ม แต่ต้องรอดูผลตอบรับจาก 4 รูปแบบนี้ก่อน

 

 

 

]]>
62265
เปิดเส้นทาง GTH สู่ GDH 559 https://positioningmag.com/62152 Wed, 06 Jan 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62152
หลังจากที่มีข่าวช็อควงการสำหรับการประกาศยุบค่ายหนัง GTH และการประกาศแยกทางของ 3 ผู้ถือหุ้น ได้แก่ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่, ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และหับ โห้หิ้น บางกอกไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน เพราะด้วยความคิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในตอนนั้นเองทางหับ โห้หิ้น บางกอก ได้เปรยไว้อยู่แล้วว่าจะมีการเปิดตัวบริษัทใหม่ในเดือนธันวาคม ซึ่งยังผลิตภาพยนตร์ต่อไป
 
ล่าสุดได้มีการประกาศเปิดตัวบริษัทใหม่อย่างเป็นทางการแล้วเรียบร้อย โดยเป็นการร่วมมือกันของ G และ H เช่นเดิม นั่นคือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และหับ โห้หิ้น บางกอก ใช้ชื่อใหม่ว่า GDH 559 (จีดีเอช ห้าห้าเก้า) ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นก็คือ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) 51% บริษัท หับ โห้หิ้น บางกอก จำกัด 15% และกลุ่มผู้บริหาร คนทำงาน ผู้กำกับ และนักแสดงอีก 34%
 
GDH 559 ย่อมาจาก คำว่า Gross Domestic Happiness หมายถึง หน่วยที่จะวัดความสุขใจของผู้ชม และคนทำงาน ส่วนตัวเลข 559 หมายถึง ตัวเลขที่ดี ฤกษ์ดีของบริษัทที่จะเปิดในวันที่ 5 มกราคม 2559 และยังพ้องกับจำนวนผู้ถือหุ้น 59 คน  
 
ทิศทางของGDH 559ในอนาคตไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก ยังคงผลิตภาพยนตร์ ซีรีส์ รายการ โดยที่ยังคงไว้ซึ่งลายเซ็นของภาพยนตร์แบบฉบับของตัวเอง ในปีหน้ามีแผนที่จะออกภาพยนตร์ 2 เรื่องเพื่อประเดิมกับค่ายใหม่ ของ 2 ผู้กำกับ “โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล” ผู้กำกับพี่มากพระโขนง ภาพยนตร์สไตล์โรแมนติก ดราม่า นำแสดงโดย เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี และมิว นิษฐา จิระยั่งยืน ส่วนเรื่องที่ 2เป็นผลงานของโอ๋-ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ สไตล์โรแมนติก ทิลเลอร์ มีการใช้งบลงทุนเรื่องละ 25 ล้านบาท
 
รวมไปถึงซีรี่ส์อีก 4 เรื่อง ไดอารี่ตุ๊ดซี่,แก๊สโซฮัก..รักเต็มถัง (โปรเจ็คต์กับ LINE TV),I see you พยาบาลพิเศษ..เคสพิศวง และมาลี2ทั้ง 3 เรื่องทำการฉายทางช่องจีเอ็มเอ็ม 25 ใช้งบลงทุนเฉลี่ย 20-25 ล้านบาท/เรื่อง
 
จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด กล่าวว่า “จริงๆ เป็นการจากกันด้วยดีของทุกๆ ฝ่าย เรามองว่าถ้าไปทะเลาะกันตอนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มันจะเรื่องใหญ่ พอเข้าตลาดเราก็ต้องไปเรียนรู้อีกเยอะทั้งในการรักษามูลค่า แต่ก็เป็นความโชคดีของเราที่คอนเทนต์ทุกอย่างสามารถจบลงภายในปีนี้ ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ คอนเสิร์ต ต่อไปเราก็ต้องลุยทำคอเทนต์เหมือนเดิม ตั้งใจเป็นคอนเทนต์ โพรไวเดอร์ที่ดีที่สุด”
 
ส่วนเรื่องของชื่อบริษัทที่มีความคล้ายคลึงกับชื่อเดิม จนดูเหมือนว่าตั้งใจให้คล้ายเดิมเพราะความข็งแกร่งของแบรนด์ GTH ที่ทำมาก่อนนั้น จินาได้อธิบายสั้นๆ ว่า “ตอนนี้ก็เหลือแค่ G กับ H ยังไงมันก็ต้องทำชื่อออกมาให้มีสองตัวนี้อยู่อยู่ดี”
 
สำหรับบริษัทในเครือของหับ โห้หิ้น บางกอกยังอยู่ครบทั้งนาดาว บางกอก, จอกว้าง ฟิล์ม, กู้ดธิงแฮพเพ่น และภาพดีทวีสุข และยังไม่มีแผนที่จะเปิดช่องเป็นของตัวเอง เพราะมองว่าเป็นคนทำคอนเทนต์ ไม่ใช่คนทำสื่อ
 
ส่วนในปีต่อๆ ไปอาจจะมีการเพิ่มจำนวนภาพยนตร์ในแต่ละปีมากขึ้น ในปี 2560 และ 2561 อาจจะมีภาพยนตร์ปีละ 3-4 เรื่อง
 
10 เรื่องน่ารู้ของ GDH 559
 
1. GDH 559 ย่อมาจาก Gross Domestic Happiness หรือหน่วยวัดความสุขของผู้ชม และคนทำงาน ส่วนตัวเลข 559 คือ ฤกษ์ดีในการเปิดบริษัทในวันที่ 5 มกราคม 2559 และมีหุ้นส่วน 59 คน
 
2. มีส่วนส่วนการถือหุ้นคือ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) 51% บริษัท หับ โห้ หิ้น บางกอก จำกัด 15% และกลุ่มผู้บริหาร คนทำงาน ผู้กำกับ นักแสดงอีก 34%
 
3. ทุนจดทะเบียนบริษัท 150 ล้านบาท คำนวนจากเงินลงทุนที่จะใช้ในปีหน้า ซึ่งจากเดิมที่เป็น GTH มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท
 
4. มีนักแสดง 2 คนที่เป็นผู้ถือหุ้นด้วย คือ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และเต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
 
5. ในปี 2559 มีการลงทุนภาพยนตร์ 2 เรื่องโดยผู้กำกับโต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล และ โอ๋-ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ด้วยงบลงทุนเรื่องละ 25 ล้านบาท
 
6. มีซีรี่ส์ 4 เรื่องที่จะฉายทางช่อง GMM 25 ได้แก่ ไดอารี่ตุ๊ดซี่, I see you พยาบาลพิเศษ..เคสพิศวง, มาลี2 และแก๊สโซฮัก..รักเต็มถัง เป็นโปรเจ็ตต์กับทาง LINE TV ใช้งบลงทุนเรื่องละ 20-25 ล้านบาท
 
7. ไม่มีแผนที่ชะเปิดช่องทีวีเป็นของตนเอง เพราะเน้นทำคอนเทนต์มากกว่า ไม่เน้นทำสื่อ
 
8. ในอนาคตอาจจะเปิดช้อปขายของที่ระลึกอีกครั้ง หลังจากปิด GTH Store ไป แต่ต้องรอให้มีคอนเทนต์ก่อน แล้วคอยทำของที่ระลึก โดยขายช่องทางออนไลน์ก่อน 
 
9. ในปี 2560 และ 2561 อาจจะเพิ่มจำนวนภาพยนตร์ในแต่ละปีมากขึ้นเป็นปีละ 3-4 เรื่อง
 
10. ปัจจุบันมีผู้กำกับในสังกัดทั้งหมด 13 – 14 คน และมีพนักงานรวมทั้งหมด 170 คน (รวมบริษัทในเครือ)

]]>
62152
เปิดแผน "ปตท.ค้าปลีก" ลุยนอนออยล์ รายได้ 70% ใน 3 ปี https://positioningmag.com/62116 Tue, 29 Dec 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62116

เปิดแผน “ปตท.ค้าปลีก” ลุยนอนออยล์ รายได้ 70% ใน 3 ปี

]]>
62116
บูสต์โพสต์เฟซบุคอย่างไรไม่ให้เสียเงินเปล่า https://positioningmag.com/62041 Fri, 18 Dec 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62041
อันที่จริงแล้วการ “บูสต์โพสต์” หรือการเพิ่มการมองเห็นให้กับโพสต์ในเฟซบุคนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร เพิ่งคลิกปุ่ม “Boost Post” ที่มุมขวาล่างของแต่ละโพสต์ที่เราต้องการก็จบ แต่หากคุณกำลังคิดว่ากลยุทธ์ในการบูสต์โพสต์มีเพียงเท่านั้นละก็ คุณอาจจะกำลังเอาเงินไปละลายเล่นยิ่งกว่าเข้าบ่อนที่ลาสเวกัส วันนี้เราจะมาดูเทคนิคการบูสต์โพสต์ขั้นเทพที่เซียนโซเชี่ยลเขาทำกัน คุณจะไม่ต้องเสียเงินเปล่าไปกับผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการอีกต่อไป
 
1. เติมเชื้อไฟให้กับโพสต์ที่กำลังฮ็อต
ในการที่เราจะจ่ายเงินไปกับการบูสต์โพสต์แต่ละครั้ง สิ่งแรกที่เราต้องคำนึงถึงคือเป้าหมายของการกระตุ้นการมองเห็นในแค่ละครั้งคืออะไร ต้องการทราฟฟิคเข้าสู่บล็อก? เพิ่มคลิกในหน้าแลนด์ดิ้งเพจ? มอบส่วนลดฟรี? เพิ่มยอดไลค์? ระบุเป้าหมายของตัวเองให้ชัด อย่าเสียเงินบูสต์โพสต์โดยไร้เป้าหมาย
 
สำหรับเทคนิคในการเลือกโพสต์ที่จะนำมาบูสต์นั้นก็ง่ายมาก เพียงดูฟีดแบคว่า โพสต์ใดได้รับความสนใจมากอยู่แล้วก็ควรเลือกที่จะบูสต์โพสต์นั้น เพราะถือว่าเราได้รู้คร่าวๆ แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายของเราชอบหรือไม่ชอบเนื้อหาหรือโพสต์แบบไหน การกระตุ้นให้เกิดการมองเห็นโพสต์ที่ทุกคนชอบอยู่แล้วจะทำให้คุณเสียเงินน้อยมากต่อการมองเห็น  แถมอาจจะยังได้เอ็นเกจเมนต์เพิ่มมาฟรีๆ จากการคอมเมนต์และแชร์เนื้อหาที่โดนใจด้วย
 

 
2. กลุ่มเพื่อนของแฟนเพจก็น่าสนใจ
 
โดยพื้นฐานแล้วหากเราต้องเสียเงินให้กับเฟซบุคเพื่อกระตุ้นการมองเห็นโพสต์ เราก็ควรเลือกให้กลุ่มแรกที่มองเห็นคือคนที่เป็นแฟนของเราอยู่แล้ว แม้จะต้องจ่ายเงินมากกว่า แต่คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเอ็นเกจกับโพสต์ของเรามากกว่า อาจกลายมาเป็นสมาชิก ร่วมกิจกรรม หรือเป็นลูกค้าซื้อสินค้าของเราได้มากกว่า
 
แต่ถ้าเรายังมีแฟนเพจจำนวนไม่มาก เราจะทำอย่างไรดี? คำตอบคือกลุ่ม “เพื่อนของแฟนเพจ” ถือเป็นกลุ่มถัดไปที่ควรมุ่งเป้า แต่ข้อควรระวังก็คือต้องเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ชัด จำกัดการมองเห็นไปยังกลุ่มเพื่อนของแฟนเพจที่น่าจะสนใจเนื้อหาของเพจเรา ด้วยการระบุลักษณะของผู้รับสารที่ต้องการทั้งจากโลเคชั่น อายุ พฤติกรรมต่างๆ ซึ่งทางเฟซบุคจะมีให้เลือกค่อนข้างละเอียดในส่วนของความสนใจของผู้ใช้
 

 
3. จ่ายเงินเมื่อมีผลลัพธ์เท่านั้น!
จงยอมเสียเงินเพื่อเอ็กเกจเมนต์ไม่ใช่อิมเพรสชั่น เมื่อเราบูสต์โพสต์ที่มีเนื้อหาดี มีคุณค่าทางธุรกิจแล้ว เราจะไม่สนใจว่าจะมีคนเห็นโพสต์นั้นมากแค่ไหน แต่เราควรสนใจว่ามีคนที่สนใจเนื้อหาโพสต์จริงๆ เท่าไหร่
 

 
ดังนั้น ในหน้าเลือกงบประมาณที่จะจ่าย เลือกประเภทการจ่ายเงินเป็นจ่ายตามยอดการเอ็นเกจเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นการกดไลค์ คอมเมนต์ หรือแชร์ แล้วการซื้อโฆษณาผ่านเฟซบุคของเรา จะไม่ใช่การแบ่งปันเสียเงินเปล่าอีกต่อไป
 

]]>
62041
ถึงคิว “บีดั๊ก”เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส เทงบ 400 ล้าน เปิดศึกแสตมป์ รอบ 3 กระตุกยอดขายโค้งสุดท้ายปี 58 https://positioningmag.com/61810 Mon, 09 Nov 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=61810

แสตมป์ อาวุธข้างกายที“เทสโก้โลตัส เอ็กซเพรส” ขาดไม่ได้ไปแล้ว เพราะหลังจากออกแคมเปญสะสมแสตมป์โดราเอมอน  ต่อด้วย แสตมป์มิกกี้ เมาส์ ที่เพิ่งจบแคมเปญไปไม่นาน ล่าสุด “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส” ได้ออกแคมเปญสะสมแสตมป์ “B.Duck Be Playful”  เป็นลายการ์ตูนเป็ดเหลืองหรือ“บีดั๊ก (B.Duck)”จากฮ่องกงออกมาต่อเนื่องทันที

การออกแคมเปญครั้งนี้ เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส จะใช้งบลงทุน  400  ล้านบาท จากงบการตลาดทั้งปี 1,000 ล้านบาท เพื่อต้องการกระตุ้นยอดขายไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และรับกับเทศกาลปีใหม่

จักรกฤษณ์ จตุปัญญาโชติกุล รองกรรมการผู้จัดการแผนกการตลาด เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส บอกว่า แคมเปญสะสมแสตมป์ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากลูกค้ามาตลอด  ที่สำคัญสามารถเพิ่มยอดขายและจำนวนการซื้อสินค้าในแต่ละครั้งก็เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นจากปกติที่เคยจัดแคมเปญสะสมแสตมป์ปีละ 2 ครั้ง แต่ปีนี้ได้เพิ่มความถี่ในการจัดถึง 3 ครั้ง ซึ่งระยะเวลาแต่ละแคมเปญจะกิน 4 เดือน เท่ากับว่าเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส มีแคมเปญนี้ออกมาต่อเนื่องตลอดทั้งปี 

ในขณะที่คู่แข่งจะออกแคมเปญลักษณะเดียวกันนี้ จะทำแคมเปญออกมาเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น

เขา ยกตัวอย่าง สินค้าที่เข้าร่วมรายการเติบโตขึน เช่น แสตมป์โดราเอมอน  ( 5 มีนาคม- 24 มิถุนายน 2558) สามารถทำยอดขายให้กับสินค้าที่ร่วมรายการเติบโต 43%   ส่วนช่วงออกแสตมป์มิกกี้ เมาส์ (11 กรกฎาคม – 28 ตุลาคม 2558)  สินค้าร่วมรายการมียอดขายเติบโตถึง 99%  ซึ่งครั้งนี้เทสโก้ โลตัส ก็คาดว่าจะสามารถกระตุ้นยอดขายได้เป็นเท่าตัว โดยมีสินค้าเข้าร่วมรายการรอบนี้ 2,000 รายการ

นอกจากนี้ จากการสำรวจความต้องการผู้บริโภคยังพบด้วยว่า ช่วงเวลาที่มีแคมเปญสะสมแสตมป์นั้น สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าหันมาซื้อสินค้า และเพิ่มยอดขายในการซื้อที่เทสโก้ โลตัส เอ็กซเพรสเพิ่มขึ้น

แคมเปญสะสมแสตมป์การ์ตูน บีดั๊ก จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2558  ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2558 รวมเวลา 4 เดือน   เท่ากับว่า เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส มีแคมเปญสะสมต่อเนื่องตลอดทั้งปี มากกว่าคู่แข่งที่จัดปีละครั้ง

มีอะไรใหม่ในแคมเปญนี้

– ปรับโฉมสินค้าเฮาส์แบรนด์ ของเทสโก้ โลตัส 2 ชนิด คือ น้ำดื่ม และกระดาษทิชชู่ โดยใช้ลวดลายการ์ตูนบีดักมาใช้ โดยจะวางขายในโลตัส เอ็กซ์เพรส และในไฮเปอร์มาร์เก็ต

สินค้าเข้าร่วมโปรโมชั่นสะสมแสตมป์เพิ่มขึ้นจาก 1,400 เป็น 2,000 รายการ

– เพิ่มจำนวนแสตมป์ที่ได้รับ โดยสูงสุด 1,200 ดวง

– ร่วมกับคลับการ์ด ให้ลูกค้ารับแสตมป์เพิ่มมากขึ้น เช่น ข้าวสาร ได้แสตมป์ปกติ 30 ดวง ยังได้เพิ่มอีก 20 ดวง

 -เพิ่มสินค้าพรีเมียม ลายการ์ตูนบีดัก 5 ชนิด  คือ แก้วเซรามิคกล่องถนอมอาหาร (แสตมป์  85 ดวง + 1บาท) , เก้าอี้หนังเป่าลม (แสตมป์ 300 ดวง + 1 บาท) , ชุดผ้านวมและหมอน (แสตมป์  ชุดโต๊ะปิคนิค

เช่น การเลือกการ์ตูนบีดั๊ก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ติด 1 ใน 5 การ์ตูนที่ผู้บริโภครู้จัก แต่เมื่อนำมาออกแบบสินค้าพรีเมียมแล้ว กลับดูโดดเด่นกว่าคาแรคเตอร์การ์ตูนอื่นๆ จึงทำให้เทสโก้ โลตัส เลือก
บีดั๊กมาออกแบบ

]]>
61810
“iTrueMart” ยกโมเดล “Amazon” ต้นแบบ ตั้งเป้าเบอร์หนึ่งช้อปออนไลน์ในไทย https://positioningmag.com/61782 Thu, 05 Nov 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=61782

ไอทรูมาร์ททุ่ม 5,300 ล้าน ลงทุนเข้าตลาด AEC รวม 7 ประเทศ เดินเกมตลาดเชิงรุก เพิ่มกลุ่มสินค้าขยายฐานลูกค้า ตั้งเป้าเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ด้วยจำนวนออเดอร์เฉลี่ยวันละ 7,000 ออเดอร์ เน้นสร้างประสบการณ์ในการซื้อ พร้อมสร้างแบรนด์ให้น่าเชื่อถือ

ในประเทศไทยก็ถือว่ามีผู้เล่นอีคอมเมิร์ซหลายรายด้วยกัน ถ้าเป็นบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ๆ ก็จะเป็น “ลาซาด้า” และ “ซาโรลา” โดยกลุ่ม Rocket Internet ส่วนของประเทศไทยเองก็จะเป็น Rakuten Tarad และยังมีผู้เล่นในตลาดค้าปลีกแต่หันมาจับตลาดช้อปออนไลน์ด้วย อย่าง เทสโก้ โลตัส และเซ็นทรัลออนไลน์

ทำให้มูลค่าตลาดของอีคอมเมิร์ซในกลุ่ม B2C มีการเติบโตเฉลี่ยราว 20% มาตลอด 3 ปี ในปี 2557 มีมูลค่า 42,000 ล้านบาท (ที่มา : Euromonitor) มีการคาดการณ์ในปี 2558-2559 ก็จะมีการเติบโต 20% เช่นกัน

 

กลุ่มทรูเองก็มีอีคอมเมิร์ซที่บริหารโดย บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด ได้นำร่อง “Weloveshopping” มาแล้ว 10 ปี เป็นอีคอมเมิร์ซในแพลตฟอร์มของ Marketplace ที่เป็นเหมือนตลาดกลางให้ร้านค้าออนไลน์มาเช่าร้าน แต่ภายหลังเมื่อตลาดอีคอมเมิร์ซในเมืองไทยเริ่มบูม และมาพร้อมกับเทรนด์เรื่องสมาร์ทโฟน เทคโนโลยี ทรูจึงส่งอีคอมเมิร์ซของตนเองลงสู่ตลาดโดยใช้ชื่อว่า “iTrueMart (ไอทรูมาร์ท)” เริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2556

ไอทรูมาร์ทได้เลือกเจริญรอยตาม “Amazon (อะเมซอน)” ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซระดับโลก นำรูปแบบการทำธุรกิจมาเป็น Role Model ในการทำธุรกิจ เริ่มต้นจากประเภทของ “สินค้า” ที่ในช่วงแรกเริ่มในปี 2556 ไอทรูมาร์ทมีแค่สินค้าสมาร์ทโฟน และแก็ตเจ็ดสินค้าไอทีอย่างเดียเท่านั้น เริ่มต้นจากสินค้าที่ถนัดเพราะได้ทาง “ทรูมูฟ เอช” ซับพอร์ตเรื่องดีไวซ์

จากนั้นในปี 2557 ก็เพิ่มสินค้าในกลุ่มของอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และกล้องถ่ายรูปเข้ามา ล่าสุดเมื่อต้นปี 2558 ได้แตกไลน์กลุ่มสินค้าไปยังกลุ่มเครื่องสำอาง, Personal care และสินค้าแม่และเด็ก ในการขยายฐานลูกค้า

ในช่วงแรกอะเมซอนก็เริ่มจากการขายสินค้าที่เป็นหนังสือ และค่อยเพิ่มมาในกลุม่ของดีวีดี และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยตอนนี้เติบโตสูงมาก ในประเทศไทยตอนนี้ก็มีผู้เล่นหลายราย แต่เราพยายามวางจุดยืนให้เป็นห้างสรรพสินค้าออนไลน์ เน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ในปีนี้เราบุกตลาดหนักมาเพราะมองแห็นความพร้อมหลายๆ อย่างทั้งเรื่องระบบต่างๆ และพฤติกรรมการช้อปออนไลน์ของคนไทย ถึงแม้ว่าเราจะเพิ่งทำตลดาได้ไม่นาน แต่เรามองโมเดลยักษ์ใหญ่อย่างอะเมซอน และอาลีบาบาในการเป็นโมเดลต้นอย่าง ทั้งในเรื่องวางแผนสินค้า การลงทุน โลจิสติกส์ และออกไปทำตลาดต่างประเทศ ทั้งสองบริษัทนี้ใช้เวลา 7 ปีในการทำกำไรได้ เราก็หวังว่าจะได้ตามเขาเหมือนกัน”

ปุณณมาศได้ฉายภาพตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยต่ออีกว่า ตลาดนี้เป็นตลาดที่ต้องลงทุนสูงมาก ต้องคนที่มีสายป่านยาวจริงๆ ต้องมีการลงทุนเรื่อง Fulfillment และเรื่องโลจิสติกส์มหาศาล เพราะเป็นเรื่องสำคัญมากในธุรกิจนี้ รวมถึงต้องสร้างแบรนด์ให้เชื่อมั่นด้วย ผู้บริโภคจะตัดสินใจจากแบรนด์ที่เขามั่นใจ หลังจากนี้ในตลาดอาจจะเหลือผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเพียงแค่ 2 แบรนด์เท่านั้น ที่จะทิ้งห่างผู้เล่นรายอื่นในตลาด ส่วนผู้เล่นที่เป็นค้าปลีกที่มีร้านในช่องทางออฟไลน์จะไม่ค่อยบุกหนักมาก เพราะเขายังกังวลในเรื่องการดึงลูกค้าจากในสโตร์มายังออนไลน์ได้

ตอนนี้ทางไอทรูมาร์ทได้เคลมตนเองว่าจะทะยานขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในตลาด เบียดกับอีกรายใหญ่นั่นก็คือ “ลาซาด้า” ด้วยการมีจำนวนการสั่งซื้อเฉลี่ย 7,000 ครั้ง/วัน สูงที่สุดคือ 10,000 ครั้ง/วัน มีการเข้าชมเว็บเพิ่มขึ้น 424% ส่วน Weloveshopping มียอดการสั่งซื้อเฉลี่ย 7,000 ครั้ง/วัน

แต่ในเรื่องโอกาสทางธุรกิจไอทรูมาร์ทสามารถสร้างรายได้มหาศาลได้มากกว่า ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 3,000 ล้านบาท เติบโต 800% ในปีหน้าตั้งเป้ารายได้เป็น 6,000 ล้านบาท สินค้าประเภทโทรศัพท์มือถือ และแก็ตเจ็ดยังทำรายได้หลักอยู่ 70% รองลงมาเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

ในขณะที่ Maketplace ถึงแม้ว่าจะมีการเติบโตอยู่ แต่ต้องเจอกับการแข่งขันของร้านค้าในไอจี และเฟสบุ๊กมาเบียดเข้า รายได้จาก Weloveshopping จึงทำได้น้อยกว่า เพราะจะมีรายได้จากค่าเช่าเท่านั้น จากจำนวนร้านค้ารวม 200,000 ร้านค้าในระบบ แต่มีร้านค้าที่แอคทีฟ 5,600 ร้านค้า มีรายได้ 10 ล้านบาท

การบุกตลาดอย่างหนักในปีนี้ของไอทรูมาร์ทนอกจากการเพิ่มประเภทของสินค้าเข้ามาเสริมแล้ว ยังมองไปถึงการลงทุนในต่างประเทศ เริ่มต้นจาก 7 ประเทศใน AEC ด้วยงบลงทุน 5,300 ล้านบาท ประเดิมประเทศฟิลิปปินส์ที่แรกในปลายปีนี้ จากนั้นก็ไปเวียดนาม อินโดนีเซีย พม่า กัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ในปี 2559 รูปแบบการทำตลาดจะเป็นทั้งเข้าไปลงทุนเอง และเข้าไปจับมือกับพาร์ทเนอร์โลคอลที่นั่น

สำหรับจำนวนสินค้าที่ปัจจุบันมี 20,000 รายการ ครอบคลุม 8 กลุ่มสินค้า ไอทรูมาร์ทตั้งเป้าเพิ่มเป็น 40,000 รายการในปีหน้า และเล็งกลุ่มสินค้า “กีฬา” และ “บริการ” เข้ามาเสริมในปีหน้า
 

ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซ ของธุรกิจ B2C ในประเทศไทย 

ที่มา : บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด, อ้างอิง Euromonitor
 

]]>
61782
“บีอิน”คว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก จับตาทุนต่างชาติชิงคอนเท้นต์กีฬาดัง เขย่าทีวีไทย https://positioningmag.com/61783 Thu, 05 Nov 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=61783
ประกาศผลผู้ชนะประมูล ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (EPL) อังกฤษ ฤดูกาลหน้า ปี 2016/2017, 2017/2018 และ 2018/2019  ในประเทศไทย, ลาว และกัมพูชาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลปรากฎว่า บีอิน สปอร์ตส์ (beIN Sports) คว้าชัยชนะในการประมูลไปด้วยเม็ดเงิน  300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณกว่าหมื่นล้านบาท เฉือนเอาชนะผู้ประมูลอีก 3 ราย คือ ทรูวิชั่นส์  ซีทีเอช  และฟ็อกซ์ สปอร์ตส์  แต่ยังน้อยกว่าสมัยที่ ซีทีเอช ประมูลได้ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
 
นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา ที่ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด EPL ในไทย ต้องตกไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนต่างชาติ หลังจากลิขสิทธิ์เคยอยู่กับผู้ประกอบการเพย์ทีวีของไทย อย่าง “ทรูวิชั่นส์” มาเป็นเวลานานสิบกว่าปี นับตั้งแต่มีการผนวกกิจการระหว่าง ยูบีซี (ทรูวิชั่นส์เดิม) และไอบีซี (อดีตบริษัทเพย์ทีวีของกลุ่มชินคอร์ป) 
 
จนเมื่อการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก อังกฤษครั้งที่แล้ว คือ  2513/2514, 2514/2515 และ2515/2516  ลิขสิทธิ์ได้ถูกเปลี่ยนมือไปให้กับ “ซีทีเอช” เพย์ทีวี ของ“วิชัย ทองแตง” ที่หวังแจ้งเกิดโดยเร็ว จึงยอมทุ่มเงินเกือบหมื่นล้านบาท  เพื่อคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกอังกฤษ  สูงเป็นประวัติการณ์ สูงกว่าที่ทรูวิชั่นส์เคยประมูลครั้งที่แล้ว 2,000 ล้านบาท งแต่หลังจากคว้าลิขสิทธิ์มาแล้ว ซีทีเอช กลับประสบปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินงาน ทั้งระบบหลังบ้าน การติดตั้ง และการเก็บเงิน จนทำให้มีผลขาดทุนต่อเนื่องมาตลอด 
 
ในการประมูลรอบนี้ ซีทีเอช เป็นผู้ที่เสนอราคารองมาจากบีอิน การพลาดหวังจากการประมูลรอบนี้ ทำให้ซีทีเอชต้องเผชิญกับแรงกดดันมากยิ่งขึ้น เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ที่ได้มาล้วนมาจาก พรีเมียร์ลีก แม้ว่า ซีทีเอชคอนเท้นต์กีฬาอื่นๆ เช่น ฟุตบอลยูโร 2016 มาแล้วก็ตาม แต่การไม่ได้พรีเมียร์ลีก อักงฤษ ยังเป็นเรื่องใหญ่สำหรับซีทีเอชอยู่ดี ซีทีเอช จึงต้องพยายามวิ่งหาคอนเท้นท์ กลุ่มบันเทิง, รายการเด็ก และข่าวเข้ามาเสริม
 
สำหรับ บีอิน สปอร์ตส์ (beIN  Sports) นั้นเป็นสถานีกีฬาที่มีสำนักข่าวอัลจาซีราสหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์เป็นเจ้าของ มีเครือข่ายออกอากาศทั่วโลก  ทั้งในยุโรป ฝรั่งเศส สเปน ตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา รวมทั้งเอเชีย ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย นับเป็นเครือข่ายสถานีกีฬาที่กำลังมาแรง เพราะมีฐานเงินทุนแน่นหนา ช่วงหลังไปประมูลคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาดังหลายรายการ เช่น ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เอฟเคคัพ และเมื่อเร็วๆนี้ เพิ่งคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอล ลาลีก้าของสเปนมาได้
 
มีการจับตามองว่า ปัจจุบัน “บีอิน”  ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจโทรทัศน์ของไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มตัวแล้ว ในสถานการณ์ที่รายการกีฬากำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
 
ในไทยนั้น บีอิน เป็นพันธมิตรกับทรูวิชั่นส์ มีช่องบีอินสปอร์ต สปอร์ต 1 เอชดี ทรูวิชั่นส์ 676 และบีอิน ยังได้ขายลิขสิทธิ์ลาลีกา สเปน และยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ให้กับทรู  ดังนั้นทรูวิชั่นส์เองเมื่อพลาดหวังจากการประมูลแล้ว ก็คาดหวังว่าจะได้เป็นพันธมิตรกับบีอินในการถ่ายทอดพรีเมียร์ลีก อังกฤษด้วย 
 
สำหรับ ทรูวิชั่นส์ การพลาดหวังจากการประมูลรอบนี้ อาจไม่สะเทือนเท่ากับ ซีทีเอช  เพราะทรูวิชันส์เองได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การมีคอนเทนต์ที่หลากหลายพอจะดึงลูกค้าเอาไว้ แม้จะไม่มีพรีเมียร์ลีก อยู่ในมือก็ตาม  ซึ่งเวลานี้ ทรูวิชั่นส์ได้ต่อสัญญาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกไปอีกถึง 4 ปี  และลิขสิทธิ์รายการกีฬาอื่นๆ มาเสริม และที่สำคัญโอกาสที่จะได้เป็นพันธมิตรกับบีอิน ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกก็มีอยู่มาก 
 
จับตาลิขสิทธิ์ตกอยู่ในมือทุนต่างชาติ
 
เว็บไซต์ www.mediabusinessasia.com ยังได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การประมูลพรีเมียร์ลีก อังกฤษครั้งนี้ สะท้อนถึงกระแสที่กำลังเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ ที่กลุ่มทุนจากต่างชาติได้เข้าไปแข่งขันกับบริษัทท้องถิ่นของประเทศต่างๆ เพื่อแย่งซื้อสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาอยู่ในมืออย่าง ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, เวียดนาม, อินเดีย และอินโดนีเซีย ก็อาจจะเป็นไปในทิศทางนี้เช่นเดียวกัน
 
นอกจากไทยแล้ว บีอิน คว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปด้วยราคา 10 ล้านเหรียญ ลดลงจากราคาประมูลครั้งก่อนนิดหน่อย 
 
ส่วนประเทศมาเลเซียนั้นทาง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้เลื่อนการประมูลไปอยู่ในรอบที่ 3 ด้วยความหวังว่าจะสามารถดึงราคาให้สูงขึ้นได้บ้าง ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของมาเลเซียอยู่ในช่วงที่ไม่ค่อยดีนัก โดยบริษัทเพย์ทีวี Astro คือตัวเต็งที่จะคว้าสิทธิ์ไป แต่ก็ประมาท BeInและ TM ที่พร้อมทุ่มเงินเพื่อคว้าสิทธิ์มาได้เช่นเดียวกัน
 

 

]]>
61783
ระเบิดศึกลานเบียร์ "ไฮเนเก้น" ชิง 5 พื้นที่ ปั้นยอดขาย กระตุ้นแบรนด์ https://positioningmag.com/61755 Mon, 02 Nov 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=61755

ใกล้ช่วงโค้งสุดท้ายของปลายปีที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงเทศกาลที่จะดึงกำลังซื้อของผู้บริโภคได้มากที่สุดของปี “ลานเบียร์” เป็นอีกหนึ่งอีเวนท์สำคัญประจำปีของค่ายเบียร์ที่จะใช้ช่วงชิงยอดขาย โดยพื้นที่ที่เป็นแลนด์มาร์กคงจะเป็นที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้า “เซ็นทรัลเวิลด์” ที่รวมลานเบียร์หลายค่ายไว้ด้วยกัน

“ไฮเนเก้น” เบียร์อินเตอร์จากค่าย “ที เอ พี” หรือ ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้ยึดพื้นที่หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์เช่นกัน ในปีนี้มาพร้อมด้วยโกลบอลแคมเปญ Be the Star of Your Celebration”

ซึ่งพื้นที่ที่เป็นลานเบียร์หน้าห้างได้กลายเป็นสัมปทานของค่ายเบียร์แต่ละค่ายเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว จะมีเจ้าประจำ ได้แก่ ไทยเบฟเวอเรจ, สิงห์, ที เอ พี และจะมี 1 พื้นที่ที่เปิดให้ประมูล ซึ่งส่วนใหญ่ทางค่ายไทยเบฟจะได้ครองไป 

ตั้งแต่ปี 2555 ไฮเนเก้นได้หายไปจากพื้นที่ลานเบียร์หน้าเซ็นทรัลเวิลด์เป็นเวลา 2 ปี โดยได้แทนที่ด้วยลานเบียร์ “ไทเกอร์” จากค่ายเดียวกันแทน จากนั้นไฮเนเก้นได้คัมแบ็คกลับมาใหม่ในปี 2557 ที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นเพราะกลยุทธ์ที่ทางโกลบอลได้กำหนดไว้ว่าในแต่ละปีจะเลือกทำตลาดกับแบรนด์ไหนมากกว่ากัน

การกลับมายึดพื้นที่ลานเบียร์หน้าเซ็นทรัลเวิลด์อีกครั้งจึงต้องปังมากกว่าเดิม สามารถสะกดใจให้ผู้บริโภคได้รู้ว่าไฮเนเก้นได้กลับมาแล้ว ดีไซน์ต่างๆ ของไฮเนเก้นจึงถูกกำหนดมาจากระดับโกลบอลทั้งหมด จะเน้นความเป็นพรีเมี่ยม ไฮโซ โดยใช้ “สีขาว” เข้ามา แต่ยังคงสัญลักษณ์ “ดาวแดง” ของไฮเนเก้นไว้อยู่

ในปีนี้ไฮเนเก้นขอสร้างพื้นที่ให้เป็นมากกว่า ลานเบียร์ แต่เป็น สเปช” ให้กับคนรุ่นใหม่มาแฮงค์เอาท์ มาเฉลิมฉลอง เป็นพื้นที่ที่ตอบไลฟ์สไตล์ได้มากกว่า ด้วยการเปิดเป็น The Heineken Spaces”

ภัททภาณี เอกะหิตานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ไฮเนเก้น กลุ่มบริษัท ทีเอพี กล่าวว่า “เราเห็นว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพฤติกรรมการดื่มของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงมา หวือหวาขึ้น มีการดื่ม Outdoor มากขึ้น และปัจจุบันคนดื่มจะเน้นเรื่องไลฟ์สไตล์ เน้นเรื่องแบรนด์ ทำให้เราต้องเปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของเขา ให้ดูสนุกขึ้น ไม่ได้เป็นแค่ลานเบียร์ทั่วไป แต่เป็นเหมือนพื่นที่ที่ให้เขา Reunion ในการพบปะเพื่อนเก่า การเฉลิมฉลอง ซึ่งความสำคัญของลานเบียร์ไม่ใช่ตัวกระตุ้นรายได้หลักเท่านั้น แต่เป็นส่วนสำคัญในการสร้าง Awareness สร้าง Engagement กับผู้บริโภค เทศกาลลานเบียร์ของคนไทยเป็นอะไรที่ใหญ่ที่สุดแล้วในภูมิภาคอาเซียน เพราะส่วนใหญ่จะมีแค่ในยุโรปเท่านั้น”

ในปีนี้ไฮเนเก้น ยังคงกระจายพื้นที่ลานเบียร์ ออกไป 5 จุด  ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นแฟล็กชิพสเปซ, เอสพลานาด รัชดา, เอ็มควอเทียร์ บริเวณควอเทียร์ วอเตอร์ การ์เด้น ชั้น 5, ลานพาร์คพารากอน และร้าน Greyhound Café สาขา Major Avenue รัชโยธิน

“ตอนนี้ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปมาก มีความ Dynamic สูง ซึ่งตอนนี้ในกรุงทเพฯก็มี Downtown อยู่หลายแห่งมาก ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองอย่างเดียว ผู้บริโภคก็กระจายอยู่โดยรอบ เราเลยมองว่าเป็นการกระจายสเปซของไฮเนเก้นให้เข้าถึงผู้บริโภคมากกว่า แต่ยังคงยึดตรงลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์เป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญอยู่”

ภัททภาณียังเสริมต่ออีกว่าไม่ใช่แค่ความต้องการของไฮเนเก้นที่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นความต้องการของบรรดาห้างสรรพสินค้า หรือค้าปลีกต่างๆ ที่ต้องหาแม็กเน็ตในการดึงผู้บริโภคในช่วงเทศกาลเหมือนกัน ผลลัพท์จึงออกมาอยู่ที่ “ลานเบียร์” จากนั้นทางห้างก็จะทำการเชิญชวนให้ไฮเนเก้นมาอยู่ในลานเบียร์นั้นๆ

ความสำคัญของช่วงเทศกาลลานเบียร์ของไฮเนเก้นนอกจากจะช่วยกระตุ้นเรื่องรายได้ได้แล้ว เพราะรายได้เฉพาะช่วงเทศกาลในไตรมาสที่ 4 ยาวไปถึงช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีถัดไป คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 30% ของทั้งปี นอกจากนั้นยังช่วยขยายฐานลูกค้าหน้าใหม่ให้มาทดลองไฮเนเก้นด้วย

มีการตั้งเป้าผู้เข้าใช้บริการลานเบียร์ หรือ The Heineken Spaces ทั้ง 5 ที่จำนวน 100,000 คน และมียอดการใช้จ่ายเฉลี่ย 1,500 บาท/โต๊ะ (4 คน) และจะช่วยให้ไฮเนเก้นเติบโตได้ราว 3-4%

 

 เปิดกลยุทธ์ “ไฮเนเก้น” ปั้น The Heineken Spaces

–          มีการดีไซน์ด้วยรูปแบบของทางโกลบอล เน้นโทนสีขาว แต่ในปีนี้มีเรื่องสีสันเข้ามาช่วยเพื่อให้สนุกมากขึ้น

–          เพิ่มพื้นที่ เป็น 5 แห่งด้วยกัน ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เอสพลานาด รัชดา, เอ็มควอเทียร์, ลานพาร์คพารากอน และร้าน Greyhound Café สาขา Major Avenue รัชโยธิน โดยที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ยังเป็นแลนด์มาร์กสำคัญอยู่

–          รายได้จากช่วงเทศกาลในไตรมาสที่ 4 ยาวไปถึงไตรมาสที่ 1 ของปีถัดไป คิดเป็นสัดส่วน 30% ของบริษัท

–          กลุ่มบริษัทไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ มีแบรนด์เบียร์ที่ทำตลาดในไทยอยู่ในเครือทั้งหมด 5 แบรนด์ ได้แก่ ระดับรีเมี่ยม ไฮเนเก้น, ไทเกอร์, ไทเกอร์ คริสตัล ไลท์ ส่วนระกับเมนสตรีม เชียร์ และเชียร์เอ็กซ์ตร้า ซึ่งไฮเนเก้นสามารถสร้างรายได้ราว 85% ของบริษัท

–          มีการดีไซน์แพคเกจจิ้งของกระป๋องที่เป็น Limited Edition เพื่อให้เข้ากับช่วงเทศกาล

–          มีการเปิดจองโต๊ะผ่านออนไลน์ 40% และวอล์คอินหน้าร้าน 60%

–          ตั้งเป้าคนใช้บริการ The Heineken Spaces รวมทั้งหมด 5 แห่งราว 100,000 คน

–          มียอดการใช้จ่ายเฉลี่ย 1,500 บาท/โต๊ะ (4คน) 

 

]]>
61755
เบื้องหลัง ตำนาน “โค้กขวดแก้ว” https://positioningmag.com/61756 Mon, 02 Nov 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=61756
ถึงแม้น้ำอัดลมจะมีแพ็กเกจจิ้งชนิดต่างๆ ออกมาในตลาดมากมาย เพื่อตอบสนองการดื่มแตกต่างกัน แต่สำหรับ “โค้ก” แล้ว “ขวดแก้ว” ถือเป็นแพ็กเกจจิ้งที่มีความสำคัญมาก เพราะตำนานที่มีอายุถึง 100 ปี สามารถนำไปเป็น story telling  เพื่อใช้ engage ผู้บริโภคให้ประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ได้อย่างดี  
 
นั่นเพราะการสร้างให้ผู้บริการมีอารมณ์ร่วมไปกับแบรนด์ ถือเป็นเครื่องมือการตลาดสำคัญของน้ำอัดลม เพราะถ้าพูดเรื่องฟังก์ชันคนก็รู้กันดีว่า น้ำอัดลมดื่มแก้กระหาย แถมเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ ดังนั้นการสร้าง “แบรนด์เลิฟ” จึงเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญ ที่จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ 
 
โค้ก จึงได้นำเอา “ขวดแก้ว” มาเป็น “ไฮไลต์” สำคัญในการฉลองครบรอบ 100 ปี โดยนำมาตีความผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีประสบการณ์ร่วม อย่างเช่น การจัดนิทรรศการ The Coca-Cola Bottle Art Tour ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของโค้ก  
 
นิทรรศการ “The Coca-Cola Bottle Art Tour” เป็นโกบอลแคมเปญ ที่ใช้ในการฉลอง 100 ปี “โค้กขวดแก้ว” โค้กนำมาจัดแสดงที่ ดิ เอ็มควอเทียร์ โดยเปิดให้เข้าชมฟรี 7 วัน ตั้งแต่ 30 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 
 

 
ผู้บริหารของโค้ก บอกว่า นิทรรศการนี้จัดขึ้นใน 14 ประเทศทั่วโลก โดยแบ่งการจัดออกเป็น 2 ทีม โดยประเทศไทย เป็นประเทศสุดท้ายของโซนเอเซีย คาดว่าจะมีคนเข้าชมประมาณ 70,000 คน  
 
นิทรรศการ จะแบ่งออกเป็น 3 ห้อง ด้วยนำเอาโค้กขวดแก้วมานำเสนอในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้ได้สัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง เริ่มด้วย การให้ผู้ชมสัมผัสกับขวด วิดีทัศน์ฉายที่มาของโค้ก กลิ่นของโค้ก เพื่อปลุกเร้าความสนใจ ก่อนจะเข้าสู่ห้องนิทรรศการ  
 
ภายในห้องนิทรรศการ เริ่มจากภาพสเก็ตช์ “โค้กขวดแก้ว” ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ มีพัฒนาการมาอย่างไร 
 

 
โค้กได้นำภาพสเก็ตช์ขวดโค้ก และสารานุกรมอังกฤษ” ของจริงอายุกว่า 100 ปีมาจัดแสดง เพื่อให้เห็นถึงต้นกำเนิดโค้กขวดแก้ว เริ่มมาในปี 1900 หรือ 115 ปีที่แล้ว ได้ถูกคู่แข่งลอกเลียนสัญลักษณ์เครื่องหมายการค้าของโค้กบนบรรจุภัณฑ์ ในเดือนเมษายน 1915 สมาคมผู้ผลิตขวดโค้กได้ให้โจทย์กับโรงงานผลิตขวดแก้ว 8 แห่ง ไปคิดหาไอเดียดีไซน์ขวดโค้กแบบใหม่ 
 
ผลปรากฏว่า ทีม “The Root Glass Company” เข้าใจผิดว่า เมล็ดโกโก้ คือ ส่วนผสมในสูตรลับของโค้ก จึงมุ่งมั่นค้นหาภาพของฝักโกโก้จากสารานุกรมอังกฤษ การออกแบบโค้กขวดแก้วอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ไอเดียมา “ฝักโกโก้” 
 

 
โค้กยังได้นำภาพสีน้ำมันของโค้กขวดแก้วชิ้นแรก  มีชื่อ Tree Boys Fishing วาดในปี 1937 อายุ 78 ปีมาแล้ว มาจัดแสดงให้เห็นถึงความคลาสสิกที่มีมาตั้งแต่ในอดีต 
 

 
นอกจากนี้ โค้กยังตอกย้ำความคลาสสิกของโค้กขวดแก้วกับคนดัง อย่าง ผลงานสเก็ตช์ภาพโค้กขวดแก้วของเจ้าพ่อป๊อปอาร์ต แอนดี้ วอร์ฮอล 
 

 
ภาพถ่ายระหว่างโค้กกับดารา และนักร้อง ที่เป็นไอคอนระดับตำนาน มาริลีน มอนโร’ และ ‘เอลวิส เพรสลีย์’  วง เดอะบิทเทิล รวมไปถึงเพลงจิงเกิ้ลต้นฉบับของโค้กที่คุ้นหูคนทั่วโลก แต่งโดย ‘เรย์ ชาร์ลส์’ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอเมริกัน รวมถึงศิลปินดังต่างๆ ของโลก ที่นำเอาภาพโฆษณา ของโค้กไปตีความเป็นงานศิลปะ
 

 
ภายในงาน ยังแสดงถึงเอกลักษณ์ขวดแก้ของโค้ก แม้ขวดแก้วจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วก็ตาม แต่แค่มองก็รู้ว่าเป็นขวดอะไร โดยการนำขวดจอร์เจียกรีนมาใช้จัดแสดง เพื่อบอกเล่าถึงที่มาต้นกำเนิดโค้กว่ามาจาก รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา  
 
 
ส่วนประเทศไทย ถือเป็นตลาดสำคัญของโค้ก ที่เข้ามาทำตลาดมากกว่า 50 ปี และบรรจุภัณฑ์แรกที่นำเข้ามาทำตลาด ก็คือ โค้กขวดแก้ว
 
“ขวดแก้วเป็นองค์ประกอบสำคัญของโค้ก เพราะเราเชื่อว่าการดื่มโค้กจากขวดแก้ว ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าเราจะมีแพ็กเกจจิ้งแบบกระป๋อง และขวดพีที แต่เราก็ไม่เคยหยุดผลิตโค้กขวดแก้ว เพราะเรารู้สึกเสมอว่าโค้กขวดแก้ว เป็นการให้ประสบการณ์พิเศษกว่าแพ็กเกจจิ้งอื่นๆ ไม่ว่าจะเสียงเปิดขวด วิธีที่ดื่มจากขวด กลิ่น และรสชาติ ” คลาวเดีย นาวาร์โร ผู้อำนวยการการตลาด ภูมิภาคอินโดไชน่า กล่าว
 
เธอยกตัวอย่าง ถึงแม้คนจะเดินทางมากขึ้น จึงมีแพ็กเกจจิ้งใหม่ๆ ออกมาตอบสนอง อย่างขวดพีที แต่โค้กขวดแก้วยังคงมีบาทบาทสำคัญต่อไป โดยเฉพาะในช่วงโอกาสของการพักผ่อน การใช้เวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ที่จะได้เอ็นจอยกับโค้กขวดแก้ว
 
แพ็กเกจจิ้ง แต่ละแบบจะถูกกระจายไปยังช่องทางที่เหมาะสมแตกต่างกัน ขวดแก้วก็เช่นกัน ถ้าเป็นร้านเทรดดิชั่นแนล เช่น ร้านโชห่วย ร้านอาหาร ต้องเป็น ขวดแก้ว เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความต้องการอยู่มาก 
 
ส่วนแพ็กเกจจิ้งชนิดไหนจะสร้างยอดขายได้มากแค่ไหน จะขึ้นอยู่กับ “ช่องทางจัดจำหน่าย” ซึ่งมีการเติบโตแตกต่างกัน แม้เธอจะบอกตัวเลขการเติบโตของยอดขาย แพ็กเกจจิ้งขวดแก้วไม่ได้ แต่เธอก็ยืนยันว่า ยอดขายจากขวดแก้วยังคงเพิ่มขึ้นตลอด ยิ่งมีการโปรโมตเพิ่มขึ้นด้วยแล้ว
 
งานนี้ นอกจากเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคผ่านเรื่องราวผ่านตำนาน “โค้กขวดแก้ว” แล้ว ในเชิงการแข่งขัน ขวดแก้ว ยังเป็นแพ็กเกจจิ้งที่เป็นไฮไลต์สำคัญ ที่โค้กจะใช้ต่อกรกับคู่แข่งอย่าง “เป๊ปซี่” ซึ่งหลังจากแยกทางกับ “เสริมสุข” แล้ว เป๊ปซี่ ได้ตัดสินใจยกเลิกขวดแก้ว หันมาผลิตแต่ขวดพีที และกระป๋อง สลิมแคน ในขนาดต่างๆ 
 
โค้ก ใช้ช่วงจังหวะที่ เป๊ปซี่ ยังต้องใช้เวลานับหนึ่งกับสร้างโรงงานผลิต และสร้างหน่วยจัดจำหน่ายเอง แซงหน้าขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาดเมืองไทยเป็นครั้งแรกๆ ในรอบหลายสิบปี ที่โดนเป๊ปซี่ยึดครองตลาดมาตลอด 
 
เมื่อแซงมาได้แล้ว โค้กจึงต้องเร่งเครื่องออกแคมเปญการตลาดออกมาต่อเนื่อง เพื่อรักษาแชมป์นี้ไว้ ชนิดที่ประมาทเป๊ปซี่ไม่ได้เหมือนกัน และยังมีเอส และคู่แข่งใหม่ๆ เข้ามาแย่งชิงแชร์ ในตลาดน้ำอัดลม มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท 
 
โค้กขวดแก้ว จึงเป็น “ตำนาน” เก่าแก่ ที่โค้กต้องบอกเล่าให้ดังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไป 
 

 

]]>
61756