JKN – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 22 Apr 2021 10:17:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ถอดรหัสเส้นทางหมื่นล้าน กว่าจะเป็น “มาดามแอน” ผู้ชุบชีวิต NEW18 เป็น JKN18 ปั้นขึ้น TOP10 ทีวีดิจิทัลไทย! https://positioningmag.com/1328852 Thu, 22 Apr 2021 10:16:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328852 จากการแถลงข่าวในงาน JKN Phenomenon2021 แอน – จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในฐานะเจ้าของใหม่ 100% ของช่อง NEW18 ที่ตอนนี้เธอพลิกโฉมจากสถานีข่าวเป็นสถานีแห่งสาระและความบันเทิงเต็มรูปแบบพร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น JKN18 และให้คำมั่นสัญญาว่าเธอจะชุบชีวิต และพาช่อง JKN18 นี้ก้าวขึ้นติด Top10 หรือติดเรตติ้ง 10 อันดับแรกที่ได้รับความนิยมสูงสุดของทีวีดิจิทัลในบ้านเราภายในปีนี้แน่นอน!!

“แอน จักรพงษ์” หรือ มาดามแอน เธอคือซีอีโอในบริษัททุนตลาดหลักทรัพย์ที่มีคาแรกเตอร์ฉีกไม่เหมือนใคร ทั้งพูดจาฉะฉาน ชัดเจน ตรงประเด็น วิสัยทัศน์แหลมคม และตอบทุกประเด็นคำถามอย่างแจ่มชัด สร้างความฮือฮาจากคนทั้งประเทศมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จุดนี้จึงเป็นที่มาของการรวบรวมเส้นทางชีวิตสู่ความสำเร็จหมื่นล้านของเธอ…เพื่อบอกเล่าทุกเรื่องราวในการสร้างแรงบันดาลใจ

คว้า 10 ล้านในวัย 21 ปี จากอดีตอาตี๋ลูกคนโตแห่งศูนย์เช่าวิดีโอสู่เซียนคอนเทนต์แห่งอาเซียน เธอมาจากอาตี๋ ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนที่ครอบครัวดำเนินธุรกิจเปิดร้านเช่าวิดีโอ เธอเริ่มต้นธุรกิจในวัยเพียง 21 ปี และมีมุมมองในการเฟ้นหาคอนเทนต์ เรียกว่า สายตาแหลมคมประหนึ่งเทพ คว้าสารคดี Walking With Dinosaurs มาผลิตในรูปแบบดีวีดีจัดจำหน่ายในบ้านเรา สร้างรายได้ก้อนแรกให้กับเธอมากถึง 10 ล้านบาท  และส่งผลให้เธอเป็นนักค้าคอนเทนต์อันดับหนึ่งของประเทศไทยและอาเซียน ณ ปัจจุบัน

คว้าหลักร้อยล้านในวัย 25 ปี จากการนำเสนอขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่นำเข้ามาให้กับช่องทีวีในยุคนั้น ๆ รวมแล้วน่าจะเกือบทุกช่องที่จะต้องซื้อคอนเทนต์ของเธอเพื่อมาออกอากาศเรียกคนดูและโกยเรตติ้งท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง

คว้าพันล้านในวัย 38 ปี กล้าแตกต่างและเห็นช่องทางตลาดใหม่ในธุรกิจซื้อขายคอนเทนต์ ลงทุน ลงแรง บริหารเองกับมือ ทำให้อาณาจักรคอนเทนต์ JKN เติบโตจนสามารถเดินหน้าเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2560 สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงนักลงทุนเป็นอย่างมาก เป็นข่าวดังใหญ่โตเพราะเธอสามารถสร้างให้หุ้นของ JKN นั้น ติด Ceiling ต่อเนื่อง 4 วัน และ เช่นกัน โควิดก็ทำอะไรเธอไม่ได้ ดังคำที่เธอเคยบอก “อะไรก็ฆ่าฉันไม่ตาย” นอกจากนี้เธอยังยกระดับ JKN ย้ายเข้า SET ในช่วงโควิดที่ทุกธุรกิจกระทบเป็นวงกว้างแต่ JKN กลับโตสวนกระแสและทำกำไรอย่างมหาศาล

ตั้งเป้าคว้า 10,000 ล้าน ในวัย 42 ปี ประกาศแผนลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของ JKN ด้วยการเข้าซื้อกิจการช่อง NEW18 หวังชุบชีวิตฟื้นคืนช่องทีวีดิจิทัล พร้อมเปลี่ยนชื่อทางการใหม่เป็น JKN18 ตั้งเป้าดันขึ้น TOP10 ทีวีดิจิทัลชั้นนำในเมืองไทย!

ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากวิสัยทัศน์ การวางแผน การบริหารจัดการที่ก้าวไกล และมาจากแนวคิดกลยุทธ์การตลาดที่สุขุม นุ่มลึก ซึ่งได้รวบรวมมาไว้เป็นแนวทาง ดังนี้

  1. มองขาดเรื่อง Content is King
  2. ใช้สื่อที่มีในมืออย่างชาญฉลาดทั้ง JKN TV และ JKN CNBC สื่อสารสร้างให้ผู้ชมเกิดการเสพติดทางสายตาอย่างแยบยล
  3. มองไกลในกลุ่มคอนซูมเมอร์โปรดักส์ ใช้ Superstar Marketing การันตีด้วยการสร้างยอดขายหลายสิบล้านในชั่วข้ามคืน
  4. CEO Branding ความกล้านำเสนอตัวตนอย่างชัดเจน เด่น และแตกต่าง ในทุกพื้นที่สื่อของไทย และนำเสนอเรื่องราวใหม่ๆในพื้นที่คอนเทนต์ของเธอเอง ใช้ชื่อรายการว่า “Real Anne” ที่ปัจจุบันออกอากาศผ่านทางยูทูป JKN Official ซึ่งซีซั่น 1 มีทั้งหมด 30 ตอน ซึ่งมียอดผู้ชมรวมมากกว่า 30 ล้านวิว และกำลังก้าวเข้าสู่ ซีซั่นที่ 2 ซึ่งจะออกอากาศให้ได้ชมตอนแรกในวันศุกร์ที่ 30 เมษายน 64 นี้
  5. วางหมากขุนพลที่จะมาช่วยขับเคลื่อนกระบวนทัพของธุรกิจ JKN ได้อย่างมือฉมัง
  6. นำเสนอโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ก่อนใครด้วยการขึ้นแท่นเป็น Content – Commerce – Company (3C) ที่ให้ข้อมูลว่าพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ในปี 67

จะเรียก “มาดามแอน” สตรีข้ามเพศที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศไทย ก็คงไม่ผิดนัก เพราะเธอได้ก้าวขึ้นสู่สตรีข้ามเพศคนแรกที่ถือได้ว่าทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในวงการสื่อทีวีของประเทศไทยและเป็นเจ้าแม่อาณาจักรหมื่นล้านได้อย่างเต็มภาคภูมิ

]]>
1328852
อานิสงส์ล็อกดาวน์! ดัน JKN ขายคอนเทนต์มากขึ้น เตรียมอิมพอร์ตซีรีส์วาย-จีนเสริมทัพ https://positioningmag.com/1300078 Mon, 05 Oct 2020 17:00:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1300078 ในช่วงของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังได้เห็นธุรกิจขายคอนเทนต์ไปได้สวย เพราะผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ถ่ายทำไม่ได้ จำเป็นต้องใช้คอนเทนต์สำเร็จรูป ดันยอด JKN เติบโต เตรียมขนซีรีส์จีน ซีรีส์วายเสริมทัพซีรีส์อินเดียที่เคยเป็นกระแสฟีเวอร์อยู่พักใหญ่

เพิ่มดีมานด์หาคอนเทนต์ ทีวีจะจอดำไม่ได้!

แม้ในช่วงของการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 จะกระทบหลากหลายธุรกิจ ในวงการทีวีดิจิทัลเองก็มีปัญหาซบเซามาสักพักใหญ่ เพราะเม็ดเงินโฆษณาลดลง ยิ่งมีไวรัสเข้ามายิ่งซ้ำเติมรายได้หนักเข้าไปอีก แต่ทางผู้ประกอบการเองก็ต้องเดินหน้าต่อ เพราะจะปล่อยให้จอดำไม่ได้เป็นอันขาด

แต่วิกฤตก็มีโอกาสให้เห็น เมื่อเกิดการล็อกดาวน์ คนไทยอยู่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้การดูทีวี เสพคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการเองก็ต้องหาคอนเทนต์มาป้อนให้กับสถานีอยู่ตลอด เมื่อดีมานด์การดูคอนเทนต์มากขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ทางผู้ประกอบการต้องเจอคือไม่สามารถเปิดกองถ่ายได้ บางเจ้าต้องใช้มุกละครรีรัน เพื่อหล่อเลี้ยงเรตติ้งให้ไม่ตกลงมากกว่านี้

ทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุดคือการซื้อคอนเทนต์สำเร็จรูปนั่นเอง จึงทำให้ JKN ที่เป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างประเทศยังสามารถเติบโตได้ เพียงแต่ต้องมีการบริหารจัดการลูกหนี้ให้เหมาะสม

จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เล่าว่า

“แนวโน้มอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์คอนเทนต์ หลังวิกฤติ COVID-19 มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้งในและต่างประเทศ ต่างชะลอการผลิตคอนเทนต์แล้วหันมาซื้อลิขสิทธิ์สำเร็จรูปเพื่อนำไปออกอากาศแทนการผลิตรายการเอง จึงเป็นโอกาสทองของ JKN ในการทำตลาดเพื่อจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น จึงถือได้ว่าเป็นปีที่ดีของ JKN ในการสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด”

แอน จักรพงษ์ หรือสาวข้ามเพศสุดฮอตที่สุดในยุคนี้ ได้เสริมเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่ธุรกิจขายคอนเทนต์ยังไปได้ดี เพราะหลังจากช่วงล็อกดาวน์คนอยู่บ้านมากขึ้น ดูทีวีมากขึ้น สถานีต้องเลือกที่จะซื้อคอนเทนต์สำเร็จรูป เพราะถ่ายทำรายการไม่ได้ และเปิดกองถ่ายไม่ได้

“ตอนนี้คนทำคอนเทนต์สำเร็จรูปรวยทุกคน เพราะสถานีไม่ผลิตเองได้ แค่สถานีในไทยจองคอนเทนต์มายอด 500 ล้านบาท ตอนนี้มียอดขายเกิน 2,000 ล้านแล้ว แต่ต้องสร้างสมดุลให้ดี ต้องมีวิธีเก็บเงินจากลูกค้า ข้อดีของการซื้อคอนเทนต์สำเร็จรูป ทางช่องไม่ต้องซื้อเองจากต่างประเทศ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ปิดสัญญา ถ้าซื้อกับเราพร้อมใช้งาน”  

ซีรีส์อินเดียยังไปได้สวย เสริมทัพซีรีส์จีน-ซีรีส์วาย

ในส่วนของตัวคอนเทนต์ JKN เคยสร้างปรากฏการณ์ “ซีรีส์อินเดีย” ฟีเวอร์มาแล้วเมื่อราวๆ 2 ปีที่แล้ว JKN เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์รายใหญ่ ทำให้ทีวีดิจิทัลต่างซื้อคอนเทนต์ไปเติมสล็อตเพื่อจับกระแส บางช่องสามารถสร้างเรตติ้งสูงที่สุดอีกด้วย

จากซีรีส์อินเดียในวันนั้นจนถึงตอนนี้ ก็ถือว่ากระแสแผ่วลงไปจนอยู่ในสภาวะปกติ แต่ก็ยังมีบางช่องที่ยังมีฉายอยู่ราวๆ 4 ช่อง แต่มีการขยายไปยังต่างประเทศมากขึ้น

ธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงิน และบัญชี JKN บอกว่า

“ซีรีส์อินเดียในประเทศไทยแม้จะซาลง แต่ยังไปได้เรื่อยๆ ยังมีทีวีดิจิทัลซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายอยู่ เพียงแค่ไม่พีคในระดับนั้น จะไปเติบโตในต่างประเทศมากกว่า ทางเราได้เติมคอนเทนต์ใหม่ๆ เข้ามาเสริม จะมีซีรีส์จีน ซีรีส์วาย และฮอลลีวูด”

รูปแบบการเลือกคอนเทนต์ของ JKN จะเน้นซีรีส์เน้นแอคชั่น ดราม่า วัฒนธรรมของเอเชีย เพราะในตลาดต่างประเทศมีความเกี่ยวโยงกันด้านวัฒนธรรม ทำให้คอนเทนต์ขายได้ดี รวมถึงคอนเทนต์สารคดีก็มีมากขึ้นด้วย

ในปัจจุบัน JKN มีปริมาณคอนเทนต์ในมือรวม 3,000 กว่าเรื่อง รวมเวลาทั้งหมด 20,000 ชั่วโมง ในปีนี้ได้ใช้งบลงทุนด้านคอนเทนต์ 1,500-1,800 ล้านบาท ถือว่าสูงกว่าปกติที่ลงทุนเฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น

โดยที่สัดส่วนรายได้ของ JKN อยู่ที่ขายคอนเทนต์ 90% และโปรดักชั่น 10%

ถ้าถามถึง “ซีรีส์วาย” ที่กำลังเป็นที่นิยมในไทย จักรพงษ์บอกว่า เราต้องมีทุกรูปแบบ จะมีเอาเข้ามาอยู่แล้ว โดยจะมีเปิดผังครั้งใหญ่ และพันธมิตรในวันที่ 3 พ.ย. นี้

สำหรับในครึ่งปีหลัง JKN ยังรุกขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 สามารถขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์อินเดีย และฟิลิปปินส์ ให้แก่ มาเลเซีย และกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มขึ้น รวมถึงทยอยส่งมอบคอนเทนต์ซีรีส์ละครไทยจากช่อง 3 ให้แก่ TV5 ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดรายการฟรีทีวีช่องหลักของประเทศฟิลิปปินส์

ไตรมาสสุดท้ายมีการขยายฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มเติมทั้งในกลุ่มประเทศแถบลาตินอเมริกา บรูไน ไต้หวัน ศรีลังกา บังกลาเทศ แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และภูฏาณ

จากการขยายตลาดต่างประเทศจะช่วยให้ JKN มีการเติบโต 10-15% คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งเป้าว่ามีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 50% ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีอยู่ 30%

]]>
1300078
JKN วางเป้าผู้นำคอนเทนต์ “อาเซียน” เร่งเครื่องส่งออกละครช่อง 3 “โค-โปรดักชั่น” ซีรีส์ต่างประเทศ https://positioningmag.com/1246910 Thu, 19 Sep 2019 01:00:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1246910 การเปลี่ยนแปลง “มีเดีย แลนด์สเคป” สู่ยุคดิจิทัล ทำให้เกิดแพลตฟอร์มใหม่ๆ เข้ามาเป็น “ตัวเลือก” ในการเสพสื่อของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มใด ล้วนต้องการ “คอนเทนต์” เพื่อดึงดูดผู้ชม นโยบายของ JKN จึงชัดเจนมาตั้งแต่ต้น โฟกัสที่ธุรกิจจัดจำหน่ายและผลิตคอนเทนต์ป้อนทุกแฟลตฟอร์ม

จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้จัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล กล่าวว่า การธุรกิจของ JKN มุ่งไปที่การเป็นผู้จัดจำหน่ายคอนเทนต์และการทำตลาดคอนเทนต์ที่เหมาะกับผู้ซื้อในแต่ละประเทศ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของแพลตฟอร์มในยุคนี้

ปี 2020 JKN วางเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำคอนเทนต์อาเซียน นอกจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายซีรีส์อินเดีย ฟิลิปปินส์ สารคดี การ์ตูน ซีรีส์ฮอลลีวู้ดแล้ว จะมีการลงทุนผลิตคอนเทนต์รูปแบบ “โค-โปรดักชั่น” กับต่างประเทศเพิ่มขึ้น

โปรเจกต์ที่ลงทุนไปแล้ว คือ “สยามรามเกียรติ์” ซีรีส์พันล้านเรื่องแรกของไทย ที่ JKN จับมือกับผู้สร้างสีดาราม ศึกรักมหาลงกา และศิวะมหาเทพ จากอินเดีย วางแผนผลิตซีรีส์ขายลิขสิทธิ์ทั่วโลก โดยมีดาราไทย-อินเดียร่วมแสดง ปีหน้าจะมีโปรเจกต์ผลิตซีรีส์ 30 – 40 ตอน ร่วมกับผู้ผลิตคอนเทนต์จากฟิลิปปินส์

นอกจากนี้จะเร่งขยายตลาดขายลิขสิทธิ์ละคร “ช่อง 3” ซึ่ง JKN ได้รับลิขสิทธิ์จำหน่ายทั่วโลก (ยกเว้น จีน และบางประเทศในอาเซียนที่ ช่อง 3 ทำตลาดอยู่ก่อนแล้ว) ปัจจุบันมีละครกว่า 130 เรื่อง ตลาดหลักอยู่ใน อาเซียน ล่าสุดเพิ่งขายลิขสิทธิ์ให้สถานีทีวีและเคเบิลทีวีในเกาหลีใต้ 8 เรื่อง กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับสถานีทีวี ญี่ปุ่น ประเทศในฝั่งตะวันตกก็ให้ความสนใจละครไทยเช่นกัน และมีโอกาสขายลิขสิทธิ์ได้หลายตลาด

ปัจจุบันละครไทยเริ่มได้รับความนิยมในตลาดเอเชีย ดารานักแสดงเป็นที่รู้จักในกลุ่มแฟนคลับ การทำตลาดในแต่ละประเทศ JKN จึงใช้กลยุทธ์ “ซูเปอร์สตาร์ มาร์เก็ตติ้ง” นำดาราศิลปินจากช่อง 3 ไปโรดโชว์ทำกิจกรรมในต่างประเทศ เพื่อร่วมกันทำตลาดละครให้เป็นที่รู้จัก

รุกตลาด OTT

ส่วนการจำหน่ายลิขสิทธ์คอนเทนต์ซีรีส์อินเดียและฟิลิปปินส์ ในประเทศไทย หลังจาก “ทีวีดิจิทัล” คืนใบอนุญาต 7 ช่อง เหลือ 15 ช่องทีวีธุรกิจ ส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าที่ซื้อคอนเทนต์จาก JKN โดยช่องที่เป็นลูกค้าและคืนใบอนุญาตมี 1 ช่อง คือ ไบรท์ทีวี

แต่ตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูงคือแพลตฟอร์ม OTT ที่ผ่านมาได้จำหน่ายลิขสิทธิ์เป็นเรื่องๆ ให้กับหลายแพลตฟอร์ม ปลายปีนี้ถึงปีหน้าจะมีลูกค้า OTT ในกลุ่มผู้ให้บริการแอป วิดีโอ ออนดีมานด์ เข้ามาซื้อลิขสิทธิ์อีก 3 ราย รวมทั้งจะเปิดช่อง JKN Official Channel ทางไลน์ทีวี

ปกติแต่ละปีจะเงินลงทุนซื้อคอนเทนต์ใหม่และผลิตคอนเทนต์อยู่ที่ราว 800 – 1,000 ล้านบาท สัดส่วน 80% เป็นการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างประเทศ และ 20% เป็นงบผลิตคอนเทนต์และโค-โปรดักชั่น

JKN-CNBC ป้อน 7 ช่องทีวีดิจิทัล

ส่วนแผนการผลิตคอนเทนต์รายการข่าวแบรนด์ JKN-CNBC ปัจจุบันผลิตให้กับทีวีดิจิทัล 5 ช่อง ที่ออกอากาศไปแล้วคือ ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 ส่วนที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไปทาง ช่องอมรินทร์ทีวี รายการ JKN-CNBC Around The World ออกอากาศทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 05.30 – 06.00 น. ช่อง 5 รายการ HALFTIME REPORT ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.30 – 12.00 น.

รายการที่กำลังรอการออกอากาศ ได้แก่ The CNBC Conversation ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 20.30 – 21.30 น. ช่อง TNN ดำเนินรายการโดย สุทธิชัย หยุ่น เริ่มเทปแรกวันที่ 22 ก.ย. นี้ และอีกรายการ คือ Managing Thailand กำลังเตรียมออกอากาศทางช่อง TNN เช่นกัน นอกจากนี้เตรียมทำรายการทางช่อง True4U อีก 1 ช่องในปีนี้ และปีหน้าเตรียมผลิตเพิ่มอีก 2 ช่อง

ปีที่ผ่านมา JKN มีรายได้ 1,400 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 1,600 ล้านบาท เติบโต 15 – 20% ทุกปีและปี 2563 ยังคงเติบโตในอัตราดังกล่าว โดยรายได้มาทำตลาดขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในประเทศ 60 – 65% ส่งออกคอนเทนต์ 30 – 35% และรายได้โฆษณา 5 – 10%

ลงทุนอสังหาฯ-สินค้าเฮลท์แอนด์บิวตี้

นอกจากธุรกิจบริษัท เจเคเอ็น โกลบอลมีเดีย (มหาชน) ซึ่งอยู่ในตลาด MAI แล้ว ครอบครัวจักราจุฑาธิบดิ์ ได้มีการลงทุนธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ ภายใต้บริษัท “เจเคเอ็น แลนด์มาร์ค” พัฒนาโครงการ The River King รูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ มูลค่าลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท เนื้อที่ 15 ไร่ ติดกับอาคารสำนักงานเจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย ศาลายา ในโครงการจะมีสตูดิโอเช่าผลิตรายการ แหล่งบันเทิง และร้านอาหารกว่า 10 ร้านเปิด 24 ชั่วโมง เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว

จักรพงษ์ บอกว่าปีนี้ได้ลงทุนส่วนตัวในบริษัท เจเคเอ็น ลิฟวิ่ง เน็ตเวิร์ค” ธุรกิจจำหน่ายสินค้าเฮลท์แอนด์บิวตี้ ผ่านทีวีช้อปปิ้ง โดยมีผู้ประกอบการ 15 รายที่ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายร่วมกับ “เจเคเอ็น ลิฟวิ่ง เน็ตเวิร์ค” เริ่มทำตลาดไตรมาส 4 ปีนี้ และไตรมาสแรกปีหน้า จะเปิดตัวโปรดักต์ของตนเองในชื่อแบรนด์ Instinct” เริ่มที่ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ บอดี้โลชั่นและน้ำหอม.

]]>
1246910
เร่งสร้างรายได้! ช่อง 3 ขายลิขสิทธิ์ละครไทยลงจอเคเบิล-ไอพีทีวี “เกาหลี” ครั้งแรก ลุยต่อ “จีน-อาเซียน” https://positioningmag.com/1245081 Tue, 03 Sep 2019 23:07:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1245081 การ “ขายลิขสิทธิ์” คอนเทนต์ช่อง 3 ที่เก็บสะสมไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะละคร เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หาแหล่งรายได้ใหม่ที่ “บี๋ อริยะ พนมยงค์” ประกาศไว้ในการบริหาร บีอีซี เวิลด์ ให้กลับมากำไรอีกครั้ง   

นับเป็นก้าวแรกในประวัติศาสตร์วงการละคร ที่ละครของประเทศไทย จาก “ช่อง 3” จะได้มีโอกาสออกอากาศบนสถานีโทรทัศน์ของเกาหลี ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตรายการบันเทิงส่งออกระดับโลก ที่ผ่านมาประเทศเกาหลีจึงไม่มีความจำเป็น ต้องนำเข้ารายการโทรทัศน์ของต่างประเทศ ที่ผ่านมาก็มีเพียงซีรีส์ของประเทศจีนไม่กี่เรื่องที่ได้มีโอกาสฉายที่เกาหลีและไทย ถือเป็นประเทศที่ 2 ของเอเชีย ที่สามารถเข้าไปทำตลาดในเกาหลี

โดย TRA Media (ประเทศเกาหลี) ได้ทำข้อตกลงกับ บมจ. เจเคเอ็น โกลบอลมีเดีย (ประเทศไทย) ตัวแทนขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ช่อง 3 เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ละครจากช่อง 3 เบื้องต้น 8 เรื่อง เพื่อนำไปออกอากาศบนสถานี TVA PLUS และ SMILE PLUS ซึ่งออกอากาศครอบคลุมทั่วประเทศเกาหลี

ทั้ง 2 สถานีทีวีเป็นช่องเคเบิลทีวีของประเทศเกาหลีที่ออกอากาศทั่วประเทศ มีเรตติ้งอยู่ที่อันดับต้นๆ จากทั้งหมด 252 ช่อง ของทั้งประเทศ

โดย SMILE PLUS เป็นช่องที่มีทั้งเคเบิลทีวีและไอพีทีวี มียอดสมาชิกกว่า 14.6 ล้านครัวเรือน ส่วน TVA PLUS เป็นเคเบิลทีวีที่มียอดสมาชิกกว่า 12.1 ล้านครัวเรือน โดยก่อนหน้านี้ มีเพียงซีรีส์จากประเทศจีนเพียงประเทศเดียวที่ได้ออกอากาศฉายบน TVA PLUS และ SMILE PLUS อย่างเช่นเรื่อง Hero of Sui and Tang Dynasty (ศึกจอมราชัน), Secret History of Empress เป็นต้น และต่อไปละครของช่อง 3 ก็จะเป็นซีรีส์ต่างประเทศชุดใหม่ที่จะไปออกอากาศบนช่องทีวีเกาหลี

ละครของช่อง 3 ทั้ง 8 เรื่องที่ได้ทำข้อตกลงในการซื้อไว้แล้วได้แก่ บุพเพสันนิวาส, คลื่นชีวิต, นาคี, ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง, รากนครา, ลิขิตรัก (The Crown Princess), บ่วงบรรจถรณ์ และ คมแฝก โดยจะเริ่มออกอากาศในสถานีทีวีเกาหลีภายในปีนี้

อริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.บีอีซี เวิล์ด กล่าวว่า จากการขายลิขสิทธิ์ละครช่อง 3 ให้ กับ 2 สถานีทีวีเกาหลี ทำให้ละครช่อง 3 เป็นละครจากประเทศไทยเรื่องแรกที่ได้ออกอากาศในประเทศเกาหลี ซึ่งจะทำให้คนเกาหลีที่ชมละครมีโอกาสรู้จักประเทศไทยมากขึ้น ช่อง 3 ยังมีแผนงานขยายตลาดละครในต่างประเทศต่อไปอีก

ขณะนี้ละครของช่อง 3 ได้จำหน่ายไปยังต่างประเทศหลายประเทศ อาทิ ประเทศจีน ฟิลิปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น และกำลังจะบรรลุข้อตกลงในอีกหลายๆ ประเทศ

ปัจจุบันช่อง 3 มีคอนเทนต์ละครเก่ากว่า 100 เรื่อง และมีละครใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้น คอนเทนต์ที่ทำตลาดขายลิขสิทธิ์ในต่างประเทศน่าจะอยู่ที่ราว 200 เรื่อง.

]]>
1245081
เจาะตลาด CLMV “ซีรีส์อินเดีย-ฟิลิปปินส์” หนุน JKN ครึ่งปีแรกกำไร 150 ล้าน ลุยต่อ “ละครไทย-CNBC” https://positioningmag.com/1242096 Tue, 13 Aug 2019 05:55:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1242096 ยังไปได้สวยกับการทำตลาดขายลิขสิทธิ์ซีรีส์อินเดียในตลาด CLMV เพราะแม้ทีวีดิจิทัลในประเทศไทยปิดฉากลาจอไป 7 ช่อง แต่ตัวเลข JKN ครึ่งปีแรกยังกำไร ครึ่งปีหลังยังเชื่อว่าจะโตได้อีก 20%

บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้จัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างประเทศ รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกปี 2562 (ม.ค. – มิ.ย. 2562) มีรายได้ 870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.6% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้ 698 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.98% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2562 (เม.ย. – มิ.ย. 2562) ทำรายได้ 446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 352 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 69.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 68.4 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยจากรับผลกระทบภาวะค่าเงินบาทแข็งค่าและกดดันกำไรสุทธิไตรมาสนี้

ตลาด CLMV หนุนรายได้โต

จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN กล่าวว่า รายได้และกำไรครึ่งปีแรกยังเติบโตได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรีส์อินเดียและฟิลิปปินส์ในกลุ่ม CLMV (กัมพูชาลาว เมียนมา และเวียดนาม) เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดในประเทศไทยที่ลูกค้าทีวีดิจิทัลยังคงซื้อคอนเทนต์ซีรีส์ไปออกอากาศอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีทีวีดิจิทัลคืนใบอนุญาต 7 ช่อง ในเดือน ส.ค. – ต.ค. นี้ เชื่อว่าจะไม่กระทบกับธุรกิจ

อีกทั้งการเป็นตัวแทนจำหน่ายคอนเทนต์ซีรีส์ละครไทยจาก “ช่อง 3” ในตลาดต่างประเทศ ได้ผลตอบรับที่ดี JKN มีแผนขยายการตลาดและการจำหน่ายคอนเทนต์ซีรีส์ละครไทยครอบคลุมกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง ยุโรปแคนาดา และละตินอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มขึ้น

“มั่นใจว่าครึ่งปีหลังจะสามารถปิดการขายคอนเทนต์ในตลาดต่างประเทศเพิ่มมูลค่างานในมือได้มากขึ้น จากสิ้นไตรมาส 2 มีอยู่ 470 ล้านบาท”

ครึ่งปีหลังชูกลยุทธ์ “ซูเปอร์สตาร์มาร์เก็ตติ้ง”  

สำหรับแผนธุรกิจครึ่งปีหลังจะรุกทำตลาดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในตลาดต่างประเทศมากขึ้น ผ่านกลยุทธ์การตลาด “ซูเปอร์สตาร์มาร์เก็ตติ้ง” จากการร่วมออกบูธและจัดกิจกรรมทางการตลาด เพื่อสร้างกระแสให้กับคอนเทนต์ที่นำไปจำหน่ายในต่างประเทศ ปลายปีนี้ JKN มีแผนนำ ซีรีส์ละครไทย อีกกว่า 40 เรื่อง ไปจำหน่ายในงาน MIPCOM 2019 ที่ประเทศฝรั่งเศส

ส่วนตลาดในประเทศมองว่ายังเติบโตได้ เนื่องจากลูกค้าทีวีดิจิทัล ที่ยังดำเนินธุรกิจต่อมีแนวโน้มนำเงินมาลงทุนซื้อคอนเทนต์แทนการผลิตรายการเอง เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับช่องเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้จะรับรู้รายได้จากการผลิตรายการภายใต้แบรนด์ JKN-CNBC ที่ดำเนินงานภายใต้ บริษัท เจเคเอ็น นิวส์ จำกัด ซึ่งเป็นอีกธุรกิจที่เข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตต่อจากนี้ หลังจากได้เริ่มออกอากาศผ่านช่อง GMM 25 ตั้งแต่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ชม

โดยมีแผนเพิ่มคอนเทนต์จากแบรนด์ CNBC อีก 5 รายการ เพื่อออกอากาศผ่านช่องทีวีดิจิทัล ได้แก่ ช่อง 5 ทรูโฟร์ยู อมรินทร์ทีวี เป็นต้น คาดว่าจะช่วยผลักดันเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้เติบไม่ต่ำกว่า 20% ตามแผนที่วางไว้.

]]>
1242096
เปิดสตูดิโอ ผ่าแผน JKN-CNBC ยึดผัง “5 ช่อง ทีวีดิจิทัล” 8 รายการ เป้าหมายขึ้นแท่นสำนักข่าวชั้นนำ https://positioningmag.com/1235660 Fri, 21 Jun 2019 12:55:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1235660 อุตสาหกรรมสื่อที่มีเม็ดเงินโฆษณาแสนล้านบาทต่อปี ทีวี” ยังครองเม็ดเงินโฆษณาสูงสุดสัดส่วน 60% ราว 60,000 ล้านบาทต่อปี “ละคร” เป็นคอนเทนต์ที่โกยงบโฆษณามากสุด 40-50% รองลงมาคือข่าวราว 30% นั่นหมายถึงมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาทต่อปี

หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของ “ทีวีดิจิทัล” คือผังรายการช่องวาไรตี้ ต้องนำเสนอข่าวและสาระ 25% ของผังรายการ ส่วนช่องข่าว สัดส่วนอยู่ที่ 50% ทำให้คอนเทนต์ประเภทข่าว เป็นที่ต้องการของช่องทีวีดิจิทัล หากเป็นรายการที่แตกต่างและได้รับความนิยม ก็มีโอกาสโกยเม็ดเงินโฆษณาเป็นกอบเป็นกำได้เช่นกัน

JKN Global Media มองเห็นโอกาสการผลิตคอนเทนต์ “ข่าว” ในอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัล จึงจับมือเป็นพันธมิตรซื้อลิขสิทธิ์ฟอร์แมตรายการข่าว CNBC Asia จาก NBC (Universal) เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ระดับโลกของสหรัฐอเมริกา สัญญา 10 ปี เพื่อนำมาผลิตรายการข่าวเวอร์ชั่นภาษาไทย โดยลงทุนสร้างสตูดิโอใหม่ที่ JKN ศาลายา กว่า 200 ล้านบาท

สโรชา พรอุดมศักดิ์

แบรนด์ CNBC แกร่งดึงผู้ชม

สโรชา พรอุดมศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็นนิวส์ จำกัด ในเครือ JKN กล่าวว่า CNBC เป็นสื่อระดับโลกด้านเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุน ที่ประสบความสำเร็จด้านคอนเทนต์ข่าว ด้วยมิติการนำเสนอข่าวสารด้านการเงินแบบย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่าย คอนเทนต์ CNBC เวอร์ชั่นภาษาไทย 95% เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับไทย ทั้งตลาดหลักทรัพย์ เศรษฐกิจ รัฐบาล ผู้บริหาร เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ชม

การลงทุนผลิตฟอร์แมตรายการข่าวเศรษฐกิจระดับโลก เพราะเห็นว่าประเทศไทยยังขาดการเสนอข่าว เรื่องการเงิน การลงทุน ที่เป็นมาตราฐานสากล ปัจจุบันความรู้ทางการเงิน (financial literacy) ทั้งการออมและลงทุนของคนไทยอยู่ที่ 40% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสากลและส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับ 50-60% จึงต้องการเป็นอีก “ทางเลือก” ในการให้ข้อมูลกับผู้ชมไทยผ่านสื่อทีวี ที่เข้าถึงคนทุกวัย

“แบรนด์ที่แข็งแกร่งของ CNBC จะสร้างความแตกต่างการนำเสนอข่าวเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุนให้น่าสนใจและดึงดูดผู้ชมหน้าจอ จากวิธีการนำเสนอ ย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่าย กราฟิกที่โดดเด่นช่วยอธิบายเรื่องราว โนว์ฮาวที่ได้จะเป็นประโยชน์กับ JKN-CNBC และ JKN News รวมทั้งภาพรวมวงการข่าวในประเทศไทย”

ส่ง 8 รายการลงผังทีวีดิจิทัล 5 ช่อง

JKN-CNBC ได้เปิดตัวเป็นพันธมิตรกับทีวีดิจิทัลช่อง GMM 25 เป็นรายแรก เพื่อผลิตข่าวเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุนและข่าวทั่วไปที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ ประเดิม 3 รายการ ลงจอวันที่ 1 ก.ค.2562 รวม 5 ชั่วโมงต่อวัน

ได้แก่ รายการ Squawk Box เวลา 6.00 – 8.00 น. จันทร์ – ศุกร์ ซึ่งเป็นรายการเรตติ้งสูงสุดของ CNBC จากผู้ชมทั่วโลก นำเสนอแหล่งข้อมูลที่แม่นยำและน่าเชื่อถือ, รายการ Power Lunch เวลา 12.30 – 13.30 น. จันทร์ – ศุกร์ เกาะติดความเคลื่อนไหวของข่าวสารในภาคเช้าและแนวโน้มทิศทางของข่าวในภาคบ่าย และรายการ Street Signs เวลา 16.15 – 18.00 น. จันทร์ – พฤหัสบดี ส่วนวันศุกร์เวลา 16.15 – 18.20 น. รายการใหม่ล่าสุดของ CNBC Asia ที่จะมาบอกทิศทางของข้อมูลข่าวสารเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุน

หลังเปิดตัวผลิตรายการข่าวให้ GMM 25 สโรชา บอกว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก จากทีวีดิจิทัลช่องต่างๆ ที่สนใจเป็นพันธมิตรกับ JKN-CNBC ปีนี้สรุปได้ผลิตรายการข่าวเศรษฐกิจให้กับทีวีดิจิทัล 5 ช่อง 8 รายการ

นอกจาก 3 รายการทาง GMM 25 แล้ว ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ได้เปิดตัวรายการ Halftime Report เวลา 11.30 – 12.00 น. จันทร์-ศุกร์ ช่อง 5

รายการ JKN-CNBC Around The World  เวลา 5.30-6.00 น. (first run)  เวลา 23.30-0.00 น. (rerun) เสาร์-อาทิตย์  เริ่ม 6 ก.ค.2562  อมรินทร์ทีวี รายการนี้อยู่นอกโผฟอร์แมต CNBC เพราะเป็นรายการที่พัฒนาขึ้นใหม่ในประเทศไทย เนื่องจากอมรินทร์ทีวีมีโจทย์ให้ผลิตคอนเทนต์ที่เป็นการผสมระหว่างข่าวเศรษฐกิจและข่าวต่างประเทศ  JKN-CNBC จึงออกแบบให้ใหม่เป็นรูปแบบรายการสรุปข่าวรายสัปดาห์ ข่าวตลาดหุ้นรอบโลก ภาวะซื้อขายสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของตลาด และข่าวต่างประเทศที่โดดเด่น รายการนี้ แอ้ม สโรชา เป็นผู้ดำเนินรายการเอง

ส่วนรายการที่จะเริ่มในเดือน ส.ค.นี้ กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับสถานีทีวีดิจิทัลอีก 1 ช่อง คือ CNBC Conversation ดำเนินรายการโดย “สุทธิชัย หยุ่น” รูปแบบ Hard Talk  พูดคุยกับแขกรับเชิญในรายการ ซึ่งเป็นบุคคลระดับวางนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลัก เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง พาณิชย์ อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว อธิบดี ประธานหอการค้าต่างๆ

“ฟอร์แมต CNBC Conversation แขกรับเชิญจะเป็นผู้บริหารที่กำหนดนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ผู้ดำเนินรายการก็ต้องมีประสบการณ์สูง จึงนึกถึงคุณสุทธิชัย และไปชวนด้วยตัวเอง และคุณสุทธิชัย บอกว่าอยากทำ”

สำหรับเดือน ก.ย. มีอีก 2 รายการทางช่อง ทรูโฟร์ยู คือ Managing Thailand เวลา 13.30-14.30 น. วันเสาร์ และ First Class Thailand

โดยทั้งหมดเป็นรูปแบบ Time Sharing ซึ่งเป็นข้อกำหนดของลิขสิทธิ์ที่ได้รับจาก CNBC เพราะต้องเป็นผู้กำหนดทิศทางการนำเสนอของกองบรรณาธิการเอง ปีหน้าเชื่อว่ายังมีโอกาสผลิตรายการเพิ่มเติมกับพันธมิตรช่องใหม่และช่องเดิม

เป้าหมายขึ้นแท่นสำนักข่าวชั้นนำ

เป้าหมายของ JKN-CNBC ต้องการเป็นสำนักข่าวชั้นนำด้านเศรษฐกิจของไทย นำเสนอรายการข่าวมาตรฐานฟอร์แมตระดับโลก จากข้อมูลที่น่าเชื่อถือเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ปัจจุบันผู้ชมมีการรับรู้เกี่ยวกับการออมและการลงทุนทางการเงินมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อประกันชีวิต กองทุนต่างๆ เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีและเป็นการออมเพื่อใช้ในวัยเกษียณ แต่ยังมีเครื่องมือการออมและการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนอีกจำนวนมากที่คนยังไม่รู้ รายการของ JKN-CNBC จะมาให้ความรู้และทางเลือกการลงทุนใหม่ๆ

สโรชา มองว่ารายการข่าวเศรษฐกิจของ JKN-CNBC สามารถรับชมได้ทุกวัย รวมทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มผู้ชมช่อง GMM25 ซึ่งมีตั้งแต่นักศึกษา วัยเริ่มต้นทำงานและกลุ่มผู้ชมทั่วไป ถือเป็นโอกาสที่ดีของการนำเสนอคอนเทนต์ ที่จะปูพื้นฐานความรู้การบริหารเงินให้กับคนรุ่นใหม่ เพราะยุคนี้คนแต่งงานลดลง เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณก็ต้องพึ่งพาตัวเอง การนำเสนอข้อมูลของ JKN-CNBC จะสื่อสารให้รู้ว่าคนรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้การบริหารการเงินและการออม ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่หรือวัยเริ่มต้นทำงาน เพื่อปูทางไปสู่การดูแลตัวเองในวัยเกษียณทั้งกลุ่มที่มีครอบครัวและไม่มีครอบครัว

“กลุ่มผู้ดำเนินรายการทุกคนเป็นคนรุ่นใหม่ที่สามารถสื่อสารกับกลุ่มผู้ชมของ GMM 25 ได้เป็นอย่างดี โดยไม่มีช่องว่าง เชื่อว่าเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอที่เข้าใจง่าย จะได้รับความสนใจจากผู้ชมด้วยเช่นกัน”

มั่นใจรายได้โฆษณาตามเป้า

ด้านการหารายได้ของ JKN-CNBC บริษัทแม่กำหนดไว้ที่สัดส่วน 3-5% ของ JKN ที่ปีนี้ตั้งเป้าหมาย 1,700 ล้านบาท นั่นหมายถึง JKN News จะต้องมีรายได้ปีแรก 500-850 ล้านบาท แต่จากการหา Founding Sponsor และพาร์ตเนอร์พบว่าได้รับผลตอบรับที่ดี  แม้เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลจะอยู่ในภาวะซึม

“สปอนเซอร์บางรายยังไม่เห็นรายการจริง แต่ด้วยชื่อของ JKN-CNBC ก็เชื่อมั่นและสนใจ ทำให้เบาใจเรื่องการหารายได้โฆษณาน่าจะได้ตามเป้าหมาย”

]]>
1235660
แค่โฮมช้อปปิ้งไม่พอ! TVD แตกไลน์ขายคอนเทนต์นำร่อง CLMV https://positioningmag.com/1233925 Tue, 11 Jun 2019 06:03:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1233925 เป็นผู้บุกเบิก “ทีวีโฮมช้อปปิ้ง” ในไทยมากว่า 20 ปี สำหรับ “ทีวีไดเร็ค” มาถึงวันนี้กลายเป็นอีกสมรภูมิแข่งเดือด จากทั้งผู้เล่นต่างชาติและฝั่งไทย โดยเฉพาะ “ทีวีดิจิทัล” ที่เดิมเป็นพันธมิตรปล่อยเช่าเวลา แต่วันนี้ก้าวเข้ามาในฐานะคู่แข่ง เจ้าตลาดอย่างทีวีไดเร็ค จึงต้องมองหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ

ทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่าน Omni Channel กล่าวว่าบริษัทแตกไลน์สู่ธุรกิจรับจำหน่ายคอนเทนต์ในประเทศ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมา หรือกลุ่ม CLMV หลังจากเจรจาขอซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ประเภทสารคดีและซีรีส์ละครอินเดียจำนวน 60 – 70 เรื่องจากบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เป็นเวลา 2 ปี และได้รับสิทธิ์เพิ่มเติมให้นำคอนเทนต์บางส่วนที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศดังกล่าวเพื่อต่อยอดสร้างรายได้

ทรงพล ชัญมาตรกิจ

โดยตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้เริ่มนำคอนเทนต์ในส่วนที่ได้รับสิทธิ์จำหน่ายใน 3 ประเทศดังกล่าว เสนอขายผ่านเอเย่นต์ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ปรากฏว่ามีผลตอบรับน่าพอใจ สามารถปิดการขายคอนเทนต์สารคดีและซีรีส์ละครอินเดียจากลูกค้าในกัมพูชาและเวียดนาม รวมมูลค่า 40 ล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะมียอดขายคอนเทนต์ในช่วงแรกเฉลี่ยเดือนละ 12 – 20 ล้านบาท

การซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์จำนวนมากจาก JKN เพื่อนำมาต่อยอดจากธุรกิจหลักที่มีแผนขยายการดำเนินธุรกิจรูปแบบการเป็นผู้ร่วมผลิตรายการกับทีวีดิจิทัลช่องต่างๆ ซึ่งจะทำให้ TVD มีคอนเทนต์ที่หลากหลาย ทั้งการผลิตรายการเสนอขายสินค้า รายการสารคดี ซีรีส์ และละครอินเดีย ช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพิ่มเติม จากเดิมที่มี “โฮมช้อปปิ้ง” เป็นหลัก อีกทั้งจะช่วยเพิ่มศักยภาพและขยายฐานผู้รับชมแก่ช่องทีวีดิจิทัลที่เป็นคู่ค้าอีกด้วย

“การทำธุรกิจปัจจุบันจะหยุดนิ่งไม่ได้ เราต้องมองโอกาสใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน รวมถึงมีพันธมิตรธุรกิจที่จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน การที่เรามีคอนเทนต์รูปแบบอื่นๆ ในมือเพิ่มขึ้น จะสามารถนำเสนอรายการเป็นแพ็กเกจในการเจรจากับทีวีดิจิทัลเพื่อเป็นผู้ร่วมผลิตรายการทีวี”.

]]>
1233925
แค่โฮมช้อปปิ้งไม่พอ! TVD แตกไลน์ขายคอนเทนต์นำร่อง CLMV https://positioningmag.com/1233912 Tue, 11 Jun 2019 05:46:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1233912 เป็นผู้บุกเบิก “โฮมช้อปปิ้ง” ในไทยมากว่า 20 ปี สำหรับ “ทีวีไดเร็ค”  มาถึงวันนี้กลายเป็นอีกสมรภูมิแข่งเดือด จากทั้งผู้เล่นต่างชาติและฝั่งไทย โดยเฉพาะ “ทีวีดิจิทัล” ที่เดิมเป็นพันธมิตรปล่อยเช่าเวลา แต่วันนี้ก้าวเข้ามาในฐานะคู่แข่ง เจ้าตลาดอย่างทีวีไดเร็ค จึงต้องมองหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ

ทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่าน Omni Channel กล่าวว่าบริษัทแตกไลน์สู่ธุรกิจรับจำหน่ายคอนเทนต์ในประเทศ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมา หรือกลุ่ม CLMV  หลังจากเจรจาขอซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ประเภทสารคดีและซีรีส์ละครอินเดียจำนวน 60-70 เรื่อง จากบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เป็นเวลา 2 ปี และได้รับสิทธิ์เพิ่มเติมให้นำคอนเทนต์บางส่วนที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศดังกล่าวเพื่อต่อยอดสร้างรายได้

โดยตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ได้เริ่มนำคอนเทนต์ในส่วนที่ได้รับสิทธิ์จำหน่ายใน 3 ประเทศดังกล่าว เสนอขายผ่านเอเย่นต์ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ปรากฏว่ามีผลตอบรับ

น่าพอใจ สามารถปิดการขายคอนเทนต์สารคดีและซีรีส์ละครอินเดียจากลูกค้าในกัมพูชาและเวียดนาม รวมมูลค่า 40 ล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะมียอดขายคอนเทนต์ในช่วงแรกเฉลี่ยเดือนละ 12-20 ล้านบาท

การซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์จำนวนมากจาก JKN เพื่อนำมาต่อยอดจากธุรกิจหลักที่มีแผนขยายการดำเนินธุรกิจรูปแบบการเป็นผู้ร่วมผลิตรายการกับทีวีดิจิทัลช่องต่างๆ ซึ่งจะทำให้ TVD มีคอนเทนต์ที่หลากหลาย ทั้งการผลิตรายการเสนอขายสินค้า รายการสารคดี ซีรีส์ และละครอินเดีย ช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพิ่มเติม จากเดิมที่มี “โฮมช้อปปิ้ง”เป็นหลัก อีกทั้งจะช่วยเพิ่มศักยภาพและขยายฐานผู้รับชมแก่ช่องทีวีดิจิทัลที่เป็นคู่ค้าอีกด้วย

“การทำธุรกิจปัจจุบันจะหยุดนิ่งไม่ได้ เราต้องมองโอกาสใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน รวมถึงมีพันธมิตรธุรกิจที่จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน การที่เรามีคอนเทนต์รูปแบบอื่นๆ ในมือเพิ่มขึ้น จะสามารถนำเสนอรายการเป็นแพ็คเกจในการเจรจากับทีวีดิจิทัลเพื่อเป็นผู้ร่วมผลิตรายการทีวี”

ข่าวเกี่ยวเนื่อง

]]>
1233912
JKN มุ่งค้าคอนเทนต์ป้อน 7 แพลตฟอร์ม ดันกลยุทธ์ “ซูเปอร์สตาร์ มาร์เก็ตติ้ง” ลุยตลาดอาเซียน https://positioningmag.com/1217738 Mon, 04 Mar 2019 23:07:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1217738 จากแอนะล็อกสู่ดิจิทัล ด้วยประสบการณ์เกือบ 20 ปี ในจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากทั่วโลกของ “เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย” สร้างชื่อโด่งดัง กู้เรตติ้งทีวีดิจิทัลหลายช่องด้วย “ซีรีส์อินเดีย” ล่าสุด เตรียมป้อนคอนเทนต์สู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม

แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้จัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล  กล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสื่อ มักมุ่งไปที่การเป็น “เจ้าของแพลตฟอร์ม” ตั้งแต่ยุคแอนะล็อก ทั้งการเป็นเจ้าของฟรีทีวี ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี สำนักพิมพ์ กระทั่งยุคทีวีดิจิทัล ที่มีการประมูลใบอนุญาต 22 ช่อง สะท้อนถึงการมุ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม โดยไม่มีใครโฟกัสการเป็น “เจ้าของคอนเทนต์”

“ช่วงปี 2013-2014 เข้าสู่ยุคทีวีดิจิทัล เราอ่านเกมออกว่าผู้ประกอบการมุ่งไปที่แพลตฟอร์ม เจเคเอ็นจึงวางตำแหน่งเป็นผู้ค้าคอนเทนต์ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจึงกวาดซื้อลิขสิทธิ์ คอนเทนต์ของซูเปอร์แบรนด์ จากทั่วโลกไว้ในมือจำนวนมาก”

บิสสิเนสโมเดลของ “เจเคเอ็น” วางเป้าหมายเป็น “ผู้นำ” ด้านการนำเข้าคอนเทนต์ระดับโลก เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศไทยและกลุ่ม CLMV พร้อมทั้ง “ส่งออก” คอนเทนต์จากไทยไปขายลิขสิทธิ์ทั่วโลก และลงทุนผลิตคอนเทนต์ร่วมกับสตูดิโอระดับโลก เพื่อขายลิขสิทธิ์ในทุกแพลตฟอร์ม

ลุย 7 แพลตฟอร์ม

  1. ทีวีดิจิทัล จำนวน 22 ช่อง ปัจจุบันเกือบทุกช่องซื้อคอนเทนต์ ซีรีส์อินเดียและฟิลิปปินส์ สารคดี จากเจเคเอ็น
  2. เคเบิลและทีวีดาวเทียม ที่มีจำนวน 200 ช่อง
  3. โรงภาพยนตร์ โดยเป็นการปรับเปลี่ยนมาจากช่องทางดีวีดีและบลูเรย์ ที่คาดว่าปีนี้จะลดลงอย่างมาก
  4. เมอร์เชนไดส์ นำคอนเทนต์และคาแร็กเตอร์ไปเพื่อผลิตสินค้าที่ระลึกในธุรกิจต่างๆ
  5. พับลิชชิ่ง เพื่อจัดจำหน่ายในรูปแบบสิ่งพิมพ์ หรือ อีบุ๊ก
  6. โอทีที (Over The Top) นำเสนอคอนเทนต์ผ่านดิจิทัล แพลตฟอร์ม ทั้งรูปแบบการหารายได้จากสมาชิกและโฆษณา
  7. Ancillary บริการด้านการเดินทาง เช่น สายการบิน รถโดยสาร เพื่อนำไปให้บริการกับผู้โดยสาร

แอน-จักรพงษ์ บอกว่า การจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในประเทศยังมีแนวโน้มเติบโต โดยกลุ่ม “ทีวีดิจิทัล” มีปัจจัยสนับสนุนหลังจาก กสทช. เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือ ทำให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลมีต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลง และสามารถนำงบดังกล่าวมาผลิตและซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ได้เพิ่มขึ้น

เช่นเดียวกับช่องทาง “โอทีที” ที่มีแนวโน้มเติบโตจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภครุ่นใหม่เสพคอนเทนต์ผ่านสมาร์ทดีไวซ์มากขึ้น ส่งผลให้การจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ผ่าน Video on Demand ปีที่ผ่านมารายได้เติบโต 50%

ปัจจุบัน เจเคเอ็น จำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรีส์อินเดีย ให้กับผู้ประกอบการโอทีทีหลายราย รวมทั้ง บีฟลิกซ์ (Bflix) ผู้ให้บริการชมภาพยนตร์และซีรีส์ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งมี Channel อยู่ในแพลตฟอร์มดังกล่าว 3 ช่อง คือ Namaste, JKN Zee Magic ทั้ง 2 แชนแนล นำเสนอคอนเทนต์ภาพยนตร์และซีรีส์อินเดีย และได้ร่วมมือกับ Viacom ธุรกิจบันเทิงระดับโลก เตรียมเปิดแชนแนลผ่านแพลตฟอร์มบีฟลิกซ์เพิ่มเติม

มุ่ง “ริจินัล คอมปะนี

จักรพงษ์ กล่าวว่าแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2562 ใช้งบเงินลงทุนกว่า 800 ล้านบาท เพื่อซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพิ่มเติม รองรับแผนงานการขยายธุรกิจ เพราะไม่เพียงขยายธุรกิจในประเทศไทยเท่านั้น แต่จะรุกขยายตลาดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรีส์อินเดีย-ฟิลิปปินส์ ไปยังตลาดอาเซียนในทุกแพลตฟอร์ม ด้วยกลยุทธ์การตลาด “ซูเปอร์ สตาร์ มาร์เก็ตติ้ง” ด้วยการดึงนักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์จากซีรีส์ต่างประเทศไปร่วมโรดโชว์การขายลิขสิทธิ์ในประเทศต่างๆ รวมทั้งงานเทศกาลขายคอนเทนต์

ปีนี้มีแผนขยายตลาดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปยังประเทศเวียดนาม มาเลเซีย บรูไนและไต้หวันเพิ่มเติม เนื่องจากตลาดต่างประเทศถือเป็น Blue Ocean ที่ เจเคเอ็น มีโอกาสนำลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในมือไปสร้างฐานรายได้ให้เติบโตได้อีกมาก หลังจากปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการทำตลาดในเมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ให้ความสนใจซื้อลิขสิทธิ์ไปออกอากาศ

ปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 20% จากรายได้รวม 1,400  ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะเพิ่มเป็น 30%

จากกลยุทธ์ “ค้าคอนเทนต์” เจเคเอ็น วางเป้าหมายในอีก 3-5 ปี จะก้าวสู่ “ริจินัล คอมปะนี” โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ในต่างประเทศ 50% โดยจะตั้ง “โฮลดิ้ง คอมปะนี” ขึ้นมาอีก 1 บริษัท ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมสื่อและคอนเทนต์เข้าร่วมถือหุ้น และนำโฮลดิ้ง คอมปะนี ดังกล่าวจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เพื่อทำตลาในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและระดับโลกต่อไป

ส่งออกคอนเทนต์ช่อง 3  

ปีที่ผ่านมา เจเคเอ็น ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ “ช่อง 3” เป็นตัวแทนจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ละคร กว่า 70 เรื่อง กว่า 3,000 ชั่วโมง รวมทั้งละครใหม่ทุกเรื่องของช่อง 3 โดยจำหน่ายให้กับสถานีทีวีในกลุ่ม CLMV และฟิลิปปินส์ ซึ่งซื้อละครไป 15 เรื่อง กว่า 1,000 ชั่วโมง ปีนี้มีแผนขยายตลาดในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไต้หวัน เพิ่มเติมเช่นกัน

คอนเทนต์ละคร จากประเทศไทย ได้รับความสนใจในตลาดอาเซียนอย่างมาก และสามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นๆ แต่ที่ผ่านมาผู้ประกอบการยังไม่ออกไปทำตลาดขายลิขสิทธิ์กันมากนัก ปีที่ผ่านมา เจเคเอ็น ได้นำนักแสดงจากช่อง 3 ไปโรดโชว์เพื่อขายลิขสิทธิ์ในงานเทศกาลขายคอนเทนต์ ที่เวียดนาม สิงคโปร์ พบว่า นักแสดงจากละครนาคี ทั้ง แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์ และ “เคน” ภูภูมิ พงศ์ภาณุภาค ได้รับความสนใจจากผู้ชมในกลุ่มอาเซียนอย่างมาก

ปีนี้จะนำนักแสดง นาคี 2 ณเดชน์ คูกิมิยะ และ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ รวมทั้ง “มาริโอ้ เมาเร่อ” จากละคร “หมอยาแห่งท่าโฉลง” ไปโรดโชว์ขายคอนเทนต์ในงานเทศกาลต่างๆ โดยมีการจัดแพ็กเกจคอนเทนต์เรื่องอื่นๆ ของนักแสดงที่ไปร่วมโรดโชว์ เพื่อนำไปจำหน่ายเป็นเซตอีกด้วย

ในเอเชีย ผู้ผลิตคอนเทนต์ส่งออกอันดับ 1 คือเกาหลีใต้ ที่ปัจจุบันทำตลาดทั่วโลก รองลงมาเป็นอินเดีย จีน ญี่ปุ่น และไทย เชื่อว่าคอนเทนต์ Thainess มีความเป็นสากลที่ต่างชาติเข้าใจได้ และสามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคเช่นเดียวกับประเทศที่เป็นผู้นำในด้านนี้ของเอเชีย

ลุยข่าว CNBC-โค โปรดักชั่น

สำหรับการดำเนินธุรกิจผลิตคอนเทนต์รายการข่าวภายใต้แบรนด์ JKN CNBC ซึ่ง เจเคเอ็นได้รับลิขสิทธิ์การผลิตคอนเทนต์ภายใต้แบรนด์ CNBC เป็นระยะเวลา 10 ปี จะเริ่มออกอากาศในเดือนมิถุนายนนี้ เป็นรายการข่าวเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อป้อนให้แก่สถานีโทรทัศน์ทีวีดิจิทัลเพิ่มเติม จากเดิมที่จำหน่ายคอนเทนต์จาก JKN CNBC ให้ช่อง 3 และไบรท์ทีวีมาแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับทีวีดิจิทัลหลายช่อง

สโรชา พรอุดมศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเจเคเอ็น นิวส์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับ 4 รายการข่าวที่จะออกอากาศสด 4 ชั่วโมงต่อวัน จันทร์-ศุกร์ ในเดือนมิถุนายนนี้ ที่นำต้นแบบมาจาก CNBC คือ SQUAWK BOX, Power Lunch, Street Signs และ Closing Bell และในเดือนตุลาคมนี้ มีอีก 3 รายการต่อสัปดาห์ คือรายการ CNBC Conversation, Managing Thailand (ต้นแบบจาก Managing ASIA) และ First Class

แต่ละรายการจะทำงานร่วมกับพันธมิตรทีวีดิจิทัล 1 ช่อง 1 รายการ โดยเป็นรูปแบบ “ไทม์ แชริ่ง” ปัจจุบันมีทีมงาน 40 คน ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานด้านทีวีจากช่องต่างๆ อาทิ มันนี่ แชนแนล, เนชั่นทีวี, อมรินทร์ทีวี สำหรับ JKN CNBC ใช้งบลงทุนปีนี้ 50 ล้านบาท  ในการสร้างสตูดิโอใหม่ที่ศาลายา โดยวางเป้าหมายทำรายได้เป็นสัดส่วน 3-5% ของรายได้รวมเจเคเอ็น

จักรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าปีนี้ เจเคเอ็นได้ร่วมมือกับ Fox India ในการ Co-Production ซีรีส์เรื่อง สยามรามเกียรติ์ หรือ The Prince of Ayodhaya รูปแบบโมชั่น พิคเจอร์ ใช้นักแสดงไทยและอินเดีย ใช้งบประมาณหลักร้อยล้านบาท เริ่มสร้างปีนี้ โดยออกฉายและขายลิขสิทธิ์ทั่วโลกในปี 2020

ด้วยกลยุทธ์ “ค้าคอนเทนต์” ทั้งการนำเข้าและส่งออก ที่มองว่ายังเป็นตลาด Blue Ocean เชื่อว่าจะผลักดันเป้าหมายปีนี้เติบโต 20%

]]>
1217738
JKN จัดใหญ่อลังการ โชว์เคสคอนเทนต์หมื่นล้าน สร้างปรากฏการณ์อินเดีย-ฟิลิปปินส์ ฟีเวอร์ https://positioningmag.com/1182139 Mon, 06 Aug 2018 15:00:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1182139 ก้าวสำคัญของ CEO สาวข้ามเพศ แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ผู้อยู่เบื้องหลังการนำเข้าคอนเทนต์ละครที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำคนดูชาวไทยหลากหลายเรื่อง อาทิ เปาบุ้นจิ้น แดจังกึม ลิขิตแค้นแสนรัก ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างปรากฏการณ์ภารตะฟีเวอร์ ที่ปูพรมหนังจากดินแดนชมพูทวีปเข้าจับจองแอร์ไทม์ในช่องทีวีไทยในขณะนี้

ล่าสุดได้จัดงาน JKN Mega Showcase : Diamond Blue 1.8.18 ภายใต้แนวคิด “Magic Of Content” จัดแสดงคอนเทนต์หมื่นล้านที่นำเข้ามาจากหลากหลายประเทศ สู่สายตาผู้บริหารช่องโทรทัศน์ในเมืองไทย และคู่ค้าต่างประเทศ รวมทั้งเหล่าแฟนคลับที่มาร่วมงาน โดยได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ฯพณฯ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นประธานพิธีกล่าวเปิดงาน ณ โรงละครหิมพานต์ อวตาร SHOW DC

สำหรับงานปีนี้แบ่งออกเป็น ‘8 Magic Moments’ และ ‘18 Magic love songs’ โดย Moment 1 คือ

The Magic Talk การเติบโตของ เจเคเอ็นฯ ในปีนี้และแผนงานในอนาคต การเติบโตของรายได้ในปีที่ผ่านมาพุ่งสู่ 1200 ล้าน

Moment 2 The Magic Carpet การเดินเฉิดฉายบนพรมน้ำเงินของเหล่าซูเปอร์สตาร์จากทั่วฟ้าเมืองไทย

Moment 3 The Magic of Thainess เปิดปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่กับการส่งออกคอนเทนต์ไทยไปสู่ทั่วโลก ใช้เทคนิคแบบขายพ่วงเป็นแพ็กเกจ มัดรวม ณเดชน์, มาริโอ้, บอย ปกรณ์, เจมส์ จิ, หมาก ปริญ อยู่ในห่อเดียวกัน ตั้งเป้ายอดขายในปีแรกไว้ที่ 300 ล้านในการไปตีตลาดต่างประเทศ โดย 2 เดือนที่ผ่านมาก็ไปบุกตลาดฟิลิปปินส์ขายลิขสิทธิ์เป็นแพ็กเกจประมาณ 40 เรื่อง ทำรายได้ไปแล้วที่ 70 ล้าน และตอนนี้ก็กำลังขยายไปตลาดแถบมิดเดิล อีสต์

Moment 4 The Magic of Siam Legend การประกาศอภิมหาโปรเจกต์สุดยิ่งใหญ่กับมหากาพย์ตราตรึงใจคนทั้งโลก

Moment 5 The Magic of Super Brands ความภาคภูมิใจในการผสานความร่วมมือระหว่าง JKN และซูเปอร์แบรนด์ระดับโลก กว่า 15 แบรนด์

Moment 6 ภารตะพันล้าน กับซีรีส์อินเดียและเพลงประกอบ นำทีมโดย “แต้ว ณฐพร – เคน ภูภูมิ” ที่มาในชุดโชว์นาคี ที่กวาดรายได้มหาศาลจากการขายลิขสิทธิ์ซีรีส์ในต่างประเทศ, ใหม่ เจริญปุระ – พิ้งกี้ สาวิกา – นัท มีเรีย โชว์พิเศษ 3 สาวนาคิน, กระแต อาร์สยาม กับลีลาการเต้นภารตะ, ทาทา ยัง, มอส ปฏิภาณ, แอม เสาวลักษณ์, มาช่า, เจมส์ เรืองศักดิ์, ขนมจีน, เจินเจิน บุญสูงเนิน, เบน ชลาทิศ, มาเรียม, ไก่ อัญชุลีอร, โรส, พีท พล, ปนัดดา เรืองวุฒิ และ แหวนแหวน ปวริศา จาก First class JKNCNBC

Moment 7 รักกระชากใจ คลื่นซีรีส์ลูกใหม่จากประเทศฟิลิปปินส์ เปิดตัวด้วยความอลังการของซูเปอร์สตาร์จากอินเดีย เนอร์เบย์ วัธวา จากซีรีส์ หนุมาน สงครามหาเทพ ที่โหนสลิงเชิญเพชรบูลไดมอนด์สัญลักษณ์ของงานเปิดเวที เจ้าหนูอิชานท์ บานุชาลี ผู้สวมบทหนุมานวัยเด็กก็มาร่วมสร้างสีสัน รวมไปถึงดาราสุดฮอตจากอินเดีย อาร์ชิช ชาร์มา จากซีรีส์ สีดาราม ศึกรักมหาลงกา, วัลลภมหาราชรักสุดแผ่นดิน และ ลิขิตแค้นแสนรัก, ซานาย่า อิรานี จากซีรีส์ ลิขิตแค้นแสนรัก และ แผนรักลวงใจ

นอกจากนั้นแล้วก็ยังขนทัพซูเปอร์สตาร์ฟิลิปปินส์ แดเนียล พาดิลล่า และ แคธรีน เบอร์นาร์โด สองซูเปอร์สตาร์คู่รักทั้งในจอและนอกจากของฟิลิปปินส์ เจริโต โรซาเลส และ มาฮา ซัลวาดอร์ มาร่วมงานและโชว์ร้องเพลงบนเวทีอีกด้วย

Moment 8 กิจกรรม Meet & Greet ให้แฟนคลับได้ใกล้ชิดกับศิลปินในดวงใจ ที่บินลัดฟ้ามาให้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ซึ่งปีนี้มีดาราดังมาร่วมอย่าง “อาร์ชิส ชาร์มา” จากสีดารามศึกรักมหาลงกา และลิขิตแค้นแสนรัก, “ซานาย่า อิรานี” จาก ลิขิตแค้นแสนรักและแผนรักลวงใจ, “เนอร์เบย์ วัธวา” จากหนุมานสงครามมหาเทพ และ “อิชานท์ บานุชาลี” จากมารุติกำเนิดหนุมาน เรียกว่าถูกใจแฟนๆ ซีรีส์อินเดียกันเลยทีเดียว

“เราใช้ประสบการณ์และคอนเนกชั่นที่สั่งสมมา 20 ปี เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ก่อนที่เราจะนำเสนอคอนเทนต์ให้เค้า เราต้องเข้าไปศึกษา หาข้อมูลก่อนว่าที่ผ่านมาคอนเทนต์แบบไหนเป็นที่นิยมในประเทศนั้นๆ แล้วเราจึง Customize ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย หลังจากที่เลือกเรื่องได้ตรงความต้องการแล้ว จึงใช้กลยุทธ์ ซูเปอร์สตาร์มาร์เก็ตติ้ง ไปเป็นตัวดึงดูด เปิดตัวให้เค้าเห็นเสน่ห์ของดารานำในเรื่องนั้นๆ แฮชแท็ก #สามีแห่งชาติ จะกลายเป็นกระแสอีกครั้ง

อย่างที่ฟิลิปปินส์เค้าจะชื่นชอบละครดราม่า ตบตีแย่งผู้ชายของบ้านเรามาก เราจึงไปดีลกับช่องทีวีของที่นั่นว่าขอฉายละครไทยช่วง 4-5 ทุ่ม แทนผังรายการเดิมที่เป็นละครเกาหลี เพราะเมื่อเทียบกันแล้วความแซ่บของฉากตบตีบ้านเรากินเกาหลีขาด เพราะเราตบแบบไม่ค่อยมีเหตุผลมารองรับ แอคติ้งเวลาริษยาอาฆาตก็เล่นใหญ่ใส่แรง ดูออร่าก็รู้เลยว่านี่นางเอก นี่ตัวร้าย

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็พอจะบอกได้ว่า ละครไทยแนวไหนที่น่าจะรุ่งในตลาดต่างประเทศ พระเอกต้องหล่อ นางเอกต้องสวย บทละครน่าสนใจชวนติดตาม ฉากวิวทิวทัศน์สวยงาม มีเรื่องของอาหารและวัฒนธรรมอันแปลกตา แต่เนื้อเรื่องนั้นต้องไม่อิงประวัติศาสตร์มากจนเกิดไป นี่ก็คือ Signature ของละครไทยที่จะโดนใจกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ” แอน-จักรพงษ์ กล่าวสรุป.

]]>
1182139