KBANK – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 04 Dec 2025 04:37:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 KBank, Orbix Tech, StraitsX ร่วมเปิดโครงการ Seamless Travel Payments on Chain จ่ายเงินข้ามพรมแดน สะดวกปลอดภัยแบบไร้รอยต่อด้วยบล็อกเชน https://positioningmag.com/1548880 Wed, 03 Dec 2025 10:52:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548880

ปัจจุบันการท่องเที่ยวต่างประเทศถือเป็นการให้รางวัลชีวิตอย่างหนึ่ง บางคนเป็นการเที่ยวเพื่อตอบแทนในการทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี หรือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิต ซึ่งการท่องเที่ยวต่างประเทศในยุคนี้ก็สะดวกสบายมากขึ้น สามารถใช้จ่ายได้ทั้งเงินสด และผ่านบัตร Travel Card


ใช้จ่ายข้ามประเทศแบบไร้รอยต่อ

ซึ่งตอนนี้ยิ่งสะดวกมาขึ้นไปอีก เพราะมีนวัตกรรมที่สามารถชำระเงินข้ามพรมแดนแบบเรียลไทม์ เสมือน “สแกนจ่าย” ในประเทศ ล่าสุดธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ บริษัท ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชัน จำกัด (Orbix Technology) และ StraitsX ชั้นโครงสร้างการชำระดุลด้วย Stablecoin สัญชาติสิงคโปร์ ได้ร่วมเปิดตัว “Seamless Travel Payments on Chain” นวัตกรรมการชำระเงินข้ามพรมแดนไทย–สิงคโปร์ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ภายใต้โครงการ BLOOM ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติที่นำโดยธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS)

โดยได้ประกาศความร่วมมือครั้งแรกในงานมหกรรมฟินเทคระดับโลก Singapore FinTech Festival 2025 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นต้นแบบการชำระเงินยุคใหม่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่โปร่งใส และปลอดภัย ด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-money) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปูทางสู่โครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาค

การประกาศความร่วมมือครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ได้แก่

  • คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย
  • ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
  • Mr. Tianwei Liu, Co-Founder & CEO, StraitsX
  • ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • Mr. Leong Sing Chiong, Deputy Managing Director – Markets & Development, MAS
  • คุณจิรัชณา บุญธรรม Head of Marketing & Community, Orbix Technology
  • Mr. Justin Kim, Head of Asia, Ava Labs

โครงการนี้มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินข้ามพรมแดนยุคใหม่ที่เชื่อมโยงระบบการชำระเงินดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของแต่ละประเทศให้ทำงานร่วมกัน ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน และสร้างเครือข่ายการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียให้เป็นหนึ่งเดียว

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า

“Seamless Travel Payments on Chain” คือโครงการต้นแบบที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงระบบการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและสิงคโปร์สามารถจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์เหมือนอยู่ประเทศตัวเอง

โดยสามารถรองรับการชำระเงินผ่าน QR Code โดยใช้ Regulated E-money คือ Q-money (เงินอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนของธนาคารกสิกรไทย)  และ XSGD (สกุลเงินดิจิทัลของสิงคโปร์ที่มีมูลค่าเสถียรของ StraitsX) ในการชำระเงินค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้า ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนในการแปลงสกุลเงินระหว่างประเทศได้

โครงการนี้จะแบ่งเป็น 3 เฟสด้วยกัน 

เฟส 1 : นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปสิงคโปร์จะสามารถใช้แอปพลิเคชัน Q Wallet by KBank ที่มี Q-money ชำระค่าสินค้า และบริการที่ร้านค้าที่รองรับ GrabPay และบางร้านค้าที่รองรับ PayNow ได้ ด้วยการการสแกน QR Code โดยเงินจะถูกแปลงเป็น XSGD แบบเรียลไทม์ ซึ่งร้านค้าสิงคโปร์จะได้รับเงินเป็น SGD ในทันที ทำให้ประสบการณ์ใช้งานของนักท่องเที่ยวราบรื่นเหมือนกับการสแกนจ่ายเงินในไทย ส่วนร้านค้าจะได้รับยอดชำระทันทีโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว

เฟส 2 : ขยายการใช้งานให้นักท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่มาประเทศไทยสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลจากประเทศบ้านเกิดของตนที่มี XSGD ชำระเงินผ่านการสแกน QR Code ของร้านค้าในไทยได้โดยตรง ร้านค้าไทยก็จะได้รับเงินบาท โดยไม่ต้องไปแปลงสกุลเงินให้ยุ่งยาก

เทคโนโลยีเบื้องหลังที่ขับเคลื่อนการทำงานของ Q-money ถูกขับเคลื่อนโดย Quarix บล็อกเชนของ Orbix Technologyและยังทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อกับระบบของ StraitsX ผ่านเครือข่าย Avalanche ซึ่งเป็นเครือข่ายที่รองรับการทำงานของ XSGD อยู่แล้ว ซึ่งมีความสามารถในการสร้าง Permissioned Custom Chain ให้สอดคล้องกับการกำกับดูแล รวมทั้งมีระบบการควบคุมและความเป็นส่วนตัวที่จำเป็น การทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้การชำระเงินระหว่าง Q-money และ XSGD สามารถดำเนินการแบบ Real-time Settlement

เฟส 3 : เพิ่มระบบ Cross-Border KYC Verification เพื่อให้การตรวจสอบ และยืนยันตัวตนผู้ใช้งานระหว่างประเทศมีความปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานสำคัญของการสร้างระบบการเงินดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อในระดับภูมิภาค

จุดเด่นที่สำคัญของโครงการนี้ที่น่าจะเป็นประโยชน์มากๆ แก่นักท่องเที่ยวก็คือ สามารถชำระเงินระหว่างประเทศได้สะดวก โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีใหม่ในแต่ละประเทศ ช่วยลดความซับซ้อนของการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยของระบบการเงิน ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ทำให้ทุกธุรกรรมเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์

อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และการท่องเที่ยวของภูมิภาค ผ่านการใช้โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เชื่อมโยงกันได้ เพื่อวางรากฐานสู่โครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาค ที่พร้อมรองรับการขยายผลในระดับสากลในอนาคต

ทั้งนี้การดำเนินโครงการในเฟส 1 ได้อยู่ภายใต้การทดสอบใน Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว และมีแผนเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2 ปี 2569 ส่วนเฟสที่ 2 และเฟสที่ 3 เตรียมเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนด

]]>
1548880
‘กสิกรไทย’ เพิ่มเป้าเม็ดเงินความยั่งยืน 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 https://positioningmag.com/1540708 Thu, 02 Oct 2025 05:22:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1540708 ธนาคารกสิกรไทย เดินหน้าฝ่ากระแสความท้าทาย ประกาศปรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนภายใต้แนวคิดใหม่จากแกน ESG สู่การจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม พร้อมปรับเพิ่มเป้าหมายการให้สินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่าสองเท่า เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573

 

ด้วยความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญทั้งปัจจัยภายในประเทศที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งจะส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขัน อาทิ หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง, ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า, การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ฯลฯ

 

รวมไปถึงมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ EU CBAM ที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ที่คาดว่า จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุมมูลค่าสินค้า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573

 

จากภาพดังกล่าว ‘จงรัก รัตนเพียร’ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อนจะสร้างความได้เปรียบ และจากการประเมินปัจจัยรอบด้าน ทำให้ธนาคารกสิกรไทยได้ทบทวนกลยุทธ์การทำงานด้านความยั่งยืน จากแกน ESG-based Strategy สู่การจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม (Issue-based Strategy) เพื่อให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น

 

รวมถึงได้เพิ่มเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 ซึ่งคาดว่า จะมีสัดส่วนประมาณ 20% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด ขณะที่ยอดสะสมของสินเชื่อและการลงทุนด้านความยั่งยืน ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่กว่า 1.7 แสนล้านบาท และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ราว 2 แสนล้านบาท

 

โดยกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืน ธนาคารกสิกรไทยโฟกัสไปในกลุ่ม Corporate Business เพราะเป็นภาคธุรกิจขนาดใหญ่พร้อมปรับตัว และสามารถเป็นตัวอย่างในการดำเนินการให้กับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีได้

 

สำหรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนแนวคิดใหม่แบบองค์รวม จะเน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงทุกมิติทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กำหนดเป็นความมุ่งหมาย ที่ธนาคารมุ่งเน้นส่งมอบให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย 3 เรื่องหลัก ได้แก่

 

-การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น (Be a Most Trusted Bank) มุ่งเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น พร้อมเคียงข้างผู้มีส่วนได้เสียในการก้าวผ่านความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโตที่อย่างยั่งยืน ผ่านการบริการลูกค้า การกำกับดูแลกิจการ และการยึดมั่นในหลักจริยธรรม

 

-การเสริมความยืดหยุ่นพร้อมก้าวสู่อนาคตร่วมกัน (Reinforce Future-Ready Resilience) เพื่อพร้อมรับมือกับทุกความไม่แน่นอน และร่วมก้าวสู่โอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ในอนาคต ผ่านการบริหารความเสี่ยง การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาขีดความสามารถ

 

-การสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง (Enable Inclusive Growth) ส่งมอบพลังให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าถึงศักยภาพสูงสุดผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครอบคลุมและทั่วถึง ผ่านการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างทั่วถึง การให้ความรู้และสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพ และการสร้างความเสมอภาคทางการเงิน

 

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศเจตนารมณ์สู่ Net Zero มาตั้งแต่ปี 2564 และตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด” และ  Moving beyond finance เพื่อช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่จำเป็นให้กับลูกค้า

 

สำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของธนาคาร เพื่อไปสู่เป้าหมาย Net Zero จากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี 2573 โดยปี 2567 ธนาคารสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 17.02% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 จากการดำเนินโครงการต่างๆ เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟครบทุกอาคารหลัก และสาขาอีก 161 แห่ง พร้อมใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วกว่า 354 คัน รวมทั้งได้รับการรับรองว่าเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอนต่อเนื่องถึง 8 ปี (ปี 2561-2568)

 

ส่วนการสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยการสนับสนุนทั้งด้านการเงิน ความรู้ และเทคโนโลยี ผ่านการปล่อยสินเชื่อและการลงทุน โดยมียอดสะสมของสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่า 173,231 ล้านบาท (ณ สิงหาคม 2568) และสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2.74 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 39,000 คัน สินเชื่อเพื่ออาคารสีเขียวมากกว่า 1 ล้านตารางเมตร สินเชื่อสำหรับโครงการทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนกว่า 500 โครงการ เป็นต้น

]]>
1540708
ลงทุนในจีนกับ K-CHINNO25A-UI กองทุน Private Equity ใหม่จาก KBank เจาะตลาดจีนโดยตรง เน้นกลุ่มเทคฯ แห่งอนาคต https://positioningmag.com/1527231 Tue, 24 Jun 2025 09:30:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1527231

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้ ประเทศจีนได้รับการพูดถึงในมุมมองที่หลากหลาย มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วขึ้นแท่นประเทศมหาอำนาจ เปลี่ยนภาพลักษณ์จากโรงงานของโลก เป็นประเทศแห่งนวัตกรรม นอกจากเรื่องเทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงไปทั่วโลกแล้ว เรื่อง “การลงทุน” ก็เป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ ด้วยศักยภาพ และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ด้วยเหตุนี้เองการลงทุนในตลาดประเทศจีนจึงเป็นโอกาสทองที่น่าสนใจ


มองหา ของดีราคาถูก” กับโอกาสลงทุนใน Private Equity

ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน Private Equity (หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์) เป็นทางเลือกการกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในจีน การลงทุนในบริษัทที่ยังไม่จดทะเบียนทำให้ได้ “ของดีในราคาถูก” โดยเฉพาะในจีนยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI, eVTOL และพลังงานสะอาด การเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ สามารถต่อรองราคาเข้าลงทุน ในราคาถูกกว่าราคาสินทรัพย์ จากการลงทุนแบบ Secondary หรือการลงทุนในตลาดรอง ที่ซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ หรือธนาคารพาณิชย์ และอาจจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจมากกว่าตลาดทั่วไป


รู้จัก K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น)

ตอนนี้โอกาสในการลงทุนในประเทศจีนมาถึงแล้ว ล่าสุด “กสิกรไทย” ได้เปิดตัวกองทุนใหม่ K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น) สำหรับการลงทุนใน Private Equity ของจีนโดยเฉพาะ

จุดเด่นสำคัญของกองทุนนี้ก็คือ ความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนหลักจากกสิกร วิชั่น เซี่ยงไฮ้ หรือ KVPE เป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย และพันธมิตรระดับโลก Stepstone Group (China) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน Private Equity มีประสบการณ์ในตลาดจีนกว่า 15 ปี

กองทุน K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น) กำหนดเปิดเสนอขายครั้งเดียว ในระหว่างวันที่ 18 – 30 มิถุนายน 2568 เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท โดยกองทุนจะเรียกเก็บเงินลงทุนครั้งเดียว (Single Call) และกองทุนมีอายุประมาณ 8 ปี 2 เดือน โดยมีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Kasikorn Vision Private Fund I (Shanghai) Limited Partnership ที่เน้นลงทุนใน 3 ด้านคือ

1) อุตสาหกรรมหลักที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาระยะยาวของจีน ได้แก่ AI, Digitalization, Energy Transition และ Biotech & Healthtech

2) ตลาดรอง (Secondaries) และ/หรือ ลงทุนโดยตรง (Direct Investments)

3) บริษัทที่มีช่วงของธุรกิจที่มีกำไรเป็นบวก (Late Stage) หรือมีศักยภาพในการเติบโตสูง (Growth Stage)

เจาะลึกการลงทุนในจีนยุคใหม่

จีนมีการพัฒนานวัตกรรมที่หลากหลายจนเทียบเท่าฝั่งตะวันตก ที่เห็นได้ชัดก็คืออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มีผู้เล่นใหญ่อย่าง BYD, MG หรือ GWM ที่เริ่มบุกตลาดในหลายประเทศทั่วโลก รวมไปถึงนวัตกรรม AI ที่ล่าสุด DeepSeek ได้สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน

ทำไมจีนถึงน่าลงทุนในวันนี้? คำตอบก็คือ จีนไม่ใช่ประเทศที่เน้นแรงงานราคาถูกอีกต่อไป แต่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy) โดยมีปัจจัยสนับสนุนมากมาย

  • บุคลากรด้าน STEM จำนวนมาก: จีนผลิตบัณฑิตผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมกว่า 3.5 ล้านคนต่อปี
  • Supply Chain ครบวงจร: มีเครือข่ายครอบคลุม 666 อุตสาหกรรม ทำให้เกิดการทดลอง และผลิตได้รวดเร็ว
  • เงินทุนจากรัฐ: รัฐบาลประกาศลงทุนกว่า 1 ล้านล้านหยวนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ด้วยระยะเวลาการลงทุน 20 ปี
  • ตลาดบริโภคขนาดใหญ่: ประชากรจีนกว่า 1.4 พันล้านคน พร้อมเปิดรับนวัตกรรมใหม่ ด้วยกำลังการบริโภค ภายในประเทศ กว่า 44.5% ของ GDP

การลงทุนในนวัตกรรมจีน ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน เป็นลงทุนบน new core growth engine ของประเทศ และมีศักยภาพสูง เพราะจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายที่สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม STEM Talent ที่มากกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 4 เท่า ประกอบกับความสมบูรณ์แบบของ Supply Chain และตลาดภายในประเทศที่แข็งแกร่ง


KVPE ผู้เปิดประตูสู่การลงทุนในจีนอย่างมืออาชีพ

การลงทุนตลาดประเทศจีนเพียบพร้อมด้วยศักยภาพต่างๆ มากมาย แต่อาจจะมีข้อจำกัดบางประการ ทั้งเรื่องภาษา หรือระเบียบต่างๆ ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญโดยตรง หรือการลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนอย่าง KVPE ก็สามารถช่วยนักลงทุนไปได้ไม่น้อย

KVPE หรือ Kasikorn Vision (Shanghai) Private Fund Management บริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทยที่ตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เป็นผู้จัดการกองทุน Private Equity ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดจีน

KVPE ได้รับโควต้า Qualified Foreign Limited Partner (QFLP) มูลค่า 1,500 ล้านหยวน ซึ่งอนุญาตให้ลงทุนในจีนได้โดยตรง พร้อมกับจุดเด่นที่มีทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในจีนยาวนาน และมีการวิเคราะห์ตลาดอย่างใกล้ชิด

โดยที่ KVPE มุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในการประเมิน Exit Certainty ของแต่ละบริษัท เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งธนาคารกสิกรไทยมีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจในจีนมากว่า 30 ปี จึงการันตีความมืออาชีพในการลงทุนได้อย่างแน่นอน

สำหรับกองทุน K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น) เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่สามารถถือครองได้เป็นเวลาประมาณ 8 ปี 2 เดือน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ผ่าน Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย และบลจ.กสิกรไทย โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

– ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น)

– กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อนมากกว่ากองทุนทั่วไป ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วงเวลา 8 ปี 2 เดือน ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่กระทบการลงทุนผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจํานวนมาก และกองทุนนี้ไม่ถูกจํากัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไปจึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนระดับสูงได้เท่านั้น

​​- กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน​

-บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด รวมทั้งไม่รับประกันเงินต้นหรือผลตอบแทนใด ๆ

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

]]>
1527231
GULF ลงทุน KBANK กำลังบอกอะไรเรา? https://positioningmag.com/1522703 Mon, 19 May 2025 02:00:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522703 บมจ. กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เข้าลงทุนซื้อหุ้น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) จำนวน 12.51 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 0.53% ในราคาหุ้นละ 164 บาท คิดเป็นมูลค่าราว ๆ 2 พันล้านบาท

ส่งผลให้ GULF ถือหุ้นใน KBANK เพิ่มเป็น 123.93 ล้านหุ้น สัดส่วน 5.23% จากเดิม 111.42 ล้านหุ้น สัดส่วน 4.7%

โดยแรงกระเพื่อมครั้งนี้ ทำให้เกิดการจับตาว่าหาก GULF ลงทุนเพิ่มใน KBANK ก็อาจทำให้ขึ้นมามีอำนาจในการควบคุม KBANK ได้

ด้วยตอนนี้ GULF ถือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 3 เป็นรองเพียง บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ที่ถือหุ้นจำนวน 335 ล้านหุ้น สัดส่วน 14.16% และ STATE STREET EUROPE LIMITED ถือหุ้นจำนวน 114 ล้านหุ้น สัดส่วน 7.57%

แม้ที่ผ่านมา สารัชถ์ รัตนาวะดี“ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF เคยยืนยันว่า การลงทุนใน KBANK มองเรื่องการรับเงินปันผลเป็นหลัก หากหุ้นราคาขึ้นก็จะขาย แต่หากราคาตกลงอาจมีการซื้อเพิ่มได้ก็ตาม

แต่ GULF ก็เคยเข้าลงทุนใน บมจ.อินทัช โฮลดิ้ง (INTOUCH) ในช่วงราคาตกต่ำ เพราะมองว่าน่าสนใจ ก่อนนำไปสู่การซื้อกิจการ และควบรวมกันในปัจจุบัน ทำให้ได้มาซึ่งธุรกิจใหม่ อาทิ AIS (จาก ADVANCE) และ ไทยคม (จาก THAICOM) ที่อินทัชถือหุ้นใหญ่นั่นเอง

ซึ่งในมุมมองธุรกิจ KBANK มีความน่าสนใจไม่น้อย ด้วยผลประกอบการแข็งแกร่ง โดยไตรมาส 1 ปี 2568 ทำรายได้ 49,103 ล้านบาท เติบโต 0.81% (YoY) และมีกำไรสุทธิ 13,791 ล้านบาท เติบโต 28% (YoY) และมีมาร์เก็ตแคปสูงถึง 396,862 ล้านบาท ขณะที่ KBANK ก็มีขุมทรัพย์ในมือหลายบริษัท อาทิ เมืองไทยประกันชีวิต ธุรกิจประกันชื่อดัง

อย่างไรก็ตาม การที่ GULF จะเข้าควบคุมกิจการของ KBANK ได้ต้องดำเนินการผ่านผู้ถือหุ้น ซึ่งต้องโหวตเลือกกรรมการบริษัทของ KBANK

โดยการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นรอบล่าสุด วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 มีเสียงลงคะแนน 1,423 ล้านเสียง ซึ่งหากต้องการเสียงโหวตต้องใช้เสียง 50% ของการประชุมหรือประมาณ 711.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 30% ของการถือหุ้นใน KBANK

ทว่าปัจจุบัน GULF ถือหุ้น KBANK 5.23% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ยังต้องซื้อหุ้นเพิ่ม 24.77% คิดเป็นมูลค่าราว 1.16 แสนล้านบาท (จากราคา 164 บาท/หุ้น อิงจากราคาล่าสุดที่ GULF ซื้อ)

“หากต้องการซื้อจริงตามวิธีปกติ จะใช้เวลาไม่กี่ปีในการเข้าซื้อ”

ด้วย GULF มีกระแสเงินสดสูงถึง 53,406 ล้านบาท (ณ เดือนมีนาคม 2568) และมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทที่เข้าลงทุน (อ้างอิงปี 2567) จำนวน 15,380 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 21,572 ล้านบาท

ผลประกอบการ GULF ปี 2567

 

ผลประกอบการ GULF ไตรมาส 1 ปี 2568
]]>
1522703
KBank ESG Highlight กับการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน https://positioningmag.com/1485029 Mon, 05 Aug 2024 03:22:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1485029 ธนาคารกสิกรไทย มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่วางใจได้ สร้างคุณค่า และส่งมอบความยั่งยืนให้กับทุกคน ด้วยการดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน โดยดูแลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม พร้อมให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรมบนหลักธรรมาภิบาลที่ดีและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับหลักการแนวคิด ESG ที่ธนาคารนำมาผนวกเข้ากับทุกการดำเนินงาน

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้าน ESG ของกลุ่มธนาคารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ธนาคารจึงไม่หยุดที่จะพัฒนาการทำงาน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานทั้งในระดับประเทศและสากล เกิดเป็นผลการดำเนินงานดังนี้

Environmental – มุ่งมั่นสู่การเป็น Net Zero และสนับสนุนให้ทุกคนสามารถปรับตัวสู่สังคมไร้คาร์บอนและอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ

  • สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ลดได้ 74% จากปีฐาน (ปี 2563) และมีการจัดการด้านคาร์บอนเครดิต ส่งผลให้ได้รับการรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) มาแล้ว 6 ปีต่อเนื่อง (2561-2566)
  • สนับสนุนสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งจะมียอดสะสมเป็น 94,670 ล้านบาท (2565-มิถุนายน 2567) และมียอดสะสมเป็น 100,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 นี้
  • วางแผนกลยุทธ์ลดก๊าซเรือนกระจกรายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด
  • พัฒนา Climate Solutions อย่างครบวงจรในทุกมิติที่มากกว่าการเงิน ทั้งเรื่องความรู้ด้าน ESG เพื่อธุรกิจ ให้คำปรึกษาเชิงเทคนิค และการจับคู่ธุรกิจกลุ่ม ESG บูรณาการศักยภาพทั้งโซลูชัน องค์ความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจไปสู่โลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • เตรียมความพร้อมในการเชื่อมต่อใน Carbon Ecosystem ในธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคาร์บอนเครดิต
  • ผนึกกำลังร่วมกับ 25 องค์กรชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เชื่อมโยงการทำงานของทั้ง 5 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคการเงินและการธนาคาร องค์กรและธุรกิจต่างประเทศ จัดตั้ง “เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: ThaiCBN) เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน

Social – มอบความรู้และส่งเสริมวินัยทางการเงินบนพื้นฐานของการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ หรือResponsible Lending รวมทั้งการให้ความสำคัญแก่การดูแลพนักงานและสังคม ภายใต้การดำเนินงานที่เคารพสิทธิมนุษยชนของผู้มีส่วนได้เสียทุกท่าน

  • ให้ความรู้ทางการเงินการลงทุน สิ่งแวดล้อม และทักษะต่าง ๆ แก่ผู้ด้วยโอกาส 53,886 คน ในปี 2566
  • ให้ความรู้ด้าน Cyber Security สื่อสารผ่านช่องทางโซเชียล มีเดียของธนาคาร เข้าถึงผู้อ่าน 2 ล้านคน
  • ส่งเสริมความหลากหลายและการปฏิบัติด้านแรงงานอย่างเท่าเทียม มีการพัฒนาศักยภาพและทักษะพนักงานผ่าน หลักสูตรต่าง ๆ รวมทั้งดูแลด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี
  • ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอย่างเหมาะสม
  • มีการประเมินสิทธิมนุษยชนแบบรอบด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการดำเนินงานของธนาคารตั้งอยู่บนแนวทางของการเคารพสิทธิมนุษยชน

Governance – ดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี บริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์ทุกด้านของลูกค้า

  • ยอดสินเชื่อโครงการและเครดิตเชิงพาณิชย์ของลูกค้าผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป ผ่านการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ทั้ง 100% มูลค่า 389,240 ล้านบาท
  • ประเมินและบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมไปถึงความเสี่ยงด้านความยั่งยืนESG และ Climate Risk
  • ดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และหลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยปฏิบัติตามมาตรฐานและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทั้งของประเทศไทยและระดับสากล
  • รวบรวมข้อมูลความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการของธนาคารให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน

ธนาคารกสิกรไทย พร้อมเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างภาคธุรกิจ ลูกค้า  ผู้กำกับดูแล ผู้กำหนดนโยบาย องค์กรแหล่งความรู้และนวัตกรรม ตลอดจนภาคการเงินและตลาดทุน บูรณาการศักยภาพ ต่าง ๆ เพื่อสร้างสมดุลให้เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ช่วยขับเคลื่อนทุกความต้องการของลูกค้า รวมถึงคว้าโอกาสที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

 

]]>
1485029
เปิด 5 ปัจจัยอ่อนไหวที่ทำให้ ‘ธุรกิจกงสี’ อาจล่มสลายเมื่อเปลี่ยนเจน https://positioningmag.com/1483282 Thu, 18 Jul 2024 10:59:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1483282 ย้อนไป 10 ปีก่อน มีคำว่า The Great Wealth Transfer หรือ การส่งต่อความมั่งคั่งระหว่างรุ่นครั้งใหญ่ โดย KBank Private Banking คาดว่าการส่งต่อความมั่งคั่งครั้งใหญ่ทั่วโลกกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในอีก 6 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2573 แต่แน่นอนว่าการส่งต่อธุรกิจไปอีกรุ่นนั้น อาจไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น และหลายธุรกิจก็ล่มสลายในเจนถัดมา

ทรัพย์สิน 600 ล้านล้าน จะถูกส่งต่อในอีก 6 ปี

พีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director – Wealth Planning and Non-Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภายในปี 2573 ผู้มีสินทรัพย์สูงทั่วโลกจะส่งต่อความมั่งคั่งมูลค่าสูงถึง 18.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 662 ล้านล้านบาท

โดยเมื่อเทียบเป็นรายภูมิภาคพบว่า อเมริกาเหนือ เป็นภูมิภาคที่มีการ ส่งต่อความมั่งคั่งมากสุดในโลก ตามมาด้วยยุโรป เอเชีย ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา หากเจาะเฉพาะในภูมิภาค เอเชีย พบว่า ผู้มีสินทรัพย์สูงอยู่ที่ 70,000 ราย คาดว่าจะมีการส่งต่อทรัพย์สินรวม 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 90 ล้านล้านบาท

ธุรกิจกงสีที่อยู่รอดถึงรุ่น 4 มีไม่ถึง 3%

อย่างไรก็ตาม การส่งต่อธุรกิจครอบครัวเหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะทั่วโลกมีธุรกิจครอบครัวเพียง 30% ที่อยู่รอดในรุ่น 2 และมีเพียง 12% ที่ส่งต่อไปรุ่น 3 ส่วนที่ รอดไปถึงรุ่น 4 มีเพียง 3% และจากการสำรวจยังพบอีกว่า 50% ของคนที่มีธุรกิจส่วนตัว ไม่มีการสื่อสารเรื่องการส่งต่อธุรกิจครอบครัว

“การระบาดของโควิด ทำให้ครอบครัวในเอเชียเริ่มตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการส่งต่อทรัพย์สิน เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น แต่แม้จะตระหนักมากขึ้น กลับมีเพียงแค่ 50% ของเจ้าของธุรกิจที่วางแผนคุยกับเจนถัดไป”

5 ปัจจัยอ่อนไหวที่อาจทำธุรกิจล่ม

สำหรับ ความอ่อนไหวของโครงสร้างธุรกิจครอบครัว ที่อาจทำให้ธุรกิจล่มสลายมีอยู่ 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  • ขาดมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ: หลายบ้านจะกำหนดทิศทางธุรกิจมาจากครอบครัว ซึ่งทำธุรกิจด้วยความเคยชิน ไม่มีมุมมองของผู้เชี่ยวชาญหรือตลาด ทำให้ธุรกิจกงสีบางบ้านไม่ได้ปรับตัว และตายในที่สุด
  • พึ่งพาผู้บริหารมากกว่าระบบองค์กร: เจ้าของธุรกิจมักจะแทรกแซง แทนที่จะปล่อยให้องค์กรทำงานตามระบบที่ควรเป็น เช่น เจ้าของลงไปดูฝั่งการขายเอง และไม่ได้ทำตามนโยบายบริษัท ทำให้ตัวธุรกิจอ่อนไหว และเมื่อวันที่ลูกหลานมาสานต่อจะถูกคาดหวังว่า เจ้าของบริษัทจะทำได้เหมือนรุ่นก่อนที่มาช่วยไกด์แนวทางทั้งหมด แทนที่จะปล่อยให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้เอง
  • ปัญหาความโปร่งใส ระบบการตรวจสอบหละหลวม จนเป็นเหตุให้เกิดการฉ้อโกง: หลายบ้านมองว่าธุรกิจก็คือทรัพย์สินส่วนหนึ่ง จึงมีการโยกเงินมาใช้จ่ายส่วนตัว ทำให้ไม่ได้บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
  • จะให้โอกาสลูกหลานหรือมืออาชีพ: ถือเป็นประเด็นที่ท้าทายอย่างมาก โดยบางครอบครัวให้มืออาชีพมาดูแล บางบ้านให้โอกาสคนในครอบครัว และบางบ้านทำแบบไฮบริด ซึ่งก็จะยิ่งท้าทาย เพราะมีเรื่องของตัวชี้วัด, การเติบโต, ผลตอบแทน เป็นต้น
  • การจัดการบัญชีไม่เป็นระบบ: การจัดการบัญชีรวมถึงแผนธุรกิจอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ลูกหลานอยากกลับมาสานต่อธุรกิจมากขึ้น

“ปัจจัยที่ทำให้รุ่นถัดไปจะมารับช่วงต่อคือ เขาต้องการรู้ว่าจะต้องรับอะไรจากครอบครัว และอยากเข้ามาก็ต่อเมื่อมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ เขาอยากมีอำนาจในการตัดสินใจไม่ใช่แค่ให้คนที่อาวุโสกว่าตัดสินใจ เพราะทายาทบางส่วนไม่ได้อยากรับช่วงต่อ เพราะเขาก็มีสิ่งที่อยากทำ”

คนไทยยังอยากให้ลูกหลานเป็น CEO

สำหรับแนวคิดของครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ยัง เชื่อในการส่งต่อธุรกิจให้คนในครอบครัว เมื่อเทียบกับทั่วโลกหรือในเอเชียที่เริ่ม เปลี่ยนความคิดเเล้ว ทำให้ธุรกิจครอบครัวในเอเชียเริ่ม ปล่อยให้มืออาชีพ โดยมองว่า ในเมื่อรวยแล้ว ทำไมไม่ให้โอกาสเขาไปทำอะไรที่อยากทำ

“เขามองแล้วว่าลูกเราเก่งพอจะแข่งกับคนนอกหรือเปล่า ซึ่งในต่างประเทศ เขาอยากให้ลูกหลานเป็น ผู้ที่หุ้นที่ดีพอ และปล่อยให้มืออาชีพทำไป แต่ต้องอ่านงบบัญชีเป็น ดังนั้น ถ้าอยากมานั่งทำธุรกิจก็ได้ หรือไม่ทำก็ได้ แต่ธุรกิจต้องยังเติบโตได้”

อย่างเช่น ซัมซุง ที่เลือก ลูกที่เก่งที่สุด เอามืออาชีพมานั่งทุกตำแหน่งในบ้าน และเปลี่ยนนโยบายจาก Top Down มาเป็น Bottom Up และสุดท้าย แยกธุรกิจกับครอบครัวอย่างชัดเจน โดยมีการจัดระบบบัญชีและภาษีเทียบเท่าบริษัทในตลาดตั้งแต่แรก และวางบัญชีเป็นมาตรฐานโปร่งใส

Gen 2 ไป 3 จะเริ่มเปลี่ยนผ่านยากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังไม่มีการเก็บข้อมูลครอบครัวอย่างจริงจังว่ามีกี่ครอบครัวที่ส่งต่อธุรกิจให้ลูกหลาน และไม่สามารถประเมินมูลค่าการส่งต่อได้ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่จะนำสินทรัพย์กระจายในหลาย ๆ ธนาคาร แต่ปัจจุบันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของ Gen 1 ไป Gen 2

ซึ่งการส่งต่อจาก Gen 1 ไป 2 จะยังทำได้ง่าย เพราะมีความใกล้ชิดกัน เนื่องจากเป็นรุ่นพ่อสู่ลูก หรือพี่น้อง แต่รุ่น 2-3 ที่เป็นรุ่นลูกพี่ลูกน้องจะยากขึ้น เพราะไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนก่อน และ ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม เป็นธุรกิจที่ ดูแลยากที่สุด เพราะการบริหารจัดการยังเป็นแบบดั้งเดิม และมีปัญหาด้านการลงบัญชีและภาษี เนื่องจากคู่ค้าไม่ได้อยู่ในระบบ Vat นี่จึงเป็นโจทย์ที่ยากมาก ที่จะช่วยให้เขาก้าวผ่านและเข้ามาอยู่ในระบบ

ปัจจุบัน KBank Private Banking มีบริการ Family Business Transformation ที่จะช่วยกำหนดกติกา, เป้าหมาย, ทิศทาง, การจัดการโครงสร้างและระบบฝั่งธุรกิจครอบครัว โดยปัจจุบันมีลูกค้า KBank Private Banking ที่ใช้บริการประมาณ 12-15% จากลูกค้าทั้งหมด 12,000 บัญชี โดยภายในสิ้นปีคาดว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 17%

]]>
1483282
KBank ชูโซลูชันมากกว่าการเงิน ช่วยผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อม เชื่อคนไทยชนะในเกมนี้ได้ https://positioningmag.com/1468305 Fri, 29 Mar 2024 12:49:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468305

หนึ่งในความท้าทายของผู้ประกอบการไทยหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่หรือเล็กที่ต้องเจอคือหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทยทั้ง สหรัฐอเมริกา ยุโรป รวมถึงประเทศจีน ได้ออกมาตรการทางการค้าที่อิงหลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ….. ของไทยที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา กำหนดให้ภาคธุรกิจต้องวัดผลและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (MRV) มาตรการจำกัดสิทธิผู้ประกอบการเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Cap and Trade) มาตรการจัดเก็บภาษีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสินค้าภาคอุตสาหกรรม (Carbon Tax) รวมถึงการทำธุรกรรมเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะกระทบกับผู้ประกอบธุรกิจในวงกว้าง

ผู้ประกอบการที่ปรับตัวไม่ทันกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ย่อมมีความเสี่ยงที่จะต้องมีต้นทุนในการจำหน่ายสินค้ามากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัจจัยกดดันภาคธุรกิจเหล่านี้กำลังเพิ่มขึ้น และจะทำให้สมการธุรกิจเปลี่ยนไป มูลค่าของธุรกิจจากรายได้ธุรกิจแบบดั้งเดิม จะถูกลดทอนด้วยปัจจัยเชิงลบที่ธุรกิจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการทำธุรกิจที่ได้ปัจจัยบวกด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวได้ว่า โลกธุรกิจกำลังเข้าสู่ยุค Climate Game แล้ว

Positioning จะพาไปฟังผู้บริหารของธนาคารกสิกรไทย เล่าถึงประเด็นดังกล่าว และสะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินธุรกิจบนหลักการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องจำเป็นที่ภาคธุรกิจจะต้องตระหนักและลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง เพื่อปรับตัวให้ได้ และก้าวทันในเกมนี้

คุณพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ได้ชี้ถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมว่า ถ้าหากถึงปี 2050 อุณหภูมิโลกได้เพิ่มขึ้นไปถึง 3.2 องศา ซึ่งเกินความตกลง Paris ในการควบคุมอุณภูมิโลก นั้นเราอาจจะได้เห็นตัวเลขความเสียหายของเศรษฐกิจโลกมูลค่ากว่า 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 18% ของ GDP โลก

กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ยังชี้ให้เห็นเป็นการเปรียบเทียบว่าการแพร่ระบาดของโควิดนั้น GDP ของโลกได้รับผลกระทบแค่ 3% เท่านั้น ซึ่งถ้าหากอุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นไปในระดับดังกล่าว ก็จะสร้างผลกระทบมากมายมหาศาลกว่าที่เราคิด

สำหรับผลกระทบดังกล่าวต่อประเทศไทยนั้น คุณพิพิธได้ชี้ว่าเรื่องดังกล่าวกระทบต่อ 44% ของ GDP ไทย คิดเป็นเงิน 218,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 7.9 ล้านล้านบาทเป็นอย่างน้อย โดยอุตสาหกรรมส่งออกของประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผ่านการคาดการณ์เม็ดเงินที่หายไปราว 1.14 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 40-50% ของมูลค่าการส่งออกในประเทศไทย

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่ปรับตัวไม่ได้ในการปรับเปลี่ยนเข้าสู่ความยั่งยืนจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะต้นทุนของสินค้าจากการเก็บภาษีของประเทศต่างๆ ที่กล่าวไปในข้างต้น และในท้ายที่สุดสินค้าของผู้ประกอบการไทยรายนั้นก็อาจไม่สามารถแข่งขันกับผู้เล่นรายอื่นๆ ที่มีการปรับเปลี่ยนตัวเองโดยเน้นความยั่งยืนได้

คุณพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย

ธนาคารทำอะไรไปแล้วบ้าง

คุณพิพิธ ยังได้เล่าให้ฟังว่า คงจะเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย ถ้าหากธนาคารนั้นพยายามที่จะให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนไปสู่ความยั่งยืน แต่ตัวธนาคารเองกลับไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้ปรับตัวเพื่อเข้าสู่ความยั่งยืนเริ่มจากในส่วนของการดำเนินการของธนาคารเองไม่ว่าจะเป็น การติดตั้ง Solar Cell ที่อาคารหลักของธนาคารครบ 100%

การเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้ธุรกิจธนาคารจากรถยนต์สันดาปเป็นรถไฟฟ้า รวมทั้งการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าสำหรับบริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

นอกจากนั้น ธนาคารกสิกรไทย ได้รับการรับรองขึ้นทะเบียน Carbon Neutral โดย อบก. ว่าเป็นกลางทางคาร์บอน 6 ปี ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2018-2023 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังของธนาคาร และธนาคารยังเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นจะยกระดับมาตรฐานขึ้นไปได้อีก และยังสร้าง Impact ที่วัดผลได้จริง


เตรียมปล่อยสินเชื่อมากกว่าเป้าที่วางไว้

คุณพิพิธ ยังได้กล่าวว่าธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนไปแล้ว 73,397 ล้านบาท โดยใน 2 ปี ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมหลักที่ธนาคารได้ให้ความสำคัญในการควบคุมและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างใกล้ชิด โดยมีการวางแผนกลยุทธ์รายอุตสาหกรรมแล้ว 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้นน้ำ กลุ่มเหมืองถ่านหินประเภทเชื้อเพลิงให้ความร้อน กลุ่มซีเมนต์ และกลุ่มอะลูมิเนียม

นอกจากนี้คุณพิพิธยังได้กล่าวถึงว่าในการปล่อยสินเชื่อธนาคารมีคณะกรรมการตรวจสอบว่าสินเชื่อดังกล่าวที่ผู้ประกอบการนำไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้เกิดความยั่งยืนนั้นเกิดขึ้นจริง ทำได้จริง และป้องกันสิ่งที่เกิดว่า “การฟอกเขียว”

ทั้งนี้ เป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนในปี 2024 นี้ จะมียอดรวมอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของเป้าหมายรวม 200,000 ล้านบาทภายในปี 2030

หลายประเทศมหาอำนาจเริ่มมีมาตรการจัดเก็บภาษีในสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง

บริการของ KBank ที่มากกว่าด้านการเงิน

อย่างที่เราทราบดีกว่าธนาคารกสิกรไทยถือเป็นสถาบันการเงินรายใหญ่ของประเทศไทย แต่สำหรับการช่วยเหลือให้บรรดาผู้ประกอบการสามารถก้าวผ่านไปสู่ความยั่งยืนได้นั้น คุณพิพิธ ชี้ว่าไม่ใช่แค่เรื่องของการปล่อยสินเชื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ด้วยการวางยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคารกสิกรไทยนั้นมีเป้าหมายสำคัญคือการพาธุรกิจไทยและเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกธุรกิจรูปแบบใหม่  ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถปรับตัวและคว้าโอกาสในยุคของ Climate Game พร้อมทั้งวางกลยุทธ์ที่นอกเหนือจากบริการด้านการให้สินเชื่อด้วยการบูรณาการศักยภาพทั้งโซลูชัน องค์ความรู้ และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับการทำงานทั้งของธนาคารเองและการทำงานของลูกค้า ผ่านบริการที่มากกว่าการเงิน ได้แก่

Climate Solutions โซลูชันด้านสิ่งแวดล้อม ที่เป็นมากกว่าบริการธนาคาร เพื่อช่วยธุรกิจในการปรับตัวและเปลี่ยนผ่าน ประกอบด้วย โซลูชันการส่งมอบความรู้และคำแนะนำ (Knowledge Provider) ที่บูรณาการองค์ความรู้จากสถาบันชั้นนำ การพัฒนาโซลูชันเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับลูกค้าทั้งบุคคลและผู้ประกอบการ (Reduction Solution) โดยทดลองออกบริการนำร่องแล้ว ได้แก่ WATT’S UP เป็นแพลต์ฟอร์มรองรับการเช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร และ “ปันไฟ” (Punfai) เป็นแอปพลิเคชันที่เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทยและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไ ทย (กฟผ.) พัฒนาแอปพลิเคชันแลกเปลี่ยนไฟฟ้าแห่งแรกของไทยที่ตอบโจทย์การใช้งานครบทุกมิติ รองรับการใช้งานทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ธนาคารนำประสบการณ์กว่า 10 ปี ในการวัด Carbon Footprint ของธนาคาร มาใช้เพื่อเตรียมพัฒนาโซลูชันใหม่ที่จะช่วยผู้ประกอบการเรื่องการวัดผล รายงาน และตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon MRV) ให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับประเทศและระดับสากล

Carbon Ecosystem การเชื่อมต่อ Carbon Ecosystem และเข้าไปศึกษาเตรียมพร้อม เพื่อการพัฒนาบริการไปอีกขั้น ในธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคาร์บอนเครดิต รองรับเครือข่ายผู้ใช้งานในอนาคต โดยมีการดำเนินการนำร่อง เปิดตัวแพลตฟอร์มขึ้นทะเบียนและขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ที่เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทย และ Innopower เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนรายย่อยและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็ อป ขึ้นทะเบียนและขายใบรับรอง REC ได้ รวมถึงธนาคารได้ศึกษาและเตรียมแนวทางในมิติอื่น ๆ ของระบบนิเวศด้านคาร์บอนเครดิต เช่น การเป็นตัวแทนซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Broker / Dealer) การออกโทเคนคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Tokenization)

สำหรับบริษัทใหญ่ๆ ในด้านการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนนั้น คุณพิพิธ ไม่ค่อยเป็นห่วงมากเท่าไหร่นัก แต่ผู้บริหารของ KBank ได้กล่าวว่า ลูกค้า SME รับรู้ในเรื่องดังกล่าวน้อยมาก ถึงแม้บางรายจะรับรู้แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เช่น ส่งออกไปยุโรปต้องกรอกแบบฟอร์ม ทุกคนก็สงสัย เลยติดต่อมาที่ธนาคาร และเขายังชี้ว่าถ้าหากธุรกิจใหญ่ รวมถึงธุรกิจขนาดกลางเป็นหัวหอกหลักแล้ว ก็จะช่วยในการดึงธุรกิจขนาดเล็กให้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้

ลูกค้าคาดหวังกับธนาคารมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความยั่งยืน

Now Or Never ทำตอนนี้ยังไงไม่สายเกินไปแน่นอน

เราจะเห็นว่า Climate Game เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และเรื่องดังกล่าวถือว่ามีความท้าทายรอทุกคนอยู่ข้างหน้า ซึ่งหากทุกคนตระหนักถึงความสำคัญ ของการเปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นไปได้มากขึ้น นอกจากนี้คุณพิพิธ ยังชี้ว่าเรื่องดังกล่าวยังทำเพียงลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยพลังจากทุกคน จับมือทำไปด้วยกัน จึงจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง

ถ้าหากภาคธุรกิจรายใดยังมีข้อสงสัยในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความยั่งยืน ธนาคารมีการจัดงานสัมมนาเพื่อธุรกิจ ทั้งงานเฉพาะกลุ่ม ไปจนถึงงานฟอรั่มขนาดใหญ่ประจำปี อาทิ งาน “EARTH JUMP 2024” ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ภายใต้แนวคิด The Edge of Action เพราะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ธุรกิจต้องลงมือทำทันที

กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ยังชี้ว่าธุรกิจที่ปรับตัวและลงมือทำก่อนก็จะมีโอกาสช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขันบนโลกธุรกิจยุคใหม่ และเขาเชื่อว่าคนไทยจะสามารถชนะในเกมดังกล่าวนี้ได้

โดยสำหรับงาน EARTH JUMP 2024 นี้ผู้เข้าร่วมงานจะได้เรียนรู้เทรนด์และความรู้มุมมองใหม่ๆ ครบทุกมิติในงานเดียว ในวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2567 ณ สามย่านมิตรทาวน์ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และซื้อบัตรร่วมงานได้ที่ Zip Event คลิก https://www.kasikornbank.com/k_3IgdPWE

 

]]>
1468305
KBank ประกาศเข้าซื้อหุ้นกิจการ Satang Pro สัดส่วน 97% ลุยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล https://positioningmag.com/1449708 Mon, 30 Oct 2023 05:10:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449708 ธนาคารกสิกรไทย แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงการจัดตั้งบริษัทลูก โดยจะเน้นธุรกิจไปยังสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ยังประกาศถึงการเข้าซื้อหุ้นสัดส่วน 97% ของสตางค์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในชื่อ Satang Pro

ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการจัดตั้งบริษัทลูกในชื่อ ยูนิต้า แคปิทัล มีทุนจดทะเบียน 3,705 ล้านบาท รวมถึงมีการจดทะเบียนบริษัทภายในกลุ่มธุรกิจทางการเงินเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล

โดยบริษัทลูกที่ KBank ได้ตั้งขึ้นผ่าน ยูนิต้า แคปิทัล ได้แก่ 

  1. บริษัท ออร์บิกซ์ คัสโทเรียน จํากัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ถือหุ้นโดย ยูนิต้า แคปิทัล สัดส่วน 100% วัตถุประสงค์การจัดตั้งบริษัท ทำธุรกิจผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล (อยู่ระหว่างเตรียมขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ)
  2. บริษัท ออร์บิกซ์ อินเวสท์ จํากัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาทถือหุ้นโดย ยูนิต้า แคปิทัล สัดส่วน 100% วัตถุประสงค์การจัดตั้งบริษัท ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (อยู่ระหว่างเตรียมขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ)
  3. บริษัท ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชั่น จํากัด ทุนจดทะเบียน 260 ล้านบาท ถือหุ้นโดย ยูนิต้า แคปิทัล สัดส่วน 100% ทำธุรกิจพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชน

นอกจากนี้ KBank ยังเปิดเผยว่า ยูนิต้า แคปิทัล ได้เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยถือหุ้นสัดส่วน 97% โดย สตางค์ คอร์ปอเรชั่น เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยในชื่อ Satang Pro อย่างไรก็ดีทางธนาคารฯ ไม่ได้มีการเปิดเผยของมูลค่าการเข้าซื้อกิจการแต่อย่างใด

สำหรับ สตางค์ คอร์ปอเรชั่น เจ้าของแพลตฟอร์ม Satang Pro นั้นก่อตั้งในปี 2017 ถ้าหากไปดูผลประกอบการในปี 2022 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 28.44 ล้านบาท ขาดทุนจากการดำเนินงาน 73.53 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียนล่าสุด 92 ล้านบาท

]]>
1449708
Reuters รายงาน KBank กำลังพูดคุยเพื่อซื้อกิจการ Home Credit ในประเทศเวียดนาม สูงถึง 35,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ https://positioningmag.com/1441957 Tue, 22 Aug 2023 10:44:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441957 Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ธนาคารกสิกรไทยกำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อเข้าซื้อกิจการของ Home Credit สถาบันการเงินในประเทศเวียดนาม ด้วยมูลค่าสูงถึง 35,000 ล้านบาท เพื่อที่จะขยายธุรกิจไปในเวียดนามได้รวดเร็วขึ้น

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ได้กำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อซื้อกิจการของ Home Credit Vietnam เป็นมูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 35,000 ล้านบาท

สถานการณ์ล่าสุดในตอนนี้ทาง KBank ได้พูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อที่จะเข้าซื้อกิจการ และข่าวดังกล่าวมาในช่วงที่เศรษฐกิจเวียดนามกำลังประสบสภาวะชะลอตัว รวมถึงปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้กระทบต่อสถาบันการเงินในประเทศเวียดนามด้วย

ถ้าหากดีลดังกล่าวกลายเป็นความจริงแล้วนั้น จะทำให้ดีลนี้กลายเป็นการซื้อกิจการสถาบันการเงินใหญ่อันดับ 2 ของประเทศเวียดนามในปีนี้ รองจากดีลที่ Sumitomo Mitsui ซื้อกิจการของ VPBank ด้วยมูลค่ามากถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 52,500 ล้านบาท

แหล่งข่าวของ Reuters ได้ชี้ว่าการพูดคุยเพื่อซื้อกิจการดังกล่าวเนื่องจาก KBank ต้องการที่จะเป็นผู้เล่น 1 ใน 20 ของธนาคารรายใหญ่ในเวียดนามในแง่ทรัพย์สินภายในปี 2027

ก่อนหน้านี้ Home Credit Group ซึ่งเป็นผู้เล่นในตลาดสินเชื่อรายย่อยในหลายประเทศ และมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทลงทุนจากสาธารณรัฐเช็ก ได้ขายกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ว่าจะเป็นในอินโดนีเซีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ให้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยามาแล้ว เนื่องจากผลขาดทุนจากการที่ต้องถอนตัวจากรัสเซีย

Home Credit Vietnam ปัจจุบันได้ให้บริการลูกค้าในเวียดนามมากถึง 12 ล้านราย และมีพนักงานมากถึง 6,000 ราย ทำให้การซื้อกิจการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อ KBank ในการขยายธุรกิจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ล่าสุด KBank ได้ชี้แจงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในประเด็นข่าวดังกล่าวว่า ธนาคารแสวงหาโอกาสทางธุรกิจต่างๆ ในสาธารณัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะส่งผลหรืออาจจะไม่ได้ส่งผลให้มีธุรกรรมเกิดขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากมีธุรกรรมเกิดขึ้น ธนาคารจะเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวลาที่เหมาะสม

Note: อัพเดต 23 สิงหาคม หลัง KBank ชี้แจงข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

]]>
1441957
KBank แยก กสิกร อินเวสเจอร์ เป็นบริษัทใหม่ โฟกัสธุรกิจสินเชื่อกับลูกค้ารายย่อยที่แบงก์เข้าไม่ถึง https://positioningmag.com/1439582 Wed, 02 Aug 2023 09:15:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439582 KBank ประกาศแยก “บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด” หรือ KIV เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการรุกธุรกิจให้บริการการเงินกับลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารเข้าไม่ถึง จากการร่วมทุนกับบริษัทต่างๆ

ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBank) กล่าวถึงการดำเนินการของธุรกิจธนาคารในปัจจุบันทั้ง 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านของบริการจ่ายเงิน บริการสินเชื่อทั้งลูกค้าบริษัทและลูกค้ารายบุคคล บริการด้านการลงทุนและประกัน รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวถึงการแยก บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด หรือ KIV นั้นเพื่อสร้างรายได้บนความเสี่ยงที่คุ้มค่า ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และมองว่าธุรกิจ KIV มีความคล้ายคลึงกับธุรกิจของธนาคารใน 4 ด้านในข้างต้น แต่ลูกค้าของ KIV แตกต่างกับธุรกิจของธนาคาร ซึ่งต้องใช้วิธีคิดที่แตกต่างไปจากเดิม

โดยเธอได้กล่าวว่าก่อนที่จะมีการเปิดตัว KIV ในวันนี้ได้มีการทดลอง แยกธุรกิจมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อประสบความสำเร็จจึงค่อยแยกตัวออกมา เธอยังได้กล่าวเสริมว่า KIV คือ Game Changer ของ KBank สามารถเป็นแหล่งรายได้ใหม่ และยังทำให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากกว่าเดิม

ปัจจุบัน บริษัทที่อยู่ในโครงสร้างของ KIV ประกอบด้วย 14 บริษัท มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยบริษัทที่น่าสนใจเช่น การลงทุนใน Grab ของธนาคาร การร่วมทุนกับ LINE ในชื่อ Kasikorn LINE ที่เป็นเจ้าของ LINE BK การร่วมทุนกับกลุ่มคาราบาวภายใต้ชื่อ KBao เป็นต้น

ข้อมูลจาก KBank

พัชร สมะลาภา Group Chairman ของ บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด ได้กล่าวถึงปัญหาของลูกค้ารายย่อยนั้นไม่สามารถที่จะเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งเขาให้ข้อมูลว่า 60% ของผู้ขอสินเชื่อนั้นธนาคารไม่แน่ใจว่าจะกลับมาจ่ายเงินหรือไม่ ขณะเดียวกันทางธนาคารเองก็ต้องแบกรับความเสี่ยงจากปัญหาผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้จากการสำรองหนี้

เขาชี้ว่าเป้าหมายของ KIV คือ เพิ่มความสามารถในการให้บริการการเงินกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีโจทย์สำคัญคือ ต้องลดต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Cost) และลดต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Credit Cost) ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินงานในการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น

นอกจากนี้ KIV ยังได้อาศัยความเชี่ยวชาญของพันธมิตรในแต่ละด้าน รวมกับการใช้โครงสร้างและทรัพยากรของธนาคารกสิกรไทยที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูล ระบบไอที เงินทุนซึ่งมีต้นทุนการเงินที่ถูกกว่า

พัชรยังชี้ว่ากระบวนการทำงานของ KIV ได้แตกต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการใช้พนักงานเข้ามาตรวจสอบลูกค้าว่ามีตัวตนจริงๆ ไม่ใช้เอกสารปลอม หรือแม้แต่กรณีการปล่อยสินเชื่อกับลูกค้าที่หาเช้ากินค่ำนั้นก็ดูวงเงินที่เหมาะสม ซึ่งผลที่ได้คือ NPL ของ KIV ลดลงมาต่ำแล้ว

ขณะเดียวกันในการร่วมทุนกับพันธมิตรนั้นก็ทำให้ KIV สามารถเก็บเงินจากลูกค้าที่เป็นหนี้เสียได้มากขึ้น ส่งผลทำให้ Credit Cost ลดลง

โดย KIV ตั้งเป้าว่าในปีนี้จะมีกำไรราวๆ 900-1,000 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายในปี 2026 จะมีมูลค่าของพอร์ตสินเชื่อ 75,000-80,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าเมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อในปัจจุบัน และคาดว่าจะมีกำไรมากถึง 4,500-5,000 ล้านบาท

]]>
1439582