L’Oreal – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 29 Jul 2022 06:36:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Maybelline จะทยอยปิดสาขาหน้าร้านทั้งหมดใน “จีน” ลุยขายออนไลน์เท่านั้น https://positioningmag.com/1394332 Fri, 29 Jul 2022 06:36:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1394332 แบรนด์เครื่องสำอางตลาดแมส ‘Maybelline’ ในเครือบริษัท L’Oreal จะทยอยปิดสาขาหน้าร้านทั้งหมดใน “จีน” เพื่อมาลุยตลาดออนไลน์เท่านั้น ตามกระแสชาวจีนที่นิยมซื้อเครื่องสำอางผ่านอีคอมเมิร์ซ ด้านภาพรวมบริษัท แม้แบรนด์นี้จะเสียมาร์เก็ตแชร์ในจีน แต่ทั้งเครือ L’Oreal สามารถทำรายได้เติบโตสวนทางกับตลาดที่ซบเซาหลังเผชิญล็อกดาวน์

Maybelline New York ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นจีน Blue Whale Finance ว่า บริษัทกำลังดำเนินตามแผน “ทรานสฟอร์มเชิงกลยุทธ์” ที่เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2020 เพื่อให้เกิดการ “ประสานร่วมกันระหว่างช่องทางขายออนไลน์และออฟไลน์” ทำให้แบรนด์จะปิดหน้าร้านสาขาทั้งหมด ยกเว้นเคาน์เตอร์ขายจำนวนหนึ่งในร้าน Watsons ที่อาจจะเหลือผลิตภัณฑ์วางขายไม่มาก แต่จะเน้นการทำตลาดออนไลน์เป็นหลัก เป็นจุดที่ผู้บริโภคจะได้ช้อปสินค้าหลากหลายจากแบรนด์

แบรนด์นี้เข้ามาทำตลาดจีนมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1997 และเริ่มปรับเปลี่ยนช่องทางขายตั้งแต่ปี 2018 โดยเริ่มถอนตัวจากช่องทางในไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น Walmart, Carrefour และปี 2020 เริ่มปิดเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า หันมามุ่งเน้นเคาน์เตอร์และหน้าร้านเฉพาะของแบรนด์ในศูนย์การค้าและแหล่งช้อปปิ้งแทน

การตัดสินใจของ Maybelline ไม่แน่ใจว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะตั้งแต่เริ่มปิดช่องทางขายหน้าร้าน Qianzhan Industry Research Institute พบว่า ในปี 2021 แบรนด์มีมาร์เก็ตแชร์ต่ำลงเหลือ 4.9% เทียบกับปี 2018 ที่มี 5.8% ทั้งนี้ Statista ระบุว่าปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางจีนมีมูลค่าราว 6.75 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.44 ล้านล้านบาท)

Maybelline ถือเป็นแบรนด์ตะวันตกเจ้าแรกๆ ที่เดินตามเทรนด์การขายออนไลน์ในจีนได้ทัน โดยมีความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์จีน 50 คนในการไลฟ์สตรีมขายเครื่องสำอางประเภทลิปสติกตั้งแต่ปี 2016 ในครั้งแรกที่เปิดแคมเปญนี้ แบรนด์สามารถขายลิปสติกได้ 10,000 แท่งภายใน 2 ชั่วโมง

Carita Paris แบรนด์สกินแคร์ที่ L’Oreal ผลักดันเปิดตลาดจีนล่าสุด

Statista ยังพบสถิติด้วยว่า ชาวจีนมีอัตราการซื้อเครื่องสำอางออนไลน์สูงมาก เมื่อปี 2018 สัดส่วนการซื้อเครื่องสำอางจากช่องทางออนไลน์มีถึง 74% และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 80% ในปี 2024

ถึงแม้ว่าแบรนด์ Maybelline จะดูเหมือนครองมาร์เก็ตแชร์ต่ำลง แต่ภาพรวมบริษัท L’Oreal ยังคงไปได้ดีในจีน โดยการประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 2/2022 บริษัทระบุว่า รายได้ในจีนเติบโต 13% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งทำได้ดีกว่าตลาดซึ่งติดลบ -6% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากจีนมีการล็อกดาวน์เมืองใหญ่หลายเมืองตามนโยบาย Zero Covid มาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม ซึ่ง L’Oreal มองว่าบริษัทยังคงทำรายได้เติบโตสวนทางตลาดเพราะการดันเรื่อง “อีคอมเมิร์ซ” มาต่อเนื่อง

แบรนด์ Maybelline อาจจะลดหน้าร้านออฟไลน์ลง แต่ L’Oreal เพิ่งเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ในจีนไปเมื่อปี 2021 คือ “Carita Paris” เป็นแบรนด์สกินแคร์ระดับลักชัวรี และเริ่มเปิดเคาน์เตอร์สองแห่งแรกแล้วที่กรุงปักกิ่งและเมืองนานจิง

Source: Inside Retail, TheBL, Reuters

]]>
1394332
บิวตี้เริ่มฟื้น! “ลอรีอัล” กวาดรายได้ 3.2 หมื่นล้านยูโรในปี 2564 เติบโต 16.1% สูงเป็นประวัติการณ์ https://positioningmag.com/1374040 Tue, 15 Feb 2022 16:11:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374040 ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการปี 2564 ยอดขายเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 16.1% โดยมีมูลค่า 3.228 หมื่นล้านยูโร ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ขยายตัวขึ้น 25.7% คิดเป็นสัดส่วน 28.9% ของยอดขาย

นิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า

“ปี 2564 นับเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์สำหรับลอรีอัล สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของตลาดความงามทั่วโลก อีกทั้งยังได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกโซน ทุกแผนก และทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ลอรีอัล กรุ๊ปเติบโตในอัตรา 11.3% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทสามารถเติบโตได้สูงกว่าตลาดและฟื้นตัวได้เกือบถึงระดับของปี 2562 แล้ว แม้ว่าสถานการณ์โลกจะยังมีความผันผวนเกิดขึ้นช่วงต้นปีนี้ แต่เราก็เชื่อมั่นในความสามารถของเราที่จะเติบโตได้สูงกว่าตลาดในปี 2565 และเติบโตต่อไปได้อีกปีทั้งในแง่ยอดขายและกำไร”

ในแง่ของโซนต่างๆ นั้น อเมริกาเหนือฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเป็นภูมิภาคที่มีส่วนสนับสนุนที่สำคัญเช่นเดียวกับเอเชียเหนือ ส่วนในยุโรป ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ของภูมิภาคนี้ ลอรีอัลก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และฟื้นตัวสู่ระดับปี 2562 ได้ และเนื่องด้วยสถานการณ์ด้านสาธารณสุขที่ผันผวนอย่างมากในภูมิภาค SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) และละตินอเมริกา ลอรีอัลก็ยังสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง

แผนกเครื่องสำอางชั้นสูงได้กลายเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุดของลอรีอัล กรุ๊ป และประสบความสำเร็จอย่างมากในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอม ขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ซึ่งเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุดในด้านปริมาณ ก็มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น โดยกลุ่มเครื่องสำอางสามารถทำผลการดำเนินงานได้อย่างน่าสนใจ ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพที่เติบโตอย่างรวดเร็วนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และได้ธุรกิจใน omnichannel อย่างแท้จริง ขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางก็เติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจ โดยขยายตัวเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี เนื่องจากแบรนด์ต่างๆ สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของลูกค้าได้อย่างลงตัว

บริษัทยังเดินหน้าในด้าน Beauty Tech ด้วยการลงทุนในดาต้าและปัญญาประดิษฐ์ และด้วยการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เช่น การเป็นพันธมิตรของเรากับเวริลี (Verily) เพื่อที่จะทำความเข้าใจ และอธิบายกลไกการร่วงโรยของผิวพรรณและเส้นผมให้ดียิ่งขึ้น

ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้มีการทำธุรกรรมเชิงกลยุทธ์ โดยลอรีอัลได้ซื้อคืนหุ้นในสัดส่วน 4% ที่ถือครองโดยเนสท์เล่ ซึ่งทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และยังเป็นสินทรัพย์สำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาวของลอรีอัล กรุ๊ป

ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามแผนกธุรกิจ

  • ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพมียอดขายเพิ่มขึ้น 24.8%
  • ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคมียอดขายเพิ่มขึ้น 5.6%
  • ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมียอดขายเพิ่มขึ้น 20.9%
  • ผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายโตขึ้น 31.8%

ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามโซนภูมิภาค

  • โซนยุโรปมียอดขายเพิ่มขึ้น 10.1%
  • โซนอเมริกาเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้น 22.2%
  • โซนเอเชียเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้น 17.6%
  • โซน SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) มียอดขายเพิ่มขึ้น 13.9%
  • โซนละตินอเมริกามียอดขายเพิ่มขึ้น 20.6%
]]>
1374040
“ลอรีอัล” นำร่องพัฒนาหลอดบีบเครื่องสำอางจากกระดาษเป็นครั้งแรก https://positioningmag.com/1251073 Sat, 26 Oct 2019 16:26:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1251073 ลอรีอัล กรุ๊ป พัฒนานวัตกรรมสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางสุดกรีนที่คิดค้นร่วมกับอัลเบีย (Albéa) โดยทั้งสองบริษัทได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์หลอดบีบเครื่องสำอางชนิดแรกที่ทำจากกระดาษ ซึ่งใช้วัสดุฐานชีวภาพ และคุณลักษณะเหมือนกระดาษที่ได้การรับรอง เพื่อนำมาใช้แทนที่พลาสติกที่เป็นส่วนประกอบหลักของหลอดผลิตภัณฑ์

นวัตกรรมดังกล่าวถูกออกแบบให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางบางชนิด เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของทั้งสองแบรนด์

ซึ่งสองบริษัทได้ลงนามในข้อตกลง New Plastics Economy Global Commitment ของมูลนิธิ Ellen McArthur Foundation แพ็คเกจจิ้งนี้จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ และมีแผนที่จะเริ่มการผลิตล็อตแรกในปี 2563

ฟิลิป ธูเวียน (Philippe THUVIEN) รองประธานฝ่ายบรรจุภัณฑ์และการพัฒนาของลอรีอัล กล่าวว่า

“ลอรีอัลพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2550 และวันนี้ได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่จากการใช้วัสดุกระดาษที่ผ่านการรับรองแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างบรรจุภัณฑ์หลอดบีบจากกระดาษสำหรับการบรรจุผลิตภัณฑ์ความงามขึ้นมาใหม่

มีแผนประเดิมเปิดตัวในส่วนผลิตภัณฑ์สกินแคร์ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ทั้งนี้ลอรีอัลมีเป้าหมายในการพัฒนาให้บรรจุภัณฑ์ 100% ของบริษัท สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมภายในปลายปี 2563 ซึ่งนวัตกรรมทางเลือกใหม่นี้นับเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ของลอรีอัล กรุ๊ป”

Source

]]>
1251073
ไม่อยากตกขบวน Huggies, L’Oreal และ Nivea ลุยเต็มที่อีมาร์เก็ตเพลส https://positioningmag.com/1194628 Sat, 27 Oct 2018 02:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1194628 ผ่าวิสัยทัศน์แม่ทัพออนไลน์ 3 แบรนด์ดัง Huggies, L’Oreal และ Nivea บนเวทีงานเปิดตัว BrandIQ แพลตฟอร์มติดตามข้อมูลใหม่ล่าสุดของบริษัท aCommerce ทุกรายยืนยันว่าการติดตามคู่แข่งอย่างต่อเนื่องบนอีมาร์เก็ตเพลสเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการวางสุดยอดกลยุทธ์ค้าปลีกระยะยาว บนความท้าทายใหญ่ที่สุดคือปริมาณข้อมูลมหาศาล ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนทำให้คนที่เร็วกว่าได้เปรียบ

Huggies : ปลาเร็วกินปลาช้า

อวิรุทธ์ ประสิทธิ์นฤทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท Kimberly-Clark Thailand อธิบายเหตุที่ Huggies ลงมาเปิดเล่นเองในอีมาร์เก็ตเพลสไทย ว่าเป็นเพราะช่องทางค้าปลีกบนออนไลน์กำลังจะเป็น “New normal” เนื่องจากการซื้อสินค้าออนไลน์จะเป็นเรื่องปกติในอนาคต

“ผมมองว่าถ้าใครเริ่มช้า ก็จะเสียโอกาส ใครมาช้าเสียหายแน่นอน ข่วงแรก แบรนด์อาจจะเห็นว่าทุนสูง เมื่อเทียบรายได้ที่เข้ามา แต่ในระยะยาวเชื่อว่าคุ้มค่าแน่นอน”

อวิรุทธ์ย้ำว่า วันนี้จำนวนพนักงานขายบนออนไลน์ของแบรนด์ Huggies ระดับโลกมีจำนวนมากกว่าออฟไลน์แล้ว โดย Kimberly-Clark ในหลายประเทศมีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อบริหารกลยุทธ์ออนไลน์และออฟไลน์แบบแบ่งแยกชัดเจน แต่ละฝ่ายมีมาร์เก็ตติ้งหรือฝ่ายการตลาดของตัวเอง ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในอีกหลายแบรนด์ในอนาคต

ผู้บริหาร Kimberly-Clark ย้ำว่า บริษัทให้ความสนใจคู่แข่งสูงมาก และลงทุนซื้อข้อมูลวิเคราะห์คู่แข่งตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ความท้าทายสำคัญในยุคนี้คือการวิเคราะห์คู่แข่งในตลาดออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก

“การเช็กคู่แข่ง ถ้าเป็นออฟไลน์ทำได้ง่ายมาก เราส่งคนไปดูได้ถ้าคู่แข่งจัดโปรโมชั่นตามร้าน เพราะราคาคู่แข่งจะไม่เปลี่ยนอย่างน้อย 14 วันหรือ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าเป็นออนไลน์ วิธีการแทรคต้องต่างกัน ยากกว่ากันเยอะมาก โปรโมชั่นออนไลน์นั้นเปลี่ยนแปลงบ่อยไม่แน่นอน บางทีก็ทำแฟลชเซลกัน ถ้าตามไม่ทันก็เสียโอกาสทันที”

สำหรับการติดตามฟีดแบ็กลูกค้าออนไลน์ อวิรุทธ์เผยว่าใช้วิธีแยกประเภท ว่าฟีดแบ็กนั้นเป็นเรื่องขนส่งหรือเกี่ยวข้องกับสินค้าโดยตรง เมื่อแยกแล้วจะต้องแก้ให้ตรงจุดกับส่วนที่เกิดขึ้น

ในมุมโฆษณาออนไลน์ อวิรุทธ์ประเมินว่า วันนี้ไม่มีใครเชื่อโฆษณาอีกแล้ว แต่ส่วนใหญ่เชื่อรีวิว แนวโน้มนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว บนความคิดว่าคอนซูเมอร์เป็นพวกเดียวกัน แต่แบรนด์เป็นคนที่มาล่อลวง

“หากเกิดปัญหารีวิวแง่ลบ ผมคิดว่าแบรนด์ต้องเข้าไปคุยตอนนั้นเลย อาจจะโทรไป เพื่อเสนอให้สินค้าใหม่หรือคืนเงิน ตรงนี้ใช้ทุนไม่กี่บาทแต่ได้ผลมาก” อวิรุทธ์กล่าว “บล็อกเกอร์วันนี้มีความสำคัญก็จริง แต่ก็ต้องใช้แบบแนบเนียน เพราะบางทีลูกค้าก็ไม่เชื่อ”

อวิรุทธ์มองว่าอุปสรรค์ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ในการทำอีคอมเมิร์ซคือไม่มีความรู้ จากที่เคยส่งสินค้าเป็นล็อตใหญ่ไปที่ผู้ค้าปลีก เมื่อต้องมาจำหน่ายปลีกเองบนออนไลน์จึงไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร แต่ถ้าผ่านโจทย์แรกมาได้ หลายแบรนด์ก็มีความท้าทายเรื่องคน ซึ่งก่อนหน้านี้บุคลากรด้านนี้หายากมาก

“ตอนนี้ทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่สำคัญแล้ว แต่เป็นเรื่องการศึกษาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ทันได้ตลอด ผมคิดว่าธุรกิจวันนี้ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เป็นปลาเร็วกินปลาช้า ถ้ามาเร็ว ก็ทำได้ ใครเรียนรู้ได้เร็วก็ไปได้”

ทั้งหมดนี้ อวิรุทธ์มั่นใจว่าบิ๊กดาต้ามีความสำคัญกับแบรนด์ในการต่อยอดกลยุทธ์ค้าปลีก โดยเฉพาะดิสทริบิวเตอร์ที่จะรู้ว่าใครซื้อครีมทาหน้าท้องสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ก็จะคาดการณ์ได้ว่าครอบครัวนั้นจะต้องสั่งซื้อสินค้าเด็ก นอกจากนี้ สินค้าในครอบครัวนั้นจะเพิ่มขึ้น กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีมิติมากกว่าคนโสด ซึ่งบิ๊กดาต้าจะเชื่อมกันจนอาจทำให้ผู้ชายบางคนเสียใจ ที่ระบบรู้ว่าซื้ออะไรที่ไม่เกี่ยวกับครอบครัว

L’Oreal : คุ้มมากถ้ารู้ได้ว่า ใครซื้อครีมไม่เคยซื้อมาสก์

ประพนธ์ศักดิ์ กัมพลพันธ์ ผู้จัดการอาวุสโส ฝ่ายการขายธุรกิจออนไลน์ บริษัท L’Oreal CPD Thailand ให้ความเห็นถึงการลุยอีมาร์เก็ตเพลสของ L’Oreal ว่าเป็นการลงทุนของแบรนด์ที่จะเลือกมาร์เก็ตเพลสจากภาพกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะมาร์เก็ตเพลสที่มีความเฉพาะทางหรือนิช จุดนี้ L’Oreal จะเน้นเลือกมาร์เก็ตเพลสที่มีแผนพัฒนาระยะยาว และสามารถแชร์ข้อมูลได้มากเพื่อให้ L’Oreal ทำ CRM ได้

ผู้บริหาร L’Oreal เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่งบการลงทุนการตลาดออนไลน์จะใหญ่กว่าตลาดออฟไลน์ เนื่องจากคนไทยยังเอ็นจอยกับการเดินช้อปปิ้ง ขณะเดียวกัน เจเนอรัลเทคก็ยังใหญ่ แบรนด์จึงยังไม่สามารถทำทุกอย่างออนไลน์ได้ แม้ว่าตลาดใหม่จะขยายตัวต่อเนื่อง

ประเด็นการแทรคคู่แข่ง ประพนธ์ศักดิ์ระบุว่าการแทรคทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ และตอบโจทย์การแข่งขันได้ จุดนี้แบรนด์ต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการร้านบนอีมาร์เก็ตเพลสด้วย เพื่อให้แบรนด์เป็นสินค้าแรกที่ปรากฏเมื่อมีการเสิร์ชหาสินค้าบนมาร์เก็ตเพลส

“อัลกอริธึมของมาร์เก็ตเพลสจะดูทั้งยอดขาย ความแอคทีฟในการทำแคมเปญ คอนเทนต์ภายใน คุณภาพรีวิวสินค้า คะแนนเรตติ้ง รวมถึงถ้ามีรีวิวแง่ลบ แบรนด์จะแก้ไขอย่างไร ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องจัดการให้ได้”

เบื้องต้น ประพนธ์ศักดิ์ให้ข้อมูลว่าวันนี้ชาวออนไลน์ไม่เชื่อใน influencer แล้ว L’Oreal จึงต้องไปที่ micro-influencer เป็นหลัก รวมถึงกลุ่มดาวรุ่งหรือ rising star มากขึ้น

“ที่ขาดไม่ได้คือการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะบางมาร์เก็ตเพลสที่ไม่มีระบบ การมีดาต้าในมือจะทำให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์ได้โดยไม่ต้องใช้ทุนสูง ทีมจะตามได้เลยว่าใครซื้อครีมไม่เคยซื้อมาสก์ เราจะส่งข้อความตรงถึงลูกค้าได้โดยไม่ต้องซื้อสื่อ ทั้งหมดนี้ทำได้บนงบประมาณที่ดีมาก แถมยังต่อยอด CRM ได้”

Nivea : Keep your friends close, but your enemies closer 

ปุณณภา ลิมป์ธารสกุล หัวหน้าแผนกฝ่ายการขายธุรกิจออนไลน์ บริษัท Beiersdorf Thailand ผยว่า วันนี้ Nivea โฟกัสการขายบนมาร์เก็ตเพลสอย่างจริงจัง เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งเมื่อไดร์ฟคนให้เห็นโฆษณาได้แล้ว Nivea ก็สามารถดันให้ซื้อได้เลย พร้อมกับดูแลบริการหลังการขายได้

ผู้บริหาร Nivea เชื่อว่าเป็นไปได้ที่แบรนด์ในอนาคตจะเทงบประมาณที่ธุรกิจออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทำให้แบรนด์ต้องตามผู้บริโภคเป็นหลัก กรณีของ Nivea การลงทุนในระบบวิเคราะห์ข้อมูลออนไลน์จะช่วยให้การทำงานของแบรนด์ง่ายขึ้น

สิ่งที่ Nivea เห็นความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมนักช้อปออนไลน์ไทย คือรูปแบบการเสิร์ชที่เปลี่ยนมาเป็นการเสิร์ชในมาร์เก็ตเพลสอย่าง Lazada หรือ Shopee มากขึ้น ซึ่งแต่ละมาร์เก็ตเพลสจะมีระบบแสดงสินค้าโดยคำนวณจากยอดขายที่ต่างกัน

ผู้บริหารแบรนด์ Nivea ย้ำว่า Nivea ติดตามอ่านรีวิวสินค้าจริงจัง เพื่อเชื่อมกับบริการหลังการขาย โดย Nivea มีแผนกปรับสูตรตามฟีดแบ็กของลูกค้า ซึ่งหากบริษัทไม่สามารถลดราคาสินค้าได้ Nivea จะพยายามหาทางอื่นเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งให้ได้

“ถ้าลดราคาที่ตัวสินค้าไม่ได้ก็ต้องทำทางอื่น” ปุณณภาระบุแนวทางทำโปรโมชั่นออนไลน์ โดยกล่าวถึงกลยุทธ์การใช้ influencer ของ Nivea ในอนาคตว่าไม่ได้ยืดส่วนไหนสำคัญเป็นพิเศษ “บอกไม่ได้ว่า influencer หรือ rising star ใครจะสำคัญสุด แต่คิดว่าทุกส่วนสำคัญทั้งหมด”

ความเห็นของผู้บริหารทั้ง 3 แบรนด์นี้ถูกบอกเล่าบนเวทีงานเปิดตัว BrandIQ แพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดของบริษัท aCommerce ที่วางจุดยืนเป็นตัวช่วยให้แบรนด์สามารถติดตามหรือแทรคราคาสินค้าที่ต้องการย้อนหลังได้หลายปี สามารถดูยอดขายสินค้าของคู่แข่งรายอื่น ทั้งบนมาร์เก็ตเพลสและบนเว็บไซต์ของแบรนด์เอง (แบรนด์ดอทคอม)

ผู้ใช้ BrandIQ จะสามารถทราบว่าสินค้าถูกจำหน่ายไปทางไหน มี AI คอยตรวจตราว่าฟีดแบ็กดีหรือร้าย ขณะเดียวกันก็ทำให้แบรนด์ติดตามได้ว่าลูกค้าที่ให้คะแนนแง่ลบ กลับมาให้คะแนนบวกหรือไม่ ทั้งหมดนี้ทำให้แบรนด์ที่เป็นลูกค้า BrandIQ ไม่ต้องทำการสำรวจตลาดเพิ่ม ก็สามารถทราบได้ว่าลูกค้าหลายพันรายที่ซื้อไปนั้นชื่นชอบสินค้าหรือไม่ และเมื่อซื้อสินค้าแล้วหันไปซื้อสินค้าใดต่อ

ปัจจุบัน BrandIQ ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าบนร้านออนไลน์มากกว่า 11 ล้านหน่วย จาก 600 แบรนด์และผู้ขาย จำนวน 160,000 รายในภูมิภาค โดย BrandIQ เริ่มนำร่องให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และได้ขยายไปทั่ว 6 ประเทศอาเซียนทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม

]]>
1194628
ลอรีอัลเล็งสร้าง”รูขุมขน”ด้วย Bio-print สกัดปัญหาผมร่วง https://positioningmag.com/1104459 Fri, 30 Sep 2016 03:51:28 +0000 http://positioningmag.com/?p=1104459 บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการเครื่องสำอาง “ลอรีอัล” (L’Oreal) เผยแนวทางการแก้ปัญหาผมร่วงแบบใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติในการสร้างรูขุมขน พร้อมขอเวลาสามปีเป็นอย่างน้อยในการปรับปรุงกระบวนการ

Jose Cotovio ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของลอรีอัลเผยว่า “หากเราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ชีวภาพ (Bio-print) ให้สร้างรูขุมขนขึ้นได้ จะทำให้เรามีองค์ความรู้เกี่ยวกับชีววิทยาของเส้นผม และเข้าใจถึงความลับของการงอกของเส้นผม รวมถึงการหลุดร่วงด้วย”

พร้อมกันนั้นเขายังเผยว่า รูขุมขนที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิตินั้นจะถูกนำไปใช้ในการทดสอบโปรดักซ์ใหม่ ๆ ได้อีกต่างหาก

“ปัญหาผมหลุดร่วงมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ หากเราประสบความสำเร็จในการหาต้นตอของปัญหา ก็ถือเป็นการปฏิวัติวงการครั้งใหญ่เลยทีเดียว และอาจนำไปสู่ขั้นตอนต่อไป นั่นก็คือ การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อว่าจะเป็นไปได้หรือไม่”

โดยเทคนิคที่ลอรีอัลคาดว่าจะนำมาใช้นั้นเป็นการใช้เลเซอร์เป็นตัวช่วยในกระวนการพิมพ์แบบชีวภาพ ซึ่งเป็นเทคนิคที่พัฒนาโดยบริษัท Poietis โดยเริ่มจากการสร้างแผนที่ดิจิตอลที่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในบริเวณใด และเนื้อเยื่อส่วนใดที่สามารถแทนที่ได้ด้วยโครงสร้างเนื้อเยื่อใหม่ที่สร้างขึ้นมา

จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการพิมพ์โดยยิงแสงเลเซอร์ออกมาผ่านเลนส์ เมื่อเลเซอร์กระทบกับแถบผ้าหมึกที่ประกอบด้วย Bio-ink ก็จะเกิดละอองขนาดเล็กจิ๋วตกลงบนพื้นที่ที่ต้องการ ซึ่งการสร้างเนื้อเยื่อนั้น จะสร้างขึ้นจากละอองขนาดเล็กนี้นั่นเอง โดยสามารถสร้างได้ที่ประมาณ 10,000 หยดต่อวินาที

จากนั้นก็ต้องให้เวลากับเนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นสักระยะเพื่อให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง ก่อนที่จะพัฒนาเป็นรูขุมขนต่อไป ซึ่ง Poietis เผยว่า ปัจจุบันได้มีการใช้เทคนิคดังกล่าวนี้ในการสร้างกระดูกอ่อนแล้วเช่นกัน

ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เวลาที่ใช้ในการพิมพ์ผิวหนังขนาดกว้าง 1 ซม. และหนา 0.5 มิลลิเมตรอยู่ที่ประมาณ 10 นาที แต่รูขุมขนเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าเซลล์ผิวหนังมาก แถมยังประกอบด้วยเซลล์ชนิดต่าง ๆ ถึง 15 ชนิด จึงอาจใช้เวลาที่นานกว่านั้น

สำหรับบริษัท Poietis ไม่ได้เป็นบริษัทเดียวที่พัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีการพิมพ์ชีวภาพ แต่อาจถือได้ว่าเป็นบริษัทเดียวที่พัฒนาโดยใช้เลเซอร์ในการสร้างเนื้อเยื่อ ขณะที่บริษัทอื่นพัฒนาโดยใช้หัวฉีด ซึ่งบริษัท Poietis ให้ความเห็นว่า การใช้เลเซอร์เป็นเทคนิคที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายให้กับเซลล์ได้มากกว่าการใช้หัวฉีด กระนั้น Fabien Guillemot ซีอีโอของบริษัทก็ยังเผยว่า การพัฒนาเทคนิคและองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมมาใช้สร้างรูขุมขนนั้นเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก

“มันเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนมากกว่าโปรเจ็คการพิมพ์โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่เราเคยทำมามาก” Guillemot กล่าว

ส่วน Alopecia UK องค์กรการกุศลที่ให้การสนับสนุนและคำแนะนำด้านปัญหาผมร่วงเองก็เผยว่ามีความรู้สึกที่หลากหลายต่อการพัฒนาครั้งนี้

“การได้รู้ว่าบริษัทอย่างลอรีอัลลงทุนในเทคโนโลยีที่อาจช่วยขจัดปัญหาผมร่วงได้ในอนาคตเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก” Amy Johnson โฆษกของ Alopecia UK กล่าว พร้อมทิ้งท้ายว่า “อย่างไรก็ดี เราคิดว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น หรือหากเทคโนโลยีใหม่นำไปสู่หนทางแห่งการรักษาได้จริง แต่มาพร้อมค่าใช้จ่ายมหาศาล จะมีผู้บริโภคสักกี่คนที่สามารถจ่ายค่ารักษานั้นได้”

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000098345

]]>
1104459