L’Oreal – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Jul 2025 11:56:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CeraVe ถุงรีฟิล ราคาถูกกว่าขวด 10-15% หมัดเด็ดเสริม Loyalty กลุ่มลูกค้าใช้ฉ่ำ ใช้ประจำ https://positioningmag.com/1531838 Thu, 31 Jul 2025 08:23:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531838 เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมความงาม เมื่อ CeraVe ออกแพ็กเกจจิ้งถุง Refill ขนาดเท่ากับขวดใหญ่ หรือ 473 ml. ถูกใจสาวกแบรนด์เป็นอย่างมาก เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการสกินแคร์ ที่ออกแพ็กเกจจิ้ง Refiil เพราะส่วนใหญ่จะเห็นกับแบรนด์สินค้าอุปโภคต่างๆ เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า เป็นต้น

ตัวเลือกความยั่งยืน

ทางแบรนด์ CeraVe ได้เปิดเผยกับ Positioning ว่า CeraVe ได้เริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์ถุงรีฟิลในปี 2025 โดยเป็นการทยอยเปิดตัวในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกพร้อมๆ กันในปีนี้ เหตุผลที่เลือกเปิดตัวถุงรีฟิลในประเทศไทยมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องเป้าหมายเรื่องความยั่งยืนของ L’Oréal Groupe ที่มีพันธกิจด้านความยั่งยืน มีเป้าหมายการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสภาพภูมิอากาศ ลดการใช้ทรัพยากร และขับเคลื่อนการหมุนเวียนทรัพยากร (circular economy) ซึ่งผลิตภัณฑ์รีฟิลนั้น อยู่ในเป้าหมายใช้การลดความหนาแน่นบรรจุภัณฑ์และลดการใช้พลาสติกใหม่  

พร้อมกับต้องการสร้างความแตกต่าง การมีแพ็กเกจจิ้งรีฟิลช่วยให้แบรนด์ CeraVe สามารถสร้างความแตกต่าง และตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในตลาดไทยได้ 

แพร โตเจริญทรัพย์ Brand General Manager, CeraVe Thailand บอกว่า ผู้บริโภคคนไทยมีการตอบรับที่ดีต่อบรรจุภัณฑ์รีฟิล โดยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการรีฟิลผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน ด้วยแรงผลักดันจากกระแสความยั่งยืน และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมากต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมองหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น 

โดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์รีฟิลมักมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นประจำ อีกทั้งยังสร้าง Loyalty กับแบรนด์ในระยะยาวได้ด้วย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials มีความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมสูง และมักเป็นกลุ่มที่เปิดรับนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนได้ง่าย

โดยที่แพ็กเกจจิ้งรีฟิลของ CeraVe ไม่ใช่แพ็คเกจถุงรีฟิลแรกของกลุ่ม L’Oréal Groupe ก่อนหน้านี้มีถุงรีฟิล หรือบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนอื่นๆ ในหลายแบรนด์ และหลายประเทศ ภายใต้โครงการ L’Oréal for the Future ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Kiehl’s มีถุงรีฟิลแบบมาสักระยะหนึ่งแล้ว แบรนด์ลังโคมมีผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบกระปุก หรือกลุ่มน้ำหอมเช่น แบรนด์ YSL ในผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบขวด เป็นต้น 

เอาใจกลุ่มใช้ฉ่ำๆ

หนึ่งในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักที่ถุงรีฟิลเข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างดีเยี่ยมคือ “Heavy User” หรือผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์เป็นประจำ และในปริมาณมาก ซึ่งมักจะซื้อผลิตภัณฑ์ไซส์ใหญ่เป็นประจำอยู่แล้ว ทำให้ราคาต่อหน่วยถูกลง ไม่ต้องซื้อขวดใหม่บ่อยๆ

ถึงแม้ว่า CeraVe ที่สหรัฐอเมริกาจะมีไลน์สินค้ามากกว่า 70 รายการ ครอบคลุมสกินแคร์หลายกลุ่มทั้งมอยเจอร์ไรเซอร์, ล้างหน้า, สิว, เอจจิ้ง, กันแดด และผม แต่ในไทยมีไลน์สินค้าหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ บอดี้โลชั่น, ล้างหน้า และผิวหน้า ในปีนี้กำลังจะมีสินค้าตัวอื่นๆ เข้ามามากขึ้น

จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของ CeraVe ก็คือ การมีแพ็กเกจจิ้งทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 88 ml, 236 ml และ 473 ml ซึ่งไม่ค่อยเห็นในแบรนด์อื่นๆ มากนัก เพราะในแง่ของการตลาดแล้ว การมีแพ็กเกจจิ้งเยอะ การบริหารสต๊อกยิ่งตามมา 

แต่การมี 3 ขนาด ยิ่งเป็นผลดีต่อ CeraVe เพราะทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกกลุ่ม แต่ละคนใช้คนละแบบ ซึ่งแพรบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องการจัดการสต๊อกเลย เพราะทุกไซส์ขายดีหมด ขึ้นอยู่กับช่วงวัย 

“CeraVe มีกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y วัยทำงานอายุตั้งแต่ 25-35 ปี ที่ชอบค้นหาข้อมูล และรู้จักส่วนผสม มีกลุ่ม Gen Z บ้างเล็กน้อย การมีแพ็กเกจจิ้งหลายไซส์ก็ช่วยทำให้เข้าถึงคนหลากหลายมากขึ้น กลุ่ม New User จะเริ่มใช้ขวดเล็กเป็นการทดลองใช้ง่าย ส่วนกลุ่ม Gen Y จะชอบขนาดกลาง ส่วนกลุ่มแม่ และเด็ก จะชอบใช้ขวดใหญ่”

จากข้อมูลของแบรนด์พบว่า 50-60% ของลูกค้า CeraVe จะมีการใช้สินค้ามากกว่า 3 ตัวขึ้นไป รับกับเทรนด์      ผู้บริโภคที่ผิวแต่ละวันไม่เหมือนกัน จึงจะเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์สกินแคร์ตามสภาพผิวในแต่ละวัน 

สำหรับสินค้าที่ขายดีอันดับ 1 ได้แก่ CeraVe Moisturizing Cream 50 ml รองลงมาคือ CeraVe Moisturizing Lotion 473 ml และ CeraVe PM Facial Moisturizing 

โดยที่สัดส่วนรายได้แบ่งเป็น กลุ่มบอดี้โลชั่น 40% คลีนเซอร์ 30-40% และผิวหน้า 30-40% 

ถุงรีฟิลของ CeraVe จะมี 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ Lotion, Cream, Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีขนาดเดียวคือ 473 ml. หรือเทียบเท่ากับขวดใหญ่ 

ราคาก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนต่างของราคาถุงรีฟิลสำหรับ Lotion และ Cream ที่มีส่วนต่างราคาอยู่ที่หลักร้อย แต่ Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีส่วนต่างอยู่ที่หลักสิบ ส่วนใหญ่ส่วนต่างราคาถูกกว่าขวดราวๆ 10-15% ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างมากแน่นอน กระตุ้นให้รู้สึกคุ้มค่าได้ และมีแนวโน้มในการซื้อซ้ำ

ปัจจุบันขนาดของบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิลของ CeraVe จะมีเพียงแค่ขนาดเดียว แต่ถ้าหากได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค และมีความต้องการที่มากขึ้น อาจจะมีการพิจารณาขนาดอื่นๆ อีกก็ได้ แถมยังอาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้ แบรนด์อื่นๆ ในตลาด นำเสนอแพ็กเกจรีฟิลให้กลายเป็นเรื่องปกติของตลาดสกินแคร์ก็เป็นได้ 

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1531838
Maybelline จะทยอยปิดสาขาหน้าร้านทั้งหมดใน “จีน” ลุยขายออนไลน์เท่านั้น https://positioningmag.com/1394332 Fri, 29 Jul 2022 06:36:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1394332 แบรนด์เครื่องสำอางตลาดแมส ‘Maybelline’ ในเครือบริษัท L’Oreal จะทยอยปิดสาขาหน้าร้านทั้งหมดใน “จีน” เพื่อมาลุยตลาดออนไลน์เท่านั้น ตามกระแสชาวจีนที่นิยมซื้อเครื่องสำอางผ่านอีคอมเมิร์ซ ด้านภาพรวมบริษัท แม้แบรนด์นี้จะเสียมาร์เก็ตแชร์ในจีน แต่ทั้งเครือ L’Oreal สามารถทำรายได้เติบโตสวนทางกับตลาดที่ซบเซาหลังเผชิญล็อกดาวน์

Maybelline New York ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นจีน Blue Whale Finance ว่า บริษัทกำลังดำเนินตามแผน “ทรานสฟอร์มเชิงกลยุทธ์” ที่เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2020 เพื่อให้เกิดการ “ประสานร่วมกันระหว่างช่องทางขายออนไลน์และออฟไลน์” ทำให้แบรนด์จะปิดหน้าร้านสาขาทั้งหมด ยกเว้นเคาน์เตอร์ขายจำนวนหนึ่งในร้าน Watsons ที่อาจจะเหลือผลิตภัณฑ์วางขายไม่มาก แต่จะเน้นการทำตลาดออนไลน์เป็นหลัก เป็นจุดที่ผู้บริโภคจะได้ช้อปสินค้าหลากหลายจากแบรนด์

แบรนด์นี้เข้ามาทำตลาดจีนมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1997 และเริ่มปรับเปลี่ยนช่องทางขายตั้งแต่ปี 2018 โดยเริ่มถอนตัวจากช่องทางในไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น Walmart, Carrefour และปี 2020 เริ่มปิดเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า หันมามุ่งเน้นเคาน์เตอร์และหน้าร้านเฉพาะของแบรนด์ในศูนย์การค้าและแหล่งช้อปปิ้งแทน

การตัดสินใจของ Maybelline ไม่แน่ใจว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะตั้งแต่เริ่มปิดช่องทางขายหน้าร้าน Qianzhan Industry Research Institute พบว่า ในปี 2021 แบรนด์มีมาร์เก็ตแชร์ต่ำลงเหลือ 4.9% เทียบกับปี 2018 ที่มี 5.8% ทั้งนี้ Statista ระบุว่าปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางจีนมีมูลค่าราว 6.75 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.44 ล้านล้านบาท)

Maybelline ถือเป็นแบรนด์ตะวันตกเจ้าแรกๆ ที่เดินตามเทรนด์การขายออนไลน์ในจีนได้ทัน โดยมีความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์จีน 50 คนในการไลฟ์สตรีมขายเครื่องสำอางประเภทลิปสติกตั้งแต่ปี 2016 ในครั้งแรกที่เปิดแคมเปญนี้ แบรนด์สามารถขายลิปสติกได้ 10,000 แท่งภายใน 2 ชั่วโมง

Carita Paris แบรนด์สกินแคร์ที่ L’Oreal ผลักดันเปิดตลาดจีนล่าสุด

Statista ยังพบสถิติด้วยว่า ชาวจีนมีอัตราการซื้อเครื่องสำอางออนไลน์สูงมาก เมื่อปี 2018 สัดส่วนการซื้อเครื่องสำอางจากช่องทางออนไลน์มีถึง 74% และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 80% ในปี 2024

ถึงแม้ว่าแบรนด์ Maybelline จะดูเหมือนครองมาร์เก็ตแชร์ต่ำลง แต่ภาพรวมบริษัท L’Oreal ยังคงไปได้ดีในจีน โดยการประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 2/2022 บริษัทระบุว่า รายได้ในจีนเติบโต 13% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งทำได้ดีกว่าตลาดซึ่งติดลบ -6% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากจีนมีการล็อกดาวน์เมืองใหญ่หลายเมืองตามนโยบาย Zero Covid มาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม ซึ่ง L’Oreal มองว่าบริษัทยังคงทำรายได้เติบโตสวนทางตลาดเพราะการดันเรื่อง “อีคอมเมิร์ซ” มาต่อเนื่อง

แบรนด์ Maybelline อาจจะลดหน้าร้านออฟไลน์ลง แต่ L’Oreal เพิ่งเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ในจีนไปเมื่อปี 2021 คือ “Carita Paris” เป็นแบรนด์สกินแคร์ระดับลักชัวรี และเริ่มเปิดเคาน์เตอร์สองแห่งแรกแล้วที่กรุงปักกิ่งและเมืองนานจิง

Source: Inside Retail, TheBL, Reuters

]]>
1394332
บิวตี้เริ่มฟื้น! “ลอรีอัล” กวาดรายได้ 3.2 หมื่นล้านยูโรในปี 2564 เติบโต 16.1% สูงเป็นประวัติการณ์ https://positioningmag.com/1374040 Tue, 15 Feb 2022 16:11:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374040 ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการปี 2564 ยอดขายเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 16.1% โดยมีมูลค่า 3.228 หมื่นล้านยูโร ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ขยายตัวขึ้น 25.7% คิดเป็นสัดส่วน 28.9% ของยอดขาย

นิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า

“ปี 2564 นับเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์สำหรับลอรีอัล สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของตลาดความงามทั่วโลก อีกทั้งยังได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกโซน ทุกแผนก และทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ลอรีอัล กรุ๊ปเติบโตในอัตรา 11.3% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทสามารถเติบโตได้สูงกว่าตลาดและฟื้นตัวได้เกือบถึงระดับของปี 2562 แล้ว แม้ว่าสถานการณ์โลกจะยังมีความผันผวนเกิดขึ้นช่วงต้นปีนี้ แต่เราก็เชื่อมั่นในความสามารถของเราที่จะเติบโตได้สูงกว่าตลาดในปี 2565 และเติบโตต่อไปได้อีกปีทั้งในแง่ยอดขายและกำไร”

ในแง่ของโซนต่างๆ นั้น อเมริกาเหนือฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเป็นภูมิภาคที่มีส่วนสนับสนุนที่สำคัญเช่นเดียวกับเอเชียเหนือ ส่วนในยุโรป ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ของภูมิภาคนี้ ลอรีอัลก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และฟื้นตัวสู่ระดับปี 2562 ได้ และเนื่องด้วยสถานการณ์ด้านสาธารณสุขที่ผันผวนอย่างมากในภูมิภาค SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) และละตินอเมริกา ลอรีอัลก็ยังสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง

แผนกเครื่องสำอางชั้นสูงได้กลายเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุดของลอรีอัล กรุ๊ป และประสบความสำเร็จอย่างมากในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอม ขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ซึ่งเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุดในด้านปริมาณ ก็มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น โดยกลุ่มเครื่องสำอางสามารถทำผลการดำเนินงานได้อย่างน่าสนใจ ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพที่เติบโตอย่างรวดเร็วนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และได้ธุรกิจใน omnichannel อย่างแท้จริง ขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางก็เติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจ โดยขยายตัวเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี เนื่องจากแบรนด์ต่างๆ สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของลูกค้าได้อย่างลงตัว

บริษัทยังเดินหน้าในด้าน Beauty Tech ด้วยการลงทุนในดาต้าและปัญญาประดิษฐ์ และด้วยการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เช่น การเป็นพันธมิตรของเรากับเวริลี (Verily) เพื่อที่จะทำความเข้าใจ และอธิบายกลไกการร่วงโรยของผิวพรรณและเส้นผมให้ดียิ่งขึ้น

ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้มีการทำธุรกรรมเชิงกลยุทธ์ โดยลอรีอัลได้ซื้อคืนหุ้นในสัดส่วน 4% ที่ถือครองโดยเนสท์เล่ ซึ่งทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และยังเป็นสินทรัพย์สำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาวของลอรีอัล กรุ๊ป

ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามแผนกธุรกิจ

  • ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพมียอดขายเพิ่มขึ้น 24.8%
  • ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคมียอดขายเพิ่มขึ้น 5.6%
  • ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมียอดขายเพิ่มขึ้น 20.9%
  • ผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายโตขึ้น 31.8%

ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามโซนภูมิภาค

  • โซนยุโรปมียอดขายเพิ่มขึ้น 10.1%
  • โซนอเมริกาเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้น 22.2%
  • โซนเอเชียเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้น 17.6%
  • โซน SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) มียอดขายเพิ่มขึ้น 13.9%
  • โซนละตินอเมริกามียอดขายเพิ่มขึ้น 20.6%
]]>
1374040
“ลอรีอัล” นำร่องพัฒนาหลอดบีบเครื่องสำอางจากกระดาษเป็นครั้งแรก https://positioningmag.com/1251073 Sat, 26 Oct 2019 16:26:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1251073 ลอรีอัล กรุ๊ป พัฒนานวัตกรรมสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางสุดกรีนที่คิดค้นร่วมกับอัลเบีย (Albéa) โดยทั้งสองบริษัทได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์หลอดบีบเครื่องสำอางชนิดแรกที่ทำจากกระดาษ ซึ่งใช้วัสดุฐานชีวภาพ และคุณลักษณะเหมือนกระดาษที่ได้การรับรอง เพื่อนำมาใช้แทนที่พลาสติกที่เป็นส่วนประกอบหลักของหลอดผลิตภัณฑ์

นวัตกรรมดังกล่าวถูกออกแบบให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางบางชนิด เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของทั้งสองแบรนด์

ซึ่งสองบริษัทได้ลงนามในข้อตกลง New Plastics Economy Global Commitment ของมูลนิธิ Ellen McArthur Foundation แพ็คเกจจิ้งนี้จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ และมีแผนที่จะเริ่มการผลิตล็อตแรกในปี 2563

ฟิลิป ธูเวียน (Philippe THUVIEN) รองประธานฝ่ายบรรจุภัณฑ์และการพัฒนาของลอรีอัล กล่าวว่า

“ลอรีอัลพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2550 และวันนี้ได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่จากการใช้วัสดุกระดาษที่ผ่านการรับรองแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างบรรจุภัณฑ์หลอดบีบจากกระดาษสำหรับการบรรจุผลิตภัณฑ์ความงามขึ้นมาใหม่

มีแผนประเดิมเปิดตัวในส่วนผลิตภัณฑ์สกินแคร์ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ทั้งนี้ลอรีอัลมีเป้าหมายในการพัฒนาให้บรรจุภัณฑ์ 100% ของบริษัท สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมภายในปลายปี 2563 ซึ่งนวัตกรรมทางเลือกใหม่นี้นับเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ของลอรีอัล กรุ๊ป”

Source

]]>
1251073
ไม่อยากตกขบวน Huggies, L’Oreal และ Nivea ลุยเต็มที่อีมาร์เก็ตเพลส https://positioningmag.com/1194628 Sat, 27 Oct 2018 02:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1194628 ผ่าวิสัยทัศน์แม่ทัพออนไลน์ 3 แบรนด์ดัง Huggies, L’Oreal และ Nivea บนเวทีงานเปิดตัว BrandIQ แพลตฟอร์มติดตามข้อมูลใหม่ล่าสุดของบริษัท aCommerce ทุกรายยืนยันว่าการติดตามคู่แข่งอย่างต่อเนื่องบนอีมาร์เก็ตเพลสเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการวางสุดยอดกลยุทธ์ค้าปลีกระยะยาว บนความท้าทายใหญ่ที่สุดคือปริมาณข้อมูลมหาศาล ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนทำให้คนที่เร็วกว่าได้เปรียบ

Huggies : ปลาเร็วกินปลาช้า

อวิรุทธ์ ประสิทธิ์นฤทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท Kimberly-Clark Thailand อธิบายเหตุที่ Huggies ลงมาเปิดเล่นเองในอีมาร์เก็ตเพลสไทย ว่าเป็นเพราะช่องทางค้าปลีกบนออนไลน์กำลังจะเป็น “New normal” เนื่องจากการซื้อสินค้าออนไลน์จะเป็นเรื่องปกติในอนาคต

“ผมมองว่าถ้าใครเริ่มช้า ก็จะเสียโอกาส ใครมาช้าเสียหายแน่นอน ข่วงแรก แบรนด์อาจจะเห็นว่าทุนสูง เมื่อเทียบรายได้ที่เข้ามา แต่ในระยะยาวเชื่อว่าคุ้มค่าแน่นอน”

อวิรุทธ์ย้ำว่า วันนี้จำนวนพนักงานขายบนออนไลน์ของแบรนด์ Huggies ระดับโลกมีจำนวนมากกว่าออฟไลน์แล้ว โดย Kimberly-Clark ในหลายประเทศมีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อบริหารกลยุทธ์ออนไลน์และออฟไลน์แบบแบ่งแยกชัดเจน แต่ละฝ่ายมีมาร์เก็ตติ้งหรือฝ่ายการตลาดของตัวเอง ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในอีกหลายแบรนด์ในอนาคต

ผู้บริหาร Kimberly-Clark ย้ำว่า บริษัทให้ความสนใจคู่แข่งสูงมาก และลงทุนซื้อข้อมูลวิเคราะห์คู่แข่งตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ความท้าทายสำคัญในยุคนี้คือการวิเคราะห์คู่แข่งในตลาดออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก

“การเช็กคู่แข่ง ถ้าเป็นออฟไลน์ทำได้ง่ายมาก เราส่งคนไปดูได้ถ้าคู่แข่งจัดโปรโมชั่นตามร้าน เพราะราคาคู่แข่งจะไม่เปลี่ยนอย่างน้อย 14 วันหรือ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าเป็นออนไลน์ วิธีการแทรคต้องต่างกัน ยากกว่ากันเยอะมาก โปรโมชั่นออนไลน์นั้นเปลี่ยนแปลงบ่อยไม่แน่นอน บางทีก็ทำแฟลชเซลกัน ถ้าตามไม่ทันก็เสียโอกาสทันที”

สำหรับการติดตามฟีดแบ็กลูกค้าออนไลน์ อวิรุทธ์เผยว่าใช้วิธีแยกประเภท ว่าฟีดแบ็กนั้นเป็นเรื่องขนส่งหรือเกี่ยวข้องกับสินค้าโดยตรง เมื่อแยกแล้วจะต้องแก้ให้ตรงจุดกับส่วนที่เกิดขึ้น

ในมุมโฆษณาออนไลน์ อวิรุทธ์ประเมินว่า วันนี้ไม่มีใครเชื่อโฆษณาอีกแล้ว แต่ส่วนใหญ่เชื่อรีวิว แนวโน้มนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว บนความคิดว่าคอนซูเมอร์เป็นพวกเดียวกัน แต่แบรนด์เป็นคนที่มาล่อลวง

“หากเกิดปัญหารีวิวแง่ลบ ผมคิดว่าแบรนด์ต้องเข้าไปคุยตอนนั้นเลย อาจจะโทรไป เพื่อเสนอให้สินค้าใหม่หรือคืนเงิน ตรงนี้ใช้ทุนไม่กี่บาทแต่ได้ผลมาก” อวิรุทธ์กล่าว “บล็อกเกอร์วันนี้มีความสำคัญก็จริง แต่ก็ต้องใช้แบบแนบเนียน เพราะบางทีลูกค้าก็ไม่เชื่อ”

อวิรุทธ์มองว่าอุปสรรค์ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ในการทำอีคอมเมิร์ซคือไม่มีความรู้ จากที่เคยส่งสินค้าเป็นล็อตใหญ่ไปที่ผู้ค้าปลีก เมื่อต้องมาจำหน่ายปลีกเองบนออนไลน์จึงไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร แต่ถ้าผ่านโจทย์แรกมาได้ หลายแบรนด์ก็มีความท้าทายเรื่องคน ซึ่งก่อนหน้านี้บุคลากรด้านนี้หายากมาก

“ตอนนี้ทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่สำคัญแล้ว แต่เป็นเรื่องการศึกษาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ทันได้ตลอด ผมคิดว่าธุรกิจวันนี้ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เป็นปลาเร็วกินปลาช้า ถ้ามาเร็ว ก็ทำได้ ใครเรียนรู้ได้เร็วก็ไปได้”

ทั้งหมดนี้ อวิรุทธ์มั่นใจว่าบิ๊กดาต้ามีความสำคัญกับแบรนด์ในการต่อยอดกลยุทธ์ค้าปลีก โดยเฉพาะดิสทริบิวเตอร์ที่จะรู้ว่าใครซื้อครีมทาหน้าท้องสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ก็จะคาดการณ์ได้ว่าครอบครัวนั้นจะต้องสั่งซื้อสินค้าเด็ก นอกจากนี้ สินค้าในครอบครัวนั้นจะเพิ่มขึ้น กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีมิติมากกว่าคนโสด ซึ่งบิ๊กดาต้าจะเชื่อมกันจนอาจทำให้ผู้ชายบางคนเสียใจ ที่ระบบรู้ว่าซื้ออะไรที่ไม่เกี่ยวกับครอบครัว

L’Oreal : คุ้มมากถ้ารู้ได้ว่า ใครซื้อครีมไม่เคยซื้อมาสก์

ประพนธ์ศักดิ์ กัมพลพันธ์ ผู้จัดการอาวุสโส ฝ่ายการขายธุรกิจออนไลน์ บริษัท L’Oreal CPD Thailand ให้ความเห็นถึงการลุยอีมาร์เก็ตเพลสของ L’Oreal ว่าเป็นการลงทุนของแบรนด์ที่จะเลือกมาร์เก็ตเพลสจากภาพกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะมาร์เก็ตเพลสที่มีความเฉพาะทางหรือนิช จุดนี้ L’Oreal จะเน้นเลือกมาร์เก็ตเพลสที่มีแผนพัฒนาระยะยาว และสามารถแชร์ข้อมูลได้มากเพื่อให้ L’Oreal ทำ CRM ได้

ผู้บริหาร L’Oreal เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่งบการลงทุนการตลาดออนไลน์จะใหญ่กว่าตลาดออฟไลน์ เนื่องจากคนไทยยังเอ็นจอยกับการเดินช้อปปิ้ง ขณะเดียวกัน เจเนอรัลเทคก็ยังใหญ่ แบรนด์จึงยังไม่สามารถทำทุกอย่างออนไลน์ได้ แม้ว่าตลาดใหม่จะขยายตัวต่อเนื่อง

ประเด็นการแทรคคู่แข่ง ประพนธ์ศักดิ์ระบุว่าการแทรคทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ และตอบโจทย์การแข่งขันได้ จุดนี้แบรนด์ต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการร้านบนอีมาร์เก็ตเพลสด้วย เพื่อให้แบรนด์เป็นสินค้าแรกที่ปรากฏเมื่อมีการเสิร์ชหาสินค้าบนมาร์เก็ตเพลส

“อัลกอริธึมของมาร์เก็ตเพลสจะดูทั้งยอดขาย ความแอคทีฟในการทำแคมเปญ คอนเทนต์ภายใน คุณภาพรีวิวสินค้า คะแนนเรตติ้ง รวมถึงถ้ามีรีวิวแง่ลบ แบรนด์จะแก้ไขอย่างไร ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องจัดการให้ได้”

เบื้องต้น ประพนธ์ศักดิ์ให้ข้อมูลว่าวันนี้ชาวออนไลน์ไม่เชื่อใน influencer แล้ว L’Oreal จึงต้องไปที่ micro-influencer เป็นหลัก รวมถึงกลุ่มดาวรุ่งหรือ rising star มากขึ้น

“ที่ขาดไม่ได้คือการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะบางมาร์เก็ตเพลสที่ไม่มีระบบ การมีดาต้าในมือจะทำให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์ได้โดยไม่ต้องใช้ทุนสูง ทีมจะตามได้เลยว่าใครซื้อครีมไม่เคยซื้อมาสก์ เราจะส่งข้อความตรงถึงลูกค้าได้โดยไม่ต้องซื้อสื่อ ทั้งหมดนี้ทำได้บนงบประมาณที่ดีมาก แถมยังต่อยอด CRM ได้”

Nivea : Keep your friends close, but your enemies closer 

ปุณณภา ลิมป์ธารสกุล หัวหน้าแผนกฝ่ายการขายธุรกิจออนไลน์ บริษัท Beiersdorf Thailand ผยว่า วันนี้ Nivea โฟกัสการขายบนมาร์เก็ตเพลสอย่างจริงจัง เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งเมื่อไดร์ฟคนให้เห็นโฆษณาได้แล้ว Nivea ก็สามารถดันให้ซื้อได้เลย พร้อมกับดูแลบริการหลังการขายได้

ผู้บริหาร Nivea เชื่อว่าเป็นไปได้ที่แบรนด์ในอนาคตจะเทงบประมาณที่ธุรกิจออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทำให้แบรนด์ต้องตามผู้บริโภคเป็นหลัก กรณีของ Nivea การลงทุนในระบบวิเคราะห์ข้อมูลออนไลน์จะช่วยให้การทำงานของแบรนด์ง่ายขึ้น

สิ่งที่ Nivea เห็นความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมนักช้อปออนไลน์ไทย คือรูปแบบการเสิร์ชที่เปลี่ยนมาเป็นการเสิร์ชในมาร์เก็ตเพลสอย่าง Lazada หรือ Shopee มากขึ้น ซึ่งแต่ละมาร์เก็ตเพลสจะมีระบบแสดงสินค้าโดยคำนวณจากยอดขายที่ต่างกัน

ผู้บริหารแบรนด์ Nivea ย้ำว่า Nivea ติดตามอ่านรีวิวสินค้าจริงจัง เพื่อเชื่อมกับบริการหลังการขาย โดย Nivea มีแผนกปรับสูตรตามฟีดแบ็กของลูกค้า ซึ่งหากบริษัทไม่สามารถลดราคาสินค้าได้ Nivea จะพยายามหาทางอื่นเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งให้ได้

“ถ้าลดราคาที่ตัวสินค้าไม่ได้ก็ต้องทำทางอื่น” ปุณณภาระบุแนวทางทำโปรโมชั่นออนไลน์ โดยกล่าวถึงกลยุทธ์การใช้ influencer ของ Nivea ในอนาคตว่าไม่ได้ยืดส่วนไหนสำคัญเป็นพิเศษ “บอกไม่ได้ว่า influencer หรือ rising star ใครจะสำคัญสุด แต่คิดว่าทุกส่วนสำคัญทั้งหมด”

ความเห็นของผู้บริหารทั้ง 3 แบรนด์นี้ถูกบอกเล่าบนเวทีงานเปิดตัว BrandIQ แพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดของบริษัท aCommerce ที่วางจุดยืนเป็นตัวช่วยให้แบรนด์สามารถติดตามหรือแทรคราคาสินค้าที่ต้องการย้อนหลังได้หลายปี สามารถดูยอดขายสินค้าของคู่แข่งรายอื่น ทั้งบนมาร์เก็ตเพลสและบนเว็บไซต์ของแบรนด์เอง (แบรนด์ดอทคอม)

ผู้ใช้ BrandIQ จะสามารถทราบว่าสินค้าถูกจำหน่ายไปทางไหน มี AI คอยตรวจตราว่าฟีดแบ็กดีหรือร้าย ขณะเดียวกันก็ทำให้แบรนด์ติดตามได้ว่าลูกค้าที่ให้คะแนนแง่ลบ กลับมาให้คะแนนบวกหรือไม่ ทั้งหมดนี้ทำให้แบรนด์ที่เป็นลูกค้า BrandIQ ไม่ต้องทำการสำรวจตลาดเพิ่ม ก็สามารถทราบได้ว่าลูกค้าหลายพันรายที่ซื้อไปนั้นชื่นชอบสินค้าหรือไม่ และเมื่อซื้อสินค้าแล้วหันไปซื้อสินค้าใดต่อ

ปัจจุบัน BrandIQ ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าบนร้านออนไลน์มากกว่า 11 ล้านหน่วย จาก 600 แบรนด์และผู้ขาย จำนวน 160,000 รายในภูมิภาค โดย BrandIQ เริ่มนำร่องให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และได้ขยายไปทั่ว 6 ประเทศอาเซียนทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม

]]>
1194628
ลอรีอัลเล็งสร้าง”รูขุมขน”ด้วย Bio-print สกัดปัญหาผมร่วง https://positioningmag.com/1104459 Fri, 30 Sep 2016 03:51:28 +0000 http://positioningmag.com/?p=1104459 บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการเครื่องสำอาง “ลอรีอัล” (L’Oreal) เผยแนวทางการแก้ปัญหาผมร่วงแบบใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติในการสร้างรูขุมขน พร้อมขอเวลาสามปีเป็นอย่างน้อยในการปรับปรุงกระบวนการ

Jose Cotovio ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของลอรีอัลเผยว่า “หากเราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ชีวภาพ (Bio-print) ให้สร้างรูขุมขนขึ้นได้ จะทำให้เรามีองค์ความรู้เกี่ยวกับชีววิทยาของเส้นผม และเข้าใจถึงความลับของการงอกของเส้นผม รวมถึงการหลุดร่วงด้วย”

พร้อมกันนั้นเขายังเผยว่า รูขุมขนที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิตินั้นจะถูกนำไปใช้ในการทดสอบโปรดักซ์ใหม่ ๆ ได้อีกต่างหาก

“ปัญหาผมหลุดร่วงมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ หากเราประสบความสำเร็จในการหาต้นตอของปัญหา ก็ถือเป็นการปฏิวัติวงการครั้งใหญ่เลยทีเดียว และอาจนำไปสู่ขั้นตอนต่อไป นั่นก็คือ การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อว่าจะเป็นไปได้หรือไม่”

โดยเทคนิคที่ลอรีอัลคาดว่าจะนำมาใช้นั้นเป็นการใช้เลเซอร์เป็นตัวช่วยในกระวนการพิมพ์แบบชีวภาพ ซึ่งเป็นเทคนิคที่พัฒนาโดยบริษัท Poietis โดยเริ่มจากการสร้างแผนที่ดิจิตอลที่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในบริเวณใด และเนื้อเยื่อส่วนใดที่สามารถแทนที่ได้ด้วยโครงสร้างเนื้อเยื่อใหม่ที่สร้างขึ้นมา

จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการพิมพ์โดยยิงแสงเลเซอร์ออกมาผ่านเลนส์ เมื่อเลเซอร์กระทบกับแถบผ้าหมึกที่ประกอบด้วย Bio-ink ก็จะเกิดละอองขนาดเล็กจิ๋วตกลงบนพื้นที่ที่ต้องการ ซึ่งการสร้างเนื้อเยื่อนั้น จะสร้างขึ้นจากละอองขนาดเล็กนี้นั่นเอง โดยสามารถสร้างได้ที่ประมาณ 10,000 หยดต่อวินาที

จากนั้นก็ต้องให้เวลากับเนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นสักระยะเพื่อให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง ก่อนที่จะพัฒนาเป็นรูขุมขนต่อไป ซึ่ง Poietis เผยว่า ปัจจุบันได้มีการใช้เทคนิคดังกล่าวนี้ในการสร้างกระดูกอ่อนแล้วเช่นกัน

ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เวลาที่ใช้ในการพิมพ์ผิวหนังขนาดกว้าง 1 ซม. และหนา 0.5 มิลลิเมตรอยู่ที่ประมาณ 10 นาที แต่รูขุมขนเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าเซลล์ผิวหนังมาก แถมยังประกอบด้วยเซลล์ชนิดต่าง ๆ ถึง 15 ชนิด จึงอาจใช้เวลาที่นานกว่านั้น

สำหรับบริษัท Poietis ไม่ได้เป็นบริษัทเดียวที่พัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีการพิมพ์ชีวภาพ แต่อาจถือได้ว่าเป็นบริษัทเดียวที่พัฒนาโดยใช้เลเซอร์ในการสร้างเนื้อเยื่อ ขณะที่บริษัทอื่นพัฒนาโดยใช้หัวฉีด ซึ่งบริษัท Poietis ให้ความเห็นว่า การใช้เลเซอร์เป็นเทคนิคที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายให้กับเซลล์ได้มากกว่าการใช้หัวฉีด กระนั้น Fabien Guillemot ซีอีโอของบริษัทก็ยังเผยว่า การพัฒนาเทคนิคและองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมมาใช้สร้างรูขุมขนนั้นเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก

“มันเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนมากกว่าโปรเจ็คการพิมพ์โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่เราเคยทำมามาก” Guillemot กล่าว

ส่วน Alopecia UK องค์กรการกุศลที่ให้การสนับสนุนและคำแนะนำด้านปัญหาผมร่วงเองก็เผยว่ามีความรู้สึกที่หลากหลายต่อการพัฒนาครั้งนี้

“การได้รู้ว่าบริษัทอย่างลอรีอัลลงทุนในเทคโนโลยีที่อาจช่วยขจัดปัญหาผมร่วงได้ในอนาคตเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก” Amy Johnson โฆษกของ Alopecia UK กล่าว พร้อมทิ้งท้ายว่า “อย่างไรก็ดี เราคิดว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น หรือหากเทคโนโลยีใหม่นำไปสู่หนทางแห่งการรักษาได้จริง แต่มาพร้อมค่าใช้จ่ายมหาศาล จะมีผู้บริโภคสักกี่คนที่สามารถจ่ายค่ารักษานั้นได้”

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000098345

]]>
1104459