Loan – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 02 Mar 2023 12:12:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Rabbit Care รุกธุรกิจเปรียบเทียบสินเชื่อ มองรายได้รวมโต 50% แม้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง https://positioningmag.com/1421499 Thu, 02 Mar 2023 08:33:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421499 แรบบิท แคร์ (Rabbit Care) มองตลาดสินเชื่อของไทยยังเติบโตได้สูง แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบต่อการอนุมัติสินเชื่อก็ตาม ล่าสุดบริษัทรุกธุรกิจเปรียบเทียบสินเชื่อ ขณะเดียวกันก็คาดว่ารายได้บริษัทในปี 2023 นี้จะโตมากถึง 50%

ไมเคิล มันเฟรด สไตลเบิล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด เปิดเผยถึงตลาดประกันภัยนั้นมียอดเติบโตแบบทบต้นตั้งแต่ปี 2019-2021 เฉลี่ยที่ 3.8% ขณะที่ปี 2022 ที่ผ่านมานั้นเติบโต 4.3%

ขณะที่ช่องทางจำหน่ายกรมธรรม์นั้นมาจาก Broker ประกันภัยสัดส่วนมากถึง 70% แล้ว จากเดิมในปี 2018 ที่มีสัดส่วนเพียงแค่ 59% เท่านั้น โดยภาพรวมระยะยาว ไมเคิลมองว่าจะมีการควบรวมกิจการของ Broker เข้าด้วยกัน เนื่องจากต้นทุนในการทำธุรกิจที่มากขึ้น

ในปี 2022 ผู้บริหารสูงสุดของ Rabbit Care ได้กล่าวว่า ผลประกอบการในปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา แรบบิท แคร์บรรลุเป้าหมายเบี้ยประกันกว่า 3,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้คอมมิชชั่นจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินเติบโตขึ้น 144% ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หลังจากการเปิดตัว CareOS ซึ่งเป็นการพัฒนาเครื่องมือเปรียบเทียบ ผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต เมื่อปีที่ผ่านมา

สำหรับกลยุทธ์ของ Rabbit Care ในปีนี้ ไมเคิล ได้กล่าวถึง ตลาดสินเชื่อในประเทศไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงขึ้น แม้ว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อการอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ส่งผลทำให้ในปีที่ผ่านมายอดสินเชื่อเติบโตแค่ 3% เท่านั้น ลดลงจากปี 2021 ที่เติบโตถึง 4.6%

ขณะเดียวกันเขายังชี้ว่าความต้องการของบริโภคต้องการจะหาสินเชื่อที่เหมาะสมกับตัวเอง จึงทำให้บริษัทมองเห็นช่องทางดังกล่าว

ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในปีนี้ทาง Rabbit Care ได้ขยายบริการสู่ตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล โดยมีการเปรียบเทียบสินเชื่อระหว่างสถาบันการเงินต่างๆ นอกจากนี้ยังรวมถึงการจับมือกับพาร์ตเนอร์รายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง KTC หรือแม้แต่ KBJ Capital ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนระหว่าง Jaymart และ KB Kookmin Card จากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อที่จะเจาะตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น

ไมเคิลยังกล่าวว่าคนไทย 15 ถึง 20 ล้านคนยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัท

นฝั่งของประกันภัยนั้น บริษัทจับมือกับพาร์ตเนอร์เตรียมที่จะออกประกันภัยรถยนต์แบบรายครั้ง (Pay Per Use) ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ไม่ได้ใช้รถยนต์บ่อยๆ แต่ต้องการประกันภัยที่ครอบคลุม

ปัจจุบัน Rabbit Care มีผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น ประกัน ฯลฯ รวมถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อ 16 ผลิตภัณฑ์ โดยในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเพื่อธุรกิจรายย่อย จาก 10 พาร์ตเนอร์ชั้นนำ ทั้งที่เป็นสถาบันการเงิน (Bank) และผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร (Non-bank)

เป้าหมายสำหรับปีนี้นั้น Rabbit Care มีการตั้งเป้าเบี้ยประกันรวมของทุกผลิตภัณฑ์ไว้ที่ 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้รายได้โดยรวมเติบโตจากปี 2022 มากถึง 50% ขณะที่ฝั่งของสินเชื่อคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อ 1,500 ล้านบาทผ่านแพลตฟอร์มของบริษัท

]]>
1421499
AutoX เปิดตัว เงินไชโย ชูกลยุทธ์มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง เจาะกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน https://positioningmag.com/1407949 Fri, 11 Nov 2022 14:39:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1407949 AutoX ผู้ให้บริการสินเชื่อที่มีทะเบียนเป็นหลักประกันและวงเงินหมุนเวียน ภายใต้กลุ่ม SCBX ประกาศเดินหน้าบุกตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียน ภายใต้แบรนด์ เงินไชโย นอกจากนี้ยังชูกลยุทธ์ มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง เพื่อสร้างความรับรู้ในตัวแบรนด์ รวมถึงการให้พนักงานแต่ละสาขาเข้าหาลูกค้าในแต่ละพื้นที่ด้วย

อภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออโต้ เอกซ์ จำกัด ได้กล่าวถึงการเปิดตัวแบรนด์ เงินไชโย ว่าปัจจุบันคนไทยกว่า 95% สามารถที่จะเข้าถึงบัญชีธนาคารได้ อย่างไรก็ดีกลับมีคนไทยราวๆ 36 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 55% ของคนไทยไม่สามารถที่จะเข้าถึงสินเชื่อได้ และปัญหายิ่งเพิ่มสูงขึ้นในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 จึงทำให้เกิดการเปิดตัวธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนขึ้นมาในปี 2022 นี้ และเริ่มให้บริการแบบ Soft Launch ไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

โดยแบรนด์เงินไชโยได้จุดเด่นไม่ว่าจะเป็น

  • สามารถอนุมัติสินเชื่อภายใน 1 ชั่วโมง
  • สินเชื่อดังกล่าวไม่มีค่าธรรมเนียม วงเงินได้เต็มตามที่อนุมัติ แถมประกันฟรีในทุกสัญญา และไม่ต้องมีคนค้ำประกัน
  • บัตรเงินไชโย จ่ายต้นเท่าไหร่ กดได้เท่านั้น ไม่กดเงินใช้ไม่คิดดอกเบี้ย ไว้กดใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ ได้ แต่ถ้าไม่ชำระหนี้บัตรจะถูกปิดการใช้งาน และสามารถกดเงินได้ทุกตู้ ATM ไม่มีค่าธรรมเนียม
  • สาขาของเงินไชโย นั้นให้บริการวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจะใช้บริการผ่าน Application รวมถึงแชตผ่าน Line หรือให้มาบริการถึงบ้านก็ได้

สำหรับระบบของสาขาเงินไชโยจะแยกออกจากระบบของธนาคารไทยพาณิชย์ และจะปล่อยสินเชื่อมูลค่า 50% ของมูลค่าหลักประกัน เช่น รถจักรยานยนต์มีมูลค่า 20,000 บาท ก็จะปล่อยสินเชื่อแค่ 10,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ผู้บริหารของเงินไชโยยังได้กล่าวว่าระบบของเงินไชโยสามารถที่จะผ่อนชำระเป็นรายวันได้อีกด้วย ซึ่งสามารถลดภาระหนี้ของลูกหนี้ลงได้ด้วย

นอกจากนี้เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ เงินไชโย ทาง AutoX ได้นำกลยุทธ์ มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง มาใช้ โดยมีเพลงเพื่อสื่อถึงแบรนด์โดยใช้ภาษาง่ายๆ ดนตรีที่มีจังหวะสนุกครื้นเครงเพื่อที่จะเจาะกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการเดินสายจัดงานคอนเสิร์ตตามจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ และยังรวมถึงการนำพนักงานที่มีในแต่ละสาขานั้นทำความรู้จักกับคนในพื้นที่ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า

ปัจจุบันลูกค้าของเงินไชโยแบ่งเป็นสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 50% สินเชื่อรถยนต์ 25% และสินเชื่อรถเชิงพาณิชย์ 25%

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจหลังจากนี้นั้น ภายในปี 2022 นี้ตั้งเป้าที่จะมีสาขาให้ได้ 1,200 สาขา มียอดสินเชื่อคงค้าง 10,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2025 มีสาขาทั้งหมด 3,000 สาขา มียอดสินเชื่อคงค้าง 70,000 ล้านบาท และตั้งเป้าถึงการนำบริษัทเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2027 ด้วย

]]>
1407949
ให้คนใช้ EV มากขึ้น ธนาคารในออสเตรเลียเลิกเตรียมปล่อยสินเชื่อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปี 2025 https://positioningmag.com/1397101 Mon, 22 Aug 2022 15:28:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1397101 ธนาคารแห่งหนึ่งในออสเตรเลียได้ประกาศเตรียมเลิกปล่อยสินเชื่อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปี 2025 เนื่องจากต้องการผลักดันให้คนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น รวมถึงกังวลในเรื่องสภาวะโลกร้อนที่กำลังสร้างผลกระทบอย่างมากอยู่ในทุกวันนี้

Bank Australia ธนาคารเก่าแก่อีกรายในประเทศออสเตรเลียเตรียมที่จะยกเลิกการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปี 2025 และมองว่านโยบายดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อที่จะทำให้ออสเตรเลียมีรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น รวมถึงทำให้ประชาชนเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้นด้วย

Sasha Courville ผู้บริหารของธนาคารได้กล่าวว่า สิ่งที่ธนาคารทำนั้นได้ส่งสัญญาณไปถึงผู้ที่ต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ว่าควรที่จะเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าหลังจากนี้ เพราะเกี่ยวข้องทั้งสภาวะอากาศที่เปลี่ยนไป รวมถึงการประหยัดต้นทุนตลอดการใช้งาน ขณะที่ธนาคารเลือกปี 2025 ที่จะยกเลิกสินเชื่อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเนื่องจากเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมและเร็วที่สุดที่จะผลักดันเรื่องดังกล่าว

นอกจากนี้ธนาคารรายดังกล่าวยังมองว่าถ้าไม่ยกเลิกสินเชื่อสินเชื่อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันจะทำให้เหมือนล็อกลูกค้าให้ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่ปล่อยมลพิษที่สูงขึ้น แถมยังมีค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นในระยะยาว

ข้อมูลจากรัฐบาลออสเตรเลียนั้น ปัจจุบันออสเตรเลียมีจำนวนรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 2% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกมากถึง 5 เท่า นั่นทำให้รัฐบาลออสเตรเลียพยายามที่จะผลักดันให้มีผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ ผลวิจัยจาก Australia Institute ยังชี้ว่าถ้าหาก 6 ปีที่แล้วออสเตรเลียได้นำนโยบายรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในประเทศจะช่วยให้ออสเตรเลียสามารถประหยัดเงินได้ปีละ 5,900 ล้านเหรียญออสเตรเลียจากการใช้พลังงานประเภทเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลออสเตรเลียกำลังออกมาตรการผลักดันให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ธนาคารจะยังปล่อยสินเชื่อสำหรับรถยนต์มือสองที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นน้ำมันอยู่ โดยธนาคารได้กล่าวว่าถ้าหากตลาดรถยนต์มือสองนั้นเต็มไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าแล้วธนาคารก็จะยกเลิกสินเชื่อดังกล่าวทันที

ที่มา – The Guardian, CNBC

]]>
1397101
คุยกับผู้บริหาร Grab ประเทศไทย ไขข้อสงสัย ทำไมถึงต้องรุกธุรกิจสินเชื่อ https://positioningmag.com/1392840 Sun, 17 Jul 2022 07:08:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1392840 สำหรับแกร็บ (Grab) ในภาพจำหลายๆ คนนั้นอาจเข้าใจว่าแพลตฟอร์มชื่อดังรายนี้มีธุรกิจเพียงแค่ Food Deliveries หรือไม่ก็แค่บริการสำหรับขนส่งเท่านั้น

แต่จริงๆ แล้ว Grab เองก็มีธุรกิจการเงินด้วยเช่นกัน

Positioning ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย ที่จะมาตอบข้อสงสัยว่าทำไมบริษัทถึงต้องลงมาในธุรกิจการเงิน (Financial) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาทำธุรกิจสินเชื่อ

ทำไม Grab ถึงปล่อยสินเชื่อ

กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย ได้กล่าวว่าคนทั่วไปมีภาพจำกับธนาคาร ที่ปล่อยสินเชื่อและหากำไรสูงๆ อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่าธุรกิจหลักที่ Grab ก็คือการส่งอาหาร รวมถึงขนส่ง

วรฉัตร ยังมองว่าธุรกิจการเงินนั้นทำให้วงจรของ Grab สมบูรณ์แบบมากขึ้น เพราะถ้าหากการจ่ายเงินนั้นง่าย การสั่งอาหารก็ทำได้มากขึ้น บริการส่งคนก็ทำได้มากขึ้น และนั่นทำให้คนขับกับร้านค้านั้นมีความสุข เขายังกล่าวว่าบางทีคนขับหน้ามุ่ยเพราะเรื่องเงิน ซึ่งมาจากสาเหตุสำคัญคือหนี้นอกระบบ หรือแม้แต่ร้านค้าที่ได้รับเงินช้า ทำให้เกิดความเครียดขึ้นมา เพราะหลายร้านค้าเองต้องใช้เงินหมุนวันต่อวัน

ปัจจุบันเขาได้กล่าวว่า Grab ตอนนี้จ่ายเงินแทบจะตลอดเวลาแล้ว จากเดิมนั้นจ่ายแบบวันต่อวัน การจ่ายเงินแทบจะตลอดเวลานั้นทำให้คนขับมีความสุขมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีประกันให้กับคนขับ ทำให้คนขับมีความสุขมากขึ้น

อย่างไรก็ดี วรฉัตร ก็ไม่ปฏิเสธว่า Grab ก็มีกรณีคนขับทำตัวแย่ๆ เช่นกัน แต่เขายืนยันว่าเรื่องแย่ๆ นั้นถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากๆ

วรฉัตร ลักขณาโรจน์ – กรรมการบริหาร แกร็บ ประเทศไทย

สินเชื่อของคนขับ

วรฉัตร มองว่าถ้าหากคนขับของ Grab ได้เรตติ้งดีๆ ก็ส่งผลทำให้ Credit Score ดีอีกด้วย นอกจากนี้ก็ได้ผลประโยชน์จากบริษัทนั่นก็คือสินเชื่อ นอกจากนี้เขายังชี้ว่าทำอย่างไรที่จะให้คนขับมีความสุข เพราะหลายครั้งเองเขามองว่ากรณีของคนขับนั้นบางครั้งไม่ได้โวยวายเรื่องของเงิน (ค่าเที่ยว) ตลอดเวลา

นอกจากนี้เขายังได้กล่าวถึง กลุ่มคนรากหญ้าที่มาเป็นคนขับในแพลตฟอร์มว่า มีพฤติกรรมอย่างไร ส่งของดีไหม เมื่อมี Rating การทำงานที่ดี (Behavior Score ) จะส่งผลทำให้ Credit Score ดีด้วย โดยปัจจุบัน Grab นำ 2 ปัจจัยดังกล่าวมาคำนวณสินเชื่อให้กับคนขับด้วย

ปัจจุบันแพลตฟอร์มรายใหญ่นี้ได้ปล่อยสินเชื่อเริ่มต้นที่ 5,000 บาท และมีรายได้ต่อวัน 500 บาทก็เริ่มได้สินเชื่อแล้ว และคนขับแต่ละรายจะได้วงเงินสินเชื่อที่ไม่เท่ากัน วรฉัตรยังย้ำว่า Grab นั้นอยากดูพฤติกรรมของคนขับมากกว่า เหมือนสินเชื่อนั้นเป็นของรางวัล ทำให้คนขับหลายคนเรียกบริการสินเชื่อนี้ว่า “บัง Grab”

สำหรับการวัดว่าคนขับแต่ละคนควรจะได้สินเชื่อเท่าไหร่นั้น บริษัทจะไปดูว่ารายได้แต่ละวันของคนขับเป็นยังไง และไม่ปล่อยให้คนขับมีหนี้มากเกินไป เช่น ถ้าคนขับมีรายได้วันละ 1,000 บาท Grab คิดว่าไม่ควรมีหนี้ที่ต้องจ่ายในแต่ละวันไม่เกิน 200 บาท

ขณะเดียวกัน วรฉัตร กล่าวว่า Grab หักเงินจากคนขับทุกวัน แต่ไม่ได้มาก ฉะนั้นคนขับเองมองว่าไม่ได้เป็นภาระหนี้มากมายอะไร นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าคนขับหลายคนเองก็นำเงินสินเชื่อจาก Grab เองไปใช้หนี้นอกระบบ แล้วตัวของคนขับเองก็มาวิ่ง Grab เพื่อจ่ายหนี้ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานคนขับเหล่านี้ก็หลุดออกจากหนี้นอกระบบ

โดยอัตราดอกเบี้ยที่ Grab คิดกับคนขับนั้นราวๆ 1-2% ต่อเดือน หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ย 33% ต่อปี ซึ่งเป็นเพดานดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ในใบอนุญาต นอกจากนี้สินเชื่อของคนขับเองยังเป็นประเภทลดต้นลดดอกรายวัน ต่างกับธนาคารลดต้นลดดอกรายเดือน

 

วงจรความสุข ซึ่งเป็นโมเดลของ Grab ประเทศไทย

เพิ่มโอกาสให้กับคนขับกับร้านค้าได้ใช้ของดีๆ

วรฉัตร ยังชี้ว่าถ้าหากคะแนนของคนขับมากเพิ่มขึ้น ก็จะมีสินเชื่ออื่นๆ ตามมา เช่น ผ่อนสินค้า 0% พวกเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ทำให้คนขับนั้นเปลี่ยนโลกได้ใช้ของดีๆ ซึ่งแตกต่างกับอดีตคือคนขับถ้าอยากได้โทรศัพท์มือถือต้องไปซื้อมือถือยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ตามร้านค้านอกเมือง และถ้าหากจะซื้อโทรศัพท์มือถือดีๆ และต้องการผ่อนนั้นก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงๆ

เขายังกล่าวว่าในปีที่ผ่านมา ดีลเลอร์รายใหญ่ของ Samsung ประเทศไทยนั่นคือ Grab เนื่องจากขายสินค้าล็อตใหญ่ให้กับคนขับได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ดีๆ ได้

นอกจากนี้ในส่วนของสินเชื่อแล้ว ยังมีส่วนของประกันให้กับคนขับหรือผู้ใช้งานซึ่งมี 3 รูปแบบ

  • ประกันของคนขับที่มีทั้งฟรีและสามารถทำเพิ่มเติมได้ ซึ่งผลตอบรับดีมาก โดยวงเงินประกันตอนนี้คุ้มครอง 1 แสนบาท นอกจากนี้ยังมีประกันรายได้สำหรับคนขับถ้าหากเจ็บป่วยมา ก็จะได้เงินกลับไป โดยสามารถจ่ายเบี้ยประกันเพียงแค่วันละ 1-2 บาท
  • ประกันอุบัติเหตุทั้งหมด ทุกวันนี้คนขับหรือแม้แต่ผู้โดยสารเองก็ได้รับความคุ้มครองด้วย
  • ประกันส่งสินค้าที่มีราคาแพง เช่น ส่งโทรศัพท์มือถือ ส่งโน้ตบุ๊ก ผู้ใช้งานสามารถเลือกจ่ายเพิ่มอีก 1-2 บาท เพื่อเพิ่มวงเงินประกันสินค้าได้

ในกรณีของประกันภัย เขากล่าวว่าบริษัทประกันภัยก็ต้องปรับตัวเองอย่างมาก เขาได้ยกตัวอย่างว่า หลายเจ้ามองเห็นศักยภาพของ Grab หลายบริษัทอยากเข้ามาในโลกดิจิทัล หรือแม้แต่บางกรมธรรม์เองหลายบริษัทก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ปัจจุบันบริษัทได้ใช้ประกันภัยของพาร์ตเนอร์หลายเจ้า

สินเชื่อของร้านค้า เมื่อสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อให้ร้านเหล่านี้เอง

ในส่วนของร้านอาหารเองนั้น เขายังมองว่าหลายครั้งเองที่สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ ซึ่งปัจจุบัน Grab ดำเนินการมาได้แล้วถึง 18 เดือน โดยจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะกระแสเงินสดของร้านอาหารหลายร้านนั้นย่ำแย่อย่างหนัก ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่ทำให้ร้านค้าปิด หลายร้านเองได้เข้ามาคุยกับบริษัท จึงทำให้มีสินเชื่อกับร้านอาหารขึ้นมา

วรฉัตรยังกล่าวเสริมว่า เมื่อร้านค้าขาดกระแสเงินสดนั้นไม่ใช่แค่โอกาสที่ร้านค้าจะปิดตัวลงเท่านั้น ผลกระทบต่อมาคือผู้ใช้บริการมีตัวเลือกร้านอาหารในแพลตฟอร์มน้อยลง คนขับได้เที่ยววิ่งน้อยลงเนื่องจากคนใช้งานน้อยลง และนั่นทำให้ทุกคนแย่กันหมด

ปัจจุบันร้านค้าที่อยู่กับ Grab ส่วนหนึ่งเพราะสิทธิประโยชน์ แต่ปัญหาคือร้านไปขอกู้ธนาคารไม่ได้ แม้แต่ร้านที่มีสาขา 4-5 สาขายังขอสินเชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งๆ มีสินทรัพย์ค้ำประกัน เพราะธนาคารมองว่าร้านอาหารคือกลุ่มเสี่ยงตั้งแต่หลังโควิด-19 เป็นต้นมา

เขายังพูดถึงในกรณีที่ร้านค้าต่างๆ เล่าถึงการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินว่า ก่อนโควิด-19 สถาบันการเงินประเคนให้ทุกอย่าง แต่หลังการแพร่ระบาดโควิด-19 แม้แต่ร้านค้าต่างๆ เอาที่ดินไปค้ำประกันตอนเวลาขอสินเชื่อ สถาบันการเงินเองก็ไม่ให้กู้ด้วยซ้ำ

ปัจจุบันวงเงินสูงสุดของร้านค้าขนาดเล็กอยู่ที่ราวๆ 100,000 บาท

ภาพจาก Shutterstock

สิ่งที่เปลี่ยนไป

กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อมีระบบจ่ายเงินที่ดีแล้ว ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าหาคนขับหรือร้านค้าได้ไวมากขึ้น ทุกคนมีความสุข อีกทั้งยังแก้ปัญหาหลายๆ เรื่อง

เขายังชี้ว่าร้านค้าตอนนี้รับเป็นระบบ Cashless มากถึง 65% แล้ว เมื่อเทียบกับปี 2021 นั้นมีสัดส่วนต่ำกว่า 50% นอกจากนี้เขายังมองว่าระบบดังกล่าวทำให้ Grab เองมีประสิทธิผลที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นสาเหตุที่ทำให้จ่ายเงินได้ไวมากกว่าเดิมด้วย

ขณะเดียวกันสำหรับธุรกิจสินเชื่อที่บริษัททำนั้น ทาง Grab ไม่ได้มองว่า Loan Growth จะต้องโตเท่าไหร่ ซึ่งแตกต่างกับมุมมองของสถาบันการเงิน แต่เขามองว่าคนขับและร้านค้านั้นมีความสุขหรือไม่ ซึ่งตัวเลขล่าสุดที่ทาง Grab ประเทศไทยเปิดเผยนั้น วงเงินสินเชื่อมีอยู่ทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่แล้วเม็ดเงินนั้นเป็นสินเชื่อระยะสั้น

นอกจากนี้สินเชื่อของ Grab เองยังเป็นเหมือนข้อเสนอ ซึ่งร้านค้าหรือคนขับเองเลือกที่จะรับสินเชื่อก็ได้ ไม่รับก็ได้

ในกรณีคนขับที่มีหนี้เสียนั้น บริษัทจะไล่เช็คดูทีละ 3 วัน 5 วัน 7 วัน ถ้าหากหายไปจากระบบทางบริษัทจะติดต่อหาคนขับว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ได้ไปทวงหนี้ ถ้าหากคนขับเกิดอุบัติเหตุก็จะพักหนี้ให้ ซึ่งยอดหนี้ของคนขับส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ที่ราวๆ 5,000-7,000 บาท ขณะเดียวกันทั้งร้านอาหารและคนขับเองก็ไม่อยากเบี้ยวหนี้ เพราะมองว่า Grab เองก็เป็นแหล่งรายได้ของพวกเขา ปัจจุบันสัดส่วนหนี้เสีย (NPL) มีอยู่ราวๆ 2%

ไม่เพียงเท่านี้ วรฉัตร ยังกล่าวว่า สินเชื่อใน Grab เองยังเน้นความโปร่งใส ทำให้คนขับหรือร้านอาหารเห็นว่าในแต่วันต้องจ่ายเท่าไหร่ นอกจากนี้เขายังชี้ว่าคนขับและร้านค้าก็มีการพูดคุยกันเองว่าจะทำยังไงถึงจะได้สินเชื่อ และยังมี Community เช่นใน Facebook ที่มีคำแนะนำซึ่งกันและกันในเรื่องของสินเชื่อด้วย

ครึ่งปีหลังเราจะได้เห็นอะไรบ้าง

กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย ได้กล่าวว่าในครึ่งปีหลังของปี 2022 บริษัทจะมีการปล่อยสินเชื่อให้กับร้านค้าที่เป็นขนาดกลาง เช่น คาเฟ่ หรือร้านค้าที่เป็น SME มากขึ้น โดยวงเงินที่ปล่อยจะเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านบาท หลังจากในครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัทได้ทำ Machine Learning ร้านกลางร้านใหญ่ว่าจะให้วงเงินกู้ขนาดไหน

โดยร้านขนาดกลางที่จะเริ่มปล่อยสินเชื่อนั้นจะเริ่มต้นเจ้าของคนเดียว แล้วค่อยขยับไปยังนิติบุคคล และเขาย้ำว่าไม่ได้ไปแข่งกับสถาบันการเงิน ขณะเดียวกันก็จะใช้โมเดลรากหญ้ามาใช้กับสเกลที่ใหญ่ขึ้น โดยสินเชื่อนั้นจะหักเงินรายวันเหมือนกับกรณีคนขับ เพียงจ่ายแค่วันละ 3,000 ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

สำหรับระบบปล่อยสินเชื่อให้ร้านค้าขนาดกลางนั้น ระบบจะดูว่าแต่ละร้านเป็นยังไง ยอดขายโอเคหรือไม่ วรฉัตร ยังกล่าวเสริมว่า ถ้าหากยอดขายของร้านดี ร้านค้าเหล่านี้จะเบี้ยวหนี้ทำไม สมมติร้านค้าเหล่านี้มียอดขายวันละ 20,000 บาท ผ่อนวันละ 3,000 บาท ร้านค้าสามารถจ่ายได้อยู่แล้ว นอกจากนี้เขายังมองว่าสินเชื่อปล่อยแล้วทำให้ร้านค้าขายดี Grab จะดีใจมากกว่ายอดเงินกู้ที่โตเสียด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ โดยผู้บริหารของ Grab ได้กล่าวว่านอกจากสินเชื่อร้านค้าขนาดกลางแล้ว ยังจะมีสินเชื่อเครื่องครัวที่ร้านอาหารต้องการ รวมถึงจะมีฟังก์ชัน Buy Now, Pay Later ในครึ่งปีหลัง และจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกที

]]>
1392840
ทีเอ็มบี ส่ง “สินเชื่อเพิ่มพลัง” อัดฉีดเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ช่วยแบ่งเบาภาระธุรกิจ https://positioningmag.com/58475 Tue, 23 Sep 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58475

ทีเอ็มบี อัดฉีดลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ด้วยสินเชื่อเพิ่มพลังเอสเอ็มอี ช่วยเสริมสภาพคล่องธุรกิจ ด้วยวงเงิน 3 เท่าเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพิ่มสภาพคล่อง ผ่อนนาน 7 ปี และปีแรกขอผ่อนเฉพาะดอกเบี้ยได้

นายปพนธ์ มังคละธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอสเอ็มอีและซัพพลายเชน ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ทีเอ็มบีมุ่งมั่นมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง เพื่อเปลี่ยนให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้น โดยในขณะนี้ ธนาคารได้ติดตามสถานการณ์ของลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็กอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าในแต่ละช่วงธุรกิจ ทั้งในช่วงที่ธุรกิจดำเนินไปอย่างปกติ ช่วงที่ตึงตัว หรือช่วงที่ลูกค้ามีโอกาสทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุด ทีเอ็มบีได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ “สินเชื่อเพิ่มพลัง เอสเอ็มอี” มาช่วยเป็นพลังเสริมให้ลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็กสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยแบ่งเบาภาระธุรกิจ ในช่วงเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว

สินเชื่อเพิ่มพลัง SME เป็นวงเงินสินเชื่อ สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดเล็ก นิติบุคคลที่ยอดขายไม่เกิน 50 ล้านบาท ต่อปี และธุรกิจเอสเอ็มอีที่ดำเนินโดยบุคคลธรรมดา ยอดขายไม่เกิน500 ล้านบาท ต่อปี  เพื่อให้การสนับสนุนด้านเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ด้วยวงเงินกู้ระยะยาวส่วนเพิ่มสูงสุด 3 เท่าของมูลค่าหลักประกัน (ภายใต้วงเงินเพิ่มสูงสุด 50% ของวงเงินโอดีที่มีกับทีเอ็มบี และ/หรือวงเงินโอดีที่รีไฟแนนซ์มา) ระยะเวลาผ่อนชำระนาน 7 ปี โดยปีแรกสามารถเลือกชำระแต่ดอกเบี้ยได้ สำหรับลูกค้าที่ไม่เคยมีวงเงินกับ ทีเอ็มบี สามารถรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยจะให้วงเงินเท่ากับธนาคารเดิม และให้ส่วนเพิ่ม สูงสุดถึง 50% ของวงเงินโอดีเดิม ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ทีเอ็มบี ทุกสาขา ทั่วประเทศ ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ โทร 0 2828 2828 หรือ ทีเอ็มบี คอนแท็ค เซ็นเตอร์ โทร 1558

]]>
58475
กสิกรไทย-เอเชียทีค หนุนสินเชื่อร้านค้าในเอเชียทีค https://positioningmag.com/57876 Thu, 29 May 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57876

กสิกรไทยจับมือเอเชียทีค ออกสินเชื่อพิเศษหลากหลายหนุนเงินหมุนเวียนให้ผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นการบริโภค ด้วยเล็งเห็นศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ ตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเข้าร่วมโครงการ จำนวน300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้

นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ออกโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อธุรกิจเริ่มต้น บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ สินเชื่อไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับเอสเอ็มอีที่มีข้อจำกัดในการหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันสินเชื่อ แต่ต้องการเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ขยายกิจการ หรือเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ

สินเชื่อ SME กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชี   บริการสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักฐานการเดินบัญชี หรือมีการเดินบัญชีแต่ไม่มีความสม่ำเสมอ โดยธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าจากเอกสารประเภทใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟฟ้า ซึ่งผู้ขอสินเชื่อในโครงการนี้จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 เดือน

นอกจากบริการสินเชื่อดังกล่าวข้างต้น ธนาคารยังมีบริการทางการเงินที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการรับจ่ายเงินของผู้เช่าร้านค้า เพื่อให้ผู้เช่าร้านค้ามีเวลาในการบริหารร้านได้อย่างเต็มที่ ได้แก่ บริการชำระเงินผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติกสิกรไทย เพื่อหักชำระค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่างๆ กับเอเชียทีค ฟรีค่าธรรมเนียม 3 เดือน บริการร้านค้ารับบัตรเครดิตผ่าน K-PowerP@y (mPOS) ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน/แท๊ปเล็ต ทั้งระบบ iOSและ Android ซึ่งจะทำให้การรับชำระเงินจากลูกค้าสะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา และมั่นใจด้วย SMS หรือ email ที่ยืนยันทุกการใช้จ่าย พร้อมโปรโมชั่นจากบัตรเครดิตกสิกรไทย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าในเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ด้วยการออกโปรโมชั่นพิเศษ “อิ่มอร่อย 2 ต่อ รับโชคมากกว่า” ให้กับเอเชียทีคโดยเฉพาะ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้สนใจเข้ามาใช้บริการภายในโครงการมากขึ้

นายพัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการทำธุรกิจ Shopping &Travel Destination ได้รับความนิยมอย่างมาก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสถานที่ที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีการออกแบบให้มีบรรยากาศย้อนยุคแบบโคโรเนียล มีกระบวนการคัดเลือกร้านค้าเพื่อเข้ามาเปิดในโครงการ จึงทำให้กลายเป็นแหล่งรวมร้านค้าที่มีศักยภาพ เพราะความหลากหลายและความน่าสนใจของสินค้ามีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวของผู้บริโภค ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากช่วยเรื่องสภาพคล่องแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ ต้องการให้ผู้เช่าให้ความสำคัญเรื่องการเดินบัญชี ซึ่งจะส่งผลดีเมื่อผู้เช่าร้านค้าต้องการขยายกิจการก็จะสามารถขอสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โครงการนี้ ธนาคารตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้

ด้านนายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ทีซีซีแลนด์ ผู้บริหารโครงการ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์  เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมามีสถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ  ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวลดลง  ผลกระทบที่เห็นคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติลดน้อยลง การบริโภคในภาคครัวเรือน การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐก็ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารกว่า 1,500 ร้าน ก็ยังสามารถดำเนินกิจการไปได้โดยที่ได้รับผลกระทบเป็นบางส่วน  ซึ่งพบว่าปริมาณนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศลดลง โดยกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลงกว่า 25% ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยยังคงแวะเวียนมาไม่ขาดสาย  จำนวนเงินไหลเวียนในโครงการอาจลดลงบ้าง จากการใช้จ่ายต่อคนจากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 1,200 บาท จึงเห็นว่าโครงการที่ธนาคารกสิกรไทยได้นำเสนอเป็นสิ่งที่ดีมาก  ทางโครงการเอเชียทีค จึงได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีค โดยจะให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง สามารถนำเงินไปลงทุนซื้อสินค้า เตรียมตัวขยายกิจการต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง สามารถรองรับการเปิดตลาด AEC และก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง

ด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด กล่าวเสริมว่า นอกจากทางโครงการเอเชียทีค  จะมีแผนการจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวและการช้อปปิ้งภายในโครงการอย่างต่อเนื่องแล้ว  ยังเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างเอเชียทีคและธนาคารกสิกรไทย จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะมาช่วยส่งเสริมให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ามีเงินทุนหมุนเวียนรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจอย่างเพียงพอ ด้วยแนวคิดที่ว่า ธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้น ทุกกลไกที่เกี่ยวข้องต้องเติบโตไปร่วมกัน ทางโครงการจึงคิดแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ในหลากหลายรูปแบบ  รวมทั้งร่วมมือกับธนาคารซึ่งเป็นกลไกหลักในการเสริมสภาพคล่องให้ร้านค้ารวมทั้งผู้บริโภค ทั้งนี้ทางเราเชื่อมั่นว่าจากนี้ไปภาพรวมเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ ดีขึ้น และในระยะยาวจะมีแนวโน้มที่สดใสแน่นอน

]]>
57876
ธนาคารเกียรตินาคิน เดินหน้า สินเชื่อรถกู้เงินด่วน-CarQuickCash ผนึกกำลัง บี-ควิก และเคาน์เตอร์เซอร์วิส เพิ่มช่องทางบริการให้ลูกค้า https://positioningmag.com/57871 Mon, 05 May 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57871

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย นายเฮงก์ เจ คิกส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี-ควิก จำกัด และนายวีรเดช อัครผลพานิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ในเครือซีพี ออลล์ ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับ 2 พันธมิตร ในการเปิดช่องทางการให้บริการสินเชื่อรถกู้เงินด่วน CarQuickCash ผ่านศูนย์บริการบี-ควิก และเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น

สินเชื่อรถกู้เงินด่วน CarQuickCash ของธนาคารเกียรตินาคินมีจุดเด่นในด้านช่องทางการให้บริการที่หลากหลาย อนุมัติไว (ภายใน 1 วันทำการเมื่อได้รับเอกสารครบ) โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน อีกทั้งได้วงเงินสินเชื่อสูงสุดถึง 3 ล้านบาท (100% ของราคาประเมิน) นอกจากนี้ธนาคารยังมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ สินเชื่อรถกู้เงินด่วน CarQuickCash แบบไม่โอนเล่มทะเบียน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกวิธีการผ่อนชำระได้หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งจะเริ่มให้บริการได้ในต้นเดือนพฤษภาคมนี้

นอกเหนือจากการสมัครสินเชื่อรถกู้เงินด่วน CarQuickCash ผ่านสาขาธนาคารเกียรตินาคินแล้ว ผู้ที่สนใจยังสามารถยื่นเอกสารสมัครสินเชื่อพร้อมตรวจรถเพื่อประเมินราคาได้ที่ศูนย์บริการบี-ควิกกว่า 100 สาขาทั่วประเทศได้ ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.30 น. ของทุกวันโดยไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้า สำหรับการสมัครสินเชื่อผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นนั้น สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยการยื่นบัตรประชาชน แจ้งหมายเลขทะเบียนรถ และเบอร์โทรศัพท์ ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นกว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ลูกค้าภายในวันทำการถัดไป นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถคำนวณวงเงินเบื้องต้น ค้นหาราคาประเมินรถยนต์ และสมัครสินเชื่อด้วยตนเองผ่านแอพพลิเคชั่น KK Auto ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งบนระบบ iOS และ Android

ความร่วมมือระหว่างธนาคารเกียรตินาคิน กับบริษัทบี-ควิก จำกัด และบริษัทเคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของธนาคารเกียรตินาคินที่ต้องการมอบการบริการที่สะดวกสบายที่สุดให้แก่ลูกค้าผ่านนวัตกรรมที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนช่องทางการจัดจำหน่ายที่ตอบสนองต่อการดำเนินชีวิตของลูกค้าทุกรูปแบบ สอดคล้องกับสโลแกนใหม่ที่ว่า ”ธนาคารเกียรตินาคิน…BECOME A BETTER YOU”

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารเกียรตินาคินทุกสาขาทั่วประเทศหรือศูนย์บริการลูกค้า โทร 02-680-3333 และ www.kiatnakin.co.th

]]>
57871
ธนาคารเกียรตินาคิน ขยายฐานลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ ต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง https://positioningmag.com/57743 Thu, 27 Mar 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57743

ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีเพื่อลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ โดยมีนายบรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมเปิดงาน พร้อมผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรให้ข้อมูลภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2557 และผู้ทรงคุณวุฒิจากแวดวงต่างๆ ร่วมให้มุมมองต่อลูกค้าผู้ประกอบการ รวมถึงแนะนำสินเชื่อธุรกิจที่รองรับการเติบโตของธุรกิจที่ธนาคารเชี่ยวชาญ 6 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอพาร์ตเม้นต์และโรงแรม ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจฟลอร์แพลน สินเชื่ออุตสาหกรรม และล่าสุดขยายการให้บริการเพิ่มคือสินเชื่อเพื่อเครื่องจักรและวัสดุก่อสร้าง

นายศราวุธ จารุจินดา ประธานสายสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (Mr. Sarawut Charuchinda, Head of Commercial Lending Group of Kiatnakin Bank Plc.) เปิดเผยว่า ธนาคาร ได้ทำการจัดสัมมนาใหญ่ประจำปีของสายสินเชื่อธุรกิจมาโดยต่อเนื่องทุกปีแยกตามธุรกิจ และในปีนี้พิเศษจากทุกปี ธนาคารได้จัดรวมทุกกลุ่มลูกค้าของสินเชื่อธุรกิจในงานเดียว ซึ่งมีลูกค้าและผู้สนใจเข้าร่วมราว 1,000 คน โดยมีนายบรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เข้าร่วมให้มุมมองภาพรวมเศรษฐกิจไทย พร้อมด้วยผู้บริหารจากกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร นำโดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าสายงายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และผู้เชี่ยวชาญจากแวดวงต่างๆ มากมาย  ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ต้องการต่อยอดองค์ความรู้ให้กับลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่คือกลุ่มขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้ได้เข้าถึงแหล่งข้อมูลที่สำคัญในแต่ละด้าน

“ปัจจุบันสินเชื่อธุรกิจมียอดการให้สินเชื่ออยู่ที่ 49,433 ล้านบาท (ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 เป็นสัดส่วน 26% ของสินเชื่อรวม) และในปี 2557 ธนาคารให้ความสำคัญ เน้นการขยายฐานลูกค้าโดยการต่อยอดไปในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ธนาคารยังคงให้สินเชื่อในธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ 6 ด้าน ประกอบไปด้วย สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อธุรกิจอพาร์ตเม้นต์และโรงแรม สินเชื่อธุรกิจขนส่ง สินเชื่อธุรกิจฟลอร์แพลน สินเชื่ออุตสาหกรรม และสินเชื่อเพื่อเครื่องจักรและวัสดุก่อสร้าง สำหรับสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังคงเป็นสินเชื่อหลัก และในปีนี้มุ่งเน้นการให้สินเชื่อในกลุ่มลูกค้าเดิม ส่วนกลุ่มลูกค้าใหม่จะเจาะกลุ่มเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ในโครงการแนวราบบนพื้นที่ศักยภาพ เช่น เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น นครราชสีมา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดีคือสินเชื่อธุรกิจอพาร์ตเม้นต์และโรงแรม และธุรกิจขนส่ง ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยบวกทางการขยายตัวของชุมชนเมือง (Urbanization) และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยเฉพาะโอกาสของธุรกิจในพื้นที่จังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางในแต่ละภูมิภาค และจังหวัดที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนสินเชื่อเพื่อเครื่องจักรและวัสดุก่อสร้างที่ได้เริ่มให้บริการเมื่อปลายปี 2556 นั้น จากการวิเคราะห์พบว่าอุตสาหกรรมการก่อสร้างยังมีโอกาสในการขยายตัวได้สูงในระยะยาวทั้งการลงทุนของภาครัฐและเอกชนในอนาคต โดยกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้นมี 3 กลุ่ม คือ ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง (รายกลางและรายใหญ่) ผู้รับเหมารายใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้นำเข้าเครื่องจักรและผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าเครื่องจักร ในส่วนสินเชื่ออุตสาหกรรม (เดิมคือสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์) จะขยายการให้สินเชื่อไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร การแพทย์ และอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องจากสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์เดิม คือ อุตสาหกรรมกระดาษและพลาสติกอีกด้วย”

]]>
57743
อิออน และ แมคโดนัลด์ เปิดให้บริการนวัตกรรมการชำระเงินรูปแบบใหม่แก่ แมคดิลิเวอรี่ พร้อมเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้าผ่านแคมเปญ “365 วัน…อิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ” https://positioningmag.com/57730 Sun, 23 Mar 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57730

บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำอย่าง บริษัท แมคไทย จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารแมคโดนัลด์ในประเทศไทย เปิดให้บริการการชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟนแก่ลูกค้าแมคดิลิเวอรี่ (McDelivery) โดยลูกค้าสามารถชำระเงินได้สะดวกยิ่งขึ้นผ่านบัตรเครดิตไม่ว่าจะสั่งอาหารที่ไหนก็ตาม 

นอกจากนี้ อิออนได้สานต่อสิทธิประโยชน์เติมความสุขในแคมเปญ “365 วันอิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ ร่วมกับ แมคโดนัลด์ ผู้นำตลาดร้านอาหารรูปแบบไลฟ์สไตล์เร่งด่วน มอบชุดเมนูอาหารสุดคุ้มเมื่อรับประทานที่ร้านแมคโดนัลด์ ทุกสาขาที่ร่วมรายการในประเทศไทย 

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่แข่งแกร่งอย่าง บริษัท แมคไทย จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารแมคโดนัลด์ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเสมอมา ตั้งแต่อิออนได้เปิดให้บริการ อิออน อีซี่เพย์ (AEON Easy Pay) ในเดือนสิงหาคมเมื่อปีที่ผ่านมา เราได้เห็นผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยมีความประสงค์ที่จะชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน และเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ แมคไทย จะเปิดให้บริการการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านสมาร์ทโฟน เป็นครั้งแรกให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการ แมคดิลิเวอรี่ เราเชื่อมั่นว่าอิออนจะสามารถก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านบริการระบบชำระเงินบนสมาร์ทโฟน (mPOS) ซึ่งการร่วมมือกับแมคไทยทำให้เราได้ก้าวขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง คุณยาซูฮิโกะ คอนโดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าว

นอกจากการเปิดให้บริการ อิออน อีซีเพย์ แล้ว เราได้ทำงานร่วมกับแมคโดนัลด์อย่างใกล้ชิดในการเพิ่มสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าของเราผ่านแคมเปญ ‘365 วันอิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ โดยลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตอิออนสามารถซื้อชุดเมนูอาหารของ แมคโดนัลด์ ได้ในราคาพิเศษในร้านที่ร่วมรายการทุกสาขาในประเทศไทย คุณยาซูฮิโกะ กล่าวเสริม 

อิออน อีซีเพย์ คือบริการที่ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตทุกท่านสามารถสัมผัสประโยชน์ของการชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ในการชำระเงินของ แมคเดลิเวอรี่ ซึ่งพิเศษยิ่งขึ้นสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตอิออนจะได้รับพายข้าวโพดจากแมคโดนัลด์ฟรี 1 ชิ้น เมื่อใช้บริการสั่งอาหารผ่าน แมคเดลิเวอรี่  ที่มียอดใช้จ่าย 100 บาทขึ้นไป วันนี้จนถึง 20 พฤษภาคม 2557

ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตอิออน สามารถเพลิดเพลินกับชุดเมนูอาหารสุดคุ้มได้ในราคาเพียง 69 บาท  จากราคาปกติ 139 บาท ในร้านอาหารแมคโดนัลด์ทุกสาขาที่ร่วมรายการ 

คุณเพชรัตน์ อุทัยสาง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แมคไทย จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างแมคโดนัลด์กับอิออน นับได้ว่าเป็นการตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ รวมถึงส่งเสริมภาพลักษณ์และขยายฐานลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์ แมคโดนัลด์คือแบรนด์ร้านอาหารในรูปแบบไลฟ์สไตล์ ซึ่งในปัจจุบัน เราให้บริการลูกค้าในประเทศไทยมากกว่า 8 ล้านคนต่อเดือน โดยเสิร์ฟอาหารอร่อยหลากหลายเมนู พร้อมส่งมอบความสะดวกสบายในการรับประทานอาหารและความคุ้มค่าให้กับลูกค้า สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตอิออน รอยัล ออร์คิด พลัส แพลทินัมอิออนโกลด์และคลาสสิค สามารถอิ่มอร่อยกับอาหารชุดอร่อยสุดคุ้ม ทั้งชุดแมคฟิชชุดแมคนักเก็ตชุดดีลักซ์ชีสเบอร์เกอร์ชุดซามูไรเบอร์เกอร์ ชุดแมคไก่ และชุดสไปซี่ แมควิงส์ ในราคาเพียง 69 บาท อิ่มอร่อยได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2558 ” 

และความพิเศษที่เพิ่มขึ้นสำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ คือการได้ตอบสนองความต้องการ รวมถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และมีความหลากหลาย โดยการอำนวยสะดวกสบายในการชำระเงินผ่านบริการ อิออน อีซี่เพย์  ( mPOS : mobile point of sales service ) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แมคโดนัลด์ มอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่ใช้บริการ แมคเดลิเวอรี่ 1711 ในการชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรเครดิต ซึ่งจากความร่วมมือกันในครั้งนี้ เราคาดว่าจะมีลูกค้าที่ใช้บริการแมคดิลิเวอรี่ 1711 เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะเปลี่ยนวิธีการชำระเงินจากการจ่ายเงินสดมาจ่ายด้วยบัตรเครดิต เพิ่มขึ้นประมาณ 10 -20% ส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้นประมาณ30% ซึ่งความร่วมมือกับอิออนในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความพึงพอใจ และส่งมอบสิทธิประโยชน์ที่มากมายให้กับลูกค้า แต่ยังเป็นความร่วมมือกันในการที่สรรหา และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของทั้งสองแบรนด์ คุณเพชรัตน์ กล่าวเสริม 

อิออน เข้าใจเป็นอย่างดีถึงความต้องการของผู้บริโภคในการใช้ชีวิตประจำวันที่มีมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ อิออน มีความประสงค์ที่จะทำให้เรื่องการใช้จ่ายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ด้วยการมอบบริการการชำระเงินที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเพื่อเติมเต็มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภค” คุณยาซูฮิโกะ คอนโดะ กล่าวปิดท้าย

]]>
57730
อิออนร่วมกับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป สานต่อโครงการแห่งความสุข เปิดตัวแคมเปญ “365 วัน…อิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ” https://positioningmag.com/57688 Thu, 13 Mar 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57688

บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์จำกัด (มหาชนเปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด “365 วันอิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ” เพื่อมอบสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่องให้แก่ลูกค้าผู้ถือบัครเครดิตของอิออน ร่วมกับพันธมิตรอย่าง บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชนผู้นำธุรกิจเอนเตอร์เทนเม้นท์แห่งประเทศไทย

แคมเปญล่าสุด “365 วันอิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ” ได้รวบรวมโปรโมชั่นมากมายซึ่งสร้างสรรค์มาเป็นอย่างดีร่วมกับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชนโดยมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตอิออนที่ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่โรงภาพยนตร์ซึ่งฉายในระบบปกติ ระบบสามมิติ (3D) และสี่มิติ (4DX) ตลอดจนกิจกรรมไลฟสไตล์บันเทิงอื่นๆ เช่น ห้องคาราโอเกะ โบว์ลิ่ง และไอซ์สเก็ต

เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งในการสานต่อความร่วมมืออันดีกับพันธมิตรอย่าง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เพื่อให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตอิออน รอยัล ออร์คิด พลัส แพลทินัม บัตรเครดิตอิออนโกลด์และคลาสสิค โดยในปีที่ผ่านแคมเปญ สุขได้ทุกวันกับบัตรเครดิตอิออน” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้มีผู้มาสมัครบัตรเครดิตอิออนรายใหม่มากถึง 100,000 ราย ซึ่งถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้เราสานต่อโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ต่อเนื่องมาในปีนี้ เพื่อให้เป็นที่มั่นใจว่าผู้ถือบัตรเครดิตอิออนจะได้รับโอกาสเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์มากขึ้น คุณยาซูฮิโกะ คอนโดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์จำกัด (มหาชนกล่าว

เราเข้าใจดีว่าคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ (young adults) ให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณค่าในการดำรงชีวิตหรือไลฟสไตล์ด้วยบัตรเครดิต และเราคาดว่าแคมเปญนี้จะสามารถกระตุ้นให้มีลูกค้าใหม่มาสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตได้มากถึง 200,000 ราย โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มที่เริ่มทำงานที่ชื่นชอบกิจกรรมเอนเตอร์เทนเม้นท์และมีไลฟสไตล์” คุณยาซูฮิโกะ กล่าวเสริม

ในปีที่ผ่านมา อิออนได้รับการตอบรับและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจากแคมเปญนี้ โดยในปีนี้ อิออนคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10 เปอร์เซ็นค์ จากแคมเปญ “365 วันอิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ” นี้ โดยความสำเร็จในธุรกิจบัตรเครดิตของอิออนนั้น ได้เกิดมาจากความสามารถในการให้สิทธิประโยชน์ที่หลากหลายและสิทธิพิเศษที่โดดเด่นแก่ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตอิออน

ตลอดระยะเวลาของโปรโมชั่นนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตอิออนจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่พิเศษมากมายตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อตั๋วหนังทั้งแบบโรงภาพยนตร์ธรรมดา สามมิติ (3D) และสี่มิติ(4DX) 1 ใบจะได้รับบัตรฟรีทันทีอีก 1 ใบ รวมไปถึงการใช้บริการที่คาราโอเกะหรือโบว์ลิ่งของ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ถึง 3 ชั่วโมง รวม 3 ครั้งต่อหนึ่งเดือน ทั้งยังพิเศษมากยิ่งขึ้นกับสิทธิในการเพลิดเพลินไปกับการเล่นไอซ์สเก็ตที่ ซับซีโร่ แบบไม่มีกำหนดชั่วโมงได้อีก 3 ครั้งต่อหนึ่งเดือน นอกจากนี้ผู้ถือบัตรเครดิตอิออนยังได้รับความสนุกสนานร่วมกันกับเพื่อนและครอบครัวอีกด้วย

คุณวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชนกล่าวว่า แคมเปญ ‘365 วันอิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ’ เป็นกิจกรรมการตลาดที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ร่วมกับ อิออน ธนสินทรัพย์  มอบสิทธิประโยขน์ให้กับลูกค้าต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังจากประสบผลสำเร็จจากปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าในการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวที่มีเป็นจำนวนมาก สำหรับการมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้านั้น ทำให้ทั้งสองธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าร่วมกันได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งกลุ่มลูกค้าที่เป็น กลุ่มคนทำงานวัยรุ่น และครอบครัว ที่ได้เข้ามาใช้บริการด้วยสิทธิประโยชน์ที่เหนือใคร กับความสุข ความบันเทิง ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์ที่ลูกค้าชื่นชอบและให้ความสนใจใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น การดูหนังโยนโบว์ลิ่งร้องคาราโอเกะ และเล่นไอซ์สเก็ต เพราะเป็นกิจกรรมความบันเทิงที่คุ้มค่าเพื่อให้ คนรัก เพื่อน ครอบครัว สามารถใช้เวลาอยู่ร่วมกัน พร้อมทั้งยังได้รับสิทธิพิเศษดีๆ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความสุขให้กับลูกค้ามากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ สมาชิกบัตรเครดิตอิออนยังสามารถซื้อชุดเมนูสุดคุ้มจากราคา 139 บาทได้ในราคาพิเศษเพียง 69 บาท ได้ที่แมคโดนัลด์ทุกสาขาทั่วประเทศอีกด้วย

ผมมีความเชื่อมั่นว่าการเปิดแคมเปญ “365 วันอิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ” สิทธิประโยชน์พิเศษนี้จะตอบสนองความต้องการให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี และสามารถช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ที่ต้องการเป็นสมาชิกกับเราได้ในอนาคต” คุณยาซูฮิโกะ กล่าวปิดท้าย

]]>
57688