MINISO – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 30 Oct 2025 14:05:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘มินิโซ’ ส่ง MINISO LAND ร้านระดับสูงสุด ชิงเบอร์ 1 ร้านไลฟ์สไตล์ใน 3 ปี https://positioningmag.com/1544764 Thu, 30 Oct 2025 06:02:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544764 ‘มินิโซ’ ย้ำ ‘ไทย’ คือตลาดสำคัญ เปิดตัว MINISO LAND ร้านระดับสูงสุดครั้งแรก ณ ใจกลางทำเลทอง ‘สยามสแควร์’ ซึ่งรูปแบบร้านดังกล่าวสะท้อนกลยุทธ์ ‘Super IP + Super Store’ ของมินิโซ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในจีน เปิดมา 1 ปี มียอดขาย 100,000 ล้านหยวนต่อสโตร์

 

ก่อนหน้านี้ Positioning ได้นำเสนอถึงการรุกตลาดในไทยของมินิโซ (MINISO) ร้านไลฟ์สไตล์ยักษ์ใหญ่จากจีน ที่ตอนนี้มีสาขากว่า 7,600 แห่ง ในกว่า 120 ประเทศ โดยตั้งแต่ ม.ค. 2568 บริษัทแม่จากจีนได้เข้ามาดำเนินการเอง และวางให้บ้านเราเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อสร้างการเติบโตของแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

มาถึงตอนนี้เราได้เห็นความเคลื่อนไหวอีกระลอก กับการที่มินิโซเปิดตัว MINISO LAND ร้านระดับสูงสุดครั้งแรกในไทย ซึ่งร้านโมเดลนี้ เป็นสโตร์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูง เพราะเป้าหมายไม่ต้องการให้เป็นเพียงร้านค้าปลีกที่ลูกค้า ‘ซื้อแล้วจบเลย’ แต่ต้องการให้ลูกค้าได้ใช้เวลาอยู่กับสโตร์มากยิ่งขึ้น

 

ดังนั้น นอกจากจุดเด่นมีสินค้า IP วางจำหน่ายอยู่กว่า 80% แล้ว การออกแบบและตกแต่งบรรยากาศ จะเน้นสร้างประสบการณ์แบบ Immersive และ Interaction ให้กับลูกค้าเหมือนกับเวทีในการแสดงสินค้า รวมถึงเปิดพื้นที่ให้ศิลปินเจ้าของลิขสิทธิ์จัดเป็นนิทรรศการและแฟนมีตติ้งด้วย

 

ปัจจุบัน MINISO LAND มีอยู่ทั้งหมด 15 แห่งทั่วโลก และจากประสบการณ์ที่จีนร้านโมเดลนี้สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าร้านมินิโซทั่วไปถึง 10 เท่า อย่างที่เซียงไฮ้เปิดมา 1 ปี มียอดขาย 100,000 ล้านหยวนต่อสโตร์

 

สำหรับ MINISO LAND ในไทย ตั้งอยู่ ณ สยามสแควร์ ซอย 8 รูปแบบจะมาในธีม IP แห่งแรกของประเทศ    อยู่บนพื้นที่กว่า 1,000 ตร.ม. มีสินค้า IP มากกว่า 8,300 รายการ และคาแรกเตอร์กว่า 80 ตัว อาทิ Harry Potter, Stitch, Sanrio และการเปิดตัวครั้งแรกของคอลเลกชันใหม่จาก Disney’s Zootopia ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในต่างประเทศ

 

ปัจจุบันมินโซในไทยมีสาขาทั้งหมด 16 แห่ง มีด้วยกัน 3 รูปแบบ ได้แก่

1.MINISO LAND มีพื้นที่กว่า 1,000 ตร.ม. โฟกัสเปิดในทำเลที่มีศักยภาพสูงและศูนย์กลางของการท่องเที่ยว สินค้าที่วางจำหน่ายจะเป็นสินค้า IP กว่า 80%

2.MINISO Flagship Store มีพื้นที่ตั้งแต่ 500 ตร.ม. ขึ้นไป เน้นตั้งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีทราฟฟิกสูง สินค้าที่วางจำหน่ายจะเป็น Lifestyle Product ส่วนสินค้า IP จะดูความต้องการของกลุ่มป้าหมายและโลเคชั่นเป็นหลัก

3.MINISO Store ทั่วไป จะเป็นรูปแบบร้านที่ขนาดเล็กกว่า สินค้าที่วางจำหน่ายจะเป็น Lifestyle Product ทั่วไป

การทำธุรกิจในไทยมินิโซตั้งเป้า 3 ปีต่อจากนี้จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของธุรกิจร้านไลฟ์สไตล์ในไทย โดยมีแผนจะขยายสาขาให้ครบ 100 แห่งภายใน 3 ปี ซึ่งเน้นการเติบโตเชิง ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ปริมาณ’ และด้วยศักยภาพของบริษัทเชื่อว่า จะบรรลุเป้าหมายได้

 

สำหรับการเติบโตของมินิโซในระดับโลก ปี 2024 มีรายได้แตะ 2.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้น 22.8%,    มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 44.9% โดยรายได้ดังกล่าว แบ่งเป็น

-ตลาดในจีน 43.3%

-ตลาดต่างประเทศ 56.7%

]]>
1544764
คุยกับ ‘ซีอีโอ MINISO ในไทย’ ถึงธุรกิจไลฟ์สไตล์ สโตร์ในบ้านเรา ที่ 3-5 ปีจากนี้จะรู้ ‘ใครคือผู้รอด’ https://positioningmag.com/1532847 Thu, 07 Aug 2025 05:12:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532847 คุยกับ ‘จุน หวัง’ ซีอีโอ บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด ผู้บริหาร MINISO Thailand ถึงการเริ่มต้นธุรกิจในไทยด้วยการนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง ในวันที่ตลาดบ้านเราแข่งกันอย่างดุเดือด และทิศทางใหม่ของ MINISO ในระดับโลกที่จากนี้จะไม่ใช้ ‘สงครามราคา’ เป็นกลยุทธ์หลัก แต่จะชูสินค้า IP หรือสินค้าลิขสิทธิ์ทั้งจากพาร์ทเนอร์ และปั้นขึ้นเอง เพื่อเพิ่ม Value และรายได้ ตามรอย Pop mart ที่ประสบความสำเร็จล้นหลามจาก Labubu

 

แม้การรุกรอบใหม่ของ MINISO ในไทยที่ทางบริษัทแม่จากจีน ‘MINISO Group Holding Limited’ ได้เข้ามาดำเนินการเองผ่าน ‘บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด’ จะนำความแข็งแกร่งของบริษัทแม่มาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทั้ง ‘เงินทุน’, ‘การเป็น International Brand’ ที่มีสาขามากกว่า 7,400 แห่ง ในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก และ‘ระบบซัพพลายเชน’ มีโรงงานผลิตกว่า 2,500 แห่งทั่วโลก

 

แต่นั่นก็ถือเป็นการทำธุรกิจแบบ ‘นับหนึ่งใหม่’ เพราะสาขา MINISO ในไทยที่ผู้ถือสิทธิ์เดิมดูแลอยู่ได้ปิดตัวลงทั้งหมด ทำให้มินิโซ วิงกี้ต้องเริ่มต้นเปิดสาขาของตัวเองใหม่อีกครั้ง เมื่อรวมกับการแข่งขันของตลาดไลฟ์สไตล์ สโตร์ในไทยที่ตอนนี้เรียกได้ว่า ดุเดือดจนกลายเป็น ‘ทะเลสีเลือด’ ทั้งจากรายเดิมและรายใหม่ที่กำลังเข้ามา ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ถดถอย 

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ท้าทายเป็นอย่างมากมาย และนำมาสู่คำถามที่ว่า การกลับมานับหนึ่งใหม่ในสนามแข่งขันที่ดุเดือด ทาง MINISO มีความมั่นใจแค่ไหน และอะไรเป็นกุญแจสำคัญ เพื่อทำให้เป็น      ‘ผู้ชนะ’ สำหรับในศึกครั้งนี้

 

แน่นอนผู้ที่ตอบคำถามดังกล่าวได้ดี ก็คือ ‘จุน หวัง’ ซีอีโอ บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด ผู้บริหาร MINISO ในไทย โดยเขามีประสบการณ์ทำงานร่วมกับทาง MINISO Group Holding ตั้งแต่ยุคเริ่มก่อตั้ง รวมระยะเวลามากกว่า 10 ปี ดูแลด้านช่องทางการขาย การเปิดสาขาใหม่ และดูแลการตลาดในหลายประเทศ รวมถึงเป็นผู้บุกเบิกและปลุกปั้นแบรนด์ MINISO ตั้งแต่เข้ามาในไทยครั้งแรกเมื่อปี 2559

การกลับมานับหนึ่งใหม่เพื่อก้าวสู่เบอร์ 1

 

จุน หวัง เล่าว่า เหตุผลของการตัดสินใจเข้ามาดำเนินการเองในไทย หลัก ๆ เป็นการมองภาพใหญ่ในการแข่งขันของธุรกิจรีเทลในไทยที่มีความดุเดือดทั้งตอนนี้และแนวโน้มในอนาคต ทำให้มองว่า การเข้ามาดำเนินการเอง ด้วยการใช้ศักยภาพของบริษัทแม่จะสร้างโอกาสเติบโตได้ดีกว่า เนื่องจาก MINISO ต้องการก้าวสู่เบอร์ 1 ในตลาดรีเทลโลก รวมถึงเบอร์ 1 ในไทยที่ถือเป็นอีกตลาดสำคัญทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

“ก่อนจะเข้ามาได้ทำการบ้านตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด ดูการเติบโตของตัวเองและคู่แข่ง รวมไปถึงการโตของเซ็กเมนต์อื่น ๆ เช่น รถยนต์ มือถือ เครื่องดื่มและอาหาร ฯลฯ และด้วยข้อมูลต่าง ๆ ประกอบกับศักยภาพของบริษัทแม่ ทำให้เรามั่นใจจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้”

 

อย่างไรก็ตาม การกลับมาทำตลาดเองในรอบนี้ อาจจะใช้เวลาในช่วงปีแรกสำหรับการสร้างโมเดลร้านที่มีโดดเด่น และแตกต่าง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้กับแลนด์ลอร์ดต่าง ๆ ซึ่งในไทย จะใช้ MINISO LAND รูปแบบร้านระดับ Top สุดของ MINISO ตอกย้ำแบรนดิ้งและภาพลักษณ์ความเป็นโกลบอล แบรนด์ที่อยากนำเสนอ

 

ขณะเดียวกับก็เร่งขยายสาขาให้มากขึ้น อย่างสิ้นปี 2568 จะมีการขยายสาขาให้ครบ 20 สาขา จากปัจจุบันมีสาขาอยู่ 7 แห่ง กับอีก 1 ป๊อปอัพสโตร์ และจะเพิ่มเป็นอย่างน้อย 100 สาขาทั่วประเทศภายใน 3 ปี

 

เปลี่ยนกลยุทธ์จากสู้ด้วย ‘ราคา’ สู่เพิ่ม Value และรายได้ ผ่านสินค้า IP

 

ขณะที่นโยบายด้านสินค้า จะให้ความสำคัญกับ ‘สินค้า IP’ หรือสินค้าลิขสิทธิ์ เพื่อเพิ่ม Value และรายได้ให้กับตัวเอง รวมถึงสร้างความแตกต่างกับผู้เล่นรายอื่น ตามทิศทางใหม่ของบริษัทแม่ในระดับโลกที่ได้ประกาศใช้เมื่อกลางปี 2567 หลังจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการก่อตั้งแบรนด์ MINISO ขึ้นมาในปี 2556 หรือ 12 ปีที่ผ่าน จะเน้นสินค้าที่มี ‘ความหลากหลาย’ และ ‘ราคาถูก’ เป็นกลยุทธ์หลักเพื่อแข่งขัน

 

“แบรนด์ MINISO อายุ 12 ปีไม่น้อยแล้ว ส่วนในไทยเองก็เข้ามาทำธุรกิจ 9 ปี การจะมุ่งเน้นสงครามราคาตลอด เราจะเป็นแค่ผู้เล่นรายใดรายหนึ่งในตลาดที่รอวันถูกทดแทนจากแบรนด์ใหม่ที่เข้ามา เพราะวันนี้เราราคา 69 บาท พรุ่งนี้รายอื่นก็ 59 หรือ 49 บาทได้ ถ้าเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ ไม่ดีต่อระยะยาวและธุรกิจของเราจะไม่ยั่งยืน”

 

นอกจากนี้ การจะนำเสนอค่ายลิขสิทธิ์ยักษ์ใหญ่ได้นั้น ไม่ได้อาศัย ‘เงินทุน’ เพียงอย่างเดียว ยังหมายถึงความเชื่อมั่นที่บริษัทได้รับการยอมรับจากเจ้าของลิขสิทธิ์ที่รู้กันดีว่า เข้มงวดแค่ไหนกับการคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิ์ ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบสำหรับการแข่งขันในระยะยาว ทำให้คู่แข่งรายใหม่ที่มีขนาดกลางหรือเล็ก ยากจะขึ้นมาแข่งขันกับ MINISO และถือเป็นอีกสเต็ปหนึ่งของการยกระดับแบรนด์ตามนโยบายของบริษัทแม่ด้วย

ปัจจุบัน  MINISO มีสินค้า IP รวมแล้ว 150 ลิขสิทธิ์ จากความร่วมมือกับค่ายลิขสิทธิ์ยักษ์ใหญ่ของโลก อาทิ ดิสนีย์, ซานริโอ, วอร์เนอร์ ฯลฯ เช่น สินค้าจากดิสนีย์นำโดย Stitch, Harry Potter, One Piece ฯลฯ และในอนาคตจะมีพาร์ทเนอร์มาเสริมทัพเรื่องสินค้า IP อย่างต่อเนื่องแน่นอน

 

ขณะเดียวกัน MINISO ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา IP ของตัวเอง เพื่อสร้าง Value ของแบรนด์ให้มากกว่าเดิม เช่น  Wakuku เป็นการพัฒนาร่วมกับ Letsvan และ DunDun คาแรกเตอร์ไก่สุดน่ารัก ฯลฯ โดยที่มาของไอเดียนี้มาจากเห็นและศึกษาความสำเร็จของ Pop mart ที่สร้าง Labubu ให้โด่งดังไปทั่วโลก กลายเป็น Soft power ที่สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด

คู่แข่ง-ตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือความท้าทาย

 

เมื่อถามว่า อะไรคือความท้าทายของการต้องเริ่มต้นธุรกิจแบบนับหนึ่งใหม่ จุน หวัง ตอบว่า ไม่ใช่สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของไทย และเขากลับเชื่อมั่นศักยภาพในเรื่องนี้ของบ้านเราด้วยซ้ำ เพราะนับตั้งแต่ที่เข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อปี 2559 MINISO ก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และแบรนด์ยังคงอยู่ได้แม้มีปัจจัยลบมากระทบ

 

สำหรับเขาแล้ว ‘การเปลี่ยนแปลงของตลาด’ ถือเป็นความท้าทายสำคัญ โดยปัจจุบันตลาดในไทยแตกต่างเป็นอย่างมากจาก 9 ปีก่อนที่ MINISO เข้ามาครั้งแรก ยกตัวอย่าง ในอดีตเปิดสาขา 100 – 200 ตร.ม. ก็สามารถสร้างยอดขายที่น่าพึงพอใจมาก ขณะที่ตอนนี้ไม่ใช่

 

ถัดมา คือ ‘จำนวนผู้เล่นที่มากขึ้น’ ทั้งจากรายเดิมและรายใหม่ที่กำลังเข้ามาอีกมากมาย อย่างในปีนี้จะมีรายใหม่เข้ามา 3-4 ราย ทั้งที่ ‘เปิดหน้าร้านแล้ว’ และ ‘ยังไม่เปิดหน้าร้าน’ แต่ได้มีการเซตอัพบริษัทในไทยไว้เรียบร้อยแล้ว

อีก 3-5 ปีเห็นใครคือตัวจริง

 

จากภาพที่เกิดขึ้น จะทำให้ตลาดไลฟ์สไตล์ สโตร์ในไทยร้อนระอุมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ซึ่งแต่ละรายจะมีแนวทางและจุดแข็งสำหรับแข่งขันแตกต่างกันไป โดยเฉพาะ ‘โมชิ โมชิ’ แบรนด์ไทยที่แม้จะเริ่มช้ากว่าเรา แต่ทำผลงานได้ดี มีการเติบโตที่แข็งแกร่งด้วยจุดเด่นของตัวเอง

 

“ตลาดในไทยจะเดือดเป็นน่านน้ำสีเลือด และหลังจากนี้อีก 3-5 ปี เมื่อฝุ่นหายตลบ เราจะเห็นผู้รอดที่ได้ไปต่อกับคนแพ้ที่ต้องออกจากตลาด เราเองวางแผนรับมือไว้แล้ว เมื่อรวมกับความพร้อมและศักยภาพของเรา ทำให้มั่นใจว่า MINISO ได้ไปต่ออย่างแน่นอน และได้ไปต่อแบบผู้นำตลาด”

 

จุน หวัง ทิ้งท้ายว่า สำหรับเขาการแข่งขันเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งแข่งขันกันมากผู้ได้รับประโยชน์ ก็คือ ‘ผู้บริโภค’ และ MINISO เองก็พร้อมสู้ และ Welcome คู่แข่งทุกราย เพราะ MINISO ไม่ได้แข่งขันเฉพาะที่ไทย หรือเพิ่งออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก

 

“เราแข่งขันมาโดยตลอด ซึ่งสุดท้ายผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินเอง”

]]>
1532847
จับตาจังหวะ MINISO ในไทย ที่ครั้งนี้ ‘บริษัทแม่จากจีน’ ขอลุยเอง https://positioningmag.com/1531480 Tue, 29 Jul 2025 07:54:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531480 จับตาการรุกตลาดในไทยระลอกใหม่ของ MINISO ที่ครั้งนี้ ‘บริษัทแม่จากจีน’ ขอลุยเอง กับเป้าหมายก้าวสู่ ‘เบอร์ 1 ไลฟ์สไตล์ สโตร์ ในไทย’ และวางให้บ้านเราเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับสร้างการเติบโตของแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ก่อนหน้านี้เราได้เห็นข่าวคราวการทยอยปิดสาขาเดิมของ MINISO ในไทย แล้วเปลี่ยนโฉมมาเป็นร้าน Lemony ทำให้มีการตั้งคำถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับ MINISO?’ ซึ่งตอนนี้ได้คำตอบว่า นั่นเพราะ ‘บริษัทแม่จากจีน’ ได้เข้ามาถือสิทธิ์และดูแล MINISO ในไทยเอง โดยดำเนินการภายใต้ ‘บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด’

 

ส่วนเหตุผลที่บริษัทแม่ขอมาลุยธุรกิจเองในไทย ทาง ‘จุน หวัง’ ซีอีโอ บริษัท มินิโซ วิงกี้ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ Positioning ว่า เป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของทางบริษัทแม่ที่ต้องการยกระดับแบรนด์ในระดับโกลบอล ด้วยการใช้ศักยภาพของบริษัทแม่ที่มีอยู่นำมาสร้างความแข็งแกร่งให้ MINISO ในไทยมากขึ้น แบบที่เรียกว่า ยก MINISO ในระดับโลกมาไว้ในไทยเลยทีเดียว

 

เพราะไทยถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญมากในเชิงยุทธศาสตร์สำหรับผลักดันการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ MINISO ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีการเติบโตน่าสนใจมาก ๆ

 

โดยการเริ่มต้นธุรกิจด้วยการนับหนึ่งใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์ของบริษัทแม่ได้เห็นตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กับการเปิดแฟลกชิปสโตร์ครั้งแรกของ MINISO ในประเทศไทย ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์ ภายใต้รูปแบบร้านที่เรียกว่า MINISO LAND ซึ่งเป็นรูปแบบร้านระดับ Top level ของ MINISO

 

“MINISO เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2559 มีบริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด เป็นผู้ดูแล พอถึงจุดหนึ่งเราเห็นว่า ต้องมีการยกระดับแบรนด์ทั้งภาพลักษณ์ การตกแต่ง และมาตรฐานการบริหารจัดการ เนื่องจากการแข่งขันของธุรกิจรีเทลในไทยดุเดือดมากทั้งปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต การที่บริษัทแม่เข้ามาเองจะมีความพร้อมและศักยภาพมากกว่า จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงนี้”

 

ปักหมุดก้าวสู่เบอร์ 1 ไลฟ์สไตล์ สโตร์ในไทย

 

การที่บริษัทแม่ของ MINISO เข้ามาดำเนินการเองในตลาดประเทศไทย เป้าหมายก็คือ ต้องการขึ้นเป็น ‘เบอร์ 1 ไลฟ์สไตล์ สโตร์’ ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนใน 3 ปีต่อจากนี้ โดยการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จะใช้ศักยภาพของบริษัทแม่อย่าง MINISO Group Holding Limited เข้ามาช่วยผลักดัน

 

ไม่ว่าจะเป็น การเป็นแบรนด์ระดับ International ที่มีสาขารวมกว่า 7,400 แห่งในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงการที่บริษัทแม่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ทำให้มีศักยภาพในเรื่องของ ‘เงินทุน’ สำหรับนำมายกระดับแบรนด์ สร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ นำเสนอต่อผู้บริโภค

 

ถัดมา คือ ความแข็งแรงของระบบ ‘ซัพพลายเชน’ โดย MINISO มีโรงงานที่เป็นพาร์ทเนอร์ในการผลิตสินค้าให้มากกว่า 2,500 แห่งทั่วโลก ซึ่งเป็นกำลังหลักในการป้อนสินค้าดี ๆ มีคุณภาพ มาในราคาเข้าถึงง่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี

 

วางแผนพัฒนาสินค้า IP ของตัวเองเหมือน Pop mart 

 

ขณะที่นโยบายด้านสินค้า กลยุทธ์หลักจะให้ความสำคัญกับสินค้า IP เพื่อสร้างความโดดเด่นและความแตกต่างกับ ผู้เล่นรายอื่น ซึ่งตอนนี้ MINISO มีสินค้า IP รวมแล้ว 150 ลิขสิทธิ์ จากความร่วมมือกับค่ายลิขสิทธิ์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง ดิสนีย์, ซานริโอ, วอร์เนอร์ ฯลฯ เช่น สินค้าจากดิสนีย์นำโดย Stitch, Harry Potter, One Piece เป็นต้น และในอนาคตเตรียมหาพาร์ทเนอร์มาเสริมทัพเรื่องสินค้า IP อย่างต่อเนื่อง

 

ไม่เพียงเท่านี้ MINISO อยู่ระหว่างการพัฒนา IP ของตัวเอง หลังจากเห็นความสำเร็จของ Pop mart ที่สร้าง Labubu ให้โด่งดังไปทั่วโลก โดยสินค้า IP ที่ MINISO กำลังปั้นอยู่ เช่น  Wakuku เป็นการพัฒนาร่วมกับ Letsvan และ DunDun คาแรกเตอร์ไก่สุดน่ารัก เป็นต้น

 

นอกจากสินค้า IP แล้ว เพื่อเติมพอร์ตสินค้าให้มีความหลากหลาย MINISO ยังได้เพิ่มไลน์สินค้าในกลุ่ม Art Toy ทั้งกล่องสุ่มและกล่องจุ่ม รวมถึงในอนาคตมีแผนขยับพอร์ตสินค้าในกลุ่มบิวตี้ เครื่องสำอาง และอาหาร ซึ่งจะทำให้ภายในร้าน MINISO ของไทยมีสินค้ามากถึง 12,000-15,000 SKU จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 6,000-10,000 SKU ต่อสาขา  

ขณะที่จำนวนสาขา ปัจจุบัน MINISO ในไทยมีด้วยกัน 7 สาขา กับอีก 1 ป๊อปอัพสโตร์ โดยที่เป็นสาขานั้น ได้แก่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์, เอ็มบีเค เซ็นเตอร์, เดอะมอลล์ ไลฟ์สไตล์บางกะปิ, เดอะมอลล์ ไลฟ์สไตล์ งามวงศ์วาน ฯลฯ และเมื่อถึงสิ้นปี 2568 จะมีการขยายสาขาให้ครบ 20 สาขา ก่อนจะเพิ่มเป็นอย่างน้อย 100 สาขาทั่วประเทศภายใน 3 ปี

 

“จำนวนสาขาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เราตอบตัวเอง ตอบผู้บริโภค ตอบแลนด์ลอร์ดได้ว่า เราจะเป็นเบอร์ 1 ได้หรือไม่ ซึ่งต้องดูสถานการณ์ความเป็นจริงด้วยว่า เรามีความพร้อมและขีดความสามารถในการแข่งขันกับรายอื่นได้แค่ไหน โดยจากความมุ่งมั่นและความได้เปรียบต่างๆ ที่บอกไป เรามีความมั่นใจ”

 

สำหรับ MINISO ก่อตั้งเมื่อปี 2556 โดย ‘จุนยะ มิยาเกะ’ ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น และ ‘เย่ กั๋ว ฟู่’ นักธุรกิจชาวจีน เพื่อทำธุรกิจร้านขายสินค้าทั่วไป ภายใต้จุดขาย 1. การสร้างแบรนด์และมาตรฐานตามแบบฉบับ ‘ญี่ปุ่น’ 2. มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวัน อย่าง กระเป๋า แก้วน้ำ เครื่องสำอาง โคมไฟ ไปจนถึงอุปกรณ์ไอที และ 3. ราคาถูกเข้าถึงง่าย ซึ่งด้วยจุดแข็งเหล่านี้ทำให้ MINISO แจ้งเกิดและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

 

โดยจากรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2025 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2025 ของ MINISO Group Holding Limited พบว่า ปัจจุบัน MINISO มีสาขารวม 7,488 แห่ง แบ่งเป็นในจีนแผ่นดินใหญ่จีน 4,275 แห่ง และตลาดต่างประเทศ 3,213 แห่ง

 

ส่วนผลประกอบการพบว่า แบรนด์ MINISO ทำรายได้ไป 4,085.8 ล้านหยวน หรือราว 563 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.5% มาจากการเติบโตในจีนแผ่นดินใหญ่ 9.1% และตลาดต่างประเทศ 30.3% โดยรายได้ต่างประเทศมีสัดส่วน 39.0% ของรายได้แบรนด์ MINISO เพิ่มขึ้นจาก 34.8% ในปีก่อน

 

ขณะที่ MINISO เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2559 มี ‘บริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด’ เป็นผู้ดูแล ก่อนที่เมื่อเดือนมกราคม 2568 ทางบริษัทแม่จากจีนได้เข้ามาดำเนินการเองโดยตรง ตามแผนที่ต้องการสร้างการเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นอีกพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ทาง MINISO Group Holding Limited ให้ความสำคัญ

]]>
1531480
‘Miniso’ ถือโอกาสค่าเช่าที่ในสหรัฐฯ ลด 20% เร่งเปิดหน้าร้านเพิ่ม 2 เท่า! https://positioningmag.com/1352683 Mon, 20 Sep 2021 09:26:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1352683 ‘Miniso’ (มินิโซ) แบรนด์ค้าปลีกจากจีนที่คุ้นหน้าคุ้นตาชาวไทยเป็นอย่างดี แม้ตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 ทำให้หน้าร้านทั่วโลกต้องปิดชั่วคราว ทำให้ต้องสูญเงินมหาศาลราว 215 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.1 พันล้านบาท แต่ล่าสุด Miniso ก็ถือโอกาสที่ห้างฯ ในสหรัฐลดค่าเช่าที่ เดินหน้าเปิดหน้าร้านเพิ่ม 2 เท่า

ปัจจุบัน มินิโซมีหน้าร้านรวมกว่า 4,800 แห่งทั่วโลกในกว่า 90 ประเทศ ส่วนในสหรัฐฯ มินิโซมี 30 สาขา โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มหน้าร้านเป็น 54 แห่งภายในสิ้นปีนี้ โดยสาเหตุที่มินิโซเร่งขยายสาขามาจากค่าเช่าที่ในห้างสรรพสินค้าของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 20% เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยหนึ่งในหน้าร้านแห่งใหม่ที่เปิดจะเป็นร้านแฟลกชิปที่มีขนาดพื้นที่ 3,300 ตร.ม. โดยตั้งอยู่ในห้างฯ Tangram ในเมือง Flushing รัฐนิวยอร์ก

ไม่ใช่แค่ค่าเช่าที่ที่ถูกลง แต่จากพิษ COVID-19 ช่วยลดจำนวนคู่แข่งไปในตัว โดยแบรนด์อย่าง Flying Tiger Copenhagen เครือร้านวาไรตี้ของเดนมาร์กที่เป็นคู่แข่งกับมินิโซในหลายตลาดทั่วโลกจำต้องปิดร้าน 13 แห่งในสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม มินิโซยังคงมีคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Daiso (ไดโซะ) ซึ่งเป็นเครือร้านทุกอย่าง 1 ดอลลาร์ของญี่ปุ่น ซึ่งทำตลดอยู่ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2005 โดยมีเครือข่ายร้านค้าเกือบ 80 แห่ง

“เราเชื่อเสมอมาว่าเราเป็นธุรกิจระหว่างประเทศ และอเมริกาเหนือเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์ของเรา เราเลือกที่จะขยายธุรกิจในสหรัฐฯ ในขณะนี้ด้วยเหตุผลหลายประการ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านใหม่หลัง COVID-19 ลดลง” Vincent Huang รองประธานบริษัทที่รับผิดชอบด้านธุรกิจในต่างประเทศกล่าว

Vincent Huang กล่าวว่า มินิโซเห็นศักยภาพในตลาดสหรัฐฯ โดยมีโอกาสจะขยายสาขาได้อีก หลายพันแห่ง โดยในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายของมินิโซในสหรัฐฯ ได้ฟื้นตัวในระดับก่อนเกิด COVID-19 โดยเติบโตเพิ่มขึ้น 73% เมื่อเทียบเป็นรายปี

อย่างไรก็ตาม มินิโซไม่เปิดเผยตัวเลขยอดขายในสหรัฐอเมริกาซึ่งเปิดสาขาแรกในแคลิฟอร์เนียในตั้งแต่ปี 2017 แต่เมื่อเดือนที่ผ่านมา มีรายงานว่ารายได้ประมาณ 20% จากรายได้รวม 1.41 พันล้านดอลลาร์ มาจากร้านค้าในต่างประเทศ 1,800 แห่ง ในประเทศต่าง ๆ เช่น เม็กซิโก อินโดนีเซีย และอินเดีย

“เราได้รับความนิยมมากกว่าที่เคยตั้งแต่เกิดโรคระบาด ท้ายที่สุด ผู้บริโภคไม่สนใจว่าเราจะเป็นชาวจีนหรือชาวญี่ปุ่น ชาวอเมริกันหรือชาวยุโรป สิ่งที่ผู้บริโภคกังวลคือพวกเขาสามารถซื้อสินค้าที่คุ้มค่าโดยใช้เงินน้อยที่สุดได้หรือไม่”

Source

]]>
1352683
Miniso เปิดศึกธุรกิจ “ร้านของเล่น” ประเดิมตลาดจีนแห่งแรก งานนี้ Toys ‘R’ Us มีหนาว! https://positioningmag.com/1309372 Mon, 07 Dec 2020 08:29:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1309372 Miniso ร้านจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์จากจีน แตกไลน์ธุรกิจ “ร้านของเล่น Toptoy” เน้นเจาะกลุ่มของเล่นสุดฮิต โดยจะเริ่มที่ตลาดจีนซึ่งกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและมีแนวโน้มจะเป็นที่ตลาดใหญ่อันดับ 1 ของโลกแทนที่สหรัฐฯ ภายใน 2 ปี งานนี้เป็นการชนตรงกับคู่แข่งที่อยู่มานานอย่าง Toys ‘R’ Us

เย่ กั๋วฟู่ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Miniso Group Holding เปิดเผยกับสำนักข่าว Bloomberg ว่า บริษัทเตรียมเปิดร้านแบรนด์ใหม่ “Toptoy” เพื่อจำหน่ายสินค้าประเภทของเล่น ทำเลสาขาแรกที่เมืองกวางโจวประเทศจีน

ความเคลื่อนไหวนี้ เป็นการขยับทางธุรกิจครั้งใหญ่ไม่นานหลังจาก Miniso เข้าเทรดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเป็นการเปิด IPO ในช่วงที่ร้าน Miniso มีแรงหนุนจากกระแสรัดเข็มขัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากโรคระบาด ทำให้ร้านสินค้าไลฟ์สไตล์ราคาถูกอย่าง Miniso ได้อานิสงส์ไปด้วย

เย่กล่าวว่า ด้วยภาพลักษณ์ของบริษัทที่จำหน่ายสินค้าราคาถูกแต่มาพร้อมกับดีไซน์ที่เป็นที่นิยม น่าจะทำให้บริษัทสามารถเจาะช่องว่างตลาดของเล่นในประเทศจีนมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐสำเร็จ เนื่องจากปัจจุบันตลาดนี้มีผู้เล่นหลักแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มของเล่นแบบดั้งเดิม ราคาสูง ซึ่งนำโดยแบรนด์ดังอย่าง Toys ‘R’ Us กับ กลุ่มของเล่นราคาถูก คุณภาพต่ำ ซึ่งวางขายตามร้านขนาดเล็กกับซูเปอร์มาร์เก็ต

“ประเทศจีนยังไม่มีแบรนด์ของเล่นคุณภาพดีของตนเองไว้ตอบรับเด็กๆ เลย” เย่กล่าว

ร้าน Miniso สาขาอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อปี 2018 (Photo : Shutterstock)

Toptoy จะวางตำแหน่งทางการตลาดให้แตกต่างจากคู่แข่งรายเดิม โดยการมุ่งเน้นเฉพาะสินค้าที่เป็นที่นิยมสูงในหมู่เด็กและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นของจีน เช่น ของเล่นที่เรียกกันว่า ‘pop toys’ โมเดลฟิกเกอร์การ์ตูน จำหน่ายในจีนที่ราคา 40 หยวน หรือของเล่น ‘blind boxed’ ตุ๊กตาที่ผลิตตามคาแร็กเตอร์การ์ตูนอนิเมะ แต่ผู้ซื้อจะไม่ทราบว่าจะได้ตุ๊กตาแบบไหนในกล่อง ทำให้การเสี่ยงโชคตามหาตุ๊กตาที่ชอบกลายเป็นหนึ่งในความสนุกของการซื้อ

 

คอนเซ็ปต์ “ถูกและดูดี” ส่งต่อไปสู่แบรนด์ร้านของเล่น

Miniso นั้นเปิดตัวเมื่อปี 2013 และขยายอย่างรวดเร็วสู่ 4,200 สาขาทั่วโลก โดย 60% ของจำนวนสาขาทั้งหมดอยู่ในประเทศจีน ส่วนที่เหลือกระจายไปใน 80 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย ราคาสินค้าในร้านราว 95% จะจำหน่ายในราคา 50 หยวนหรือต่ำกว่า (ประมาณ 231 บาท)

ในร้าน Miniso นั้นมีสินค้าที่ทับซ้อนกับร้านของเล่นอยู่บ้างแล้ว โดยมีของเล่น-ตุ๊กตาที่ผลิตร่วมกันแบรนด์พันธมิตรอย่าง Disney และ Marvel และเย่หวังว่าโมเดลที่ประสบความสำเร็จของ Miniso คือ การขายสินค้าดีไซน์ดีในราคาถูก คอนเซ็ปต์แบบเดียวกับ Uniqlo, IKEA หรือ Costco จะสามารถส่งไม้ต่อไปที่ Toptoy และประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน

ตัวอย่างสินค้าประเภทของเล่นจาก Miniso x Marvel

จุดแข็งที่เย่ชี้ให้เห็นสำหรับ Toptoy คือ บริษัทสามารถเข้าถึงเครือข่ายซัพพลายเออร์ท้องถิ่นของจีน เพื่อให้ผลิตสินค้ามีคุณภาพแก่บริษัทได้ ตัวอย่างเช่น ซัพพลายเออร์รายหนึ่งของ Miniso ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าให้กับ Christian Dior แบรนด์ลักชัวรีจากฝรั่งเศส สามารถผลิตสินค้า “น้ำหอมกลิ่นกุหลาบ” ขนาด 15 มิลลิลิตรให้บริษัทในราคาเพียง 15 หยวนเท่านั้น (ประมาณ 70 บาท)

Euromonitor International ประเมินว่า ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกทั่วไปของจีน Miniso เป็นร้านที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงถึง 60% ของตลาด รองลงมาคือ Muji แบรนด์ของใช้ในชีวิตประจำวันจากญี่ปุ่น มีส่วนแบ่งตลาด 13% อย่างไรก็ตาม ในตลาดร้านของเล่นเต็มตัวนั้นบริษัทจะต้องเจอการแข่งขันจากคู่แข่งที่แข็งแรงมากจากต่างประเทศ

 

“ร้านของเล่น” จีนโตแรง สวนทางกับสหรัฐฯ

Bloomberg Intelligence ประเมินว่า ตลาดร้านของเล่นของจีนนั้นจะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2022 แซงหน้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันด้วยมูลค่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

สาเหตุที่ตลาดร้านของเล่นจีนยังไปได้สวยเป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่าง ในสหรัฐฯ ร้านของเล่นต่างต้องปิดสาขาลงเพราะอีคอมเมิร์ซมาแรงและกลายเป็นช่องทางซื้อของเล่นหลัก แต่พ่อแม่ชาวจีนยังนิยมพาบุตรหลานไปเที่ยวร้านของเล่นเพื่อรับประสบการณ์ตรง จึงทำให้ร้านของเล่นเติบโตอย่างรวดเร็วในจีน

ร้านของเล่นรายใหญ่ Toys ‘R’ Us ยื่นล้มละลายเมื่อปี 2017 และเพิ่งกลับมาฟื้นตัว ขยายสาขาต่อได้เมื่อปลายปี 2019

ผู้เล่นใหญ่ในตลาดของเล่นอย่าง Toys ‘R’ Us แม้จะใหญ่แต่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว เพราะบริษัทยื่นขอล้มละลายไปเมื่อปี 2017 ปัจจุบันแบรนด์นี้มีสาขา 180 สาขาที่ประเทศจีน (โดยร่วมทุนกับ Fung Retailing จากฮ่องกง) มีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดของเล่นจีน 12% ส่วนผู้เล่นจากต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ FAO Schwarz จากนิวยอร์กเพิ่งมาเปิดตัวเมื่อปี 2019 และอีกหนึ่งรายใหญ่ Lego Group มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีกหลายสิบสาขา

แม้จะมีผู้เล่นเหล่านี้ แต่ดูเหมือนเย่จะไม่ได้มองเป็นความท้าทายอันดับแรก เย่มองว่าปัจจัยลบหลักในการเปิดร้านช่วงเวลานี้คือ “โรคระบาด” เพราะทำให้ธุรกิจฝืดทั่วโลก แต่หลังจากเปิด IPO เมื่อเดือนตุลาคม 2020 ร้าน Miniso ก็ยังคงขยายสาขาใหม่เพิ่มอีกกว่า 100 สาขาทั่วโลก ส่วนแผนของร้าน Toptoy หลังจากสาขาแรกที่กวางโจว จะเปิดต่อเนื่องที่เสิ่นเจิ้นและเมืองอื่นๆ ในประเทศจีน

Source

]]>
1309372
“ความเรียบง่าย” ของสินค้าอันเป็นเอกลักษณ์ กำลังย้อนกลับมาทำร้ายยอดขายของ “MUJI” https://positioningmag.com/1239307 Wed, 17 Jul 2019 00:59:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1239307 ภาพ : facebook.com/muji.thailand/

หลังจาก 30 ปีของการทำธุรกิจ MUJI ได้ค้นพบดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เรียบง่ายในสไตล์มินิมอล โดยเชนเสื้อผ้าจากดินแดนอาทิตย์อุทัยโด่งดังในเรื่องปรัชญาการไม่มีแบรนด์ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพยาวนาน และตัดโลโก้แบรนด์ออกจากสินค้า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เอกลักษณ์นี้กำลังย้อนกลับมาทำร้าย MUJI เสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำไรที่หดหายไป

ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่ากว่าทศวรรษที่ผ่านมา MUJI ได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทอดยาวจากโตรอนโตถึงเซี่ยงไฮ้ โดยมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจากปี 2013 ถึงปี 2018

ในขณะที่ยอดขายอยู่ในขาขึ้น แต่น่าแปลกที่ Ryohin Keikaku บริษัทแม่ของ MUJI กลับรายงานว่า ยอดขายจากต่างประเทศซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% กลับทำกำไร” ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี

ที่มา : Facebook MUJI Thailand

MUJI กำลังสูญเสียความสนใจของลูกค้าในประเทศจีน

การลดลงส่วนใหญ่เกิดจากความจริงที่ว่า MUJI กำลังสูญเสียความสนใจของลูกค้าในประเทศจีน จากแบรนด์ที่ออกแบบสินค้าคล้ายคลึงกัน เช่น Miniso, NOME และอื่นๆ มากมาย คู่แข่งเหล่านี้ภาคภูมิใจในการนำเสนอสุนทรียศาสตร์ที่เป็นกลางเหมือนกับของ MUJI แต่ขายในราคาที่ต่ำกว่ามาก

แต่ความแพงนี้มีที่มาไม่น่าแปลกหากสินค้าที่ขายในต่างประเทศจะมีราคาที่สูงกว่าที่ขายในบ้านเกิดด้วยตัวแปรที่ชื่อว่าภาษีซึ่งมีอัตราที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของราคาจึงกลายเป็นแรงกดดันที่สำคัญของ MUJI

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นสำนักข่าว Bloomberg ได้เดินเข้าไปในร้านของ MUJI ที่เซี่ยงไฮ้ โดยหยิบ “สมุดบันทึกเล่มเล็ก” ขึ้นมาแล้วพบว่า ในเมืองจีนมีราคาขาย 25 หยวน (3.64 ดอลลาร์สหรัฐหรือ 112 บาท) เมื่อเทียบกับราคาที่ขายในญี่ปุ่นพบว่าแพงกว่าเล็กน้อย โดยมีราคาอยู่ที่ 315 เยน (2.92 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 90 บาท)

ราคาของสมุดยังถือว่าสมเหตุสมผลแต่เมื่อเทียบกับสินค้าอีกชนิดอย่างพัดลมพกพากลับพบว่า ราคาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ MUJI วางขายในราคา 190 หยวน (27.64 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 854 บาท) แต่ถ้าคุณเดินไปที่ Miniso จะสามารถซื้อสินค้าชนิดเดียวกันนี้ในราคาเพียง 39.9 หยวน (27.64 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 179 บาท) เท่านั้น

“พัดลมพกพา” ของ Miniso – ที่มา : Instagram miniso_us

ตั้งสำนักงานพัฒนาสินค้าสำหรับชาวจีนโดยเฉพาะ

เพื่อต่อสู้กับความแตกต่างของราคา ระหว่างร้านค้าในบ้านเกิดและร้านค้าในต่างประเทศ MUJI มีแผนที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ในประเทศที่พวกเขามีอยู่ ตัวอย่างเช่น ตั้งใจที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในอินเดียมากกว่า 200 รายการ 

ขณะเดียวกันกระบวนการผลิตบางส่วนกำลังถูกย้ายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งต้นทุนแรงงานลดลง แต่ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์หลายอย่างจะยังคงทำในประเทศญี่ปุ่น เช่นเครื่องสำอางเนื่องจากสามารถควบคุมวัสดุดิบได้ดีกว่า

การปรับตัวเช่นนี้สะท้อนว่า ในที่สุดแบรนด์ก็ยอมรับว่า ผลิตภัณฑ์ของตัวเองไม่ได้เหมาะกับทุกคนบนโลก และยังต้องเปลี่ยนการรับรู้ด้วยว่าผู้คนทั่วโลกกำลังซื้อผลิตภัณฑ์ของ MUJI เพียงเพราะนั้นคือ MUJI นักออกแบบในโตเกียวอาจไม่คุ้นเคยกับความต้องการของชาวจีนดังนั้น MUJI จึงต้องหาวิธีคิดเช่นจีนและการออกแบบสำหรับชาวจีนโดยเฉพาะ

ที่มา : Facebook MUJI Thailand

Satoru Matsuzaki ประธานของ Ryohin Keikaku ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ MUJI ยอมรับอย่างสุดซึ้งว่า MUJI จะต้องส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ จำเป็นหรือขาดหายไปจากวิถีชีวิตของผู้บริโภคชาวจีนเนื่องจากพวกเขาซื้อเรา (เพียงผู้เดียวในฐานะแบรนด์ MUJI”

เพราะฉะนั้นภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ MUJI กำลังจะเปิดสำนักงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาโดยเฉพาะ ที่นี่พนักงานท้องถิ่นจะศึกษาแนวโน้มการใช้ชีวิตของชาวจีน และหวังว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผู้บริโภคในตลาดที่มีกำไรมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

Source

]]>
1239307
ครบ 10 ปี Muji บุกนิวยอร์ก แท็คทีม Miniso-Uniqlo ยกพลลุยแคนาดา https://positioningmag.com/1171199 Thu, 24 May 2018 03:23:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1171199 ไม่กี่สัปดาห์หลังจาก Miniso, Uniqlo และ Muji ตกเป็นข่าวร้อนว่ากำลังบุกหนักตลาดค้าปลีกประเทศแคนาดา วันนี้ Muji จัดงานฉลองครบ 10 ปี Muji สาขานิวยอร์ก ด้วยการดึงดีไซเนอร์อเมริกันมาร่วมจัดวางเครื่องเขียนในสวนหินญี่ปุ่น กลายเป็นงานศิลป์ที่จะดึงให้คนกลุ่มใหม่สนใจแบรนด์ Muji มากกว่าเดิม

นอกจากเครื่องเขียน นานาเครื่องใช้และเฟอร์นิเจอร์ของ Muji ก็ถูกรวมลงในงานศิลป์นี้อย่างกลมกลืน ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของ Dylan Davis และ Jean Lee ดูโอคู่หูจากสตูดิโออเมริกัน Ladies & Gentlemen Studio ที่ได้รับมอบหมายให้สำรวจเอกลักษณ์ในสินค้า Muji เพื่อนำเสนองานศิลป์ให้ชาวนิวยอร์กสามารถสัมผัสได้

งานศิลป์นี้ถูกตั้งชื่อว่า Muji Materials Garden จุดนี้สื่ออเมริกันบอกว่าไม่บ่อยนักที่แบรนด์อย่าง Muji จะร่วมมือกับนักออกแบบภายนอก โดยครั้งนี้เป็นแรงดันของประธาน Muji US ชื่อ Toru Tsunoda จนทำให้แบรนด์ได้จับมือนักออกแบบชาวอเมริกันในท้องถิ่น เพื่อให้ Muji ได้เข้าร่วมงาน New York Design Week เป็นครั้งแรก

การแสดงงานศิลป์จะตอกย้ำเอกลักษณ์ของ Muji เรื่องการเป็นสินค้าคิดใหม่ทำใหม่ ขณะเดียวกันก็ไม่มีการติดชื่อแบรนด์ลงในสินค้า เรียกว่าเป็นสินค้าประจำวันสไตล์น้อยแต่มาก minimalist ของจริง 

*** Miniso, Uniqlo, Muji บุกหนักแคนาดา

ย้อนไปเมื่อปลายเมษายนที่ผ่านมา สื่อแคนาดาตีพิมพ์ข่าวใหญ่ว่าหลังจากบริษัทค้าปลีก Ben Moss Jewellers สัญชาติแคนาดาปิดร้านขนาดใหญ่ในห้างสรรพสินค้า Metrotown Mall ในเมือง Burnaby แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Uniqlo ก็คว้าพื้นที่ไป พร้อมกับปรับเปลี่ยนเป็นร้านเสื้อผ้า 2 ชั้นที่โดนใจชาวแคนาดาวงกว้าง

สื่อแคนาดาถึงกับบอกว่า การแข่งขันในวงการค้าปลีกแคนาดานั้นไม่เคยรุนแรงเท่านี้ เพราะวันนี้บริษัทค้าปลีกแคนาเดียนถูกล้อมทุกด้านด้วยการยกพลของแบรนด์เอเชียทั้ง Uniqlo, Muji และ Miniso ซึ่งเปิดร้านแรกในย่าน Metro Vancouver เมื่อปี 2017 บนแผนงานท้าทายเพื่อขยายธุรกิจไปทั่วแคนาดา

ผลคือร้านค้าปลีกของเจ้าบ้านรายเก่าเช่น Sears Canada และ Future Shop กำลังเข้าสู่ภาวะยอดขายฝืดเป็นเวลาหลายปี คาดว่าจะได้รับผลกระทบไม่น้อยจากการบุกตลาดกลุ่มประเทศทวีปอเมริกาของแบรนด์เอเชีย

เรื่องนี้เห็นชัดเมื่อ Yi Ma รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Miniso ซึ่งปัจจุบันดำเนินธุรกิจผ่าน 13 สาขาใน Metro Vancouver ระบุว่ากำลังวางแผนเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา ซึ่งนอกจากนี้ บริษัทจะมองหาเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในย่านการค้าอื่นทั้ง Metrotown และ Richmond Center ด้วย

จุดนี้สื่อแคนาดาเผยว่า การทำโปรโมชั่นลดราคาสินค้า และสถานที่จัดตั้งร้านค้า คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Miniso ประสบความสำเร็จมากขึ้นในแคนาดา โดยร้านค้า Miniso สาขา Granville Street ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจที่คนพลุกพล่านนั้นสร้างรายได้เฉลี่ย 10,000 เหรียญต่อวัน (ราว 250,000 บาท)

ในทางกลับกัน ผู้ค้าปลีกสัญชาติแคนาดากลับถูกมองว่าปรับตัวได้ช้า และยังไม่ดำเนินการเพื่อให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันได้มากเท่าที่ควร แน่นอนว่าไม่เฉพาะค้าปลีกแคนาดาที่จะต้องทำการบ้านหนักทั้งการลงทุนและการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร แต่แบรนด์ค้าปลีกทั่วโลกรวมถึงไทย ก็ต้องปรับใหญ่เพื่อให้สามารถรับมือแบรนด์ค้าปลีกยุคใหม่ให้ได้เช่นกัน.

ที่มา :

]]>
1171199
เบื้องหลังความสำเร็จ Miniso สร้างธุรกิจอย่างไร กว่าจะให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ราคาถูกใจ ซื้อง่าย ไม่ต้องคิดเยอะ https://positioningmag.com/1160939 Sun, 11 Mar 2018 02:29:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1160939 Miniso (Miniso) เป็นอะไรกันแน่ เป็นแบรนด์ที่ไหน ที่สำคัญน่าสนใจอย่างไร

Miniso เป็นร้านขายสินค้าแบบเชนสโตร์ ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในเวลาแค่ 2 ปี เปิดไปแล้วมากกว่า 1,000 สาขาในหลายประเทศในเอเชีย และส่วนอื่น ๆ ของโลก สาขาจำนวนมากกระจายอยู่ในจีนที่ประชากรหลุดพ้นกับดักรายได้ต่ำมาหลายปี มีกำลังซื้อและส่งผลให้แบรนด์เก่าแบรนด์ใหม่ต้องการเข้าไปรองรับ เหมือนที่ Miniso เองก็เติบโตเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มนักช้อปชาวจีน

ความลับความสำเร็จของ Miniso

ยุคดิจิทัลไม่มีอะไรเป็นความลับ ถ้าอยากจะค้นหาความสำเร็จของ Miniso ก็ต้องตามไปแกะรอยกันดูว่ามินิโซสำเร็จได้เพราะอะไร

ใครเคยมีประสบการณ์กับแบรนด์นี้ ลองนึกดูก่อนก็ได้ว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้คุณเดินเข้าไปในร้านนี้ เหตุผลอะไรที่ทำให้คุณซื้อสินค้า เวลาที่คุณอยู่ในร้านคุณรู้สึกอย่างไร ได้ความรู้สึกอะไรใหม่ไหม แล้วอยากรู้จักแบรนด์นี้เพิ่มจากที่เห็นอีกหรือเปล่า

ลูกค้า Miniso จำนวนไม่น้อยรู้จักและมีประสบการณ์กับร้านก่อนที่จะรู้จักแบรนด์ถูกการจัดแต่งหน้าร้านดึงดูดให้เดินเข้าไป

บางคนก็ยอมรับตรง ๆ ว่าเพราะป้ายราคาที่ดูถูกแต่ตัดกับบรรยากาศร้านที่ดูแพงทำให้อยากแวะเข้าไปดู

บางคนที่เคยไปแล้ว ถ้ามีโอกาสผ่านไปอีกก็จะต้องขอแวะเข้าไปใหม่ทุกครั้ง เพราะเชื่อว่าการได้เดินในร้าน Miniso จะทำให้เห็นอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ไม่คาดคิด และบ่อยครั้งที่กลับออกมาพร้อมของติดไม้ติดมือที่อดไม่ได้ทั้งที่ไม่ตั้งใจมาซื้ออะไรตั้งแต่แรก

โดยรวมแล้ว ความรู้สึก และพฤติกรรมทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นที่มาความสำเร็จของ Miniso ในฐานะแบรนด์ค้าปลีกหน้าใหม่ ที่ติดตลาดอย่างรวดเร็ว และไม่ใช่แค่ประเทศเดียว แต่ในหลายประเทศพร้อม ๆ กัน ด้วยการซินเนอร์ยี่จุดแข็งของธุรกิจในเอเชียที่นำมารวมกันไว้ในการให้กำเนิดแบรนด์

เริ่มจากการใช้ดีไซน์สินค้า รวมถึงการจัดแต่งร้านที่ให้ความรู้สึกแบบสินค้าและร้านจากญี่ปุ่น แต่ใช้ฐานการผลิตจากแหล่งซัพพลายเออร์ที่ใหญ่และถูกที่สุดในโลกจากจีน และกระจายไปในตลาดที่มีอัตราเติบโตสูงสุดของโลกในยุคนี้ของภูมิภาคเอเชีย ทั้งในประเทศจีนและอีกหลายประเทศในเอเชีย และไม่ละเลยที่จะเข้าไปเปิดในยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกา รวมทั้งแผนการเปิดร้านแบบปูพรมในอินเดียด้วย ทำให้มินิโซกลายเป็นร้านที่หากคนไม่รู้แบ็กกราวนด์ของแบรนด์ก็เดาไม่ออกเลยว่า แท้จริงแล้วแบรนด์นี้จัดเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น จีน หรือเกาหลีกันแน่ เพราะนับตั้งแต่เปิดตัวมา Miniso Tie-in หนักมากในซีรีส์เกาหลีหลายเรื่อง

ต้นกำเนิดของ Miniso เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2013 นี้เอง โดยโพสิชันนิ่งตัวเองเป็นแบรนด์นิวไลฟ์สไตล์ของโลก ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปี คือราวปลายปี 2015 ก็มีร้านมากกว่า 1,000 สาขา ใน 60 ประเทศทั่วโลก และทำยอดขายรวมสูงถึงราว 750 ล้านเหรียญสหรัฐ และเติบโตอีกเท่าตัวในปี 2016 เป็น 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าภายในปี 2020 จะมีสาขาเพิ่มเป็น 6,000 สาขา และมีรายได้มากถึง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

สถานะของแบรนด์จึงเป็นร้านค้าปลีกที่ทำเงินสวนทางกับทิศทางค้าปลีกที่ถูกตลาดช้อปปิ้งออนไลน์ค่อย ๆ กลืนกินส่วนแบ่งดังที่เห็นทั่วไปในปัจจุบันหรือแม้ Daiso ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายสินค้าราคาเดียวที่เกิดมาก่อนก็ยังเบนเข็มมุ่งไปสู่ค้าปลีกออนไลน์เป็นหลักมากขึ้น

ถอดรหัสความสำเร็จ Miniso ผ่าน Customer Experience

ตัวร้าน Miniso จะตกแต่งแบบทันสมัยสไตล์ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะไปเปิดตัวที่ไหน งานเปิดตัวของร้านจะใช้รูปแบบของวัฒนธรรมญี่ปุ่น มาสร้างสีสันในวันเปิดร้าน พร้อมตอกย้ำให้ผู้บริโภครับรู้ว่าสินค้าของร้านเป็น Japanese Designer Brand ด้วยการติดป้ายไว้ให้เห็นชัดเจนในร้าน

ความโดดเด่นของดีไซน์และการจัดร้านทำให้ไม่ต้องสนใจว่าจะผลิตจากที่ไหนและในการเปิดร้านใหม่ก็จะเชิญบรรดาเซเลบริตี้แต่ละประเทศมาร่วมงาน พร้อมกับกลยุทธ์สร้างแถวยาวเหยียดด้วยโปรโมชั่นในวันเปิดร้าน เพื่อสร้างความสนใจกับกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป

Miniso จะเลือกทำเลที่ตั้งร้านบนถนนสายหลัก ขนาดร้านราว ๆ 200 ตารางเมตร มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 3,000 เอสเคยู ซึ่งทั้งหมดเป็นสินค้าที่ผลิตภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ตั้งแต่สินค้าประเภทเครื่องสำอาง ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องเขียน ของใช้ภายในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก ฯลฯ พร้อมด้วยกลยุทธ์โฆษณาหน้าร้านด้วยป้ายสินค้าราคาถูก ทำให้สินค้าโดยรวมในร้านก็จะไม่เน้นจำหน่ายของราคาแพง แต่จะเน้นสินค้าที่เด่นด้วยดีไซน์เป็นหลัก ต่างจากที่จำหน่ายในร้านค้าทั่วไป

แล้วถ้าจะถามว่าใครที่ชอบเดินดูเดินซื้อของบ่อย ๆ โดยมากมักหนีไม่พ้นกลุ่มผู้หญิง  Miniso เองก็เลือกที่จะทาร์เก็ตกลุ่มสาว ๆ เป็นหลัก ที่ชื่นชอบทั้งเรื่องดีไซน์ของสวย ๆ งาม ๆ อะไรที่ใหม่ ๆ มาไวไปไว

ภาพที่พบเห็นได้จากลูกค้าในร้าน Miniso ที่กล่าวมานี้ เมื่อนำมาถอดรหัสก็จะพบกลยุทธ์สำคัญไม่กี่เรื่อง ที่เป็นองค์ประกอบความสำเร็จที่แท้จริงของ Miniso นั่นเอง โดยกลยุทธ์สำคัญที่ Miniso ใช้ได้แก่

1. ใช้จุดแข็งของคาแร็กเตอร์ความเป็นญี่ปุ่น ที่ได้รับการยอมรับเรื่องดีไซน์และไลฟ์สไตล์ รวมถึงมาตรฐานสินค้าเป็นตัวชูโรง เริ่มตั้งแต่การออกแบบร้าน การจัดวางสินค้า ชุดพนักงาน การให้บริการ รวมทั้งการใช้ตัวอักษรคันจิ (อักษรจีนที่ใช้ในภาษาญี่ปุ่นประกอบการตกแต่งในร้าน รวมถึงใช้ในตัวโลโก้ซึ่งมีทั้งแบบที่ใช้อักษรตัวฮิรางานะและภาษาอังกฤษที่มีอักษรจีนอยู่ด้านล่าง

2. เลือกทำเลสำคัญ ในต่างประเทศส่วนใหญ่ Miniso จะเลือกเปิดบนถนนช้อปปิ้งที่สำคัญ ยกเว้นประเทศไทย ที่ส่วนใหญ่เน้นเปิดในศูนย์การค้า เพราะคนไทยชอบไปเดินห้าง และปัจจุบันมีสาขาเข้าไปกว่าครึ่งร้อยแล้ว

การเลือกทำเลแบบนี้เข้าตำรา High Risk, High Return. เพราะเป็นจุดที่มีทราฟิกสูงแต่ต้นทุนค่าใช้จ่ายก็สูงด้วย ยิ่งสำหรับบริษัทที่ขายสินค้าประเภทฟาสต์มูฟวิ่งที่มีข้อจำกัดในการทำกำไร แต่ก็ยังมีข้อดีในเรื่องของทำเลที่จะทำให้ร้านเป็นที่รู้จักและถูกเห็นอย่างรวดเร็ว

รวมถึงจุดที่เซอร์ไพรส์ที่สุดก็คือ การขายของถูกในทำเลค่าเช่าแพง ยิ่งทำให้คนรู้สึกของที่ขายไม่แพงเข้าไปอีก แต่ถ้าขายไม่ดีจริงถือว่าเสี่ยงสุด ๆ 

แต่ Miniso ใช้หลักการว่า ถ้าทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าอะไรสักอย่างที่ราคาไม่แพงได้ตลอดเวลา มันก็คุ้มที่จะลองเสี่ยงดู เพราะการอออกแบบร้านที่เปิดโล่ง ต่อให้ไม่คิดจะซื้ออะไรก็เปิดโอกาสให้ลูกค้าเดินเข้ามาชมเล่น ๆ ด้วยความยินดี ยิ่งของราคาไม่แพงโอกาสหยิบติดไม้ติดมือกลับไปก็มีสูง

3. ยกระดับสินค้าด้วยการดีไซน์และแพ็กเกจจิ้ง แม้จะเน้นขายราคาถูก ไม่ว่าใครก็ชอบของดีราคาถูก ถึงแม้จะรู้ว่ามันอาจจะไม่มีอยู่จริงในโลกนี้

ในบรรจุภัณฑ์ของสินค้าในร้าน Miniso จะเลือกใช้ตัวอักษรคันจิ (อักษรจีนในภาษาญี่ปุ่น) เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ซื้อบนบรรจุภัณฑ์ วิธีนี้ได้ประโยชน์สองต่อเพราะได้ทั้งความเป็นญี่ปุ่นและเอาใจลูกค้าจีนซึ่งถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ทั้งในจีนและอีกหลายประเทศที่มีการใช้ภาษาจีนอีกด้วย

4. ยืมมือแบรนด์ดังช่วยขาย สินค้าบางไอเท็มของ Miniso ยอมเพิ่มต้นทุนด้วยการซื้อลิขสิทธิ์แบรนด์ดังมาใช้ในการผลิตสินค้า เช่น การใช้ตัวการ์ตูนดิสนีย์กับสินค้าขนาดเล็กที่ทำให้สินค้าได้รับความสนใจมากขึ้น นอกเหนือจากได้เรื่องการยกระดับภาพลักษณ์ของค้าปลีกที่เกิดมาเพื่อขายสินค้าราคาถูกแต่มีดีไซน์ที่ได้รับการยอมรับได้เร็วขึ้นจากลิขสิทธิ์เหล่านี้ เพราะอย่างน้อยก็จะทำให้ลูกค้าที่เคยมีประสบการณ์กับสินค้าลิขสิทธิ์มาก่อนอึ้งไปว่า สินค้าถูกลิขสิทธิ์ขายได้ราคาถูกแบบนี้ด้วยหรือ 

เรื่องเด็ดของดีไซน์และแพ็กเกจ ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เห็นร้าน Miniso แล้วหลายคนคิดถึงมูจิ (MUJI) แบรนด์ที่ทำให้สินค้าธรรมดาที่เน้นประโยชน์ด้านการใช้งานกลายเป็นของมีระดับประสบความสำเร็จมาแล้วนั่นเอง

5. ราคา ที่ดึงดูดลูกค้ามาก ๆ คือความรู้สึกถูกกว่าที่คิดผู้บริหาร Miniso เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องการออกแบบสินค้าอย่างมาก โดยสินค้าที่เลือกผลิตมาจำหน่ายจะต้องเป็นสินค้าที่อยู่ในเทรนด์เรียบง่ายดูดีด้วยดีไซน์ แต่ต้องทำให้นักช้อปเซอร์ไพรส์กับราคาที่คิดไม่ถึง

ที่จีน Miniso จะดึงลูกค้าเข้าร้านด้วยป้ายราคา 10 หยวน แต่ที่ไทยเริ่มต้นที่ 69 บาท แต่ผลปรากฏว่า ลูกค้ามักจะหยิบสินค้าที่แพงกว่าราคาหน้าร้าน โดยสินค้าในร้านที่อยู่ในราคาเริ่มต้นจะมีเพียง 30-40% ของสินค้าทั้งหมด ที่เหลือจะเป็นสินค้าที่ราคาสูงกว่า แต่ด้วยความที่การจัดเรียงสินค้าสวยงาม บรรจุในแพ็กเกจจิ้งและมีดีไซน์สวย ทำให้ลูกค้ายอมรับได้กับราคาที่แพงขึ้นและไม่รู้สึกว่าสินค้านั้นแพง

โดยร้านก็จะไม่สะกิดใจลูกค้าด้วยราคา เพราะฉะนั้นตรงชั้นวางจะไม่มีป้ายราคาแต่จะมีติดไว้เป็นโซน ๆ

ดังนั้นแม้ Miniso จะถูกพูดถึงว่าเป็นร้านสินค้าทุกอย่างราคา 69 บาท แต่จริง ๆ แล้วในสต๊อกของร้านมีสินค้าที่แพงกว่านั้นในสัดส่วนที่มากกว่า และแต่ละรายการมีกำไรต่อชิ้นขั้นต่ำประมาณ 25%

6. สินค้าหลากหลาย การหาสินค้าแปลกใหม่หมุนเวียนเข้ามาในสไตล์ฟาสต์มูฟวิ่งโปรดักต์จำนวนมากนี้ ไม่ใช่เรื่องเหนื่อยสำหรับ Miniso เพราะบริษัทมีโรงงานขนาดใหญ่ที่ผลิตได้ในต้นทุนต่ำในจีน และ Miniso ยังมีทีมงานที่จะคอยต้อนรับและหาซัพพลายเออร์จำนวนมากจากทั่วโลกมานำเสนอสินค้าให้คัดเลือกมาจำหน่าย และใช้เทคนิคการบริหารรอบการจ่ายเงินที่เหมาะสม ซึ่งช่วยทำให้ลดต้นทุนสินค้าไปด้วยในตัว

7. ความไว เป้าหมายของ Miniso คือให้ลูกค้าแวะและซื้อของติดมือทุกครั้งที่แวะมา นั่นแสดงว่าบริษัทก็ต้องหาสินค้าใหม่ ๆ มารองรับซึ่งต้องเปลี่ยนอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสินค้าประเภทฟาสต์แฟชั่นเสียอีก สำคัญกว่านั้นคือต้องขายออกอย่างรวดเร็ว ซึ่ง Miniso ใช้หลักการขายสินค้าด้วยคอนเซ็ปต์ของการขายอาหารคือขายให้ไวที่สุดก่อนที่สินค้าจะหมดอายุ แม้สินค้าที่ขายจะเป็นนอนฟู้ดก็ตาม

ทั้งนี้ Miniso มีสินค้าประเภทอาหารจำหน่ายเล็กน้อยในร้าน ส่วนใหญ่เป็นพวกเครื่องดื่มและขนม แต่มีแผนจะขยายสินค้าในแผนกนี้เพิ่มขึ้นในอนาคต ตามรอยแม่แบบอย่างมูจิทีละสเต็ปกันเลยทีเดียว

บทสรุปจากแบรนด์ Miniso

1. มีผู้นำย่อมมีผู้ตาม ความสำเร็จอย่างรวดเร็วของ Miniso ทำให้เกิดการขยายตัวของร้านสินค้าราคาเดียวหลายร้าน ในระดับเอเชียทำให้ร้าน Daiso ซึ่งเกิดมาก่อน ตื่นตัวอีกครั้ง และทำให้แบรนด์ต้นแบบอย่าง MUJI ยิ่งต้องรักษามาตรฐานและยกระดับระยะห่างขึ้นไปอีก แต่ความสำเร็จของ Miniso ทำให้หลายแบรนด์เห็นโอกาสและช่องว่างที่จะแทรกตัวเข้ามาในตลาด จนทำให้เกิดร้านประเภทเดียวกันจำนวนมาก รวมทั้งร้านทุกอย่าง 20 บาทก็เริ่มพัฒนายกระดับตัวเองเช่นกัน

2. แบรนด์ยุคใหม่ไม่จำเป็นต้องมีสัญชาติชัดแต่คอนเซ็ปต์ต้องชัด กรณีของ Miniso ออกมาแรก ๆ ทุกคนงงว่าตกลงแบรนด์นี้เป็นของชาติไหนกันแน่ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ที่จะสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่จะทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จได้มากกว่า อีกทั้งผู้บริโภคยุคนี้ก็ยอมรับได้ว่าคุณภาพการผลิตสินค้าจะผลิตที่ไหนไม่สำคัญเท่ากับการควบคุมมาตรฐานการผลิตของแบรนด์

3. การลดสเกลเพื่อตอบสนองผู้บริโภคใกล้ตัว เมื่อ Miniso ตามรอยมูจิได้ด้วยการใช้ความแตกต่างเรื่องราคา สิ่งที่เกิดขึ้นกับแบรนด์เล็ก ๆ ในไทย ก็ทำให้ Miniso มีคู่แข่งแบรนด์ต่าง ๆ เกิดขึ้นด้วยความเชื่อแบบเดียวกันจากร้านราคาเดียวซื้อง่ายไม่คาดหวังคุณภาพสินค้าสูง   

]]>
1160939
ผ่าธุรกิจ ร้านราคาเดียว เกาะกระแสญี่ปุ่นดูแพงขายถูก ปูพรมสาขา ตลบหลังค้าปลีกซบออนไลน์ https://positioningmag.com/1152434 Wed, 03 Jan 2018 23:07:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1152434 ขณะที่เจ้าตลาดค้าปลีกรายใหญ่ คิดหนักกับการลงทุนหน้าร้าน หรือ Physical Store ที่มีต้นทุนสูง ทั้งค่าเช่าที่ ตกแต่ง สต็อกสินค้า จ้างพนักงาน สวนทางกับยุคที่ค้าปลีกออนไลน์กำลังเฟื่องฟู และเลือกที่จะหันไปวางกลยุทธ์หาแนวทางเติบโตจากอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น แต่ร้านค้าประเภททุกอย่างราคาเดียว กลับคิดตรงกันข้าม ทั้งแบรนด์เก่าแบรนด์ใหม่ แบรนด์ไทยแบรนด์เทศ ลุยหาแฟรนไชส์ เร่งเปิดสาขา จนกลายเป็นร้านที่เข้าไปทดแทนพื้นที่ค้าปลีกในทุก ๆ ห้าง หรือแม้กระทั่งห้างสรรพสินค้าอย่างโรบินสัน ก็เลือกที่จะเล่นเกมนี้ด้วยตัวเอง ด้วยการเปิดร้านราคาเดียวของตัวเองออกมาเสียเลย

***จุดขายทุกอย่างราคาเดียวแค่สินค้าและราคาตอบโจทย์ไม่ครบ***

สิ่งที่เหมือนกันของร้านสินค้าราคาเดียวที่แข่งกันเปิดแพร่ไปทุกพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ไม่ใช่ชูจุดขายแค่ราคาเดียว ราคาถูก แต่มีสินค้าหลากหลายให้เลือกในระดับที่พอยอมรับได้สมกับราคาเท่านั้น แต่วันนี้ แม้แต่ร้าน 20 บาททุกอย่างก็ขึ้นห้างทำกำไรได้ ถ้ามีส่วนประกอบของร้านที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า และมีกลยุทธ์ที่ทำให้ลูกค้าหยิบสินค้ามากกว่าหนึ่ง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องราคา เพราะเห็นคุณค่าที่สูงกว่าสินค้าที่จับต้องได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจำเป็นที่ตั้งใจมาซื้อ หรือสินค้าประเภท Impulse Buy ที่ไม่ได้วางแผนมาก่อนแต่เห็นแล้วถูกใจก็คว้าเลย

เรียกว่าด้วยคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนก็สามารถเปิดขยายร้านง่ายและขยายได้เร็ว โดยส่วนมากนิยมใช้ระบบแฟรนไชส์ให้กับกลุ่มคนที่สนใจอยากลงทุนมีธุรกิจของตัวเอง พร้อมกับแนวคิดง่าย ๆ ว่า ตราบใดที่คนยังเดินห้าง โอกาสค้าขายก็ยังมีอยู่ เพียงแต่จะทำให้อย่างไรให้คนเลือกหยิบและซื้อสินค้าได้เร็วและไม่ลังเล

****ใช้ความเป็นญี่ปุ่นชูคุณภาพ***

สิ่งแรกที่ทุกร้านของกลุ่มร้านขายสินค้าราคาเดียวที่มีอยู่ในปัจจุบันเลือกใช้นอกเหนือจากการใช้กลยุทธ์ราคาถูกราคาเดียว ก็คือ ดีไซน์ การตกแต่งร้าน รวมถึงสินค้า ที่ชูความเป็นญี่ปุ่น แต่จะเป็นญี่ปุ่นแถวย่านฮาราจูกุ กินซ่า โอซาก้า ชินจูกุ หรือแบบไหนก็แตกต่างกันไปในรายละเอียดที่แต่ละร้านจะเลือกใช้

ความเป็นญี่ปุ่นนี้ยังรวมไปถึงตัวสินค้า บรรจุภัณฑ์ ชุดพนักงาน สไตล์การให้บริการ และแน่นอน แม้กระทั่งชื่อร้าน ก็ล้วนแต่ตั้งชื่อที่ฟังดูแล้วเป็น ญี่ปุ๊นญี่ปุ่นแทบทุกร้านเช่นกัน

ตัวอย่างร้านทุกอย่างราคาเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ และทั้งหมดล้วนเป็นและอยากดูเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น เช่น

ร้านโตคูยะ

แฟรนไชส์ร้านค้าราคาเดียวที่ขายทุกอย่าง 60 บาท ร้านนี้มาจากญี่ปุ่นแท้ ๆ เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ของเซ็กเมนต์นี้ที่ทำธุรกิจร้านทุกอย่างราคา 100 เยนอยู่ในญี่ปุ่นและมีสาขาอีกในหลายประเทศทั่วโลก มีบริษัท โตคูยะ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย สินค้าประมาณครึ่งหนึ่งของร้านผลิตที่ญี่ปุ่น ที่เหลือผลิตจากจีนและไต้หวัน เกือบ 100% ขายในราคา 60 บาทตามที่บอกไว้จริง ๆ มีเพียงแค่ 3% ที่เป็นสินค้าพรีเมียมเกรดซึ่งจะมีราคาตั้งแต่ 80-300 บาท

ภาพจาก : facebook.com/TokutokuyaThailand

จุดเด่นของร้านสำหรับนักลงทุนที่อยากมีกิจการร้านทุกอย่างราคาเดียว สามารถลงทุนได้ในวงเงิน 3 ล้านบาทสำหรับร้านขนาด 90 ตารางเมตรขึ้นไป โดยเป็นค่าแฟรนไชส์ประมาณ 3 แสนบาท ซึ่งแฟรนไชซีจะได้รับความช่วยเหลือในการเลือกทำเลพร้อมวิเคราะห์สินค้าที่จะจำหน่ายในร้าน ซึ่งโดยเฉลี่ยแต่ละร้านจะขายสินค้าได้ประมาณ 6,000-20,000 ชิ้นต่อเดือน มีกำไรอยู่ที่ 40% ขึ้นกับทำเล เฉลี่ยมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 3-5 ปี

ร้านเอโกะ

ชื่อญี่ปุ่นแบรนด์ไทย ขายทุกอย่าง 20 บาท ของบริษัท เอกดำรง มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เน้นขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์สำหรับคนที่มีทุนค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 3 แสนบาทขึ้นไป ไม่รวมค่าสินค้าภายในร้านตั้งแต่ 1.5-4.0 แสนบาท ซึ่งทางบรษัทจะจัดความเป็นญี่ปุ่นในร้านให้ตั้งแต่ป้ายหน้าร้าน ชั้นวางสินค้า การจัดเรียงและตกแต่งร้าน รวมไปถึงอุปกรณ์เสริมความเป็นญี่ปุ่นในส่วนสินค้าสมนาคุณ อาทิ ผ้ากันเปื้อนชื่อร้าน ธงขาวญี่ปุ่น โคมไฟญี่ปุ่น ธงปลาคาร์ฟ ถุงใส่ของ ตะกร้าชอปปิ้ง ฯลฯ

Bear Store

สินค้าสไตล์ญี่ปุ่นในราคา 20 บาท ตกแต่งร้านแนวญี่ปุ่นน่ารักทันสมัย และเน้นสินค้าที่ดูแพงกว่าราคา เป็นร้านที่มีเจ้าของเป็นคนไทย และทำการศึกษามาอย่างดีทำให้รู้ว่า ถ้าจะจับจุดลูกค้าไทยต้องเสนอสินค้าสไตล์ญี่ปุ่น และถึงจะราคาถูกแต่ก็ต้องนำเสนอสินค้าที่เป็นเทรนด์ เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของบริษัทที่จะต้องหาโรงงานผลิตได้ต้นทุนต่ำเพื่อให้ได้คุณภาพที่ดูเกินราคา 20 บาท พร้อมกับมีทีมตลาดประจำที่ญี่ปุ่นเพื่อคอยตามเทรนด์สินค้าในแต่ละฤดูกาล และเน้นสินค้าหลากหลาย ทำให้ลูกค้ามาแล้วจะต้องหยิบสินค้าติดมือไปมากกว่าที่ตั้งใจมาซื้อ

ภาพจาก : facebook/BearStore
ภาพจาก : facebook/BearStore

และถึงจะเป็นแบรนด์ไทยก็ใส่ใจความเป็นญี่ปุ่นถึงขนาดสั่งยูนิฟอร์มจากฮาราจูกุ ให้พนักงานใส่เพิ่มบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่น เอาจริงขนาดนี้แบร์สโตร์กะว่าจะขยายให้ครบ 30 สาขาภายใน 3-5 ปี ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเลือกเปิดเฉพาะร้านที่อยู่ห้างหรือซูเปอร์สโตร์เท่านั้น

Moshi Moshi

อีกแบรนด์จากญี่ปุ่น ที่เพิ่งครบรอบ 1 ปี นอกจากชื่อการจัดร้านก็ฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งแบบญี่ปุ่น ร้านนี้ถึงจะมาจากญี่ปุ่นแท้ แต่ก็ดึงดูดด้วยราคาเริ่มต้นที่ 20 บาทเช่นกัน แต่ของส่วนใหญ่ในร้านราคาพรีเมียมกว่าราคาโปรโมต แน่นอนลูกค้ารับได้ด้วยลุคแอนด์ฟิลที่เชื่อว่าราคาสูงกว่า 20 บาท แล้วก็มีแผนเตรียมขยายสาขาร้านเพิ่มเช่นเดียวกัน แต่อาจจะไปแบบเนิบ ๆ กว่ารายอื่นเล็กน้อยด้วยเป้าการเพิ่มเพียงแค่ 3 สาขาในปีนี้

ภาพจาก : facebook/moshimoshi

Miniso

แบรนด์นี้ชื่อไม่ชัดว่าเป็นญี่ปุ่นจ้า แต่ลุคแอนด์ฟีลไม่ผิดเพี้ยน แถมด้วยแท็กไลน์ใต้ชื่อร้านที่ติดไว้ในร้านว่า เป็น Japanese Designer Product ชัดเจน แม้จะมีผู้ร่วมก่อตั้งเป็นชาวจีนและมีแหล่งผลิตสินค้าในจีนเป็นหลัก ราคาเริ่มต้นแพงกว่าทุกแบรนด์รวมถึงต้นตำรับ เพราะโฆษณาหน้าร้านด้วยป้ายราคา 69 บาท ซึ่งราคาสินค้าต่ำสุดจะมีอยู่ไม่ถึงครึ่งเพียง 30-40% เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเป็นสินค้าที่เกรดพรีเมียมขึ้นไปที่มีราคาสูงกว่าไล่ไปตั้งแต่ 99, 139 จนถึง 199 บาท

Miniso ถือว่ามาแรงที่สุดด้วยเป้าหมายที่จะขยายร้านให้ได้ถึง 100 สาขาภายใน 2 ปี (2016-2017) นั่นเท่ากับการไล่จี้ต้นตำรับร้านราคาเดียวอย่าง Daiso ที่ตอนนี้มีอยู่ 100 กว่าสาขามาติด ๆ โดยตอนนี้มีจำนวนสาขามากกว่า 50 สาขา คาดว่าเป้าหมายการขยายสาขาของบริษัทน่าจะประเมินจากจำนวนห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์เซ็นเตอร์ ที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย เพราะแม้โดยกลยุทธ์ของ Miniso ในประเทศต่าง ๆ กว่า 60 ประเทศ โดยเฉพาะในจีนที่มีอยู่กว่า 1,000 สาขาจากจำนวนสาขาของมินิโซทั่วโลกตอนนี้ที่มีอยู่ประมาณ 1,400 สาขา จะเลือกทำเลถนนชอปปิ้งสายสำคัญเป็นทำเลหลักในการเปิดร้าน แต่สำหรับเมืองไทย Miniso เลือกเปิดเฉพาะในห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์เซ็นเตอร์ที่ผู้บริโภคไทยนิยมไปชอปปิ้งเท่านั้น เหมือน ๆ กับแบรนด์อื่น

ภาพจาก : facebook.com/minisothai/

เพนกวิน

รายนี้ชื่อไม่ชัดว่าเป็นญี่ปุ่น กลยุทธ์เรื่องราคาแรงที่สุดด้วยราคาเริ่มต้น 12 บาท ถูกกว่าร้านทุกอย่าง 20 บาท ที่เปิดขายในตลาดนัดเสียอีก แต่คุมโทนเป็นญี่ปุ่นด้วยคาแร็เตอร์การ์ตูนรูปเพนกวินที่เห็นชัดว่าเป็นแบบญี่ปุ่นมากกว่าจะเลือกใช้ลายเส้นการ์ตูนแบบตะวันตก ด้วยโพสิชันนิ่งแบบนี้ ร้านเพนกวินก็จะเน้นเปิดอยู่แถวห้างชานเมืองอย่างเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด ถ้าขยับเข้าเมืองก็จะเลือกเปิดร้านในไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่นที่เทสโก้ โลตัส พระราม4

ภาพจาก : facebook.com/penguin12shop

นอกจากตัวอย่างที่ยกมานี้ ร้านต้นแบบที่ทำให้ทุกคนรู้จักร้านราคาเดียวสไตล์ญี่ปุ่นในไทยอย่าง ไดโซะ (Daiso) ก็ยังอยู่แต่หันไปมุ่งออนไลน์หนักขึ้น และแบรนด์อื่นอีก เช่น Komonoya (โคโมโนยะ) Just Buy (จัสท์บายจากโรบินสัน) Arcova (อาร์โควา) Can Do (แคนดู) ฯลฯ

***ออนไลน์ปัจจัยทำให้ร้านราคาเดียวแพร่พันธุ์เป็นดอกเห็ด***

ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมค้าปลีกไทย ให้ข้อสังเกตถึงปัจจัยที่ทำให้ร้านทุกอย่างราคาเดียวซึ่งจัดอยู่ในร้านสเปเชียลตี้สโตร์ ได้เกิดขึ้นมากมายต่อเนื่อง และขยายตัวเร็วกว่าการเข้ามาของร้านค้าปลีกกลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์ ประเภทที่มีสินค้าประเภทเครื่องสำอางหรือเวชสำอางเป็นตัวนำ ที่เคยมาแรงในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าโลกออนไลน์ ซึ่งทุกคนมองว่าจะทำให้ร้านค้าปลีกขาดลูกค้า จะกลายเป็นตัวผลักดันให้เกิดกระแสการเกิดขึ้นของร้านค้าประเภทนี้โดยตรง

เนื่องจากผู้บริโภครับรู้ข้อมูลข่าวสารได้เร็วจากการอยู่ในโลกดิจิทัล ทำให้เห็นโลกกว้าง รับข้อมูลข่าวสารไว ซึ่งมีผลกระทบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคโดยตรง และส่งผลให้เทรนด์ต่าง ๆ ทั้งสินค้าใหม่ ไม่เฉพาะเรื่องของแฟชั่น มาไวไปไวด้วยเช่นกัน

ส่งผลให้พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็ว จนนักการตลาดบ่นไปตาม ๆ กันว่า ยุคนี้ต้องตามพฤติกรรมผู้บริโภคให้ทัน และที่สำคัญคือทัศนคติที่มีผลโดยตรงต่อร้านค้าประเภททุกอย่างราคาเดียว ที่ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาซื้อสินค้าราคาประหยัด ตัดสินใจซื้อง่าย และไม่เสียดายที่จะต้องซื้อหรือเปลี่ยนใหม่อย่างรวดเร็วตามเทรนด์ที่เปลี่ยนไป

***ถึงทุกอย่างราคาเดียว แต่สินค้าต้องหลากหลาย ****

อย่างไรก็ตาม การที่ลูกค้าซื้อสินค้าง่ายขึ้นในราคาที่ถูกลง แต่ก็ไม่ได้หมายความร้านสินค้าราคาเดียวจะอยู่ได้ด้วยการนำเสนอสินค้าเพียงไม่กี่ชนิด ซึ่งแต่ละร้านเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในจุดนี้ดี และจัดแบ่งหมวดหมู่พร้อมจำนวนสินค้าจำนวนมากไว้ให้ลูกค้าเลือกอย่างจุใจในพื้นที่จำกัด เรียกว่าการบริหารร้านสินค้าราคาเดียวทุกอย่างต้องกระชับและชัดเจน เพื่อทำให้สินค้าขายได้ไวและหมุนเวียนสินค้าเข้ามาใหม่ในลักษณะของ Very Fast Moving Product เลยทีเดียว

แต่ละร้านแม้จะมีพื้นที่ร้านตั้งแต่ 90 ตารางเมตร ไปจนถึงแฟลกชิปสโตร์ขนาด 300 ตารางเมตร แต่ขนาดพื้นที่ร้านที่นิยมส่วนใหญ่จะอยู่แค่ 100 ตารางเมตรบวกลบ จึงอัดแน่นเป็นด้วยการจัดเรียงสินค้าตั้งแต่ใกล้ ๆ 1,000 ไปจนถึง 5,000 ไอเท็ม แน่นอนว่าสินค้าต้องจัดเรียงให้ดูง่าย หยิบสะดวก และยังสวยงามด้วย ตั้งแต่ตัวสินค้า แพ็กเกจจิ้ง ไปจนถึงการจัดเรียงในแบบญี่ปุ่น

****สินค้าส่วนใหญ่จับกลุ่มวัยรุ่น-วัยเริ่มทำงาน***

เมื่อร้านราคาเดียวส่วนใหญ่ชูความเป็นญี่ปุ่น เน้นให้ดูมีคุณภาพเหนือราคา พัฒนาสินค้าตามเทรนด์ ทำให้ตีโจทย์ได้ไม่ยากเลยว่า แทบทุกร้านเล็งกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มวัยรุ่นถึงวัยเริ่มทำงานเป็นหลัก เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นทั้งของที่คนกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้ไปจนถึงซื้อด้วยอารมณ์ความรู้สึกทันทีที่ถูกใจแบบ Impulse Buy ซึ่งเป็นสูตรของส่วนผสมหลักของสินค้าในร้านเหล่านี้

จนแม้กระทั่ง Daiso เจ้าตลาดซึ่งเคยเด่นเรื่องสินค้าในกลุ่มของใช้ในครัวที่มุ่งเจาะกลุ่มแม่บ้าน ก็ยังต้องปรับตัวมาเพิ่มไอเท็มสำหรับกลุ่มวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะในหมวดสกินแคร์และเครื่องสำอาง รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งเป็นสินค้าไฮไลต์จากญี่ปุ่นเข้ามาเพิ่มเติม

Miniso เองที่ไล่บี้ Daiso มาติด ๆ ทั้งจำนวนสาขา และความเป็นญี่ปุ่น ที่เลือกดีไซน์เป็นแบรนด์น้อง ๆ MUJI ด้วยสไตล์การออกแบบร้านก็มีสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และอุปกรณ์ไฟฟ้าเสริมความงาม เช่น เครื่องนวดหน้า ที่ได้รับกระแสตอบรับดีเช่นกัน

สินค้าของร้านทุกอย่างราคาเดียวแต่ละร้าน จะมีครบแทบทุกหมวดในลักษณะครอบจักรวาลกันเลยทีเดียว ตั้งแต่หมวดสินค้าไอเดีย ใช้ในครัว ของใช้ในบ้านทั่วไป เครื่องเขียน กิ๊ฟต์ชอป ของใช้ในห้องน้ำ ของใช้สำหรับสตรี ภาชนะ ของตกแต่ง ของกินเล่น ไปจนถึงอุปกรณ์ไอที หรืออุปกรณ์สำหรับใช้งานที่ผู้บริโภคคิดไม่ถึงหรือไม่เคยใช้มาก่อน ให้ทดลองนำไปซื้อใช้ในราคาไม่แพงตามคอนเซ็ปต์ร้าน

หากจะให้สรุปหัวใจที่ทำให้ร้านทุกอย่างราคาเดียวเติบโตขยายได้รวดเร็ว สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การที่ร้านค้าเหล่านี้เฝ้าติดตามเทรนด์สินค้า ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภค แล้วนำสองสิ่งนี้มาเจอกันภายใต้ผลิตภัณฑ์ราคาถูก ซึ่งของใช้จำเป็นผู้บริโภคซื้อซ้ำเมื่อใช้หมด หรือกรณีสินค้าหมดอายุการใช้งานก็เกิดการซื้อซ้ำโดยไม่เสียดายหรือคาดหวังว่าจะต้องใช้ได้นาน ขณะที่สินค้าที่ตอบเรื่องเทรนด์และไลฟ์สไตล์ก็พร้อมจะตอบรับได้ง่ายด้วยราคาที่ไม่แพง ไม่ตกยุค รวมถึงอาจเป็นการชอปปิ้งบำบัดไปด้วยในตัวสำหรับนักชอปประเภท Shopaholic ที่ต้องซื้อสินค้าตลอดเวลา.

]]>
1152434