แถลงการณ์บริษัท Marriott เปิดตัวโครงการ Vaccination Care Program สนับสนุนให้พนักงานทุกคนของบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ได้รับค่าแรงเทียบเท่ากับการทำงาน 4 ชั่วโมง (ครึ่งวัน) เมื่อเข้ารับวัคซีน COVID-19 เสร็จสิ้น

“เพื่อกระตุ้นให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ารับวัคซีน เราจึงจัดทำโครงการให้ความรู้เกี่่ยวกับประโยชน์ของการฉีดวัคซีน และแนะนำแนวทางกลุ่มหัวหน้างานให้จัดตารางงานแบบยืดหยุ่น เพื่อให้พนักงานทุกคนได้เข้ารับวัคซีนตามนัดหมายได้” เป็นถ้อยแถลงส่วนหนึ่งจาก Marriott อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะ ‘สนับสนุนอย่างแข็งขัน’ ให้พนักงานรับวัคซีน
แต่ไม่ใช่ข้อ ‘บังคับ’ ของบริษัท

“เป้าหมายของโครงการนี้คือการกำจัดอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นได้ในการไปรับวัคซีนของพนักงานของเรา เพื่อให้พนักงานสามารถยึดถือการดูแลสุขภาพมาเป็นอันดับแรกและสร้างความสบายใจ” เดวิด โรดริเกซ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคลระดับโลกของ Marriott กล่าว “เรามั่นใจว่าการรับวัคซีนเป็นกุญแจสำคัญอย่างหนึ่ง ควบคู่ไปกับการใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง มีระเบียบการทำความสะอาดเป็นขั้นตอนและวิธีปฏิบัติเพื่อรักษาสุขอนามัย เหล่านี้จะช่วยลดการแพร่กระจายของโรค COVID-19”

• Airbnb เปิด IPO วันแรก ราคาหุ้นพุ่งเท่าตัว! มูลค่าบริษัททะยานเหนือเชนยักษ์ Marriott

ปัจจุบัน Marriott มีแบรนด์ในเครือกว่า 30 แบรนด์ เช่น Ritz-Carlton, JW Marriott, Westin, Sheraton ฯลฯ สถานการณ์ COVID-19 มีผลกระทบกับบริษัทอย่างใหญ่หลวง โดยรายได้ปี 2020 ของบริษัทลดเหลือ 10,570 ล้านเหรียญสหรัฐ หายไปเกือบครึ่งหนึ่งของปีก่อนหน้า

โรดริเกซกล่าวด้วยว่า เมื่อวัคซีนเข้าถึงได้เป็นวงกว้างแล้ว จะเกิดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยขึ้นในการทำงานของพนักงาน และเชื่อว่าจะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการกลับมาท่องเที่ยวอีกครั้ง ช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวดีดตัวกลับมาได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ บริษัทยังสนับสนุนให้ผู้รับแฟรนไชส์ทั่วโลกเปิดโปรแกรมเพิ่มเงินสนับสนุนแก่พนักงานในลักษณะเดียวกันด้วย

Marriott ไม่ใช่บริษัทเดียวของสหรัฐฯ ที่มีโครงการกระตุ้นให้พนักงานรับวัคซีน บริษัทเดินรถไฟสหรัฐฯ อย่าง Amtrak ก็มีโครงการจ่ายเงินเทียบเท่าค่าแรง 2 ชั่วโมง ให้พนักงานทั้งหมด 20,000 คนเมื่อรับวัคซีน หรือ McDonald’s ก็จะจ่ายให้สูงสุด 4 ชั่วโมงเมื่อรับวัคซีนเช่นกัน

Source

บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ประกาศการลงทุนโครงการมิกซ์ยูส AWC Center Pattaya จำลองกลิ่นอายบรรยากาศแบบเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สู่เมืองพัทยา พื้นที่ประกอบด้วยรีเทล ส่วนพักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงโรงแรมอีก 2 แห่ง คือ เจดับบลิว แมริออท เดอะ พัทยา บีช รีสอร์ท จำนวนห้องพัก 1,298 ห้อง และ พัทยา แมริออท มาร์คีส์ ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์

ขณะที่ในภูเก็ต บริษัทเตรียมลงทุนโรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ใจกลางตัวเมือง จำนวน 248 ห้อง โดยเป็นการปรับโฉมจากโรงแรมเก่าคือเมโทรโพล ภูเก็ต ซึ่งแวดล้อมด้วยตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีส สัญลักษณ์ของเมือง

วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวถึงการลงทุนและความร่วมมือกับเครือแมริออท ว่า บริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ไทยที่เติบโต 47.6% ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงความคืบหน้าของโครงการ EEC ในภาคตะวันออก ที่ทำให้บริษัทเข้าลงทุนที่พัทยา ส่วนภูเก็ตนั้นเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวระดับโลกของประเทศ และโรงแรมแห่งใหม่ของบริษัทร่วมกับเชนแมริออทจะเข้าไปพลิกโฉมการท่องเที่ยวของเมืองภูเก็ต

ด้าน เครก เอส สมิธ ประธานบริหาร กลุ่มแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่มีอย่างต่อเนื่องยาวนานกับแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น และการเติบโตต่อเนื่องไปด้วยกัน และต้องการสร้างมาตรฐานสูงสุดให้กับธุรกิจโรงแรม

ทั้งนี้ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น คือหนึ่งในเจ้าของโรงแรมแบรนด์ในเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล รายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แปซิฟิค (ยกเว้นประเทศจีน) ด้วยจำนวนห้องพักรวม 4,252 ห้องทั่วประเทศไทย (จากโรงแรมที่เปิดบริการอยู่ 9 แห่ง ห้องพักรวม 3,452 ห้อง และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 1 แห่ง ห้องพักรวม 800 ห้อง) การลงนามสัญญาครั้งนี้จะส่งผลให้มีโรงแรมเพิ่ม 3 แห่ง (ในพัทยาและภูเก็ต มีห้องพักรวม 1,546 ห้อง) และส่งผลให้จำนวนห้องพักรวมเพิ่มขึ้นเป็น 5,820 ห้อง (ซึ่งหากรวมกับโรงแรมในเครือของบริษัททั้งหมด 6,826 ห้อง)

เชนโรงแรมยักษ์ใหญ่ Marriott ซุ่มวางแผนร่วมสมรภูมิตลาด home-share market หรือบริการแชร์บ้านพักสไตล์เดียวกับ Airbnb แบบเต็มสูบ วงในระบุ Marriott เตรียมปูพรมบุกตลาดสหรัฐฯ หลังโครงการนำร่องในยุโรปประสบความสำเร็จงดงาม

ความเคลื่อนไหวของ Marriott นี้ถูกรายงานโดยหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ซึ่งอ้างแหล่งข่าวนิรนามที่คลุกวงในกับธุรกิจใหม่ของ Marriott จุดนี้รายงานย้ำว่า Marriott จะเป็นบริษัทเชนโรงแรมรายใหญ่รายแรกที่เริ่มสร้างแพลตฟอร์มให้เช่าบ้านในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการต่อยอดจากที่ Marriott มองเห็นอนาคตสดใสหลังจากเริ่มทดสอบบริการในยุโรป

โครงการนำร่องของ Marriott ในยุโรปนั้นเป็นการทำงานร่วมกับ Hostmaker บริษัทรับจัดการบ้านเช่าในลอนดอนที่เปิดให้ลูกค้าได้เลือกพักอาศัยที่บ้าน 340 หลังในเมืองใหญ่เช่น ปารีส โรม ลิสบอน และลอนดอน สำหรับในสหรัฐฯ คาดว่า Marriott จะทำงานร่วมกับบริษัทจัดการอสังหาริมทรัพย์ 1 รายหรือมากกว่านั้น เพื่อให้บริการเช่าบ้านอย่างเต็มรูปแบบ

ร่วมด้วยเพราะเห็นเทรนด์

การขานรับธุรกิจใหม่ของ Marriott ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะเป็นสัญญาณสะท้อนเทรนด์แรงของการท่องเที่ยวทั่วโลก จุดนี้อาจเป็นเพราะ Marriott พบว่าผู้เข้าพักบ้านเช่ามีแนวโน้มที่จะเข้าพักนานกว่าลูกค้าโรงแรมที่มักเช่าห้องเพียงไม่กี่คืน จุดนี้การสำรวจชี้ว่าระยะเวลาการเข้าพักบ้านนั้นมากกว่า 2 เท่าทีเดียว

นอกจากนี้ การให้เช่าบ้านยังดึงดูดลูกค้าอีกกลุ่มที่ต้องการพื้นที่ห้องครัวและห้องซักรีด จุดเด่นของบริการเช่าบ้านของ Marriott ในยุโรปคือบริการซัปพอร์ตตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันก็รองรับบริการเช็กอินด้วยตัวเองที่บ้านพักผ่านบริการของ Hostmaker

Airbnb ได้ 2 เด้ง

ข่าวการเปิดตลาดของ Marriott ในดินแดนของ Airbnb ถูกมองว่าอาจเป็นทั้งข่าวดีและร้าย เพราะแม้จะดูว่า Airbnb กำลังเผชิญกับการแข่งขันครั้งใหญ่ แต่ในอีกด้านหนึ่งคือ Marriott เป็นเครือข่ายโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งหาก Marriott เองยังตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจแชร์บ้าน ก็แปลว่าอุตสาหกรรมนี้จะต้องรุ่งเรืองยิ่งกว่านี้แน่นอนในอนาคต ซึ่งเป็นอีกสิ่งที่ Airbnb จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล

อย่างไรก็ตาม ข่าวลือระบุว่า Airbnb อาจจะเสนอขายหุ้น IPO ในปี 2020 การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นอาจหมายถึงความเป็นไปได้ว่าส่วนแบ่งการตลาด Airbnb อาจจะลดลง แต่หาก Airbnb ทำได้ ก็แปลว่านักลงทุนจะโผเข้าหาอีกนับไม่ถ้วน.

ที่มา : https://www.fastcompany.com/90341340/report-marriott-is-getting-into-the-home-rental-gig-to-take-on-airbnb