Microsoft – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 12 Sep 2025 11:27:11 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ซีอีโอ ‘Microsoft’ รับ ต้องเร่ง ‘ฟื้นความสัมพันธ์กับพนักงาน’ หลังบรรยากาศภายในตึงเครียดจากการ ‘เลิกจ้าง’ และ ‘บังคับเข้าออฟฟิศ’ https://positioningmag.com/1537862 Fri, 12 Sep 2025 08:58:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537862 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ได้ทำการ เลิกจ้าง พนักงานจำนวนมาก และ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็เป็นหนึ่งในบริษัทนั้น ทำให้ปัจจุบัน บรรยากาศภายในองค์กรเริ่มเสีย โดยเกิดการตั้งคำถามถึงประเด็นการ ขาดความเห็นอกเห็นใจ จากพนักงาน

สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ซีอีโอ Microsoft ยอมรับว่า บริษัทยังมีงานต้องทำเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับพนักงาน หลังจากประกาศ เลิกจ้างงานหลายระลอก และบังคับให้พนักงานบางส่วน กลับเข้าออฟฟิศ จนเกิดคำถามเรื่องการขาดความเห็นอกเห็นใจในวัฒนธรรมบริษัท

“ผมซาบซึ้งอย่างยิ่งต่อคำถามนี้ และความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลัง ผมถือเป็นข้อเสนอแนะสำหรับตัวผมและทีมผู้นำทุกคน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผมคิดว่าเราทำได้ดีกว่านี้ และเราจะทำให้ดีขึ้น” สัตยา กล่าว

ย้อนไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Microsoft ได้เลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน จากที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้ลดจำนวนพนักงานแล้วหลายครั้ง นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทได้ประกาศให้พนักงานจะต้อง เข้าออฟฟิศสัปดาห์ละ 3 วัน ในหลายสำนักงาน หลังจากที่พนักงานหลายคนคุ้นชินกับการ Work from home ในช่วงการระบาดของ COVID-19

โดยทาง สัตยา ยอมรับว่า บริษัทกำลังรู้สึกถึงแรงกดดันจากพนักงาน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ที่จะเข้ามาทดแทนแรงงาน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เห็นได้ในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ แต่ตัวเขาเองก็ต้อง ตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ธุรกิจยังคงอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ เพราะธุรกิจที่ยังอยู่ได้ดีและมีกำไรในวันนี้ ไม่ได้การันตีว่าจะอยู่รอดต่อไปในอนาคต

“แม้เป็นการตัดสินใจที่ยาก แต่เราจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความจริงอย่างตรงไปตรงมา และยอมรับในสิ่งที่ต้องทำอย่างแท้จริง โดยไม่มีการหลอกตัวเอง อย่างไรก็ตาม เรามีงานที่ยากมาก ๆ รอเราอยู่ข้างหน้า และกระบวนการฟื้นฟู (ความเชื่อมั่น) ที่ยากลำบากนั้น คือ สิ่งที่เราต้องทำ” 

Satya Nadella ซีอีโอ Microsoft (Photo by Christophe Morin/IP3/Getty Images)

ด้านการเรียกพนักงานให้ทำงานแบบไฮบริด ทาง สัตยา อธิบายว่า การเข้าออฟฟิศจะช่วย พนักงานใหม่ หรือ นักศึกษาฝึกงาน ให้ได้รับคำแนะนำจากพนักงานที่ทำงานมานาน แต่ถ้า Work from home อย่างเดียว จะเป็นผลเสียกับพนักงานใหม่ ที่จะไม่ได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นพี่

ขณะที่ เอมี่ โคลแมน (Amy Coleman) หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคล กล่าวในการประชุมว่า นโยบายกลับเข้าออฟฟิศเป็นแบบไฮบริด แต่พนักงานบางคนรู้สึกเสียอิสรภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว Microsoft ให้พนักงานเข้าออฟฟิศเฉลี่ยเพียง 2.4 วัน/สัปดาห์ อย่างเช่น Amazon เรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศถึง 5 วัน/สัปดาห์ ตั้งแต่เดือนมกราคม

แม้ว่าสัตยาและทีมบริหารจะถูกวิจารณ์จากพนักงานบางส่วน แต่ Wall Street ชื่นชมการเติบโตและการดำเนินงานของบริษัท หุ้นพุ่งขึ้นเกือบ +20% ในปีนี้ เหนือกว่าตลาดโดยรวม ทำให้มูลค่าตลาดของ Microsoft ถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองเพียงจาก Nvidia เท่านั้น โดยในเดือนกรกฎาคม Microsoft รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น +24% เป็น 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

Source

]]>
1537862
เปิดมุมมองจาก 3 องค์กรชั้นนำไทย กับการนำ ‘AI’ มาใช้ ในวันที่ ‘พนักงาน’ กลัวถูกแทนที่ https://positioningmag.com/1528864 Fri, 04 Jul 2025 08:14:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1528864 นับตั้งแต่การมาของ ChatGPT เชื่อว่าการทำงานของ หลายคน และ หลายองค์กร ได้เปลี่ยนไป และนั่นทำให้ มนุษย์ เริ่มกังวลว่าจะถูก แทนที่ ดังนั้น ในวันที่องค์กรจำเป็นต้องนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพ ทาง ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ก็ได้เชิญ 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ SCBX, SCGC และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแชร์แนวคิดการนำ AI มาใช้ในองค์กรโดยที่ พนักงานไม่กังวลว่าจะถูกแทนที่

องค์กรในไทย ใช้ AI สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Microsoft ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจ Work Trend Index 2025 พบว่า 75% ของผู้นำองค์กรในไทยจะต้องการเห็นองค์กรตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 51% แต่ 88% ของพนักงานในไทยกลับมองว่าการงานทุกวันนี้ ทำเต็มที่แล้ว สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 80%

ดังนั้น AI จึงเป็นอีกทางเลือกในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงาน โดย 68% ขององค์กรในไทย ได้เริ่มนำ AI มาใช้ช่วยในการทำงานของกระบวนการต่าง ๆ ให้เป็นอัตโนมัติ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ 46% นอกจากนี้ 93% ยังระบุว่า จะ ใช้ AI ทำงานมากขึ้น จากค่าเฉลี่ยโลก 78% และ 90% มองว่า Digital Agent จะเข้ามาช่วยการทำงานภายในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า 

นอกจากนี้ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Microsoft ประเทศไทย

รู้จัก Frontier Firm Mind set

โดยทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้

  • ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน
  • ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ
  • บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
Circular economy concept. Energy consumption and CO2 emissions are increasing.Sharing, reusing,repairing,renovating and recycling existing materials and products as much possible

เริ่มใช้ AI มาแก้ปัญหาง่าย ๆ ก่อน

สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ให้คำแนะนำสำหรับองค์กรที่จะเริ่มนำ AI มาใช้ว่า อันดับแรก ผู้นำองค์กรต้องอยากไป AI จากนั้นให้เริ่มจาก หาปัญหาที่อยากแก้ โดยให้เริ่มจากปัญหาง่าย ๆ

“ผมเชื่อว่าผู้นำทุกองค์กรพร้อมจะเอาด้วย ขอแค่มันเห็นผลลัพธ์ ดังนั้น เริ่มจากแก้ปัญหาง่าย ๆ เพื่อเป็น Proof Of Concept ว่ามันได้ประโยชน์อย่างไร” 

เช่นเดียวกับ ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ที่มองว่า จุดเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ คือต้องนำมาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ต้องเริ่มจากอะไรยาก ๆ

“COVID-19 ทำให้เราต้องไปดิจิทัล ดังนั้น เราต้องทรานส์ฟอร์ม ซึ่งโจทย์ของเราตอนนั้นคือ ทำให้ข้าราชการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ เราเลยเริ่มจากนำ Co-Pilot มาช่วยจดบันทึกการประชุม จากเดิมที่ใช้อนาล็อก”

สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC)

สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้พนักงานรู้สึกเป็นนาย AI

อย่างไรก็ตาม การจะทำให้พนักงานเปิดใจใช้งาน AI ทาง ดร.ณรัณ มองว่า ต้องทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของผลงาน ไม่ใช่ให้เขารู้สึกเสียกำลังใจว่าเขาถูกแทนที่ได้ ดังนั้น จะต้องมีคนเข้าไปร่วมตัดสินใจตลอดในลูปการทำงาน ต้องให้คนมาเห็นสิ่งที่ AI นำเสนอให้เร็วที่สุดที่ทำได้ เพื่อให้เขารู้สึกว่า เป็นเจ้าของ 

“AI ฉลาดขึ้นตลอด แต่เราต้องมี checkpoint control เพื่อตรวจเช็กความถูกต้อง ดังนั้น ผมยังเชื่อว่าไม่ว่ายังไง เอไอก็ไม่มีทางแทนที่คนได้ ”

เช่นเดียวกับ ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) ที่มองว่า องค์กรต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่า เป็นบอสของ AI โดยเริ่มจากกางกระบวนการทำงานของพนักงานในองค์กร เพื่อดูว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาเสริมพนักงานตรงไหน 

“เราต้องดูว่าพนักงานเราจะใช้ AI ได้อย่างไร เช่น พนักงานเราจะรู้พฤติกรรมลูกค้าอยู่แล้ว เราก็นำเทคโนโลยีเข้าไปเสริมเขา”

ด้าน สัญญา จินดาประเสริฐ เสริมว่า ต้องเริ่มจากให้ AI ไปเป็นผู้ช่วยส่วนตัวพนักงานก่อน เช่น ช่วยงานรูทีนที่ทำซ้ำ ๆ เพื่อให้เขาเข้าใจก่อนว่า ประโยชน์คืออะไร และถ้า AI เข้ามา พนักงานไม่ควรทำงานเหมือนเดิม องค์กรต้องปรับปรุงกระบวนการใหม่

ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS)

สกิลฝึกกันได้ แต่ต้องมีไมด์เซ็ทเปิดรับ

สัญญา ยกตัวอย่างการฝึกพนักงานของ SCGC ว่า ภายในองค์กร พนักงาน ต้องเรียน ต้องสอบ และต้องลงมือทำการใช้ AI จริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลลัพธ์ทั้งด้านไมด์เซ็ทพนักงานที่ใช้ AI ทำงานดีข้ึน เร็วขึ้น และได้นวัตกรรมใหม่ ๆ ดังนั้น จะเห็นว่า คนคือหลักในการขับเคลื่อน ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องคน และความสนใจ

“เราไม่ได้คาดหวังว่าคนอายุ 40-50 ปีจะใช้ AI แต่กลายเป็นว่าเขาใช้เป็น และนำมาปรับใช้ได้อย่างดี”

ลลินทิพย์ ทิ้งท้ายว่า การที่องค์กรจะไป AI ได้ พนักงานต้องมี ไมด์เซ็ทเปิดรับเทคโนโลยี ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ไมด์เซ็ทใหม่ที่ต้องพร้อมปรับตัว ไม่จำเป็นต้องเก่งไอที หรือเป็นเดเวลอปเปอร์ เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีทุกบริษัทใกล้กัน ทุกคนซื้อมาใช้ได้ แต่ ข้อมูลและคนที่พร้อมใช้ จะทำให้เหนือกว่าคู่แข่ง 

“ตอนนี้เรื่องเทคโนโลยีมันไม่จำเป็นต้องมีสกิล เพราะใช้ AI ทำได้ ดังนั้น ต้องมีไมด์เซ็ทที่พร้อมเปิดรับเทคโนโลยีที่จะใช้เครื่องมือพวกนี้ได้ ดังนั้น เราไม่ได้บอกว่าต้องการคนที่รู้เรื่อง AI แต่รับคนที่พร้อมปรับตัว เปลี่ยนแปลงในทุกช่วงเวลา เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว”

ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX)
]]>
1528864
‘ไมโครซอฟท์’ ประกาศ ‘ลดพนักงาน’ ในทุกระดับทั่วโลกอีกระลอก คาดกระทบหลายพันตำแหน่ง https://positioningmag.com/1522215 Mon, 19 May 2025 03:06:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522215 หลังจากที่ลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ถึง 10,000 ตำแหน่ง ในช่วงต้นปี 2023 ล่าสุด บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็ได้เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่อีกระลอก คาดว่ากระทบหลายพันตำแหน่ง

จำนวน พนักงานไมโครซอฟท์ ที่เปิดเผยล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2024 อยู่ที่ 228,000 คนทั่วโลก โดยล่าสุด บริษัทประกาศว่าจะ ลดจำนวนพนักงานลง 3% ในทุกระดับ ทุกทีม และทุกภูมิภาคทั่วโลก ดังนั้น คาดว่าการลดจำนวนพนักงานครั้งนี้จะกระทบหลายพันคน และ ไม่เกี่ยวกับผลงาน เพราะเป็นการ ลดชั้นการบริหารที่ไม่จำเป็น ในองค์กร

เรายังคงดำเนินการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับความสำเร็จในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” ไมโครซอฟท์ กล่าว

ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยในช่วงไตรมาส 1/2025 บริษัทมีรายได้ 70,066 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 25,824 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การปรับลดจำนวนพนักงานในครั้งนี้ อาจเป็นการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดของไมโครซอฟท์นับตั้งแต่การลดตำแหน่งงาน 10,000 ตำแหน่งในปี 2023 ในเดือนมกราคม

ดูเหมือนว่าฤดูกาลปรับลดพนักงานของบริษัทไอทีจะเริ่มอีกครั้ง โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วบริษัท CrowdStrike ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ประกาศว่าจะปลดพนักงาน 5% ของทั้งหมด ขณะที่ก่อนหน้านี้ อินเทล (Intel) ก็ประกาศปรับลดพนักงานถึง 20%

ทั้งนี้ ย้อนไปในเดือนมกราคม สัตยา นาเดลลา ซีอีโอของไมโครซอฟท์ ได้กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการขาย หลังจากที่รายได้จาก Microsoft Azure ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ AI เติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ กลับกัน ผลการดำเนินงานในการเติบโตของคลาวด์ AI นั้นสามารถเติบโตเกินกว่าการคาดการณ์ของบริษัท

เมื่อวันจันทร์ หุ้นของไมโครซอฟท์ปิดการซื้อขายที่ 449.26 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของปีนี้ โดยปิดที่ราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 467.56 ดอลลาร์เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว

]]>
1522215
สรุปบรรดา ‘บิ๊กเทค’ วางงบลงทุน ‘AI’ เท่าไหร่ในวันที่ ‘DeepSeek’ แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาล https://positioningmag.com/1510100 Mon, 10 Feb 2025 05:45:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510100 ในวันที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ทุ่มเงินมหาศาลในการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model – LLM) เพื่อใช้เป็นโมเดลพื้นฐานการประมวลผลของ Generative AI แต่การมาของ DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI จากจีน ที่เหมือนมาตบหน้าบิ๊กเทค เพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ดังนั้น ไปดูกันว่าบริษัทบิ๊กเทค วางแผนทุ่มเงินเท่าไหร่ แม้ว่า DeepSeek จะแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องใช้เงินเยอะก็ตาม

เฉพาะ 4 ยักษ์ใหญ่ลงทุนเพิ่มรวมเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์

นับตั้งแต่โลกรู้จักกับ ChatGPT ในปี 2022 บริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีหลายรายต่างทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการ AI โดยมุ่งขยายศูนย์ข้อมูลด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ Nvidia จำนวนมาก และพัฒนาโมเดลต่าง ๆ ของตนเอง

แต่การมาของ DeepSeek ก็มาทำให้เกิดคำถามว่า บริษัทยักษ์ใหญ่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลขนาดนั้นไหม เพราะ DeepSeek ใช้เงินลงทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้หุ้นของผู้ผลิตชิป AI อย่าง Nvidia และ Broadcom ลดลงรวมกัน 800,000 ล้านดอลลาร์ ในวันเดียว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการมาของ DeepSeek จะไม่ได้ทำให้การลงทุนด้าน AI ของเหล่าบิ๊กเทคนั้นลดลง โดยเมื่อรวมเม็ดเงินการลงทุนของ Meta, Amazon, Alphabet และ Microsoft มีมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 230,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา หรือมากกว่าปีก่อนถึงเกือบ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Amazon: 100,000 ล้านดอลลาร์

สำหรับ Amazon บริษัทเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯ ประกาศว่าปีนี้จะลงทุน มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่ใช้เงินลงทุน 83,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Andy Jassy ซีอีโอ กล่าวว่า เงินส่วนใหญ่จะใช้กับ AI ในส่วนของ Amazon Web Services

Microsoft: 80,000 ล้านดอลลาร์

เมื่อเดือนที่แล้ว Microsoft เปิดเผยว่าจะจัดสรรเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2025 สำหรับการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถรองรับการประมวลผล AI โดย แบรด สมิธ ซีอีโอ กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายมากกว่าครึ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ภาพจาก Shutterstock

Alphabet: 75,000 ล้านดอลลาร์

Alphabet ตั้งเป้าการใช้ลงทุนด้าน AI ปีนี้ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าจะมีการใช้จ่าย 16,000 – 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรก โดย Anat Ashkenazi หัวหน้าฝ่ายการเงินกล่าวในการรายงานผลประกอบการว่า การใช้จ่ายส่วนใหญ่จะใช้กับ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค โดยส่วนใหญ่จะใช้กับเซิร์ฟเวอร์ รองลงมาคือ ศูนย์ข้อมูลและระบบเครือข่าย

Meta: 65,000 ล้านดอลลาร์

ส่วน มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ได้กำหนดงบประมาณด้านการลงทุนด้าน AI ของบริษัทไว้ที่ 60,000 – 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับระบุว่า ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการกำหนดทิศทางของ AI และการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วย ปลดล็อกนวัตกรรมทางประวัติศาสตร์และขยายความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของอเมริกา

ภาพจาก Shutterstock

Apple: เน้นร่วมมือกับพันธมิตร

สำหรับ Apple อาจจะประเมินได้ค่อนข้างยากว่ามีการใช้งบลงทุนด้าน AI มากน้อยแค่ไหน เพราะงบส่วนใหญ่จะปรากฏในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เนื่องจากบริษัท ใช้ความสามารถในการฝึกอบรมจากผู้ให้บริการระบบคลาวด์ เช่น โมเดลที่รองรับปัญญาประดิษฐ์ของ Apple นั้นได้รับการฝึกฝนจาก Google Cloud นอกจากนี้ Apple ยังใช้ความสามารถในการฝึกอบรมระบบคลาวด์จาก AWS และ Azure อีกด้วย

ขณะเดียวกัน Tim Cook ซีอีโอ กล่าวว่า Apple ใช้แนวทางแบบผสมผสานในการลงทุน โดยมีสิ่งที่พัฒนาภายใน แต่ก็มีพันธมิตรบางรายที่ทำธุรกิจด้วยภายนอก ซึ่งการลงทุนนั้นจะปรากฏอยู่ในธุรกิจของพวกเขา

Tesla: 5,000 ล้านดอลลาร์

ด้าน Tesla ได้เคยเปิดเผยในปี 2024 ว่า ค่าใช้จ่ายด้านทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทคาดว่าค่าใช้จ่ายด้าน AI จะคงที่เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยปัจจุบัน Tesla ได้สร้างคลัสเตอร์การฝึกอบรมที่เรียกว่า Cortex ในโรงงานในรัฐเท็กซัส เพื่อใช้สำหรับการฝึกอบรมโมเดลเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ของบริษัทที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา

จะเห็นว่าแต่ละบริษัทอัดงบลงทุนกับ AI มหาศาล แต่นั่นก็ไม่ใช่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะอย่าง Amazon, Google และ Microsoft ที่แม้จะลงทุนเยอะ แต่จะยิ่งส่งผลดีอย่างมากต่อธุรกิจคลาวด์ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการเครื่องมือประมวลผล AI เพิ่มเติม และพวกเขาวางแผนที่จะรันเวิร์กโหลดที่ใหญ่ขึ้นในคลาวด์

]]>
1510100
‘ไมโครซอฟท์’ เตรียมขึ้นราคา ‘Microsoft 365’ ครั้งแรกในรอบ 12 ปี หลังเพิ่ม AI ให้ใช้งาน https://positioningmag.com/1506798 Fri, 17 Jan 2025 03:59:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506798 เป็นเวลา 12 ปีแล้วที่ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เริ่มเก็บค่าบริการ Microsoft 365 หรือชื่อเดิม คือ Office 365 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์เพื่อการทำงานที่เป็นรูปแบบของ Subscription และในยุคที่ไมโครซอฟท์ได้เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ โดยเฉพาะ AI ทำให้ถึงเวลาที่จะ ขึ้นราคา เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถ

Microsoft ได้เปิดเผยว่า บริษัทกําลังนํา Copilot ซึ่งเป็น AI มาใส่ในแอปพลิเคชัน Word, Excel, PowerPoint, Outlook และ OneNote รวมถึงใส่ Microsoft Designer ซึ่งเป็นเครื่องมือแก้ไขภาพโดย AI และด้วยความสามารถใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามา ทำให้บริษัทต้อง ขึ้นราคา Microsoft 365 สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปเป็น ครั้งแรกในรอบ 12 ปี

“เพื่อสะท้อนถึงสิทธิประโยชน์การสมัครสมาชิกที่เราเพิ่มเข้ามาในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา และช่วยให้เราสามารถส่งมอบนวัตกรรมใหม่ ๆ สําหรับปีต่อ ๆ ไป” Bryan Rognier รองประธานของ Microsoft 365 Consumer กล่าว

ทั้งนี้ การขึ้นราคาในแต่ละประเทศจะไม่เท่ากัน โดยในสหรัฐอเมริกา ราคา Microsoft 365 Personal จะอยู่ที่ 6.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 69.99 ดอลลาร์ต่อปี เพิ่มเป็น 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 99.99 ดอลลาร์ต่อปี ส่วนแพ็กเกจ Microsoft 365 Family ซึ่งให้บริการได้ถึง 6 คน เพิ่มขึ้นจาก 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 99.99 ดอลลาร์ต่อปี เป็น 12.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 129.99 ดอลลาร์ต่อปี

ประเทศไทยเองก็ไม่รอด โดย Microsoft 365 Personal จาก 2,099 บาทต่อปี เป็น 2,999 บาทต่อปี และ Microsoft 365 Family เพิ่มจาก 2,899 บาทต่อปี เป็น 3,699 บาทต่อปี

ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2567 ทาง Microsoft มีสมาชิกผู้บริโภค Microsoft 365 อยู่ที่ 84.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% โดยผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และบริการคลาวด์ของ Microsoft 365 คิดเป็น 31% ของรายได้  ในขณะที่ผลิตภัณฑ์สําหรับผู้บริโภคและบริการคลาวด์ของ Microsoft 365 มีสัดส่วนน้อยกว่า 3% 

อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าไม่อยากใช้งานฟีเจอร์ AI ลูกค้าก็สามารถเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจที่ไม่มี Copilot หรือ AI อื่น ๆ ได้ หรือที่เรียกว่า Personal Classic และ Family Classic แต่จะทำให้ไม่ได้ใช้งานฟีเจอร์ใหม่อื่น ๆ ในอนาคต หรือสามารถเปลี่ยนไปสมัครแพ็คเกจพื้นฐาน Microsoft 365 Basic ได้ ในราคา 69 บาทต่อเดือน

แม้ว่า Microsoft จะขึ้นราคา Microsoft 365 สำหรับผู้ใช้ทั่วไปในรอบ 12 ปี แต่ถ้าเป็นฝั่งลูกค้า องค์กร ทาง Microsoft ได้ขึ้นราคาไปแล้วในปี 2022 ซึ่งถือเป็นการขึ้นราคาครั้งแรก 

Source

]]>
1506798
ประเมินวิกฤติไอทีล่มทั่วโลกจาก ‘CrowdStrike’ สูงกว่า 3.6 หมื่นล้าน และบริษัทอาจเสียลูกค้า 5% ไปจากเหตุการณ์นี้ https://positioningmag.com/1483476 Mon, 22 Jul 2024 04:56:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1483476 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลายคนอาจได้เลิกงานเร็วจากวิกฤต ‘Windows’ ล่ม เนื่องจากการอัปเดตบริการความปลอดภัยจาก ‘CrowdStrike’ ซึ่งส่งผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรมอย่างหนัก

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์รายหนึ่ง ประเมินว่าเป็น การหยุดทํางานด้านไอทีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ Windows ราว 8.5 ล้านเครื่อง แม้จะคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% แต่มันนําไปสู่การ ยกเลิกเที่ยวบิน ของสายการบินพาณิชย์มากกว่า 5,000 เที่ยวบินทั่วโลก และขัดขวางธุรกิจตั้งแต่การขายปลีกไปจนถึงการจัดส่งพัสดุไปจนถึงขั้นตอนในโรงพยาบาล

Patrick Anderson ซีอีโอของ Anderson Economic Group ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยในมิชิแกนที่เชี่ยวชาญด้านการประเมินต้นทุนทางเศรษฐกิจของเหตุการณ์ต่าง ๆ ประเมินว่า ความเสียหายของเหตุการณ์ดังกล่าวอาจสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36,000 ล้านบาท แม้ว่า CrowdStrike จะออกมาขอโทษเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่บริษัทยังไม่พูดถึง ค่าชดเชยแก่ลูกค้า 

“การหยุดทํางานนี้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจมากขึ้นในลักษณะที่มีตั้งแต่ความไม่สะดวกไปจนถึงการหยุดชะงักอย่างร้ายแรง และส่งผลต่อต้นทุนที่เสียไปและไม่สามารถคืนได้ง่าย โดยเฉพาะในธุรกิจสายการบิน เพราะต้องสูญเสียรายได้จากเที่ยวบินที่ถูกยกเลิก แถมยังต้องเสียค่าแรงและค่าเชื้อเพลิงสำหรับความล่าช้าอย่างมาก”

นอกจากนี้ ยังไม่ชัดเจนว่ามีลูกค้า CrowdStrike กี่รายที่บริษัทอาจสูญเสียไป แต่ Wedbush Securities ประเมินว่า อาจมีลูกค้าประมาณ 5% ที่อาจเลิกใช้บริการบริษัทไปใช้ที่อื่นแทน อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเหมือนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อย แต่จุดสำคัญคือ CrowdStrike จะ หาลูกค้าใหม่ยากขึ้นแน่นอน

“วิกฤตที่แท้จริงต่อ CrowdStrike ก็คือ ชื่อเสียงที่เสียหาย ที่จะทําให้ยากต่อการเอาชนะใจลูกค้าใหม่ วันนี้ CrowdStrike กลายเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จัก แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี” Ives กล่าว

ทั้งนี้ George Kurtz ซีอีโอของ CrowdStrike กล่าวในการให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า บริษัทได้มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง และจนถึงขณะนี้ เขาเชื่อว่าลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจแล้ว

Source

]]>
1483476
สหรัฐฯ เตรียมตรวจสอบ OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia ในเรื่องการผูกขาดเทคโนโลยี AI https://positioningmag.com/1477270 Mon, 10 Jun 2024 05:58:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477270 กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ (DOJ) และ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ได้บรรลุข้อตกลงเตรียมที่จะเปิดฉากสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia ซึ่งบริษัทเหล่านี้อาจมีพฤติกรรมผูกขาดตลาดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

แหล่งข่าวของสื่อต่างประเทศหลายแห่ง เช่น AP และ CNBC รวมถึง New York Times รายงานข่าวตรงกันว่า หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้ง กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ และ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เตรียมเข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia หลังจากที่บรรลุข้อตกลงดังกล่าว

ทั้ง 2 หน่วยงานของสหรัฐอเมริกาได้ตกลงที่จะสืบสวนพฤติกรรมบริษัทเหล่านี้ โดยทาง DOJ จะมีการสอบสวน Nvidia ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปเร่งประมวลผล AI ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดในตอนนี้มากถึง 80% ขณะที่ FTC จะสอบสวน Microsoft และ OpenAI

นอกจากนี้ FTC เตรียมที่จะสอบสวน Microsoft ในดีลการลงทุน Infection AI มูลค่า 650 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงในเรื่องการควบรวมกิจการหรือไม่

การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ได้ทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมีมูลค่าบริษัทเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Microsoft ที่มีการลงทุนใน OpenAI เจ้าของบริการอย่าง ChatGPT หรือแม้แต่ Nvidia ที่ล่าสุดบริษัทมีมูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผลประกอบการและธุรกิจบริษัทกำลังเติบโต

สำหรับความร่วมมือของ 2 หน่วยงานดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ในปี 2019 นั้นมีความร่วมมือเพื่อที่จะตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ มาแล้ว โดย FTC ได้ตรวจสอบ Meta และ Amazon และทาง DOJ ได้ตรวจสอบ Apple และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google

ในช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกา ได้แสดงความกังวลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้เปรียบกว่าบริษัทอื่นๆ ในการเข้าถึงข้อมูลที่ใช้ในการฝึกอบรมโมเดล AI ไปจนถึงความร่วมมือระหว่างบริษัทต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการตรวจสอบการควบรวมกิจการจากหน่วยงานกำกับดูแลเหล่านี้

ที่มา – CNBC, Euronews, New York Times

]]>
1477270
‘ไมโครซอฟท์’ ขอให้พนักงานในจีนอย่างน้อย 100 คน ย้ายไปทำประเทศอื่น เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ https://positioningmag.com/1474209 Fri, 17 May 2024 13:59:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474209 ดูเหมือนว่าความตึงเครียดระหว่าง สหรัฐฯ กับ จีน จะยังไม่มีทีท่าจะเบาบางลง โดยเฉพาะในส่วนของ สงครามเทคโนโลยี ล่าสุด ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้ขอให้พนักงานอย่างน้อย 100 คนในจีนพิจารณาย้ายไปประเทศอื่น ตามรายงานของสื่อทางการจีน

Wall Street Journal รายงานว่า ไมโครซอฟท์ ขอให้พนักงานบริษัทในจีนที่ทำงานเกี่ยวกับคลาวด์คอมพิวติ้งและเอไอ พิจารณาย้ายไปทำงานในประเทศอื่น โดยมีตัวเลือกอย่างสหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย และไอร์แลนด์ โดยคาดว่าวิศวกรสัญชาติจีนในแผนกดังกล่าวมีจำนวนมากถึง 800 คน 

โดย Wall Street Journal ได้อ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่ระบุชื่อว่า ฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลัง เตรียมจำกัดไม่ให้บริษัทจีนเข้าถึงบริการคลาวด์ของสหรัฐฯ โดยกำลังพิจารณาออกกฎหมาย ให้บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา ต้องได้รับใบอนุญาตเท่านั้น ก่อนให้ลูกค้าในประเทศจีนสามารถใช้งานหรือเข้าถึงเทคโนโลยีเอไอได้ ดังนั้น คาดว่าไมโครซอฟท์จึงยื่นข้อเสนอดังกล่าวเพื่อ บริหารความเสี่ยง 

อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ไม่ได้ระบุถึงจำนวนพนักงานที่บริษัทเสนอให้ย้าย และระบุว่าการให้โอกาสภายในเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายโอนภายในที่ทำเป็นประจำขององค์กรตามปกติ แต่จากแหล่งข่าวของ Yicai สื่อการเงินของรัฐจีนเขียนว่า มีพนักงานมากกว่า 100 คนได้รับผลกระทบ 

ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์เข้าสู่ประเทศจีนในปี 1992 โดยมีห้องปฏิบัติการวิจัย Microsoft Research Lab Asia ในกรุงปักกิ่ง 

สงครามเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสองทวีความรุนแรงขึ้นมานานหลายปี โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้จำกัดประเภทของเซมิคอนดักเตอร์ที่บริษัทอเมริกันสามารถขายให้กับจีนได้ และรายงานดังกล่าวมีขึ้น

ในสัปดาห์เดียวกับที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของจีนมูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกหลายประเภท โดยไบเดน กล่าวว่า เขาพยายามป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากจีนที่ทำลายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ

Source

]]>
1474209
รู้จัก ‘สัตยา นาเดลลา’ ซีอีโอผู้ดัน ‘ไมโครซอฟท์’ ให้มีมูลค่าแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1,000% https://positioningmag.com/1471881 Thu, 02 May 2024 07:48:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471881 กำลังเดินหน้าลงทุนในอาเซียนแบบฉ่ำ ๆ สำหรับ “สัตยา นาเดลลา” (Satya Nadella) ซีอีโอ ของ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ไม่ว่าจะเป็นการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในไทย, ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไอและคลาวด์ในอินโดนีเซียและมาเลเซีย โดย Positioning จะพาไปรู้จักกับสัตยา ผู้พลิกฟื้นให้ไมโครซอฟท์กลับแซงหน้า Apple เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก

สัตยา เกิดเมื่อปี 1967 ที่เมืองไฮเดอราบาด ประเทศอินเดีย พ่อของสัตยาเป็นข้าราชการ ส่วนแม่เป็นศาสตราจารย์ด้านภาษาสันสกฤตโบราณ แม้ว่าในวัยเด็กความฝันของสัตยาจะอยากเป็น นักคริกเก็ต แต่มีอีกสิ่งที่เขาหลงใหลก็คือเรื่องของ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ในส่วนของการศึกษา เขาจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยมังกาลอว์ (Mangalore University) ในปี 1988 แต่เพราะในมหาวิทยาลัยยังไม่มีคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ (computer science) เขาจึงเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าเรียนต่อปริญาโทคณะดังกล่าวที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-มิลวอกี (University of Wisconsin-Milwaukee) ตามด้วยปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago)

ก่อนจะมาร่วมงานกับไมโครซอฟท์ สัตยาได้เริ่มงานในทีมเทคโนโลยีที่ Sun Microsystems ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมมากที่สุดบริษัทหนึ่ง จนมาปี 1992 สัตยาก็ได้มาทำงานที่ไมโครซอฟท์ ซึ่งในขณะนั้น บิล เกตส์ (Bill Gates) ยังคงเป็นซีอีโอและระบบ Windows กำลังเข้าสู่ชีวิตของผู้คนทั่วโลก

ภาพจาก Shutterstock

มาในปี 2000 ไมโครซอฟท์ได้ สตีฟ บัลเมอร์ (Steve Ballmer) เป็นซีอีโอคนใหม่ ในหนึ่งปีต่อมา สัตยาก็ได้รับการเลื่อนตําแหน่งให้เป็น รองประธานของ Microsoft Business Solutions ดูแลธุรกิจซอฟต์แวร์ด้านบัญชีและ CRM และในปี 2007 เขาก็ก้าวขึ้นเป็น รองประธานอาวุโสของ Microsoft Online Services ซึ่งผลงานเด่น ๆ ของเขาก็คือ การทำ Microsoft Office Online และบริการเกม Xbox Live

จนในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 สัตยาได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็น ประธานแผนก Server and Tools ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน Microsoft Azure อีกทั้งสัตยายังสามารถสร้างรายได้จาก Azure กว่า 1.66 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพิ่มเป็น 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2013

อย่างไรก็ตาม ในปี 2013 นั้น ไมโครซอฟท์กําลังประสบปัญหา เพราะในตอนนั้นเป็นยุคของ สมาร์ทโฟน และ Windows Phone ของไมโครซอฟท์นั้นก็ไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ส่งผลให้สมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการณ์ iOS และ Android ทิ้งห่าง Windows Phone อีกทั้ง เสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Bing ก็ไม่สามารถชนะ Google ได้ นอกจากนี้ บริษัทกําลังเผชิญกับคดีต่อต้านการผูกขาดจากสหภาพยุโรป ขณะที่ราคาหุ้นก็ลดลงเรื่อย ๆ

Satya Nadella ซีอีโอ Microsoft

ส่งผลให้ในเดือนสิงหาคม 2013 บัลเมอร์ได้ออกจากการเป็นซีอีโอ และสัตยาก็ขึ้นมาเป็นซีอีโอคนใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ซึ่งขณะนั้น Microsoft มีมูลค่าบริษัทตามตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ภายใต้การบริหารของสัตยา เขาได้ฟื้นคืนชีพให้ไมโครซอฟท์กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และมีดีลการการเข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ ๆ ที่ช่วยให้ไมโครซอฟท์แข็งแกร่งขึ้น เช่น  

  • LinkedIn มูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2016 
  • GitHub มูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018
  • Activision Blizzard มูลค่า 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2023
  • OpenAI มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2023

และในระหว่างทัวร์ในภูมิภาคอาเซียน ไมโครซอฟท์ก็ประกาศแผนลงทุนมูลค่า 6.3 หมื่นล้านบาทในคลาวด์และเอไอในอินโดนีเซีย, ลงทุน 8.1 หมื่นล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานเอไอและคลาวด์ในมาเลเซีย และประกาศว่าจะจัดตั้ง ดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย

ภาพจาก Shutterstock

ที่ผ่านมา สัตยา เคยอธิบายว่า เขามีเกณฑ์หลัก ๆ 2 ประการในการเลือกซื้อกิจการ คือ ต้อง เพิ่มมูลค่าให้กับไมโครซอฟท์ได้ และ ราคาสมเหตุสมผล และนอกจากผลงานการซื้อกิจการ ก็มีการออก Windows 10 การออกแล็ปท็อปเครื่องแรก Surface Book ที่เป็นผลงานเด่น ๆ

ภายใต้การบริหารของสัตยา สามารถดันให้ไมโครซอฟท์มีมูลค่ามากกว่า 2.89 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้า Apple เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกเมื่อช่วงเดือนมกราคม 2024 ที่ผ่านมา หรือเติบโตกว่า 1,006% ตลอดช่วง 10 ปี ภายใต้การบริหารของสัตยา และในสายตาของนักลงทุนตอนนี้ ไมโครซอฟท์กลายเป็นบริษัทที่อยู่ในตําแหน่งที่จะครองอํานาจในการปฏิวัติเอไอของโลกนี้เรียบร้อยแล้ว

Source

]]>
1471881
Linkedin มีรายได้จากสมาชิกพรีเมียมมากกว่า 60,000 ล้านบาทแล้ว ผู้บริหารชี้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังตึงตัว https://positioningmag.com/1465602 Fri, 08 Mar 2024 07:21:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465602 ลิงค์อิน (Linkedin) แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มุ่งเน้นด้านธุรกิจ ได้เปิดเผยรายได้จากสมาชิกพรีเมียมนั้นมีมากกว่า 60,000 ล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ผู้บริหารของบริษัทยังชี้ถึงตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังตึงตัว ทำให้มีการแข่งขันในการหางานไม่น้อย ซึ่งส่งผลถึงรายได้ของบริษัท

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า ลิงค์อิน (Linkedin) แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มุ่งเน้นด้านธุรกิจ ได้เปิดเผยรายได้สมาชิกพรีเมี่ยมในปี 2023 อยู่ที่ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ราวๆ 60,360 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เปิดเผยตัวเลขดังกล่าวเป็นครั้งแรกหลังจากที่อยู่ใต้ชายคาของ Microsoft

การเปิดเผยตัวเลขรายได้จากสมาชิกแบบพรีเมียมดังกล่าวถือเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ Microsoft ได้เข้าซื้อกิจการของ Linkedin ในปี 2016 ด้วยเม็ดเงินมากกว่า 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปกติตัวเลขดังกล่าวนั้นจะเปิดเผยเพียงแค่รายได้ของบริษัท ซึ่งอยู่ภายใต้ผลประกอบการของ Microsoft

รายได้ของ Linkedin ในปี 2023 ที่ผ่านมามีมากกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยรายได้มากถึง 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐคือการขายโซลูชันเกี่ยวกับการจ้างงานให้กับฝ่ายบุคคลของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ขณะที่รายได้สมาชิกพรีเมี่ยมนั้นอยู่ที่ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในเดือนพฤศจิกายนปี 2023 ที่ผ่านมา Linkedin เตรียมนำเทคโนโลยี AI มาช่วยสมาชิกแบบ Premium ที่จ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มว่าตัวเองเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่รับสมัครหรือไม่ และตัวระบบเองยังสามารถแนะนำให้มีการเพิ่มหรือแปลงข้อมูลของสมาชิก เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับผู้สมัครงานรายอื่นได้

ปัจจุบัน Linkedin มีสมาชิกทั่วโลกมากถึง 1,000 ล้านคน โดย 80% เป็นผู้ใช้งานนอกสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าหากต้องการเป็นสมาชิกแบบพรีเมียมจะต้องจ่ายเงิน 39.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งมีฟังก์ชันในการหางาน หรือแม้แต่ช่วยอำนวยความสะดวกมากกว่า

นอกจากนี้ Reuters ยังได้สัมภาษณ์ Dan Shapero ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Linkedin โดยเขากล่าวว่าจำนวนสมาชิก Linkedin แบบพรีเมียมเพิ่มขึ้น 25% ในปี 2023 ที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้ให้ตัวเลขที่แน่นอนก็ตาม

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Linkedin ยังกล่าวถึงพฤติกรรมของคนหางานจากข้อมูลขอบริษัทพบว่ามีผู้สมัครงานอย่างน้อย 2 ตำแหน่ง ในตำแหน่งงานที่เปิดในแพลตฟอร์ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดงานในสหรัฐอเมริกาจะยังค่อนข้างตึงตัวอยู่ไม่น้อย

เขายังกล่าวเสริมว่า สิ่งที่ Linkedin รู้คือ เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในวงกว้าง จึงมีคนที่พยายามทำให้แน่ใจว่าพวกเขามีความสามารถในการได้ตำแหน่งงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพวกเขา (คนที่หางาน) รู้สึกตื่นเต้นในสิ่งดังกล่าว

ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งทำให้รายได้จากสมาชิกแบบพรีเมียมของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง

]]>
1465602