Microsoft – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 23 Jul 2024 08:39:51 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ประเมินวิกฤติไอทีล่มทั่วโลกจาก ‘CrowdStrike’ สูงกว่า 3.6 หมื่นล้าน และบริษัทอาจเสียลูกค้า 5% ไปจากเหตุการณ์นี้ https://positioningmag.com/1483476 Mon, 22 Jul 2024 04:56:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1483476 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลายคนอาจได้เลิกงานเร็วจากวิกฤต ‘Windows’ ล่ม เนื่องจากการอัปเดตบริการความปลอดภัยจาก ‘CrowdStrike’ ซึ่งส่งผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรมอย่างหนัก

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์รายหนึ่ง ประเมินว่าเป็น การหยุดทํางานด้านไอทีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ Windows ราว 8.5 ล้านเครื่อง แม้จะคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% แต่มันนําไปสู่การ ยกเลิกเที่ยวบิน ของสายการบินพาณิชย์มากกว่า 5,000 เที่ยวบินทั่วโลก และขัดขวางธุรกิจตั้งแต่การขายปลีกไปจนถึงการจัดส่งพัสดุไปจนถึงขั้นตอนในโรงพยาบาล

Patrick Anderson ซีอีโอของ Anderson Economic Group ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยในมิชิแกนที่เชี่ยวชาญด้านการประเมินต้นทุนทางเศรษฐกิจของเหตุการณ์ต่าง ๆ ประเมินว่า ความเสียหายของเหตุการณ์ดังกล่าวอาจสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36,000 ล้านบาท แม้ว่า CrowdStrike จะออกมาขอโทษเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่บริษัทยังไม่พูดถึง ค่าชดเชยแก่ลูกค้า 

“การหยุดทํางานนี้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจมากขึ้นในลักษณะที่มีตั้งแต่ความไม่สะดวกไปจนถึงการหยุดชะงักอย่างร้ายแรง และส่งผลต่อต้นทุนที่เสียไปและไม่สามารถคืนได้ง่าย โดยเฉพาะในธุรกิจสายการบิน เพราะต้องสูญเสียรายได้จากเที่ยวบินที่ถูกยกเลิก แถมยังต้องเสียค่าแรงและค่าเชื้อเพลิงสำหรับความล่าช้าอย่างมาก”

นอกจากนี้ ยังไม่ชัดเจนว่ามีลูกค้า CrowdStrike กี่รายที่บริษัทอาจสูญเสียไป แต่ Wedbush Securities ประเมินว่า อาจมีลูกค้าประมาณ 5% ที่อาจเลิกใช้บริการบริษัทไปใช้ที่อื่นแทน อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเหมือนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อย แต่จุดสำคัญคือ CrowdStrike จะ หาลูกค้าใหม่ยากขึ้นแน่นอน

“วิกฤตที่แท้จริงต่อ CrowdStrike ก็คือ ชื่อเสียงที่เสียหาย ที่จะทําให้ยากต่อการเอาชนะใจลูกค้าใหม่ วันนี้ CrowdStrike กลายเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จัก แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี” Ives กล่าว

ทั้งนี้ George Kurtz ซีอีโอของ CrowdStrike กล่าวในการให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า บริษัทได้มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง และจนถึงขณะนี้ เขาเชื่อว่าลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจแล้ว

Source

]]>
1483476
สหรัฐฯ เตรียมตรวจสอบ OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia ในเรื่องการผูกขาดเทคโนโลยี AI https://positioningmag.com/1477270 Mon, 10 Jun 2024 05:58:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477270 กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ (DOJ) และ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ได้บรรลุข้อตกลงเตรียมที่จะเปิดฉากสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia ซึ่งบริษัทเหล่านี้อาจมีพฤติกรรมผูกขาดตลาดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

แหล่งข่าวของสื่อต่างประเทศหลายแห่ง เช่น AP และ CNBC รวมถึง New York Times รายงานข่าวตรงกันว่า หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้ง กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ และ คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เตรียมเข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น OpenAI และ Microsoft รวมถึง Nvidia หลังจากที่บรรลุข้อตกลงดังกล่าว

ทั้ง 2 หน่วยงานของสหรัฐอเมริกาได้ตกลงที่จะสืบสวนพฤติกรรมบริษัทเหล่านี้ โดยทาง DOJ จะมีการสอบสวน Nvidia ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปเร่งประมวลผล AI ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดในตอนนี้มากถึง 80% ขณะที่ FTC จะสอบสวน Microsoft และ OpenAI

นอกจากนี้ FTC เตรียมที่จะสอบสวน Microsoft ในดีลการลงทุน Infection AI มูลค่า 650 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงในเรื่องการควบรวมกิจการหรือไม่

การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ได้ทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมีมูลค่าบริษัทเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Microsoft ที่มีการลงทุนใน OpenAI เจ้าของบริการอย่าง ChatGPT หรือแม้แต่ Nvidia ที่ล่าสุดบริษัทมีมูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผลประกอบการและธุรกิจบริษัทกำลังเติบโต

สำหรับความร่วมมือของ 2 หน่วยงานดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ในปี 2019 นั้นมีความร่วมมือเพื่อที่จะตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ มาแล้ว โดย FTC ได้ตรวจสอบ Meta และ Amazon และทาง DOJ ได้ตรวจสอบ Apple และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google

ในช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกา ได้แสดงความกังวลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้เปรียบกว่าบริษัทอื่นๆ ในการเข้าถึงข้อมูลที่ใช้ในการฝึกอบรมโมเดล AI ไปจนถึงความร่วมมือระหว่างบริษัทต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการตรวจสอบการควบรวมกิจการจากหน่วยงานกำกับดูแลเหล่านี้

ที่มา – CNBC, Euronews, New York Times

]]>
1477270
‘ไมโครซอฟท์’ ขอให้พนักงานในจีนอย่างน้อย 100 คน ย้ายไปทำประเทศอื่น เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ https://positioningmag.com/1474209 Fri, 17 May 2024 13:59:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474209 ดูเหมือนว่าความตึงเครียดระหว่าง สหรัฐฯ กับ จีน จะยังไม่มีทีท่าจะเบาบางลง โดยเฉพาะในส่วนของ สงครามเทคโนโลยี ล่าสุด ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้ขอให้พนักงานอย่างน้อย 100 คนในจีนพิจารณาย้ายไปประเทศอื่น ตามรายงานของสื่อทางการจีน

Wall Street Journal รายงานว่า ไมโครซอฟท์ ขอให้พนักงานบริษัทในจีนที่ทำงานเกี่ยวกับคลาวด์คอมพิวติ้งและเอไอ พิจารณาย้ายไปทำงานในประเทศอื่น โดยมีตัวเลือกอย่างสหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย และไอร์แลนด์ โดยคาดว่าวิศวกรสัญชาติจีนในแผนกดังกล่าวมีจำนวนมากถึง 800 คน 

โดย Wall Street Journal ได้อ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่ระบุชื่อว่า ฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลัง เตรียมจำกัดไม่ให้บริษัทจีนเข้าถึงบริการคลาวด์ของสหรัฐฯ โดยกำลังพิจารณาออกกฎหมาย ให้บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา ต้องได้รับใบอนุญาตเท่านั้น ก่อนให้ลูกค้าในประเทศจีนสามารถใช้งานหรือเข้าถึงเทคโนโลยีเอไอได้ ดังนั้น คาดว่าไมโครซอฟท์จึงยื่นข้อเสนอดังกล่าวเพื่อ บริหารความเสี่ยง 

อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ไม่ได้ระบุถึงจำนวนพนักงานที่บริษัทเสนอให้ย้าย และระบุว่าการให้โอกาสภายในเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายโอนภายในที่ทำเป็นประจำขององค์กรตามปกติ แต่จากแหล่งข่าวของ Yicai สื่อการเงินของรัฐจีนเขียนว่า มีพนักงานมากกว่า 100 คนได้รับผลกระทบ 

ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์เข้าสู่ประเทศจีนในปี 1992 โดยมีห้องปฏิบัติการวิจัย Microsoft Research Lab Asia ในกรุงปักกิ่ง 

สงครามเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสองทวีความรุนแรงขึ้นมานานหลายปี โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้จำกัดประเภทของเซมิคอนดักเตอร์ที่บริษัทอเมริกันสามารถขายให้กับจีนได้ และรายงานดังกล่าวมีขึ้น

ในสัปดาห์เดียวกับที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของจีนมูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกหลายประเภท โดยไบเดน กล่าวว่า เขาพยายามป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากจีนที่ทำลายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ

Source

]]>
1474209
รู้จัก ‘สัตยา นาเดลลา’ ซีอีโอผู้ดัน ‘ไมโครซอฟท์’ ให้มีมูลค่าแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1,000% https://positioningmag.com/1471881 Thu, 02 May 2024 07:48:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471881 กำลังเดินหน้าลงทุนในอาเซียนแบบฉ่ำ ๆ สำหรับ “สัตยา นาเดลลา” (Satya Nadella) ซีอีโอ ของ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ไม่ว่าจะเป็นการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในไทย, ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไอและคลาวด์ในอินโดนีเซียและมาเลเซีย โดย Positioning จะพาไปรู้จักกับสัตยา ผู้พลิกฟื้นให้ไมโครซอฟท์กลับแซงหน้า Apple เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก

สัตยา เกิดเมื่อปี 1967 ที่เมืองไฮเดอราบาด ประเทศอินเดีย พ่อของสัตยาเป็นข้าราชการ ส่วนแม่เป็นศาสตราจารย์ด้านภาษาสันสกฤตโบราณ แม้ว่าในวัยเด็กความฝันของสัตยาจะอยากเป็น นักคริกเก็ต แต่มีอีกสิ่งที่เขาหลงใหลก็คือเรื่องของ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ในส่วนของการศึกษา เขาจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยมังกาลอว์ (Mangalore University) ในปี 1988 แต่เพราะในมหาวิทยาลัยยังไม่มีคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ (computer science) เขาจึงเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าเรียนต่อปริญาโทคณะดังกล่าวที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-มิลวอกี (University of Wisconsin-Milwaukee) ตามด้วยปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago)

ก่อนจะมาร่วมงานกับไมโครซอฟท์ สัตยาได้เริ่มงานในทีมเทคโนโลยีที่ Sun Microsystems ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมมากที่สุดบริษัทหนึ่ง จนมาปี 1992 สัตยาก็ได้มาทำงานที่ไมโครซอฟท์ ซึ่งในขณะนั้น บิล เกตส์ (Bill Gates) ยังคงเป็นซีอีโอและระบบ Windows กำลังเข้าสู่ชีวิตของผู้คนทั่วโลก

ภาพจาก Shutterstock

มาในปี 2000 ไมโครซอฟท์ได้ สตีฟ บัลเมอร์ (Steve Ballmer) เป็นซีอีโอคนใหม่ ในหนึ่งปีต่อมา สัตยาก็ได้รับการเลื่อนตําแหน่งให้เป็น รองประธานของ Microsoft Business Solutions ดูแลธุรกิจซอฟต์แวร์ด้านบัญชีและ CRM และในปี 2007 เขาก็ก้าวขึ้นเป็น รองประธานอาวุโสของ Microsoft Online Services ซึ่งผลงานเด่น ๆ ของเขาก็คือ การทำ Microsoft Office Online และบริการเกม Xbox Live

จนในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 สัตยาได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็น ประธานแผนก Server and Tools ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน Microsoft Azure อีกทั้งสัตยายังสามารถสร้างรายได้จาก Azure กว่า 1.66 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพิ่มเป็น 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2013

อย่างไรก็ตาม ในปี 2013 นั้น ไมโครซอฟท์กําลังประสบปัญหา เพราะในตอนนั้นเป็นยุคของ สมาร์ทโฟน และ Windows Phone ของไมโครซอฟท์นั้นก็ไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ส่งผลให้สมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการณ์ iOS และ Android ทิ้งห่าง Windows Phone อีกทั้ง เสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Bing ก็ไม่สามารถชนะ Google ได้ นอกจากนี้ บริษัทกําลังเผชิญกับคดีต่อต้านการผูกขาดจากสหภาพยุโรป ขณะที่ราคาหุ้นก็ลดลงเรื่อย ๆ

Satya Nadella ซีอีโอ Microsoft

ส่งผลให้ในเดือนสิงหาคม 2013 บัลเมอร์ได้ออกจากการเป็นซีอีโอ และสัตยาก็ขึ้นมาเป็นซีอีโอคนใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ซึ่งขณะนั้น Microsoft มีมูลค่าบริษัทตามตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ภายใต้การบริหารของสัตยา เขาได้ฟื้นคืนชีพให้ไมโครซอฟท์กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และมีดีลการการเข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ ๆ ที่ช่วยให้ไมโครซอฟท์แข็งแกร่งขึ้น เช่น  

  • LinkedIn มูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2016 
  • GitHub มูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018
  • Activision Blizzard มูลค่า 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2023
  • OpenAI มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2023

และในระหว่างทัวร์ในภูมิภาคอาเซียน ไมโครซอฟท์ก็ประกาศแผนลงทุนมูลค่า 6.3 หมื่นล้านบาทในคลาวด์และเอไอในอินโดนีเซีย, ลงทุน 8.1 หมื่นล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานเอไอและคลาวด์ในมาเลเซีย และประกาศว่าจะจัดตั้ง ดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย

ภาพจาก Shutterstock

ที่ผ่านมา สัตยา เคยอธิบายว่า เขามีเกณฑ์หลัก ๆ 2 ประการในการเลือกซื้อกิจการ คือ ต้อง เพิ่มมูลค่าให้กับไมโครซอฟท์ได้ และ ราคาสมเหตุสมผล และนอกจากผลงานการซื้อกิจการ ก็มีการออก Windows 10 การออกแล็ปท็อปเครื่องแรก Surface Book ที่เป็นผลงานเด่น ๆ

ภายใต้การบริหารของสัตยา สามารถดันให้ไมโครซอฟท์มีมูลค่ามากกว่า 2.89 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้า Apple เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกเมื่อช่วงเดือนมกราคม 2024 ที่ผ่านมา หรือเติบโตกว่า 1,006% ตลอดช่วง 10 ปี ภายใต้การบริหารของสัตยา และในสายตาของนักลงทุนตอนนี้ ไมโครซอฟท์กลายเป็นบริษัทที่อยู่ในตําแหน่งที่จะครองอํานาจในการปฏิวัติเอไอของโลกนี้เรียบร้อยแล้ว

Source

]]>
1471881
Linkedin มีรายได้จากสมาชิกพรีเมียมมากกว่า 60,000 ล้านบาทแล้ว ผู้บริหารชี้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังตึงตัว https://positioningmag.com/1465602 Fri, 08 Mar 2024 07:21:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465602 ลิงค์อิน (Linkedin) แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มุ่งเน้นด้านธุรกิจ ได้เปิดเผยรายได้จากสมาชิกพรีเมียมนั้นมีมากกว่า 60,000 ล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ผู้บริหารของบริษัทยังชี้ถึงตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังตึงตัว ทำให้มีการแข่งขันในการหางานไม่น้อย ซึ่งส่งผลถึงรายได้ของบริษัท

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า ลิงค์อิน (Linkedin) แพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มุ่งเน้นด้านธุรกิจ ได้เปิดเผยรายได้สมาชิกพรีเมี่ยมในปี 2023 อยู่ที่ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ราวๆ 60,360 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เปิดเผยตัวเลขดังกล่าวเป็นครั้งแรกหลังจากที่อยู่ใต้ชายคาของ Microsoft

การเปิดเผยตัวเลขรายได้จากสมาชิกแบบพรีเมียมดังกล่าวถือเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ Microsoft ได้เข้าซื้อกิจการของ Linkedin ในปี 2016 ด้วยเม็ดเงินมากกว่า 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปกติตัวเลขดังกล่าวนั้นจะเปิดเผยเพียงแค่รายได้ของบริษัท ซึ่งอยู่ภายใต้ผลประกอบการของ Microsoft

รายได้ของ Linkedin ในปี 2023 ที่ผ่านมามีมากกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยรายได้มากถึง 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐคือการขายโซลูชันเกี่ยวกับการจ้างงานให้กับฝ่ายบุคคลของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ขณะที่รายได้สมาชิกพรีเมี่ยมนั้นอยู่ที่ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในเดือนพฤศจิกายนปี 2023 ที่ผ่านมา Linkedin เตรียมนำเทคโนโลยี AI มาช่วยสมาชิกแบบ Premium ที่จ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มว่าตัวเองเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่รับสมัครหรือไม่ และตัวระบบเองยังสามารถแนะนำให้มีการเพิ่มหรือแปลงข้อมูลของสมาชิก เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับผู้สมัครงานรายอื่นได้

ปัจจุบัน Linkedin มีสมาชิกทั่วโลกมากถึง 1,000 ล้านคน โดย 80% เป็นผู้ใช้งานนอกสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าหากต้องการเป็นสมาชิกแบบพรีเมียมจะต้องจ่ายเงิน 39.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งมีฟังก์ชันในการหางาน หรือแม้แต่ช่วยอำนวยความสะดวกมากกว่า

นอกจากนี้ Reuters ยังได้สัมภาษณ์ Dan Shapero ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Linkedin โดยเขากล่าวว่าจำนวนสมาชิก Linkedin แบบพรีเมียมเพิ่มขึ้น 25% ในปี 2023 ที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้ให้ตัวเลขที่แน่นอนก็ตาม

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Linkedin ยังกล่าวถึงพฤติกรรมของคนหางานจากข้อมูลขอบริษัทพบว่ามีผู้สมัครงานอย่างน้อย 2 ตำแหน่ง ในตำแหน่งงานที่เปิดในแพลตฟอร์ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดงานในสหรัฐอเมริกาจะยังค่อนข้างตึงตัวอยู่ไม่น้อย

เขายังกล่าวเสริมว่า สิ่งที่ Linkedin รู้คือ เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในวงกว้าง จึงมีคนที่พยายามทำให้แน่ใจว่าพวกเขามีความสามารถในการได้ตำแหน่งงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพวกเขา (คนที่หางาน) รู้สึกตื่นเต้นในสิ่งดังกล่าว

ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งทำให้รายได้จากสมาชิกแบบพรีเมียมของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง

]]>
1465602
FTC สอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เรื่องการลงทุนและจับมือเป็นพันธมิตรด้าน AI อาจกระทบการแข่งขันได้ https://positioningmag.com/1460410 Fri, 26 Jan 2024 07:44:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460410 คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้อาศัยข้อกฎหมายเพื่อเข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเรื่องการลงทุนและจับมือเป็นพันธมิตรด้าน AI ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวชี้ว่าอาจกระทบการแข่งขัน และส่งผลกระทบกับผู้บริโภคได้

คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (FTC) ได้สอบสวนบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง จากประเด็นการลงทุนและจับมือเป็นพันธมิตรในเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยให้เหตุผลว่าอาจกระทบการแข่งขันได้ หลังจากการเข้ามาของ AI อาจทำให้เกิดความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีมากขึ้น

สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่โดน FTC เข้าสอบสวนได้แก่ Amazon, Alphabet, Microsoft, OpenAI รวมถึง Anthropic

การสืบสวนดังกล่าว FTC เข้าสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีในตลาดหลายบริษัทเกี่ยวกับการลงทุนและการจับมือเป็นพันธมิตรระหว่างบริษัทเทคโนโลยีด้าน AI กับบริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ เพื่อต้องการทราบถึงกาลงทุนนั้นมีความเสี่ยงที่จะบิดเบือนกลไกตลาด หรือการแข่งขันหรือไม่

ในด้านของการจับมือเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยี ทาง FTC จะสอบสวนว่าการร่วมมือกัน หรือการทำงานร่วมกันนั้นมีระบบการทำงาน หรือการตัดสินใจของแต่ละฝ่าย เพื่อที่จะทราบถึงอิทธิพลของอีกฝ่ายว่ามากน้อยเพียงใด และผลดังกล่าวกระทบกับผู้บริโภคในระยะยาวหรือไม่

FTC ยังได้อ้างข้อกฎหมายที่สามารถขอตรวจสอบบริษัทต่างๆ ได้ และได้กล่าวว่าการเข้ามาของเทคโนโลยี AI ก็ไม่สามารถเป็นข้อยกเว้นได้ ซึ่งคณะกรรมการของ FTC มีมติเอกฉันท์ 3-0 เสียง เพื่อใช้ข้อกฎหมายดังกล่าวเพื่อเข้าตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยี

Lina Khan ประธานของ FTC ได้กล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถสร้างตลาดใหม่ๆ และการแข่งขันที่ดีได้” และเธอยังกล่าวเสริมว่า FTC จะใช้ประสบการณ์ในการกำกับดูแลธุรกิจอื่นๆ จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลรายนี้สามารถสอบสวนเรื่องดังกล่าวได้

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ได้เริ่มขยับตัวมากขึ้นจากการเข้ามาของ AI ไม่ว่าจะเป็นกรณี Microsoft ได้ลงทุนกับ OpenAI เจ้าของแพลตฟอร์ม ChatGPT มากถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือแม้แต่ Amazon และ Alphabet ที่ได้ลงทุนใน Anthropic บริษัทด้าน AI อีกรายเป็นเงินรวมกันหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ

การเข้าสอบสวนดังกล่าวบริษัทเทคโนโลยีแต่ละแห่งจะมีเวลา 45 วันในการตอบประเด็นข้อสงสัยของ FTC 

ที่มา – CNBC, The Register, Axios

]]>
1460410
พลังเอไอ! ดัน ‘Microsoft’ แซงหน้า ‘Apple’ ขึ้นแท่นเป็น “บริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก” https://positioningmag.com/1458717 Sun, 14 Jan 2024 13:33:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458717 หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้ ไมโครซอฟต์ (Microsoft) บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลกโดดเด่นขึ้นไปอีกกในช่วงที่ผ่านมาก็คือ การลงทุนใน OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ทำให้ไมโครซอฟต์สามารถนำเอไอไปใช้กับผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้ ทำให้ล่าสุด ไมโครซอฟต์ได้ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก

ไมโครซอฟต์ ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก หลังจากที่หุ้นพุ่งขึ้น +3% ในสัปดาห์นี้ ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 2.89 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหุ้นของแชมป์เก่าอย่าง Apple ลดลงมากกว่า -3% ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทลดลงเหลือ 2.87 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

นักวิเคราะห์ของ Piper Sandler มองว่า ไมโครซอฟต์ได้รับการสนับสนุนจากโมเมนตัมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เอไอที่เติบโตเต็มที่ที่สุด โดยเฉพาะจากการลงทุนใน OpenAI และการเพิ่มฟีเจอร์ด้านเอไอออกมาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าจะได้โอกาสจากการเติบโตของเอไอที่เป็นเทคโนโลยีสำคัญของโลกในตอนนี้

ขณะที่ Apple เองนั้นมีข่าวที่ส่งผลกระทบหลายอย่าง อาทิ การฟ้องร้องเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีของ Apple Watch จนถูกห้ามขายในอเมริกา และบทวิเคราะห์ของธนาคาร Barclays ที่ปรับลดมูลค่าของแอปเปิลลง เป็นต้น

ทั้งนี้  Apple เป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่ามากที่สุดมานานกว่าหนึ่งปี หลังจากที่ Saudi Aramco บริษัทน้ำมันเคยขึ้นเป็นันดับ 1 ของโลกในช่วงเวลาสั้น ๆ ส่วนไมโครซอฟต์เคยขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดของโลกในปี 2018 และ 2021

Source

]]>
1458717
ปีแห่งพีซีเอไอ! ‘Microsoft’ เตรียมเพิ่มคีย์ ‘Copilot’ สำหรับเรียกผู้ช่วย ‘เอไอ’ ถือเป็นการอัปเดตแป้นพิมพ์ครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปี https://positioningmag.com/1457779 Fri, 05 Jan 2024 02:21:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457779 หลังจากที่ ChatGPT เอไอสุดอัจฉริยะที่พัฒนาโดย OpenAI สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก ทำให้ Microsoft ยอมควักเงิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลงในทุนกับ OpenAI ทำให้ Microsoft สามารถใช้โมเดลของ OpenAI กับผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ล่าสุด Microsoft เตรียมเพิ่มคีย์ Copilot สำหรับเรียกผู้ช่วยเอไอ

หลังจากที่ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ ได้ประกาศว่า ปีนี้จะเป็น ปีแห่งพีซีเอไอ ล่าสุด บริษัทได้เปิดเผยว่าจะ เพิ่มปุ่ม Copilot สำหรับพีซีระบบปฏิบัติการ Windows รุ่นใหม่บางรุ่น สำหรับเรียกใช้งานเอไอแชทบอทเพื่อถามคำถามหรือช่วยร่างอีเมลได้

“นี่จะไม่เพียงทำให้ประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ของผู้คนง่ายขึ้น แต่ยังขยายให้มากขึ้นอีกด้วย ทำให้ปี 2024 เป็นปีแห่งพีซีแบบเอไอ และคีย์ใหม่นี้จะทำให้การมีส่วนร่วมของ Copilot ในแต่ละวันของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น” Yusuf Mehdi รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดผู้บริโภคของ Microsoft กล่าว

การเพิ่มปุ่มใหม่บนคีย์บอร์ดของพีซี Windows นี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งแรก นับตั้งแต่ Microsoft เพิ่มคีย์ Windows ในปี 1994 โดยปุ่ม Copilot นั้นจะวางอยู่โลโก้ด้านขวาล่างของคีย์บอร์ดใกล้กับ Space bar และปุ่ม Alt และแน่นอนว่า Copilotเอไอแชทบอทจะขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีพื้นฐานของ OpenAI หลังจากที่ Microsoft ลงทุน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่ผ่านมา หลังจากที่ Microsoft ลงทุนใน OpenAI บริษัทก็ได้นำเทคโนโลยีเอไอมาใช้กับการทำงานของโปรแกรมตระกูล Microsoft Office ไม่ว่าจะเป็น Outlook, PowerPoint, Excel และ Word โดยใช้ชื่อว่า Copilot ซึ่งจะช่วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อาทิ Word สามารถช่วยร่างเอกสาร, ปรับภาษาให้เป็นทางการขึ้นหรือน้อยลง PowerPoint สามารถนำเนื้อหาจาก Word มาสร้างสไดล์ พร้อมใส่ภาพที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

‘ไมโครซอฟท์’ เตรียมใส่ความสามาถ ‘ChatGPT’ ใน ‘Microsoft Office’ เชื่อจะเปลี่ยนวิธีการทำงานคนนับล้าน

อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ Copilot ยังไม่ได้เปิดให้บริการในทุกประเทศ ดังนั้น ถ้าใครที่ซื้อพีซีรุ่นใหม่ที่มีปุ่ม Copilot แต่ยังไม่มีฟีเจอร์ดังกล่าวให้ใช้ การกดปุ่ม Copilot จะเป็นการเปิด Windows Search แทน

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของ Microsoft นั้นเกิดก่อนการประชุมเทคโนโลยี CES ในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวการอัปเดตผลิตภัณฑ์เอไอเพิ่มเติมจากหลาย ๆ บริษัท เนื่องจากปีที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต่างเร่งพัฒนาและบูรณาการเครื่องมือเอไอ เข้ากับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของตน

Source

]]>
1457779
เกือบหมดบริษัท! พนักงาน 650 คนของ “OpenAI” ลงชื่อขู่ “ลาออก” ตามซีอีโอเก่าไปทำงานที่ “Microsoft” https://positioningmag.com/1452648 Tue, 21 Nov 2023 05:26:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452648 พนักงานของ “OpenAI” ลงชื่อขู่ “ลาออก” ตามซีอีโอเก่าไปทำงานที่ “Microsoft” หลังจากบอร์ดบริหารสั่งปลดฟ้าฝ่าทั้งซีอีโอ “Sam Altman” และผู้ร่วมก่อตั้ง “Greg Brockman” ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ล่าสุดรายชื่อพนักงานที่พร้อมลาออกตามนายเก่าพุ่งขึ้นถึง 650 คน จากจำนวนพนักงานทั้งบริษัท 770 คน

เมื่อสัปดาห์ก่อนมีข่าวช็อกวงการเทค เมื่ออยู่ ๆ บอร์ดบริหาร “OpenAI” ประกาศปลดทั้งซีอีโอ “Sam Altman” และผู้ร่วมก่อตั้ง “Greg Brockman” ออกจากตำแหน่ง

แต่ทั้งคู่ก็ไม่ต้องเคว้งนาน เพราะ “Microsoft” เข้ามาเสนองานใหม่ทันที โดยให้ไปเป็นผู้นำ “ทีมงานวิจัย AI ขั้นสูง” ของบริษัทย่อยที่จะตั้งขึ้นใหม่

ไม่ใช่แค่ Altman และ Brockman เท่านั้น แต่ดูเหมือน Microsoft จะเปิดออฟฟิศพร้อมรับคนทั้งบริษัท OpenAI ให้ตามนายเก่าไปที่บริษัทย่อยแห่งใหม่ด้วย

ข้อมูลนี้อ้างอิงจากในเนื้อความ “จดหมายเปิดผนึก” ของพนักงาน OpenAI เอง ในจดหมายนี้ระบุถึงความไม่พอใจของพนักงานต่อบอร์ดบริหารที่สั่งปลด Altman และ Brockman พร้อมขู่ว่าถ้าบอร์ดไม่แต่งตั้งทั้งคู่กลับสู่ตำแหน่งเดิม พนักงานตามรายชื่อด้านล่างจดหมายนี้จะขอ “ลาออก” และจะไปร่วมงานกับ Microsoft ซึ่งให้ความมั่นใจมาแล้วว่าจะรับพนักงาน OpenAI ทั้งหมดเข้าทำงานในบริษัทย่อยใหม่ที่เปิดให้กับ Altman และ Brockman

ครั้งแรกที่จดหมายเปิดสู่สาธารณะ จากพนักงาน 770 คนของบริษัท OpenAI มีถึง 500 คนที่ลงชื่อขู่ลาออก จากนั้นจำนวนชื่อก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนล่าสุดสูงถึง 650 คน เรียกว่าแทบจะหมดบริษัท

OpenAI ลาออก
Sam Altman อดีตซีอีโอ OpenAI (Photo: Shutterstock)

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่พนักงาน OpenAI จะได้ลาออกจริง ๆ นั้นมีสูงมาก เพราะบอร์ดบริหารได้ตัดสินใจเลือกไปแล้วและไม่มีท่าทีจะคืนคำ พร้อมทั้งตั้งซีอีโอคนใหม่ขึ้นมาบริหารแล้ว

ฝั่ง Microsoft นั้นกำลังอยู่ระหว่างตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาโดยจะยื่นตำแหน่ง “ซีอีโอ” ให้กับ Altman ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่ค่อยปกติของ Microsoft เพราะโดยทั่วไปแล้วบริษัทนี้จะให้ตำแหน่งระดับซีอีโอกับแผนกขนาดใหญ่ เช่น Microsoft Gaming หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่เข้าไปเทกโอเวอร์มา เช่น LinkedIn, Github ดังนั้น การให้ตำแหน่งซีอีโอกับ Altman พร้อมกับดึงคนทั้งหมดของ OpenAI มาให้ด้วย เป็นเหมือนสัญญาณที่บอกว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ของ Microsoft

การเปิดตัว Altman กับ Brockman ให้มารั้งตำแหน่งหัวหน้าทีม AI ขั้นสูงของ Microsoft เกิดขึ้นในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวหลังบริษัทประกาศว่าบริษัทจะพัฒนา “ชิป AI” ของตนเอง เพื่อให้ชิปนี้สามารถใช้ฝึกโมเดลภาษาได้ และลดการพึ่งพิง Nvidia ลง โดยก่อนหน้านี้ Altman เองก็เริ่มเสนองาน TPU เพื่อแข่งกับ Nvidia ให้กับนักลงทุนต่าง ๆ มาแล้วสักพักหนึ่ง

สาเหตุที่บอร์ดบริหารสั่งปลด Altman กับ Brockman นั้นคาดว่ามาจากความไม่พอใจที่ทั้งคู่เร่งรีบผลักดันผลิตภัณฑ์ AI ออกสู่ตลาดเร็วเกินไป จนอาจจะควบคุมไม่ได้และเป็นอันตรายต่อสังคม โดยมีหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI อย่าง “Ilya Sutskever” ที่เป็นคนผลักดันบอร์ดบริหารให้ปลดสองคนนี้ออกจากตำแหน่ง

ล่าสุด Sutskever กลับลำมา “ลงชื่อ” ในจดหมายขู่ลาออกของพนักงานกับเขาด้วย พร้อมบอกผ่าน X (ทวิตเตอร์) ว่าเขา “รู้สึกเสียใจอย่างมากที่มีส่วนร่วมในการกระทำของบอร์ดบริหาร” และ “ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายบริษัท OpenAI เลย”

Source

]]>
1452648
Linkedin นำเทคโนโลยี AI มาช่วยสมาชิกแบบ Premium หางานได้ถูกใจ ตรงกับความสามารถตัวเอง https://positioningmag.com/1450341 Thu, 02 Nov 2023 02:35:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450341 ลิงค์อิน (Linkedin) เตรียมนำเทคโนโลยี AI มาให้บริการกับสมาชิกแบบ Premium เพื่อช่วยให้หาตำแหน่งงานได้โดนใจมากขึ้น รวมถึงแนะนำในการจัดการด้านโปรไฟล์ของสมาชิก นอกจากนี้ยังผนึกบริการของ Microsoft Bing เข้ามาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการหาข้อมูลต่างๆ

Linkedin เครือข่ายสังคมที่เน้นไปยังด้านธุรกิจเป็นหลัก ประกาศเตรียมที่จะนำเทคโนโลยี AI มาช่วยสมาชิกแบบ Premium ที่จ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มว่าตัวเองเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่รับสมัครหรือไม่ และตัวระบบเองยังสามารถแนะนำให้มีการเพิ่มหรือแปลงข้อมูลของสมาชิก เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับผู้สมัครงานรายอื่นได้

สมาชิกของ Linkedin แบบ Premium นั้นจะได้รับฟังก์ชันใหม่จากระบบ AI ไม่ว่าจะเป็นการสรุปหน้า Feed ว่าใน Post ต่างๆ นั้นมีโอกาสใหม่ๆ ในการทำงานของสมาชิกหรือไม่ หรือการผูกกับผลิตภัณฑ์อย่าง Microsoft Bing บริการค้นหาข้อมูลที่ Microsoft ได้ลงทุนกับเทคโนโลยี AI อย่างหนัก ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการหาข้อมูลต่างๆ

นอกจากนี้บริษัทยังได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์ว่าตำแหน่งในการสมัครงานนั้นเหมาะสมหรือไม่ หรือแม้แต่ช่วยในการหาตำแหน่งงานที่เหมาะสม ไปจนถึงการช่วยเหลือในเรื่องการเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน เพื่อที่จะทำให้สมาชิกหางานที่ชื่นชอบแหละเหมาะสมได้

Tom Cohen ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Linkedin ได้โพสต์ว่า การนำเทคโนโลยี AI เข้ามานั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ พลังของ AI จะเป็นพันธมิตรที่สำคัญของผู้ใช้งานในทุกคำถามและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของพวกเขา และเขาก็ตื่นเต้นกับมัน

ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบริษัทได้นำ AI มาใช้ในส่วนของภาคธุรกิจที่ต้องการเปิดรับพนักงาน โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทเหล่านี้หาผู้สมัครงานได้ตรงใจบริษัทมากขึ้น หรือแม้แต่การนำ AI เข้ามาช่วยสมาชิกในการเขียนโปร์ไฟล์ให้ดึงดูดบริษัทที่ต้องการสมัครงานมากกว่าเดิม

ปัจจุบัน Linkedin มีสมาชิกทั่วโลกมากถึง 1,000 ล้านคน โดย 80% เป็นผู้ใช้งานนอกสหรัฐอเมริกา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ฯ รายดังกล่าวยังได้กล่าวเสริมว่า ด้วยจำนวนสมาชิกที่มีจำนวนมากขนาดนี้ยังได้สร้างระบบนิเวศในการมีส่วนร่วมเพื่อช่วยสร้างในด้านงาน ด้านธุรกิจ หรือแม้แต่ด้านเศรษฐกิจ 

]]>
1450341