Nvidia มูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว แถมแซง Apple กลายเป็นบริษัทใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก

ภาพจาก Shutterstock
Nvidia กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้มูลค่าของบริษัทยังแซงหน้า Apple กลายเป็นบริษัทใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก สาเหตุสำคัญมาจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทำให้บริษัทสามารถขายชิปเร่งการประมวลผลได้เพิ่มมากขึ้น

ราคาหุ้นของ Nvidia ในช่วงการซื้อขายเมื่อคืน (5 มิถุนายน) ได้บวกเพิ่มมากถึง 5% มาอยู่ที่ 1,224.40 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทำให้มูลค่าของบริษัทนั้นแตะระดับที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย

สิ่งที่เกิดขึ้นยังทำให้ผู้ผลิตชิปกราฟิกรวมถึงชิปเร่งประมวลผล AI กลายเป็นบริษัทใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก แซงหน้า Apple ซึ่งมีมูลค่าบริษัทน้อยกว่า Nvidia เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ปัจจุบันมีบริษัทในโลกเพียง 3 บริษัทที่มีมูลค่าแตะ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ได้แก่ Microsoft Nvidia และ Apple เท่านั้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Nvidia เติบโตกลายเป็นบริษัทมูลค่า 3 ล้านล้านเหรียญคือการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความนิยมของ ChatGPT ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมต่อกลุ่มเทคโนโลยีที่ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว จากความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่ทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทเติบโตก็คือการใช้งานชิปเร่งประมวลผล AI เพิ่มมากขึ้น และราคาของชิปดังกล่าวนั้นมีราคาระดับหลักแสนดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยคือหลักล้านบาท ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ชิปของบริษัทนั้นใช้เร่งประมวลผลกราฟิกซึ่งมีการนำไปใช้งานในด้านเทคโนโลยีอย่างอื่น เช่น ขุดบิตคอยน์ หรือเร่งการประมวลผลในด้านอื่นๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ชิปเร่งประมวลผล AI ของ Nvidia ยังเป็นไม่กี่บริษัทที่มีความเร็วในการประมวลผลเป็นอันดับต้นๆ ของท้องตลาด ยิ่งทำให้ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีจากจีนเร่งสั่งซื้อชิปดังกล่าวจากบริษัทเพิ่มมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ CEO ของบริษัทอย่าง Jensen Huang เองยังได้ประกาศเปิดตัวชิปเร่งประมวลผล AI ตัวใหม่ของบริษัทนั้นจะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าเดิม ยิ่งทำให้นักลงทุนนั้นแห่ลงทุนในบริษัทเพิ่มมากขึ้น

การที่บริษัทเติบโตอย่างมากยังส่งผลตอบแทนของหุ้น Nvidia อย่างมหาศาล โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทมีผลตอบแทนมากถึง 3,300% และถ้านับผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นของบริษัทนั้นบวกไปแล้วมากถึง 216% เลยทีเดียว

ที่มา – Yahoo Finance