โอลิมปัสคอร์ป ส่งสัญญาณปิดฉากยุคสมัยของการผลิตกล้องถ่ายภาพรวมถึงกล้องดิจิทัลอย่างเป็นทางการ โดยบริษัทเปิดเผยแผนขายหน่วยธุรกิจอิเมจจิ้งที่ขาดทุนออกไป เพื่อเทโฟกัสให้ธุรกิจผลิตอุปกรณ์การแพทย์เป็นหลัก
โอลิมปัสนั้นเริ่มผลิตกล้องในปี 1936 และกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ญี่ปุ่นที่เป็นที่รู้จักกว้างขวางในวงการตากล้อง โดยมีรุ่นยอดนิยมเช่น Olympus Pen แต่น่าเสียดายที่โอลิมปัสไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงในยุคทองของภาพดิจิทัลและสมาร์ทโฟน ทำให้โอลิมปัสตัดสินใจขายธุรกิจกล้องถ่ายภาพทิ้งไปในที่สุด
โอลิมปัสจะโอนหุ้นธุรกิจกล้องไปยังกองทุนที่ดำเนินการโดย Japan Industrial Partners ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์เอกชนที่จะรับหน้าที่สานต่อธุรกรรมจนแล้วเสร็จวันที่ 30 กันยายน โดยจะพยายามทำข้อตกลงให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2020
โอลิมปัสกล่าวว่าได้พยายามลดต้นทุนของธุรกิจกล้องมาตลอด เนื่องจากยอดขายที่ลดลง บริษัทได้ปรับทั้งโครงสร้างการผลิต และหันไปมุ่งเน้นไปที่สินค้ากลุ่มกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ที่มีมูลค่าจำหน่ายได้สูง แต่โอลิมปัสก็ยังขาดทุนต่อเนื่อง 3 ปี รวมถึงปีนี้ที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2563
บริษัทญี่ปุ่นเผยว่าในช่วง 12 เดือนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2563 ธุรกิจภาพของโอลิมปัสบันทึกรายได้ 43,600 ล้านเยน ลดลง 10% เมื่อเทียบปีต่อปี ทำให้ขาดทุนจากการดำเนินงาน 10,400 ล้านเยน ถือว่าดีขึ้นแล้วเมื่อเทียบกับการขาดทุน 18,300 ล้านเยนในปีงบประมาณ 2562 ที่ผ่านมา
วันนี้ ธุรกิจเกี่ยวกับการถ่ายภาพสร้างรายได้ให้โอลิมปัสน้อยกว่า 6% ของรายได้รวมทั้งกลุ่มในปีนี้ โดยยอดขายส่วนใหญ่มาจากธุรกิจระบบการแพทย์ เช่น กล้องส่องขนาดเล็ก และอุปกรณ์ผ่าตัด.
ถึงแม้ 2 แบรนด์ยักษ์ในกล้องมือโปรอย่าง Canon และ Nikon ตัดสินใจลงสังเวียน “Mirrorless Full Frame” หลังจากปล่อยให้มวยรองบ่อน “Sony” กอบโกยยอดขายล่วงหน้าถึง 5 จนกระทบส่วนแบ่งตลาดไปทั่วโลก (อ่านต่อ >> ถึงคราวยักษ์หลับต้องขยับตัว “Canon – Nikon” เปิดศึก Mirrorless Full Frame หลังจากปล่อยให้ “Sony” กินรวบมานาน)
แต่กลับสวนทางการเดินเกมของ “Olympus” แบรนด์ที่ครั้งหนึ่งเคยครองเบอร์ 1 ในตลาดเมืองไทย แต่วันนี้กลับอยู่เบอร์ 3 ด้วยส่วนแบ่ง 14% ประกาศตัวชัดเจนจะไม่ลงมาเล่นในเกม Mirrorless Full Frame โดยเด็ดขาด
Olympus ให้เหตุผลว่า ถึง Mirrorless Full Frame จะมีขนาดเล็กกว่า DSLR แต่จริงๆ แล้วด้วยเซ็นเซอร์ Full Frame ที่มีขนาดใหญ่ ภายนอกโดยรวมจึงลดลงเล็กน้อยไม่ได้แตกต่างจาก DSLR อย่างชัดเจน
“ถ้าทำกล้อง Mirrorless Full Frame ขึ้นมาจริงๆ Olympus จะต้องเปลี่ยนไลฟ์อัพของสินค้าทั้งหมดตั้งแต่กล้องไปจนถึงเลนส์ ซึ่งเรามองว่าไม่จำเป็นที่ต้องทำอย่างนั้น” มิซึฮิโร ทานากะ กรรมการบริษัทและผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์กล้องถ่ายภาพและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บริษัท โอลิมปัส (ประเทศไทย) จำกัด บอกอย่างนั้น
ทำให้ Olympus จึงมุ่งไปที่เซ็กเมนต์ไลน์สไลต์ ซึ่งเป็นกล้องตัวเล็ก พกพาสะดวก เอาไว้ไปเที่ยวหรือถ่ายตัวเอง ไม่ได้ต้องการคุณภาพของภาพที่สูงสุด โดยเพิ่มเติมเทคโนโลยีกันสั่น 5 แกนของ Olympus ที่ช่วยให้ภาพนิ่ง ยิ่งเป็นกล้องระดับบนจะมีกันน้ำ กันฝุ่น โดยเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบการถ่ายภาพในป่า
Olypus มองว่า ความท้าทายที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้า แต่อยู่ที่ประสบการณ์ของผู้ใช้งานมากกว่า ด้วยวันนี้การถ่ายภาพถือเป็นงานอดิเรกไปแล้ว แบรนด์ในตลาดกล้องต่างก็มุ่งเน้นสร้างการรับรู้ผ่านการ Inspire ซึ่ง Olympus ก็จะทำอย่างนั้น แต่จะพยายามให้ต่างจากคนอื่น
จึงเป็นที่มาของ “โอลิมปัส สโตร์ บาย บิ๊กคาเมร่า” แฟลกชิพสโตร์แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ ณ ชั้น 4 โซนทางเข้า ZEN ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์ ด้วยงบลงทุนกว่า 15 ล้านบาท
นอกเหนือจากสินค้าที่นำมาแบบ Full Line Up ทุกผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์เสริม อาทิ เคสหนังสำหรับใส่กล้อง สายคล้องกล้อง แบตเตอรี และแอปพลิเคชั่นต่างๆ รวมไปถึงเครื่องบันทึกเสียงดิจิทัลมาจำหน่าย ที่นี่ยังถือเป็น Business Model ใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นคอมมูนิตี้ของคนรักการถ่ายภาพได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยสื่อสารไปหากลุ่มลูกค้าได้โดยตรง จากที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้สื่อสารเท่าไหร่นัก
โดยจะมีการทำเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการใช้กล้องถ่ายภาพ เทคนิคการถ่ายภาพโดยช่างภาพชื่อดัง เป็นกลุ่มเล็กๆ 20-30 คน ทำต่อเนื่องทุกอาทิตย์ โดยเชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยให้เพิ่มฐานแฟนคลับของ Olympus ที่ตอนนี้มีราว 500,000 – 600,000 คน
Olympus คาดหวังว่า ในแต่ละปีจะมีกลุ่มลูกค้ามาใช้บริการเฉลี่ยมากกว่า 20,000 คนต่อปี และสามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้กับโอลิมปัสได้มากกว่า 20% ต่อปี อีกทั้งเป็นตัวช่วยสำคัญในการดันให้ Olympus พลิกกลับมาเป็นเบอร์ 1 ให้ได้ภายใน 2-3 ปีจากนี้
ปัจจุบันยอดขายของ Olympus ในเมืองไทย 70% มาจากกล้องรุ่น OMD ราคา 30,000 – 100,000 บาท ที่เหลือ 30% ราคาต่ำกว่า 30,000 บาท โดยมีกล้องที่วางขายอยู่ทั้งหมด 16-17 รุ่น ปีนี้เปิดตัวกล้องใหม่ไป 1 รุ่น EPL 9 โดยปีหน้าเชื่อว่าอาจมีการเปิดตัวกล้องมากกว่า 1 รุ่นแน่นอน.
]]>แต่ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หลายคนลงมาเล่นกล้องมากขึ้น และท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้เทรนด์การใช้กล้องแบบแอคชั่น คาเมร่า มีมากขึ้น ซึ่งเดิมทีผู้นำในตลาดคือ “โกโปร” แต่เวลานี้หลายแบรนด์เริ่มเข้าสู่ตลาด , โซนี่, พานาโซนิค และเซียวหมี่ แต่ที่เป็นผู้หลักในตลาดและเป็นผู้นำก็คือโกโปรนั่นเอง
เมื่อเทรนด์ผู้บริโภคมาแบบนี้ โอลิมปัสเอง จึงต้องก้าวเข้าสู่ตลาดแอคชั่น คาเมร่าบ้าง ด้วยการเปิดตัว Stylus TG-Tracker เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนที่ชอบกิจกรรมเอาท์ดอร์ หรือกิจกรรมแนวผจญภัย TG-Tracker ตัวนี้เป็นกล้องภายใต้ตระกูล Tough ที่มีขนาดเล็กกระทัดรัด
โอลิมปัสได้สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดด้วยที่สามารถกันน้ำได้ 30 เมตร โดยที่ไม่ต้องใส่อุปกรณ์เสริมสำหรับดำน้ำ ทนต่ออากาศหนาวเย็นได้ -10 องศา และมีเลนส์มุมกว้างขนาด 204 องศา สามารถบันทึกวิดีโอความระเอียดสูงระดับ 4K รองรับการหล่นจากที่สูงได้ 2.1 เมตร
พร้อมทั้งอีกฟีเจอร์ Data-logging ที่จะเป็นหมัดเด็ดเช่นเดียวกัน สามารถบันทึกข้อมูลต่างระหว่างทำกิจกรรมต่างๆ ได้ เช่นพิกัดสถานที่ ระดับความสูง ความลึกในขณะที่บันทึกภาพ หรือวิดีโอนั้นๆ
ชินโช อิเคดะ กรรมการบริษัทและผู้จัดการ ฝ่ายผลิตภัณฑ์กล้องถ่ายภาพและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ บริษัท โอลิมปัส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตอนนี้ถือว่าเราเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาดแอคชั่น คาเมร่า แต่คิดว่าไม่ได้มาช้าไปอย่างแน่นอน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคยังคงชอบการท่องเที่ยว มีไลฟ์ไสตล์แนวแอคชั่นอยู่ ตลาดนี้ก็มีการเติบโตได้ดี เราก็หวังว่าจะมีลูกค้าใหม่ๆ มากจาสินค้าตัวนี้ จากเดิมที่รายได้ส่วนใหญ่ของเราเป็นกล้องมิร์เรอร์เลส”
กลยุทธ์หลักของโอลิมปัสในการดันกล้องรุ่นนี้เข้าสู่ตลาดเน้นในช่องทางออนไลนืเป็นส่วนใหญ่ ผ่านการทำตลาดโดย Influencer ให้บุคคลมีชื่อเสียงในวงการกล้องถ่ายรูป หรือวงการท่องเที่ยวโปรโมทให้ เช่น ต่อวงศ์ ชาลวาลา เจ้าของเว็บไซต์ 2how.com, วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล พิฑีกร นักเขียน นักเดินทาง และกีรติ ศิริสุทธิพัฒนา ดีเจ และครูสอนกีฬาดำน้ำ
โดยที่โอลิมปัสตั้งเป้ายอดขายจากกล้องรุ่นนี้ที่ 5,000 เครื่อง ภายในสิ้นปีนี้และตั้งเป้าภาพรวมรายได้ทั้งปีเติบโต 40%
]]>ยาซูโอะ อาซากูระ นั่งรอคอยบนเก้าอี้อย่างสงบ เพื่อรอเวลาในการขึ้นเวทีอธิบายคุณสมบัติ และความเปลี่ยนแปลงของกล้อง Olympus PEN เจนเนอเรชั่นที่ 3 ในประเทศไทย หลังจากที่โอลิมปัสแนะนำกล้องซีรี่ส์นี้มาถึง 2 รุ่นแล้ว
อาซากูระ ขณะนี้ดำรงตำแหน่ง General Manager of SLR R&D Dept. Olympus Imaging Corp และเป็นผู้คิดค้นและผลิตกล้อง Mirrorless Olympus PEN ซึ่งเป็นการเปลี่ยนตลาดกล้องดิจิตอลอย่างรุนแรงในช่วงเปิดตัว และทำให้โอลิมปัสกลับมาเป็นยืนในแถวหน้าในตลาดกล้องได้อีกครั้ง
วิธีคิดของเขาในการทำกล้อง Mirrorless มาจากจุดคิดง่ายๆ คือ เมื่อกล้องไม่ใช้ฟิล์มแล้ว จะใช้กระจกสะท้อนแสงเพื่ออะไร CCD ที่รับภาพก็ต้องถูกแสงอยู่แล้ว การนำกระจกมากั้นก็เท่ากับไม่ได้รับภาพโดยตรง
กระจกกลายเป็นส่วนเกินของกล้องดิจิตอล และหากยกออกจะเป็นอย่างไร
อาซากูระได้คำตอบแล้วว่า เมื่อนำกระจกออกขนาดของกล้องจะเล็กลง มีขนาดเบาขึ้น ใส่เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปได้ Olympus PEN จึงเกิดขึ้นด้วยแนวคิดนี้
ตัวของเขาเองทำงานในแผนกวิจัยของโอลิมปัสมายาวนาน ร่วมพัฒนากล้องฟิล์มรุ่นยอดนิยมของโอลิมปัสคือ OM4 และพัฒนากล้อง DSLR ให้กับโอลิมปัสในรุ่น E1 มาเรื่อยๆ จนถึง PEN ที่เขาสลัดทิ้งกรอบของกล้อง DSLR เดิมๆไปจนหมด
เมื่อ Olympus PEN ออกมาสู่ท้องตลาดและได้รับความนิยมซึ่งเขาบอกว่า ในญี่ปุ่น TOP 5 ของกล้อง อันดับหนึ่งเป็นกล้อง DSLR ส่วนอีก 4 อันดับเป็นกล้อง Mirrorless และเป็นของโอลิมปัสถึง 2 รุ่น
เขากำลังส่งสัญญาณบอกถึงค่าย DSLR ก็เป็นได้ว่า ต่อไปจะถึงยุคของกล้อง Mirrorless แล้วก็ได้ เพราะเขาเห็นว่า การพัฒนาต่อเนื่องของกล้อง DSLR ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนกล้อง Mirrorless มีทิศทางที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เทียบเท่าและจะแซงหน้า DSLR ในที่สุด
อาซากูระประเมินว่า การพัฒนาของกล้อง Mirrorless ในช่วงต่อไป จะเร่งเร็วขึ้น และทำงานได้หลากหลายขึ้น รวมทั้งผู้ผลิตกล้องจะหันมาให้ความสนใจกับตลาดนี้มากขึ้นเช่นกัน แต่เขาไม่เปิดเผยว่า Olympus PEN เจนเนอเรชั่นที่ 4 จะก้าวไปในทิศทางใด
จึงไม่ต้องแปลกใจที่ Olympus จะเลิกสนใจกล้อง Compact และ กล้องDSLR หรือหากทำก็เพียงเพราะว่าต้องการมีให้ครบไลน์เท่านั้น
ส่วนแบ่งตลาดกล้อง Mirrorless ของแต่ละค่าย | |
โอลิมปัส | 60% |
โซนี่ | 26% |
พานาโซนิค | 14% |
คาดการยอดขาย Olympus PEN รุ่นใหม่ | |
รุ่น | จำนวน (ตัว) |
E-P 3 | 500 |
E-PL 3 | 1,000 |
E-PM 1 | 2,500 |
รายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท |
ราคาขาย Olympus PEN | |
รุ่น | ราคา (บาท) |
E-P 3 + 14-42 | 29,990 |
E-PL 3 + 14-42 | 21,990 |
E-PL 3 + 40-150 | 27,990 |
E-PM 1+14-42 | 18,990 |
กลุ่มที่ถือเป็น First Mover ในตลาดกล้องคอมแพคเปลี่ยนเลนส์ได้ หรือกล้องไร้กระจกเปลี่ยนเลนส์ได้ รายแรกคือพานาโซนิค และตามมาด้วยโอลิมปัส ที่ต่างวางตลาดไปตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา แม้เวลาผ่านไป 1 ปี ส่วนแบ่งการตลาดยังคงได้ไม่เกิน 10% แต่ความพอใจก็ไม่ต่างจากโซนี่ ที่ทั้งสองแบรนด์มีโอกาสขยับตัวเองออกมาจับกลุ่มผู้บริโภคตั้งแต่ระดับกลางขึ้นมาได้บ้าง
พานาโซนิคและโอลิมปัสได้ร่วมกันพัฒนาระบบ Micro 4/3 ซึ่งเป็นขนาดเซ็นเซอร์รับภาพแบบเดียวกับ DSLR แต่ถอดกล้องกระจกออกไป และพานาโซนิคเปิดตัวก่อนในรุ่น Lumix DMC-G1 ส่วนโอลิมปัสเปิดตัวรุ่น Olympus Pen E-P1 ที่ทั้งสองแทบจะเหมือนกันด้วยดีไซน์ย้อนยุคสไตล์เรโทร จากนั้นกลางปี 2553 ทั้งสองก็เปิดตัวรุ่น G2 และ E-P2 ตามมา ที่มีเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เช่น จอทัชสกรีน ระบบประมวลผลที่ดีขึ้น
“ภิญโญ ภิรมย์ฐาน” ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท พานาโซนิค ซิว เซลล์ จำกัด บอกว่ากลุ่มลูกค้าของพานาโซนิค เป็นผู้ชายมืออาชีพประมาณ 70% แต่ก็เห็นแนวโน้มผู้หญิงมาซื้อมากขึ้น เพราะกล้องคอมแพคไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง แต่จะซื้อ DSLR ก็มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมากขึ้นไป Micor 4/3 จึงตอบโจทย์ได้ และคาดว่าพานาโซนิคจะมีส่วนแบ่งตลาด 4% จากปีที่แล้วมี 2%
“ภิญโญ” มองว่าโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คมีส่วนกระตุ้นให้คนอยากใช้กล้อง Micro 4/3 มากขึ้น ดังนั้นตอนเปิดตัวรุ่น Lumix GF1 เขาจึงเลือก “Facebook” เป็นช่องทางเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ส่วนใหญ่มักหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตก่อนตัดสินใจซื้อ ประกอบกับอยู่ในช่วงที่การเมืองไม่นิ่งเขาจึงชะลอการใช้งบผ่านสื่อ Above the line มาใช้งบผ่าน Below the line อย่างสื่อออนไลน์แทน
พานาโซนิคตั้งแฟนเพจชื่อ “Lumixfriend” ขึ้นเพื่อเป็นคอมมูนิตี้สื่อสารกับลูกค้า และนำแคมเปญ “Which Lumix are you?” ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอออนไลน์รูปแบบอินเตอร์แอคทีฟมาเผยแพร่ผ่านช่องทางนี้ ซึ่งมี เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ด้วยภาพลักษณ์ที่ผู้ชายด้วยกันไม่รู้สึกหมั่นไส้และผู้หญิงชอบ ประกอบกับมีไลฟ์สไตล์ที่ชอบถ่ายภาพเป็นงานอดิเรกทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ไม่ยาก รวมทั้งใช้ช่องทางนี้จัดกิจกรรมต่างๆ เช่น ประกวดถ่ายภาพเพื่อชิงรางวัล จัดอบรมถ่ายภาพ ตอบคำถามต่างๆ จากแฟนพานาโซนิค ซึ่งตอนนี้ “Lumixfriend” มีสมาชิกกว่า 5,200 รายแล้ว ส่วนงบการตลาด พานาโซนิคระบุแค่เพียงว่าใช้งบ 10% จากยอดขายสินค้าทั้งหมดเท่านั้น
วันนี้แม้จะปักธงความเป็นคนแรก แต่ที่ยืนนี้ก็ยังไม่มั่นคงนักสำหรับพานาโซนิคและโอลิมปัส เพราะสำหรับตลาดใหม่นี้ ดูเหมือนว่าการแข่งขันเพิ่งกำลังเริ่มต้น
โอลิมปัสขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมถ่ายภาพ โดยนำตุ๊กตาบลายท์มาที่งาน Photo Hitech เพื่อเข้า Workshop สอนการถ่ายภาพสวยด้วยกล้องดิจิตอล โดยโอลิมปัสขอเสนอฟังก์ชั่นใหม่! Beauty Mode โหมดที่สามารถปรับแต่ง สภาพผิวให้เรียบเนียนได้ทันที พร้อมทำให้ตาโตได้ไม่ต้องพึ่งคอนแทคเลนส์
โดยในงานยังมีสิทธิพิเศษมากมายสำหรับผู้ที่ลงทะเบียน 30คนแรก อาทิเช่น รับสิทธิพิเศษ Gift Voucher ทำ Photo Book จากภาพที่ชอบภาพในงานได้ฟรี และส่วนลดพิเศษอื่นๆอีกมากมาย
กติกาง่ายๆ เพียงแค่แต่งตัวน้องบลายท์มาให้พร้อม แล้วมาพบกันที่งาน Photo Hitech, Fashion Island วันที่ 28 มีนาคม 2552 เวลา 12.00 – 14.00น.
โอลิมปัส DSLR E-420 ร่วมกับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี เชิญคุณผู้หญิงเป็นเจ้าของกล้อง DSLR ขนาดเล็กและเบาที่สุดในโลกแต่ยังคงความเป็นโปรได้ด้วยคุณสมบัติเดียวกับกล้อง DSLR รุ่นทั่วไป
ด้วยโปรโมชั่นพิเศษสุดตั้งแต่เดือนกันยายนถึงตุลาคม 2551 นี้ กับดอกเบี้ย 0% 10 เดือน เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซี และรับสิทธิเลือกสายคล้องหนังแท้มูลค่า 1,400 บาทฟรี มีให้เลือกถึง 5 สี
หรือเลือกรับคอร์สเรียนถ่ายภาพเบื้องต้นและการถ่ายภาพ Portrait มูลค่า 1,500 บาท กับผู้เชี่ยวชาญการถ่ายภาพจากบริษัทเจ๊บเซ่นแอนด์เจ็สเซ่น ที่ช่วยให้คุณผู้หญิงได้เรียนรู้เทคนิคเบื้องต้นและเน้นเทคนิคการถ่ายภาพบุคคล ที่จะช่วยให้คุณสนุกกับการถ่ายภาพคนที่คุณรักไม่ว่าจะเป็นคนรัก คนในครอบครัว และเพื่อนฝูงได้ด้วยกล้อง DSLR จากค่ายโอลิมปัสตัวเก่งตัวนี้ โดยมีให้เลือก 2 คอร์สสำหรับวันเสาร์ ที่ 04 ตุลาคม 2551 หรือ วันเสาร์ที่ 01 พฤศจิกายน 2551 ที่ เคทีซี ชั้น18 อาคารสมัชชาวานิช 2 ซอยสุขุมวิท 33 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ
คุณผู้หญิงสามารถรับสิทธิ์โปรโมชั่นนี้ได้ที่ร้านกล้องในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ บิ๊กคาเมร่า ทุกสาขา โทร. 02-809-9956-65, โฟโต้ฮัท ทุกสาขา โทร. 02-446-6900-4, ไอที ซิตี้ ทุกสาขา โทร. 02-656-5030-45, เพาเวอร์บาย ทุกสาขา โทร. 02-904-2000, เวิลด์ คาเมร่า โทร. 02-223-0681-3, อีสบอนน์ สยามพารากอน โทร. 02-610-9595 ดิ เอ็มโพเรียม โทร. 02-664-8515, เอสเอสคาเมร่า ในเพาเวอร์มอลล์ ทุกสาขา โทร. 02-678-2288, เวิลด์ไวด์อิมเมจ ใน Big C ทุกสาขา โทร. 02-454-8336-8, สยามทีวี จ.เชียงใหม่ โทร. 053-211-481 จ.ลำปาง โทร. 054-319-007-9 จ.ลำพูน โทร. 053-563-333, หรือ เคาท์เตอร์กล้องแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าใน Big C, Lotus, Carrefour ทุกสาขา และส่งเอกสารมารับสิทธิ์รับสายคล้องหนังหรือคอร์สเรียนการถ่ายภาพโดยติดต่อผ่านทางช่องทางดังต่อไปนี้
1.เคทีซี email : [email protected] โดยสแกนใบเสร็จรับเงิน, บัตรรับประกันเจ๊บเซ่นแอนด์เจ็สเซ่น, สำเนาบัตรประชาชนพร้อมระบุรายละเอียดการเลือกรับสิทธิ์สายคล้องหนังหรือคอร์สเรียนถ่ายภาพพร้อมระบุวันเรียน
2. เจ๊บเซ่นแอนด์เจ๊สเซ่น Call Center e-mail address [email protected] หรือแฟกซ์หมายเลข 02-7878110
สแกนหรือแฟกซ์ใบเสร็จรับเงิน, บัตรรับประกันเจ๊บเซ่นแอนด์เจ็สเซ่น, สำเนาบัตรประชาชนพร้อมระบุรายละเอียดการเลือกรับสิทธิ์สายคล้องหนังหรือคอร์สเรียนถ่ายภาพพร้อมระบุวันเรียน กรณีเลือกรับสิทธิ์สายคล้องหนัง สามารถนำหลักฐานเข้ามาติดต่อรับของที่บริษัทเจ๊บเซ่นฯได้โดยตรงหรือหากไม่สามารถมารับของเองได้กรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อทำการจัดส่งเป็นพัสดุลงทะเบียนไปให้ตามที่อยู่ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 07-787-8111 ตั้งแต่วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.30 – 17.00 น.
“ค่าเงินแข็งได้ประโยชน์กับสินค้านำเข้า แต่ถ้าไม่มีคนซื้อก็ไม่ได้ประโยชน์ สิ่งที่ทำได้ คือการตัดสินใจลดราคากล้องบางแบรนด์ทีเดียว 4,000 บาท” คำพูดที่บอกเล่าถึงสถานการณ์ค่าเงินได้อย่างเห็นภาพของ จรัสพงศ์ เจนจรัสสกุล ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ บริษัท เจ๊บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด
เจ๊บเซ่นฯ เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็น Sole Distributor หรือผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงรายได้ในประเทศไทยของกล้องโอลิมปัส เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพลิกสถานการณ์ทำให้เจ๊บเซ่นฯ สามารถพลิกบทบาทจากการโดนสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งเล่นงานด้านยอดขาย มีบทบาททางการตลาดที่น่าตื่นเต้นทันที เพราะโอลิมปัสต้องการใช้จังหวะนี้ใช้กลยุทธ์ราคาทำตลาดเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมา
“โอลิมปัสเคยมีส่วนแบ่งกล้อง SLR (กล้องซิงเกิลเลน) สูงถึง 14% แต่ตอนนี้เหลือเพียง 3% ปีนี้เราตั้งใจที่จะทำส่วนแบ่งให้ได้ 20% รวมทั้งเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของกล้องคอมแพคจาก 6% เป็น 12% ด้วย”
โอลิมปัสเป็นแบรนด์กล้องที่เติบโตมาจากบริษัทที่พัฒนากล้องสำหรับใช้ในการผ่าตัดของวงการแพทย์ เป็นกล้องเอสแอลอาร์รายแรกของโลกที่เกิดขึ้นมานานกว่าร้อยปี นานจนกระทั่งทุกคนเกือบจะลืมไปแล้วเพราะร้างตลาดไปนาน เมื่อมีแผนจะกลับมาทวงตลาด โอลิมปัสจึงใช้ช่วงเวลาที่หายไปในการพัฒนากล้องรุ่นใหม่ เพื่อให้มีจุดขายที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดเดียวกัน
“ญี่ปุ่นไฟเขียวให้เราลดราคา ราคากล้องโอลิมปัสในไทยจะถูกที่สุดในโลกตอนนี้ และถ้าเทียบรุ่นต่อรุ่นกับคู่แข่งน่าจะถูกกว่าประมาณ 20% อย่างรุ่น D 410 ที่เปิดตัวล่าสุดราคา 23,900 ถ้าเทียบกับนิคอนรุ่น 40X ราคาจะอยู่ที่ 28,900 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่างจากคู่แข่งชัดเจนโดยเฉพาะเมื่อต้องสู้กับแบรนด์ใหญ่”
โอลิมปัส ตั้งใจกำหนดราคาให้ถูกที่สุดเพื่อทำยอดให้ได้ตามเป้าหมาย แต่อีกเหตุผลที่สำคัญกว่าคือ บ.แม่ในญี่ปุ่นมองว่า ไทยเป็นสตราทิจิกคันทรี่ที่ต้องจู่โจมและยึดตลาดไว้ก่อน เพราะคนไทยชอบถ่ายภาพมากกว่าประเทศอื่น
ได้ราคา ได้สินค้า ขั้นต่อไปเจ๊บเซ่นฯ เริ่มปรับช่องทางการจำหน่าย จากเดิมที่กล้องเอสแอลอาร์นิยมจำหน่ายผ่านร้านกล้องก็เปลี่ยนมาจำหน่ายดีลเลอร์ที่มากขึ้น เช่น การจำหน่ายผ่านไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านกล้องที่มีสาขาจำนวนมาก ซึ่งโอลิมปัสมีแผนส่งสินค้ารุ่นใหม่เข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง ภายในปีนี้จะมีกล้องเอสแอลอาร์รุ่นใหม่อีก 3 รุ่น และกล้องคอมแพคกอีก 15 รุ่น
อย่างไรก็ดี แม้จะนำกลยุทธ์ราคามาใช้ ช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด แต่โอลิมปัสจะลดราคาเต็มที่ตามค่าเฉลี่ยของกล้องในแต่ละประเภทเท่านั้น และไม่ปล่อยให้ราคาต่ำไปกว่านี้ โดยเฉพาะในส่วนของกล้องคอมแพคที่ราคาลดลงอย่างมากในปีนี้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ไม่ให้กลายเป็นแบรนด์ของสินค้าราคาถูก
“กล้องคอมแพคเฉลี่ยจะอยู่ที่แปดพันบาทต่ำสุดของโอลิมปัสก็เท่านั้น ราคาอยู่คาบเส้นก็จะทำให้เราได้รับทั้งซองและทั้งกล่อง ถ้าราคาต่ำกว่าเกณฑ์ แค่ครั้งเดียวคนจะจำว่าลงทุกเดือน ในฐานะตัวแทนจำหน่ายก่อนลดราคาทุกครั้งเราต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของแบรนด์”
จรัสพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ถือเป็นจังหวะดีสำหรับผู้บริโภคที่ราคาสินค้าถูกลง เพราะอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเราแข็งมาก เป็นครั้งแรก แต่ถ้าค่าเงินบาทอ่อนลงเมื่อไร เขายืนยันว่าจะเป็นครั้งแรกของตลาดไทยเหมือนกัน ที่เขาจะขึ้นราคาสินค้า แทนการลดราคา
ส่วนแบ่งตลาดกล้องเอสแอลอาร์ปี 2550
นิคอน และแคนนอน รวมกัน 96%
โอลิมปัส 3* %
อื่น ๆ 1%
*เป้าหมายเพิ่มเป็น 20% ภายในสิ้นปีนี้
มร. มาซาฮารุ โอคุโบะ ประธานบริษัท โอลิมปัส อิมเมจจิ้ง คอปอเรชั่น (ที่ 2 ขวา) พร้อมด้วย มร. โทชิอากิ โกมิ Director of Sales (ที่ 1 ซ้าย) เปิดตัวนวัตกรรมล่าสุดของกล้องดิจิตอล SLR พร้อมกันถึง 2 รุ่น E-410 และ E-510 ซึ่งโอลิมปัสได้เป็นผู้นำในตลาดกล้อง DSLR ที่นำเสนอฟังก์ชั่น LIVE VIEW ในกล้อง DSLR และได้สร้างปรากฎการณ์ และประสบการณ์ใหม่ให้กับช่างภาพมืออาชีพ และผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ โดยฟังก์ชั่น LIVE VIEW ช่วยให้สามารถเห็นภาพที่กำลังจะบันทึกบนจอ LCD ก่อนที่จะบันทึกภาพ ให้มุมมองที่กว้างและชัดเจนกว่าการมอบภาพผ่านช่องมองภาพเล็กๆ ของกล้อง DSLR ทั่วๆ ไปในตลาด ทั้งนี้ทีมผู้บริหารจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย นำโดย มร.ฮันซ์ อูลหริค ฮันเซ่น (ที่ 3 ขวา) กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาค และนายจรัสพงศ์ เจนจรัสกุล (ที่ 3 ซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายผลิตภัณฑ์ดิจิตอลไลฟ์สไตล์ บริษัท เจ๊บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด ได้ร่วมในพิธีเปิด ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆ นี้
หลังจากโอลิมปัสเปิดตัวกล้องดิจิตอล Mju 770sw โดยอาศัยสายฝนและสายน้ำจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ร่วมเป็นสักขีพยาน ก็ทำให้ตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพคกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ทั้งจากขบวนพริตตี้หนุ่มสาวและ Mascot จระเข้ ในนาม ”มิวแก๊งค์” ที่ต่างออกแรงโฆษณาขายกล้องกันน้ำตัวใหม่ บนรถปิกอัพสีสดใสตระเวนไปทั่วเชียงใหม่ พัทยา ถนนข้าวสาร และ RCA
จากที่แต่เดิม ช่วงเทศกาลสงกรานต์ยาวตลอดฤดูฝน ถือเป็นช่วงขาดสภาพคล่องในตลาดขายกล้อง เพราะผู้บริโภคต่างมีความเชื่อว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ถูกกับน้ำ
แต่ทางโอลิมปัสไม่ได้ปล่อยให้เหตุดังกล่าวเป็นอุปสรรค ด้วยการหยิบคุณสมบัติในการกันน้ำของกล้องตระกูล Mju Series มาโปรโมตจนกลายเป็นจุดขายที่โดดเด่นเหนือกล้องค่ายอื่นๆ จุดอ่อนในเรื่อง Timing จึงพลิกเป็นจุดแข็งทันที เพราะทัศนคติและพฤติกรรมในการถ่ายภาพของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป
ในงานแถลงข่าวเมื่อเดือนเมษายน ผู้บริหารโอลิมปัสลงทุนปู้ยี่ปู้ยำ Mju 770sw อย่างดุเดือดยิ่งกว่าละครของคุณอาพิศาล อัครเศรณี เรียกได้ว่าถ้าเป็นคนก็คงถึงขั้นหยอดข้าวต้มกันเลยทีเดียว ทั้งจับโยนลงน้ำ แกล้งทำตก จับทึ้งลงถังน้ำแข็ง ตบท้ายด้วยการเหยียบย่ำซ้ำเติมให้เห็นจะจะ
ทั้งนี้ ก็เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพที่มุ่งชูเป็นจุดขายของกล้องตระกูล Mju นั่นก็คือ การกันน้ำได้ลึกถึง 10 เมตร ได้นาน 1 ชั่วโมง มีระบบป้องกันการตกกระแทกสูง 1.5 เมตร สามารถทนต่ออุณหภูมิติดลบ 10 องศาเซลเซียส และรองรับน้ำหนักกดทับได้ถึง 100 กิโลกรัม นอกจากนี้ สำหรับผู้บริโภคที่ชอบการกีฬาดำน้ำ โอลิมปัสมี Housing Case เป็นอุปกรณ์เสริมที่ทำให้สามารถนำกล้องไปถ่ายภาพใต้น้ำได้ลึกถึง 40 เมตร
เทคโนโลยีที่ผลิตออกมารองรับไลฟ์สไตล์ของ Mju 770sw ได้รับการ Positioning ให้เป็น Extreme Camera สำหรับกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางที่ชื่นชอบการทำกิจกรรมสมบุกสมบัน ทั้งบนบกและในน้ำ ด้วยราคาออกตัวที่ 16,900 บาท
โอลิมปัสเร่งทำการส่งเสริมการขายทั้ง Below the line และ Above the line ในอัตราส่วน 50-50 เพราะหากยิ่งช้าก็จะยิ่งขาดทุน เนื่องจากโดยเฉลี่ย กล้องดิจิตอลรุ่นหนึ่งๆ จะมี Life Cycle ให้ทำตลาดอยู่ราวๆ 6 เดือนเท่านั้น ดังนั้น ค่ายกล้องต่างๆ จึงต้องกระตุ้นตลาดด้วยการลดราคาลงทุกๆ 2 เดือน
จรัสพงศ์ เจนจรัสสกุล ผู้จัดการทั่วไป เผยว่า “Road Show อย่างมิวแก๊งค์ เป็นรูปแบบการตลาดที่ผู้บริหารในไทยคิดขึ้นเอง โดยดูจากพฤติกรรมของคนไทยที่รักความสนุกสนาน สำหรับเทศกาลต่อไปที่เล็งไว้คืองานลอยกระทง”
ปัจจุบัน ส่วนแบ่งการตลาดของกล้องดิจิตอลคอมแพคโอลิมปัสในไทย อยู่ที่ 5% นับเป็นตลาดใหญ่ 1 ใน 5 ของเอเชีย ส่วนที่สิงคโปร์และฮ่องกง ตลาดกล้องของโอลิมปัสกำลังไปในทิศทางที่ดีมาก โดยเฉพาะในสิงคโปร์ สามารถแซงโซนี่ขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 24%
tip
ก่อนดำน้ำ ควรตรวจสอบสภาพอากาศ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเมฆ และเวลาน้ำขึ้น-น้ำลงโดยละเอียด
จากเว็บไซต์ของกรมอุตุฯ www.tmd.go.th และ เว็บไซต์กรมอุทกศาสตร์ www.navy.mi.th/hydro