Google วางแผนที่จะเริ่มผลิตสมาร์ทโฟน Pixel ในอินเดียภายในไตรมาส 2 นี้ โดยจะเริ่มผลิต Pixel 8 Pro ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ตามด้วยการผลิต Pixel 8 ประมาณกลางปี ​​2024 ซึ่งแผนการขยายฐานการผลิตในอินเดียนั้นไม่ได้มีแค่เหตุผลด้านปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนเท่านั้น แต่ตลาดสมาร์ทโฟนอินเดียก็ยังน่าสนใจอีกด้วย หาก Google ต้องการไปให้ถึงเป้าหมายที่จะมียอดขายกว่า 10 ล้านเครื่องในปีนี้

ในปีที่ผ่านมา ตลาดสมาร์ทโฟนของอินเดียรักษาเสถียรภาพด้วยยอดจัดส่งโดยรวม 148.6 ล้านเครื่อง ลดลงเล็กน้อย -2% ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย Canalys โดย Samsung ยังรักษาตำแหน่งผู้นำในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 20% มียอดจัดส่ง 7.6 ล้านเครื่อง ส่วน Xiaomi เป็นเบอร์ 2 ด้วยยอดจัดส่ง 7.2 ล้านเครื่อง ตามมาด้วย Vivo ครองตำแหน่งที่ 3 ด้วยยอดจัดส่ง 7 ล้านเครื่อง

นอกจากนี้ ตามรายงานของ Counterpoint Research ระบุว่า ในปี 2023 อินเดียกลายเป็น ตลาดสมาร์ทโฟนอันดับ 5 ของโลก ที่มียอดขาย iPhone เกิน 10 ล้านเครื่องในปีเดียว ทำให้อินเดียกลายเป็นตลาดสำคัญสำหรับ Apple โดย Tim Cook CEO ของ Apple เคยกล่าวไว้ว่า “อินเดียเป็นตัวแทนของโอกาสอันยิ่งใหญ่”

ที่ผ่านมา อินเดียได้เสนอสิ่งจูงใจแก่บริษัทต่าง ๆ ในการจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศ โดยมีบริษัทไอทีดัง ๆ อย่าง Dell, HP และ Lenovo เป็นหนึ่งใน 27 บริษัทที่ได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนพฤศจิกายนให้ผลิตฮาร์ดแวร์เทคโนโลยีในอินเดียภายใต้โครงการจูงใจที่เชื่อมโยงกับการผลิต

Source

การกระจายฐานผลิตเข้าสู่ “อินเดีย” ของ Google ได้รับการตอบรับอย่างดีจากรัฐบาลอินเดีย เนื่องด้วยสอดคล้องกับเป้าหมายของอินเดียที่ต้องการจะเป็นฮับการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก

“เราให้คำมั่นที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้ในการเติบโตด้านดิจิทัลของอินเดีย” Pichai ระบุในบัญชี X (ทวิตเตอร์) ของเขา

Google มีการลงทุนเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ในอินเดียมาก่อนแล้ว เช่น Google Pay ระบบปล่อยกู้สินเชื่อดิจิทัลของค่ายนี้ถือเป็นรายใหญ่อันดับ 2 ในตลาด มีมาร์เก็ตแชร์ 33.3% เป็นรองเพียงแค่ PhonePe บริษัทที่มี Walmart เป็นเจ้าของ ซึ่งครองตลาดสินเชื่อดิจิทัลในอินเดียอยู่ 47%

นอกจากนี้ Google ยังสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลอินเดีย โดยมีการจับมือเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหลายแห่ง เช่น Open Network for Digital Commerce (ONDC), Bhashini โปรแกรม AI ด้านภาษา, DigiKavach โครงการป้องกันการถูกหลอกลวงทางไซเบอร์ และมีกการร่วมมือกับ Fintech Association for Consumer Empowerment (FACE) เพื่อช่วยกลั่นกรองแอปพลิเคชันหลอกให้กู้เงิน

“สิ่งที่ Google ประกาศวันนี้นั้นดีทั้งกับ Google และดีกับอินเดียด้วย” Ashwini Vaishnaw รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และไอทีกล่าว โดยการมาของ Google จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตฮาร์ดแวร์ของอินเดียเข้มแข็งยิ่งขึ้น

ในแง่ของซัพพลายเชนการผลิต ข่าววงในรายงานโดยสำนักข่าว ET Tech ระบุว่า Google มีการพูดคุยทั้งกับ “Dixon Technologies” ของอินเดีย และ “Bharat FIH” บริษัทในเครือ Foxconn ของไต้หวัน ซึ่งคาดว่าในเบื้องต้นอาจจะได้เป็นพาร์ทเนอร์ผลิตกันทั้งสองเจ้า แต่ในอนาคตเป็นไปได้ว่าเจ้าใดเจ้าหนึ่งจะได้โอกาสรวบทั้งซัพพลายเชนไว้ในมือ

แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งระบุว่า สมาร์ทโฟน Pixel ลอตแรกที่ผลิตในอินเดียน่าจะวางจำหน่ายจริงช่วงไตรมาส 2 ปี 2024

• ปกป้องความเป็นส่วนตัว! เครื่องมือใหม่จาก Google ให้ผู้ใช้ “ลบผลการค้นหา” ข้อมูลของตัวเองได้
• Uniqlo ยอดขายในอินเดียปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 60% บริษัทเตรียมขยายสาขา เพิ่มซัพพลายเออร์

ก่อนหน้าที่ Google จะประกาศการลงทุนในอินเดีย “Apple” ก็เป็นยักษ์ใหญ่อีกเจ้าหนึ่งที่ประกาศการลงทุนเพิ่มในอินเดียไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยบางส่วนของสมาร์ทโฟนซีรีส์ iPhone 15 จะมาผลิตในอินเดียควบคู่ไปกับบางส่วนที่ยังผลิตในจีน

ส่วนสมาร์ทโฟนเกาหลีอย่าง “Samsung” ก็ปักหมุดฐานผลิตในอินเดียมาก่อนแล้วเช่นกัน รวมถึง HP ก็ประกาศการผลิต Chromebooks ในอินเดีย สะท้อนให้เห็นว่านโยบายการผลักดันการเป็นฮับผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของอินเดียนั้นได้รับการตอบสนองจากแบรนด์ใหญ่ทั่วโลก

รัฐมนตรี Vaishnaw ยังกล่าวกับสื่อด้วยว่า รัฐบาลอินเดียกำลังชักชวนให้ Google ขยายการลงทุนด้านการผลิตชิป Tensor เข้ามาในอินเดียด้วย รวมถึงขยายไลน์ผลิตสมาร์ทโฟน Google Fold เพื่อขยายระบบนิเวศของบริษัทในอินเดียให้ลึกมากขึ้น

Source

Google เทคคอมปานีรายใหญ่ของโลกที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม Search Engine ที่คนทั่วโลกใช้งาน ได้ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า กำลังจะเปิดร้านค้าปลีกแห่งแรกในชื่อ Google Store ในนิวยอร์กซิตี้ โดยคาดว่าจะเปิดบริการในช่วงฤดูร้อนนี้หรือประมาณช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งร้านดังกล่าวจะตั้งอยู่ภายใต้สำนักงานในย่านเชลซีซึ่งมีพนักงานมากกว่า 11,000 คนในเมือง

สำหรับภายใน Google Store นั้นจะมีสินค้าที่วางจำหน่าย ได้แก่ โทรศัพท์ Pixel, ผลิตภัณฑ์ Nest, อุปกรณ์ Fitbit และ Pixelbook นอกจากนี้ยังมีบริการปรึกษาปัญหา, ให้คำแนะนำสินค้า รวมถึงซ่อม โดยมีแนวคิดเหมือนกับ ‘Genius Bar’ ของ Apple Google โดยบริษัทระบุว่าสิ่งนี้ถือเป็น “ก้าวต่อไปที่สำคัญในการทำตลาดฮาร์ดแวร์ของบริษัท”

“ลูกค้าจำนวนมากยังคงต้องการสัมผัสกับฮาร์ดแวร์ก่อนที่จะซื้อ และเรียนรู้ว่ามันรู้สึกอย่างไรฟังดูเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในมือหรือบนโต๊ะทำงาน” กล่าวเสริม

ก่อนหน้านี้ Google กล่าวว่า ยอดขายฮาร์ดแวร์ถือเป็น “ธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์” แต่บริษัทยังไม่เปิดเผยข้อมูลยอดขายของผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ ขณะที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Google ได้เปิดร้านฮาร์ดแวร์แบบ Popup Store ในเมืองต่าง ๆ เช่น นิวยอร์ก, ชิคาโก และลอนดอนเพื่อให้ผู้คนได้เห็นวิธีการทำงานของผลิตภัณฑ์เข้าร่วมเวิร์กช็อปและซื้อสินค้า

นอกนั้น Google ได้อาศัยเว็บไซต์และร้านค้าปลีกอื่น ๆ เช่น Best Buy และ Amazon เพื่อขายผลิตภัณฑ์ของตน ในขณะที่ Apple ประสบความสำเร็จในการเปิดร้านค้าปลีกทั่วโลก ส่วนบริษัท Microsoft ที่พยายามจะรุกหนักในตลาดค้าปลีกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเปิดร้านค้าที่ผู้คนสามารถลองใช้บริการซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ได้ แต่เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา บริษัทได้ประกาศว่าจะปิดสาขา Microsoft Store ทั้งหมด 83 แห่ง เพื่อมุ่งเน้นไปที่การขายผลิตภัณฑ์ทางออนไลน์มากขึ้น

Source

เบื้องต้นสำนักข่าวนิกเกอิของญี่ปุ่น รายงานว่าการย้ายครั้งนี้เป็นผลจากแผนของยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ตสัญชาติอเมริกันที่จะย้ายฐานการผลิตฮาร์ดแวร์หลักที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในสหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงโทรศัพท์พิกเซล แต่จะรวมถึงลำโพงอัจฉริยะ “กูเกิลโฮม” (Google Home) ที่มีแนวโน้มจะย้ายสายการผลิตมาไทยด้วย

รายงานระบุความเห็นจากแหล่งข่าวไม่ระบุนามว่า การย้ายสถานที่ผลิตสินค้าของ Google ในครั้งนี้เป็นเพราะต้นทุนค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีน ร่วมกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

ผลคือบริษัทแม่อย่างอัลฟาเบ็ต (Alphabet) ต้นสังกัด Google ต้องเปลี่ยนฐานการผลิตสมาร์ทโฟน Pixel ไปยังประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มยุติการจ้างโรงงานในจีนตั้งแต่ปีนี้ เพื่อหันไปเริ่มสร้างสายการผลิตราคาถูกในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน

นอกจากสาเหตุเรื่องต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีน และแรงกดดันจากภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รายงานของสื่อญี่ปุ่นยังย้ำว่าสายการผลิตสมาร์ทโฟนในอาเซียนจะมีขนาดไม่ธรรมดา เพราะ Google วางแผนที่จะจัดส่งสมาร์ทโฟนให้ได้ประมาณ 8 ล้านถึง 10 ล้านเครื่องในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปีก่อน สถิตินี้สะท้อนว่าเวียดนามจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้ Google เติบโตในตลาดสมาร์ทโฟน

รายงานระบุด้วยว่า Google จะเริ่มนำร่องด้วยการผลิตโทรศัพท์รุ่น Pixel 3A ซึ่งจะจุดพลุที่เวียดนามก่อนสิ้นปีนี้

สำหรับลำโพงอัจฉริยะ มีแนวโน้มว่าฐานการผลิต Google Home จะถูกย้ายมายังประเทศไทย แต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และการผลิตในช่วงเริ่มต้นของ Google ก็จะยังคงอยู่ในประเทศจีนในขณะนี้

ล่าสุด Google ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานที่เกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีการรายงานข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปในเร็ววันนี้.

Source

โดยความเคลื่อนไหวของทางฝั่งกูเกิลนั้น คาดว่าจะมีการทิ้งแบรนด์ Nexus ซึ่งเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่ทางบริษัทใช้มานาน และเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า “Pixel” (พิกเซล) แทน ซึ่งปัจจุบัน ทางกูเกิลได้มีการใช้แบรนด์ Pixel กับผลิตภัณฑ์ประเภทแท็บเล็ตในชื่อ Pixel C นั่นเอง

ทั้งนี้ หากข่าวลือดังกล่าวเป็นจริง ก็เป็นไปได้ด้วยว่า กูเกิลจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนแอนดรอย์ที่ทางบริษัทผลิตขึ้นจำหน่ายเองสองรุ่น ภายใต้แบรนด์พิกเซลอย่างเป็นทางการ ตามที่ซีอีโอของบริษัทอย่างซันดาร์ พิชัยได้เคยเกริ่น ๆ เอาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย ซึ่งสื่อตะวันตกวิเคราะห์ว่า การที่กูเกิลหันมาสนใจพัฒนาสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ของตนเองขึ้นวางจำหน่ายนั้นเป็นผลมาจากความล่าช้าในการอัปเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ค่ายผู้ผลิตต่าง ๆ ไม่ให้การสนับสนุนอย่างดีเท่าที่ควร จนทำให้ผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เสี่ยงต่อปัญหาภัยคุกคามบนอินเทอร์เน็ต

โดยข้อมูลในช่วงปลายเดือนสิงหาคมระบุว่า ปัจจุบันมีสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เพียง 15 เปอร์เซ็นต์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0 มาร์ชเมลโล (ทั้งๆ ที่เปิดตัวมาแล้ว 1 ปี) ส่วนที่เหลือก็กระจายอยู่ในระบบปฏิบัติการเวอร์ชันก่อนหน้าอย่างโลนลี่ป๊อป-คิทแคท ฯลฯ

ดังนั้น หากกูเกิลมีสมาร์ทโฟนในแบรนด์ของตัวเองวางจำหน่ายก็จะทำให้กูเกิลสามารถควบคุมวงจรการอัปเดตระบบปฏิบัติการได้ด้วยตัวเอง และทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงคุณสมบัติด้านความปลอดภัย และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา เหมือนเช่นที่เกิดกับไอโฟนของค่ายแอปเปิล

นอกจากนี้ ในส่วนของหน้าจอ คาดว่ากูเกิลจะเปลี่ยนในส่วนของ Search Bar เป็น Google Button ซึ่งเมื่อคลิกบนปุ่ม จึงจะปรากฏ Search Bar ออกมาแทน โดยการเปลี่ยนแปลงนี้คาดว่าจะทำให้หน้าจอมีความมินิมอลมากขึ้นด้วย

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000092318