Politics – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 17 Mar 2023 03:06:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ต้องเลือกสักทาง! รัฐบาลสหรัฐฯ เตือน ByteDance ถ้าไม่แยก TikTok ออกมา เสี่ยงโดนแบน https://positioningmag.com/1423545 Thu, 16 Mar 2023 10:45:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423545 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เตือนไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จากจีน ว่าถ้าหากบริษัทไม่แยกธุรกิจของติ๊กต๊อก (TikTok) ออกมานั้นมีสิทธิ์ที่แอปพลิเคชันดังกล่าวอาจโดนแบนในสหรัฐอเมริกาได้ หลังจากที่สมาชิกสภาของพรรครีพับลิกันได้กดดันอย่างหนัก

ประเด็นสำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องการแยก TikTok ออกมาเนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล โดยในช่วงที่ผ่านมานั้นมีข่าวที่ว่าพนักงานของบริษัทในประเทศจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานในทวีปยุโรป หรือแม้แต่นักข่าวในสหรัฐอเมริกาอย่าง Forbes รวมถึงอังกฤษอย่าง Financial Times

ก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งแบนไม่ให้มีการติดตั้ง TikTok ลงในโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในหน่วยงานราชการ เนื่องจากกังวลถึงข้อมูลที่อ่อนไหว อาจหลุดไปถึงรัฐบาลจีนได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลที่ว่ารัฐบาลจีนอาจใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวนี้ในการสืบหาข้อมูลในสหรัฐอเมริกาได้

นอกจากนี้การเมืองในสหรัฐอเมริกาอย่างสมาชิกของพรรครีพับลิกันเองก็ได้กดดันรัฐบาลของโจ ไบเดนเช่นกัน

ไม่ใช่แค่รัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้นที่มีความกังวล รัฐบาลหลายประเทศเองก็มีความกังวลถึงความปลอดภัยของข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ แคนาดา เป็นต้น ขณะที่อินเดียได้สั่งแบน TikTok เนื่องจากมีความขัดแย้งกับประเทศจีน โดยเฉพาะในเรื่องของพรมแดน

ความพยายามแบนแอปพลิเคชันจากจีนนั้นมีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่โดนศาลของสหรัฐฯ ได้ขัดขวางไว้

ขณะที่ฝั่งของ ByteDance นั้นมีความพยายามที่จะทำให้ TikTok นั้นสามารถดำเนินธุรกิจในสหรัฐอเมริกา และไม่โดนแบนโดยรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการย้ายข้อมูลของผู้ใช้งานมาอยู่ใน Cloud ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทได้ใช้ค่าใช้จ่ายไปมากถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

มาตรการดังกล่าวรวมถึงการตั้งผู้บริหารที่เป็นชาวสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีผู้บริหารหลายคนกลับต้องลาออก เนื่องจากไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจในการบริการเรื่องต่าง ๆ ได้เลย

อย่างไรก็ดีทางฝั่งของ ByteDance ได้อ้างว่าปัจจุบันบริษัทมีนักลงทุนชาวต่างชาติมากถึง 60% ถือหุ้นในบริษัท ในส่วนที่เหลือเป็นของผู้ก่อตั้งและพนักงาน ซึ่งถือหุ้นฝ่ายละ 20% เท่ากัน และชี้ว่าการบังคับให้ TikTok แยกออกมาเป็รอีกบริษัทก็ไม่ได้ช่วยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลแต่อย่างใด

ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกามากกว่าวันละ 100 ล้านราย

ที่มา – NPR, The Guardian

]]>
1423545
มหาเศรษฐีในจีนดูลู่ทางซื้อสินทรัพย์ต่างแดนเพิ่มมากขึ้น หลังสภาวะในประเทศไม่เป็นใจ https://positioningmag.com/1413143 Tue, 20 Dec 2022 05:10:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1413143 เหล่ามหาเศรษฐีในประเทศจีนเริ่มหันมาสนใจในการลงทุนที่ต่างประเทศอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงนโยบายเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับมหาเศรษฐี จึงทำให้มีการกระจายความเสี่ยงไปยังต่างประเทศ โดยประเทศที่ดูลู่ทางคือสหรัฐอเมริกา รวมถึงญี่ปุ่น

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่ามหาเศรษฐีในประเทศจีนหลายคนนั้นเริ่มเตรียมดูลู่ทางลงทุนในต่างประเทศอีกครั้ง ซึ่งแตกต่างจากในอดีต เนื่องจากสาเหตุสำคัญก็คือสภาวะในประเทศจีนไม่ว่าจะเป็นทั้งเศรษฐกิจและการเมืองนั้นไม่เป็นใจให้กับเหล่ามหาเศรษฐีเหล่านี้มากนัก และมองว่าสินทรัพย์ในต่างประเทศจะเพิ่มรายได้และลดความเสี่ยงระยะยาวให้กับพวกเขาเหล่านี้

ปัญหาสำคัญที่ทำให้มหาเศรษฐีเหล่านี้ต้องดูลู่ทางในการลงทุนที่ต่างประเทศคือ ปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน จนในท้ายที่สุดมีการประท้วงตามเมืองต่างๆ เพื่อที่จะให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายดังกล่าว

ขณะเดียวกันจีนยังมีนโยบายความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity) ที่รัฐบาลตั้งใจที่จะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวย รวมถึงความไม่แน่นอนจากนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ ของรัฐบาลจีนที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาจัดการในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี เป็นต้น

ผลจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีน และผลตอบแทนจากตลาดหุ้นในประเทศจีนที่ถดถอย ทำให้ท้ายที่สุดแล้วเหล่ามหาเศรษฐีจึงต้องเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงอีกครั้ง โดยการลงทุนในต่างประเทศที่มหาเศรษฐีจีนสนใจก็คือสหรัฐอเมริกา ซึ่งสนใจทั้งอสังหาริมทรัพย์ หุ้นทั้งในตลาดหลักทรัพย์รวมถึงบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนี้สำนักงานครอบครัว (Family Office) ที่ดูแลด้านการลงทุนให้กับมหาเศรษฐีจีนเริ่มติดต่อบริษัทที่บริหารกองทุนถึงนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ ไปจนถึงกฎระเบียบด้านการลงทุนในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกาที่เหล่ามหาเศรษฐีจีนได้ดูลู่ทางเท่านั้น แต่ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นอีกเป้าหมายอีกแหล่งด้วย

ก่อนหน้านี้เหล่ามหาเศรษฐีจีนเคยออกตะลุยในการซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศในช่วงประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ อย่างไรก็ดีการเข้าลงทุนในต่างประเทศของเหล่ามหาเศรษฐีจีนนี้เพื่อที่จะขยายธุรกิจออกนอกประเทศ แต่ในครั้งนี้กลับเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

]]>
1413143
2 ปีรัฐบาล “อภิสิทธิ์” หมดหล่อ ส่อพลาดเป้า “นายกฯ รอบสอง” https://positioningmag.com/13559 Wed, 30 Mar 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13559

แล้วคำพูดที่ว่า “กาลเวลาพิสูจน์คน ผลงานพิสูจน์ตัวตน” ก็นำมาใช้ได้กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะผู้นำประเทศ นายกฯวัยหนุ่มที่ถูกปรามาสมาตั้งแต่ต้น

ผ่านขวบปีที่สองของการทำหน้าที่ผู้นำสูงสุดในฝ่ายบริหาร “อภิสิทธิ์” คงได้ทบทวนตัวเองกับการทำหน้าที่ โดยเฉพาะกับคำเยาะเย้ยถากถาง วลีหมิ่นแคลนจากทักษิณ ชินวัตร ที่ว่า เขาและเพื่อนนักเรียนอังกฤษ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังคู่บุญ

แค่ “เด็กสองคน” บริหารบ้านเมือง เหมือนอยู่ใน“สนามเด็กเล่น” ??

เชื่อว่าถึงวันนี้ ประชาชนคนไทยก็คงทราบกันดีจากผลงานที่ปรากฏ ยุครัฐบาล ประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะการนำของนายกฯ ทื่ชื่ออภิสิทธิ์ สถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นใด

นอกจากที่ถูกจับตา กับการมุ่งหมายลดความแตกแยกขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แยกสีเสื้อในสังคม ที่ถึงปัจจุบันนอกจากปัญหาที่ว่าไม่สามารถคลี่คลายได้ แต่กลับจะยิ่งเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้น

แผนสลายสีเสื้อ กลุ่มคนสีเสื้อแดง ที่หลังการสลายการชุมชนุมครั้งพฤษภามหาวินาศ2553แทนที่จะขยาดและฝ่อไปจากการ “กระชับพื้นที่” ยุติเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง กลับฟื้นคืนพลังได้อย่างรวดเร็ว

เรียกชุมนุมจัดกิจกรรมย่อยๆ ยังรวมตัวกันหลักหลายหมื่น ทั้งที่ยังไม่ได้เป่านกหวีดระดมกันในงานใหญ่เลยด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกันสีเสื้อที่เคยเป็นแนวร่วมของรัฐบาล อย่างกลุ่มคนเสื้อเหลือง พันมิตรฯ ที่มีส่วนทำให้เกิดรัฐบาลชุดนี้ กลับโดนผลักไสไล่ส่งให้กลายเป็นศัตรู จากปมข้อพิพาทไทย-เขมร และดินแดนโดยรอบปราสาทพระวิหาร

แค่สองสีเสื้อ ที่เริ่มลงสู่ท้องถนน ก่อม็อบชุมนุมต่อต้านขับไล่รัฐบาลในวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ถือเป็นอีกปัจจัยรุมเร้ารัฐนาวาประชาธิปัตย์

หันมาดูที่การแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองในด้านอื่นๆ ในเรื่องด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เห็นได้ชัดว่าวันนี้ไทยได้บ่มเพาะศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้านไปรอบด้าน โดยเฉพาะทางฝั่งกัมพูชา ที่ความสัมพันธ์อยู่จุดที่เรียกว่าแตกร้าวจนยากจะเยียวยา

และสะท้อนอย่างเห็นได้ชัดถึงเกมการเมืองระหว่างประเทศที่อ่อนด้อย จนอาจเรียกได้ว่า น้ำหนักในการเจรจาต่อรองของไทยเสียเปรียบประเทศต่างๆ

เช่นเดียวกับปัญหาความไม่สงบใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แม้จะถมงบฯ จัดกำลังคนลงไปเท่าใด แต่เปลวเพลิงแห่งความรุนแรงดูเหมือนลุกโชนแรงขึ้น เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งลอบยิง ลอบวางระเบิดจากผู้ก่อความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง

แต่นั่นก็ไม่เท่ากับปัญหาสำคัญในเรื่องภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหา “ปากท้อง” ที่กระทบกับประชาชนโดยตรง

แม้ขวบปีแรกตัวเลขเศรษฐกิจด้านต่างๆ ทั้งอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ราคาสินค้าการเกษตร ทั้งข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม ตัวเลขในตลาดหุ้นตลาดหลักทรัพย์ จะอยู่ในเกณฑ์บวก

แต่พอเข้าสู่ขวบปีที่สองของการบริหารประเทศ ภาวะเศรษฐกิจก็เริ่มเดินเข้าสู่ในแดนลบ ทั้งปัญหาสินค้าอุปโภคบริโภค ไข่ไก่ น้ำมันพืช น้ำมันปาล์ม น้ำตาลทราย ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเต็มๆ

ตัวอย่างที่สะท้อนความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาล ก็คือ การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันปาล์มที่ราคาพุ่งสูงขึ้น

ทั้งที่เรื่องปาล์ม ถือเป็นพืชการเกษตรระบบปิด ที่ซื้อขายกันในประเทศเป็นหลัก และที่ผ่านมาก็มีการกำหนดสต็อกไว้ใช้ในประเทศเพียงพอ จำนวนถึง2แสนตัน แต่เพราะการบริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ จึงเกิดปัญหาที่บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่

ทั้งที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันฯ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นประธาน ก็รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น

กระทั่งกลายเป็นปัญหา ที่นอกจากกระทบกับประชาชนผู้บริโภคโดยตรง ที่ต้องซื้อน้ำมันปาล์มขวดในราคาที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ อนุมัติให้ปรับราคาสูงขึ้นแบบพุ่งพรวด และก็ยังขาดตลาด มีไม่เพียงพอให้ผู้บริโภคได้ซื้อหา

กรณีน้ำมันปาล์ม ยังลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อมีการโยนกลอง โบ้ยความผิดไปมาระหว่างคนของพรรคประชาธิปัตย์อย่างสุเทพ ที่ดูแลเรื่องปาล์มน้ำมันโดยตรง และพรรคภูมิใจไทย ที่ดูแลกระทรวงพาณิชย์

ต้นน้ำ-ปลายน้ำ กระเพื่อม!

ที่สำคัญ ยังมีข้อครหาถึงปัญหาปาล์มน้ำมัน น้ำมันปาล์ม ที่กลายเป็นเรื่องกระทบกับปากท้องของประชาชน อาจไม่ใช่เพียงความผิดพลาดในการดำเนินนโยบาย แต่อาจมีเรื่องของ “ผลประโยชน์” และกลิ่นโชยเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นมาเกี่ยวข้อง

ทั้งเรื่องการกักตุนผลผลิตและสินค้า การเอื้อประโยชน์ต่อพ่อค้า การระบายสต๊อกด้วยการส่งออก รวมทั้งการส่งน้ำมันปาล์มไปผลิตไบโอดีเซล ทั้งที่ขาดแคลน รวมทั้งเรื่องค่าหัวคิว การกินส่วนต่างในเรื่องการนำเข้าปาล์มจากต่างประเทศ

จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ กระทั่งระหว่างที่ต้องแก้ไข ก็ยัง “สวาปาล์ม” กันไม่เลิก?

จึงไม่แปลกใจที่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดดิ่งคะแนนนิยมของรัฐบาลให้ร่วงกราวรูด

นอกจากนี้ ในช่วงปลายสมัยของรัฐบาล ตามที่นายกฯ ประกาศจะมีการยุบสภาก่อนครบวาระ กำลังมีปัญหาในลักษณะเดียวกันกับสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลายตัว

ทั้งหมดนอกจากสะท้อนความล้มเหลวของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ ยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพโดยรวมของรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่นับวันชาวบ้านเริ่มจะพูดถึงฝีมือที่ไม่ถึงขั้น แก้ปัญหาไม่เก่ง อ่อนด้อยดั่งคำปรามาสของหลายฝ่ายแต่ต้น

ไม่เท่านั้น ที่อ้างว่ารัฐบาลมีข้อจำกัด ที่พรรคแกนนำประชาธิปัตย์ไม่ได้คุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจเอง ทำให้การบริหารงานยากลำบาก ในเรื่องความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา และสั่งงานดำเนินนโยบาย

แต่คนเป็นผู้นำสูงสุด ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง “ข้อมูล” ที่ได้รับ

มิหนำซ้ำ “จุดแข็ง” ที่เคยได้รับความเชื่อถือในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตก็ถูกลบล้างจากเรื่องราวการดำเนินนโยบายหลายด้านของรัฐบาล มีกลิ่นโชยในการทุจริตคอรัปชั่น

โดยที่กฎเหล็ก9ข้อของนายกฯ ไม่เคยทำให้ประจักษ์ได้

วันนี้ของอภิสิทธิ์จึงเรียกได้ว่า อยากจะยุบสภาวันนี้พรุ่งนี้ เพื่อยุติปัญหาไปเริ่มต้นกันใหม่ โดยเชื่อว่าหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ อภิสิทธิ์คงเลือกยุบสภา และหวังว่า จะมี “ตัวช่วย” ในการจัดตั้งรัฐบาล เป็นนายกฯ รอบสองอย่างที่ตั้งเป้าหมายชีวิต

กระนั้นก็ดี อย่าลืมว่าวันนี้พรรคการเมืองคู่แข่งอย่างเพื่อไทย ก็ประกาศลุยเต็มตัว ทั้งการเปิดแผลรัฐมนตรี ทำลายคะแนนรัฐบาลให้มากที่สุดในเวทีซักฟอก ก่อนไปลงดวลในสนามเลือกตั้ง ที่ต้องเล่นกันแรงแน่นอน

ประกอบกับทักษิณ เหมือนจะปรับเป้าไปสู่เวทีที่ตัวเองถนัด คือการเลือกตั้ง ถึงขั้นมีกระแสข่าว “เปิดท่อน้ำเลี้ยง” รอบใหม่ อัดฉีด ส.ส. ตรึงกำลังพลให้อยู่ในที่ตั้งกันแล้ว และว่ากันว่า ตระเตรียมกระสุนดินดำระดับกำปั้นใหญ่ๆ ถึง4พันล้าน

ไม่รวมกับแผนล็อกเป้าหมาย ต่อสายบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ไว้เกือบครบทุกพรรค ตามแผน ส่งประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน รวมทั้งแผนสำรอง หากคะแนนเสียงเมื่อยามต้องช่วงชิงตั้งรัฐบาลไม่พอ

หนามยอกเอาหนามบ่ง ด้วย เกม “งูเห่า” ดึงลูกน้องเก่าจากเนวิน ชิดชอบ พลิกไปโหวตหนุนคนของ “นายใหญ่” เป็นนายกฯ และคืนสู่อำนาจรัฐบาล

นอกจากนี้จะเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของ “อภิสิทธิ์” หรือไม่ก็มิทราบได้ กับกระแสข่าว “ศูนย์อำนาจ” คิดจะ “เปลี่ยนตัวเล่น” เพราะผลงานรัฐบาลไม่เข้าเป้าประทับใจของผู้กุมอำนาจประเทศไทย

ทางเดินสู่เก้าอี้นายกฯรอบสองของ “อภิสิทธิ์” ไม่ได้ง่ายแล้วกระมัง??

]]>
13559
ปัจจัยลบ-เหตุเร้าถาโถม ใกล้อวสาน รบ.ประชาธิปัตย์ ถึงเวลา “มาร์ค” ยุบสภา? https://positioningmag.com/13480 Tue, 01 Mar 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13480

ความตั้งใจเดิมที่จะลากยาวรัฐบาลไปให้ได้มากที่สุด แต่วันนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็อาจต้องร่นเวลาในการอยู่ในอำนาจ โดยยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนก่อนครบเทอมสภาฯ ปลายปี

เพราะได้เอ่ยปาก กำหนดดีเดย์เดือนเมษายนนี้จะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง โดยอ้างเหตุผล 3 ข้อที่เคยพูดเอาไว้หลายครั้ง ทั้งเรื่องกฎกติกาการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งความแตกแยกขัดแย้งในบ้านเมืองจนสู่ภาวะปกติ

3 เงื่อนไขข้างต้น “อภิสิทธิ์” อาจอ้างได้ว่า “หมดห่วง” ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขไปได้พอสมควร

กระนั้นก็ดี อีกทางหนึ่งการส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงทางการเมืองข้างต้น ก็มีการมองกันว่า “อภิสิทธิ์” น่าจะรีบฉากตัวจากการเดินเข้า “มุมอับ”

เมื่อ “กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” กรรโชกและผันผวน!

เพราะเมื่อประเมินสถานการณ์แล้ว ถึงแม้จะสามารถกระชับอำนาจเข้ามาอยู่ในมือได้ระดับหนึ่ง หลังผ่านสารพัดวิกฤตมาได้ แต่ขณะเดียวกัน หลังผ่านพ้นปีใหม่ได้ไม่นาน

ปัญหาต่างๆ ตามเงื่อนไข 3 ข้อได้กระแทกเข้าใส่รัฐบาลในเวลาใกล้เคียงและเกือบพร้อมเพรียง สุ่มเสี่ยงที่นายกฯ จะ “รับมือ” และอาจทำให้รัฐบาล “พัง” จนยากที่กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง

จนแผนเบิ้ลเก้าอี้นายกฯ รอบสองอาจสะดุด!

เริ่มจากเงื่อนไขในสภาฯ เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงแม้การแก้ไขรูปแบบการเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปได้ โดยกลับมาใช้เขตเลือกตั้งเล็กตามข้อเรียกร้องของพรรคร่วมรัฐบาล

และปรับรื้อเรื่องรูปแบบเลือกตั้ง เป็นไปตาม “สูตรปชป.” โดยจะเลือกตั้ง ส.ส.ระบบเขต 375 ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 เพิ่มความได้เปรียบในการเลือกตั้งให้พรรคประชาธิปัตย์

แต่กว่าจะลงตัวมาในสูตรที่ต้องการ ก็ขยายรอยร้าว ปชป.-พรรคร่วมรัฐบาลให้กว้างขึ้น

เพราะทั้งใช้การขู่ยุบสภา “คว่ำจานข้าว” หรือทำท่าจะโหวต “ล้มโต๊ะ” การแก้รัฐธรรมนูญ กลับมายืนสูตรเดิม ส.ส.เขตใหญ่ 400 ส.ส.ระบบสัดส่วน 80 ที่พรรคเล็กพรรคน้อยเสียเปรียบ

“หักดิบเพื่อน”

เอฟเฟกต์ที่ตามมาคือเสถียรภาพรัฐบาลผสมที่จะง่อนแง่นเต็มที การเล่นเกม วางหมาก เจาะยาง ขัดแข้งขัดขาเพื่อสางแค้น “เอาคืน” จะยิ่งมากขึ้น และไม่เป็นผลดีทั้งเวลาและการเอาใจใส่ในการบริหารประเทศ

รวมทั้งอาจต้อง “ไร้พวกเพื่อน” ในการช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาล

เห็นได้จาก หลังงัดข้อกับพรรคร่วมรัฐบาล วันนี้เริ่มแสดงท่าทีเดินเกมสอดรับกับพรรคฝ่ายค้าน-เพื่อไทย ด้วยเพราะบรรดาคีย์แมนพรรคต่างๆ เข็ดเขี้ยว “เด็กดื้อ”

แม้จะต้องยืดอายุรัฐบาลไปตามเป้าหมายอย่างน้อยก็ภายหลัง 8 มีนาคม ที่จะมีการระดมทุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ นายกฯ จะไม่มีอำนาจยุบสภา ผู้นำโดน “ยึดดาบ”

แต่หากผ่านพ้นจากศึกซักฟอก ภาพลักษณ์รัฐบาลคงบอบช้ำบ้างไม่มากก็น้อย ฉะนั้นเพื่อไม่ให้ช้ำไปกว่าที่เป็น และร้าวลึกกับเพื่อนมากไปกว่าที่เห็น ประมุข ปชป.คงเลือกตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า

มากกว่าจะเดินเป็น “ซากศพ” ในสนามเลือกตั้ง!

ขณะที่เงื่อนไขเรื่องเศรษฐกิจ ถึงแม้รัฐบาลจะยัง “เอาอยู่มือ” ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆกระเตื้องขึ้นนับตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาลในช่วงวิกฤต

แต่หลังจากเริ่มต้นปีเป็นต้นมา จะเห็นภาวการณ์ต่างๆ ผันผวนไปหมดทุกเรื่อง ทั้งราคาน้ำมันที่ส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ตลาดหุ้นแปรปรวน ปัจจัยลบเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น

ที่สำคัญ เรื่องผลกระทบต่อ “ปากท้อง” ชาวบ้าน ย่อมสั่นสะเทือนต่อคะแนนนิยมรัฐบาล

มิหนำซ้ำเรื่องทุจริคคอรัปชั่น ที่เป็นภาพลักษณ์ด้านลบของรัฐบาลก็ยังไม่ได้รับการสะสางแก้ไข และยิ่งช่วงท้ายเทอมรัฐบาล ย่อมเป็นเวลา “นาทีทอง” ของการ “กักตุนเสบียง”

ปมฉาวเรื่องโฉ่กรณีการ “โกง” ในโปรเจกต์โครงการต่างๆ ย่อมทยอยออกมา รัฐบาล “อภิสิทธิ์” จะยิ่งมอมแมม เปรอะเปื้อนไปยิ่งกว่านี้!

แต่ที่เป็นปัจจัยเร้าที่ทำให้ “อภิสิทธิ์” อาจต้องตัดสินใจสละเรือโดยเร็ว ว่าด้วยเรื่องเงื่อนไขของปัญหาความขัดแย้งแตกแยกของผู้คนในสังคม

แม้เรื่องการใช้ความรุนแรงจะดีขึ้น เสียงระเบิดลดน้อยลงไป รัฐมนตรี ส.ส.รัฐบาลพอจะก้าวเท้าเข้าสู่พื้นที่ฐานเสียงของคนเสื้อแดงได้ในระดับหนึ่ง อย่างที่นายกฯ ประเมินก็จริง

แต่กับเรื่อง ปม “สีเสื้อ” ที่ลดความรุนแรงในการห้ำหั่นกัน แต่อีกด้านหนึ่ง ทุกสีเสื้อหันเป้ามาที่ “อภิสิทธิ์” และรัฐบาลโดยพร้อมเพรียง!

ทั้งเจ้าประจำอย่าง “ม็อบเสื้อแดง” ที่ผูกขาดความอาฆาตนายกฯ แน่นอนอยู่แล้ว หลังจากลดดีกรีความร้อนแรงลงไปหลังการเผาบ้านเผาเมืองเมื่อเหตุการณ์พฤษภานรกฯปี 2553

“คนเสื้อแดงฟื้นแล้ว”

จากการนัดชุมนุมในระยะหลัง จำนวนคนได้เพิ่มปริมาณมากขึ้นจนถึงขั้นครึ่งแสน และคาดว่าจะพีกสุดอีกครั้ง “รีเทิร์นแดงเดือด” ช่วงระลึกเหตุการณ์เมษาฯ-พฤษภาฯ 53 ของกลุ่ม นปช.

ถ้าปล่อยถึงตอนนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีแผนการเคลื่อนไหว เกมการโค่นล้มอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ไม่มีอะไรการันตีได้ว่า “อภิสิทธิ์” จะโชคดี และผ่านพ้นไปได้เช่นปี 2553 ทั้งที่มีคนตายคนเจ็บเป็นเบือ

ไม่เท่านั้น สถานการณ์ จะยิ่งสุกงอมเข้าไปใหญ่ จากความเป็นไปในเวลานี้ ในส่วนของกลุ่มคนพันธมิตรฯ และเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ร่วมวงก่อม็อบต่อต้านรัฐบาลในการดำเนินนโยบายกรณีพิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

จำนวนคนตั้งต้นอาจจะไม่มาก แต่กระแสแนวร่วมเริ่มจุดติด ไม่เฉพาะการผลิตซ้ำเรื่องวาทะกรรม ขายชาติ-เสียแผ่นดิน ที่คนทั่วไปเริ่มรับรู้

โดยเฉพาะจากกรณีคนไทยถูกจับกุมขังคุกเขมร โดยรัฐบาลเหมือนจะไม่ “เต็มแรง” ในการช่วยเหลือ หนำซ้ำยังปวกเปียกอ่อนนิ่มกับเกมการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งกองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรี แสดงความอ่อนแอให้เห็น

เป็นแรงดึงดูดให้ผู้คนเข้าร่วมม็อบเพิ่มขึ้น!

แถมเรื่อง “เหลือง” บวก “แดง” กวักมือเรียก “สีเขียว” กองทัพ ให้ออกมา “ปฏิวัติ” เปลี่ยนแปล
งอำนาจบริหารประเทศของรัฐบาล

ถึงจะเป็นได้ยาก ในเรื่องอุดมการณ์การเคลื่อนไหวของคนสีเสื้อ ที่เหมือนน้ำกับน้ำมันยากจะเข้ากัน แต่เมื่อมี “ศัตรูร่วม” ก็ใช่จะเกิดขึ้นไม่ได้

เช่นเดียวกับกระแสปฏิวัติรัฐประหาร ที่เบื้องลึกเบื้องหลังเป็นเกมสลับซับซ้อน และอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจุดประสงค์ เพื่อสกัดกั้นการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นและสุ่มเสี่ยงขั้วอำนาจเดิมจะคัมแบ็ก

โดยต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลที่อ่อนแอ ตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อ “จัดระเบียบประเทศ” อีกครั้ง อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หรือแม้แต่การยั่วให้กระทำการยึดอำนาจโดย “อำนาจนอกระบบ” เพื่อให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย

วัตถุประสงค์ต่าง แต่มีเป้าหมายร่วมคือ “โค่นรัฐบาลประชาธิปัตย์”

เกมนอกระบบ ที่ “อภิสิทธิ์” ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และดีที่สุดคือการดึงการเมืองให้กลับมาเดินอยู่ในระบบด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชน

ยุบสภาเลือกตั้งเร็ว!!

]]>
13480
2554 ประเทศไทยในมือ “อภิสิทธิ์” เลือกตั้ง เร็ว-ช้าไม่สำคัญเท่าจัดการโกง https://positioningmag.com/13405 Sun, 23 Jan 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13405

จากศักราชเก่าสู่ศักราชใหม่ ก็หวังว่าประเทศไทย พ.ศ.นี้จะเป็นปี “กระต่ายทอง” สุขกันเถอะ-สุขกันเถาะ หลังจากบอบช้ำมาจากปีเสือไฟ-พยัคฆ์บรรลัยกัลป์ อันหนักหนาสาหัสสากรรจ์

ทิศทางและความเป็นไปของประเทศไทยในปีนี้ เป็นเรื่องที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้กำหนดอย่างแท้จริง

เพราะภายหลังจากผ่านเรื่องร้ายแรงต่างๆ ทั้งม็อบเสื้อแดงก่อการจลาจลเผาเมืองเมื่อเมษาฯ-พฤษภามหาวินาศ ทั้งที่ลุ้นระทุกจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่สุดท้ายก็ปลดบ่วงรอดพ้นมาได้

“อภิสิทธิ์” กลับมาตั้งหลักยืนอย่างแข็งแกร่ง!

ดึงดุลอำนาจกลับมาอยู่ในมือ สามารถกุมสภาพและปัจจัยต่างๆ ได้ในช่วงใกล้ครบเทอมรัฐบาลปลายปี2554

แต่จะมีการเลือกตั้งก่อนกำหนด หรือรอจนครบวาระ เป็นอำนาของผู้นำประเทศที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ

“เศรษฐกิจ-ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง-กฎกติกาการเลือกตั้ง”

คือสามปัจจัยที่ “อภิสิทธิ์” ย้ำไว้หลายครั้งว่าจะใช้ประกอบการตัดสินใจ วันนี้ปัจจัยต่างๆ ก็เข้าองค์ประกอบที่จะยุบสภาให้เลือกตั้งกันได้แล้ว

ทั้งด้านเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาประคับประคองสถานการณ์ในภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำและผันผวจนมีทิศทางการเจริญเติบโตที่ดี

ขณะที่ปัจจัยด้านความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองก็เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ กระแสปรองดองถูกจุดขึ้นและบีบทุกฝ่ายให้เดินสู่แนวทางนี้

โดยเฉพาะคู่ขัดแย้งกับอำนาจรัฐโดยตรง ทั้งม็อบเสื้อแดง หรือพรรคเพื่อไทย ที่เริ่มเปลี่ยนแนวสู่สนามการเลือกตั้งที่ถนัด ภายหลังพ่ายแพ้ในเกมมวลชนนอกสภาฯ

จนทักษิณน่าจะประเมินแล้วว่าเกมม็อบพ้นจุดพีค และยากที่ผู้คนในสังคมจะยอมให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

ขณะที่ปัจจัยเรื่องกฎเกณฑ์กติกาสำหรับการเลือกตั้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จะนำเสนอเข้าสู่สภาฯพิจารณาวาระ2-3 สิ้นเดือน ม.ค.นี้

หลังจากนั้นอีกไม่นาน ระบบ-รูปแบบเลือกตั้ง ที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับก็จะถูกนำมาใช้ได้

พร้อมและเอื้ออำนวยต่อการเลือกตั้ง!

แต่สิ่งสำคัญในการตัดสินใจในประเด็นการเลือกตั้งที่มากกว่านั้น สำหรับ “อภิสิทธิ์” ที่ประกาศตัวไว้แล้วว่าจะขอเป็นนายกฯ อีกสมัยแล้วจะวางมือการเมือง

เก้าอี้ผู้นำสมัย2 ย่อมไม่ต้องการรอนาน!

การประเดิมประกาศแผน “ประชาวิวัฒน์” โครงการประชานิยมตำรับประชาธิปัตย์ช่วงต้นปี ทั้งเรื่องการช่วยเหลือด้านสวัสดิการ แหล่งทุน สำหรับวินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ พ่อค้าแม่ขายหาบเร่แผงลอย

จนถูกมองเป็นการอัดฉีด “รากหญ้า” เพื่อหวังผลเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามมาในไม่ช้า

เมื่อเศรษฐกิจเอาอยู่มือ ปัญหาความแตกแยกขัดแย้งเริ่มคลี่คลาย กติกาเลือกตั้งพร้อม นโยบายลดแลกแจกแถมหวังผลได้ ประกอบกับคู่แข่ง พรรคเพื่อไทยยังตั้งหลักไม่ได้

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลต่างก็รับรู้ได้ถึงสัญญาณทางบวกที่มีต่อ “อภิสิทธิ์” ที่น่าจะได้รับสิทธิต่อตั๋วในภารกิจบริหารประเทศอีกครั้ง คงไม่อาจหาญจะฝืนสัญญาณนั้น

นอกจากนี้ ปัจจัยทางฝ่ายกองทัพ ที่กลับมาเป็นปึกแผ่นภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่เลือกเป็นเกราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในสถานการณ์ที่ต่างเกื้อหนุนกันด้วยดี

หากไม่มีอะไรฉุกเฉินหรือจำเป็นสูงสุดจริงๆ ก็คงผลีผลามตัดสินใจเคลื่อนพลให้เหนื่อยต้องเล่นเอง โดยที่ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะรับกับแรงต้านได้ไหว!

ที่สำคัญเลยก็คือ ภายหลังคดียุบพรรค ปชป.ผ่านพ้น “อภิสิทธิ์” มองเห็นสัญญาณบวก ได้สิทธิ “ต่อตั๋วพิเศษ”

จึงมองกันว่า “อภิสิทธิ์” น่าจะตัดสินใจใช้ห้วงเวลาที่คะแนนนิยม ปชป.กระเตื้อง ภาพลักษณ์กำลังเป็นไปในทางที่ดี ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ในช่วงต้นปี

โอกาสกลับมาเบิ้ลเก้าอี้นายกฯ สูง!

อย่างไรก็ตาม ในอีกแนวทางที่มาจากบางส่วนในประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ ที่ต้องการให้ “อภิสิทธิ์” ดึงเกมไปจนใกล้ครบสมัย

“ลากยาวรัฐบาล”

เพื่อโอกาสจัดงบฯ และแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ มือไม้กลไกสำคัญในการกลับสู่อำนาจอีกครั้ง

และตามธรรมชาติ ถ้าไม่จำเป็นแล้วผู้ที่อยู่ในอำนาจ คงไม่ปล่อยอำนาจให้หลุดมือไป จึงมีโอกาสเป็นไปได้เช่นกัน ที่ “อภิสิทธิ์” จะเลือกแนวทางนี้

เพราะด้วยดุลอำนาจทางการเมืองที่อยู่ในมือ สามารถคอนโทรลเกมรัฐบาลผสม คุมพรรคร่วมรัฐบาลอยู่หมีด ถึงแม้ต้องสุ่มเสี่ยงกับกรณีที่ฝ่ายค้านประกาศจองกฐินยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที่ที่เปิดสมัยประชุมสภาฯ ปลายเดือน ม.ค.นี้

แต่เมื่ออ่านทางแล้ว ในศึกซักฟอก “อภิสิทธิ์” และ รมต.ปชป.ก็คงเบาแรง เมื่อเป้าหมายของเพื่อไทยย่อมจับจ้องไปที่พรรคภูมิใจไทย ที่เคยฝากแค้นต้องชำระให้นายใหญ่ ทักษิณสั่งลูกน้องลงมีดเชือดแน่!

นอกจากนี้ด้วยความเขี้ยว ประชาธิปัตย์ยังเหลือไพ่เล่นต่อหากภูมิใจไทยแผลเหวอะหวะ ก็ยังมีกลุ่ม3Pพรรคเพื่อแผ่นดิน รอเป็นอะไหล่สำรองไว้ หากจะยืออายุรัฐบาลต่อ

แต่ไม่ว่าจะเลือกเล่นเกมเร็วหรือลากยาว ที่ต้องระวังไว้ก็คือ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐบาล ที่ไม่ว่าโพลสำรวจสำนักใดก็ตาม

อภิสิทธิ์ยังสอบตกเรื่องแก้ปัญหาโกง!

เสียงสะท้อนของประชาชนในเรื่องนี้เริ่มดังถี่ขึ้น โดยเฉพาะช่วงสองขวบปีที่บริหารประเทศมา แม้อภิสิทธิ์จะแสดงท่าทีขึงขังกับการจัดการเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ถึงขั้นประกาศเป็น1ใน “กฎเหล็ก9ข้อ”

แต่ นอกจากทำทีขัดขวาง ไม่เห็นด้วย สั่งยื้อชะลอสารพัดโปรเจกต์โครงการที่มีความไม่ชอบมาพากลโดยเฉพาะของพรรคร่วมรัฐบาล แต่สรุปสุดท้ายก็แค่ทำพอเป็นพิธี

ขึงขังได้ภาพแล้วก็ไฟเขียวปล่อยผ่านเลย คงความกังขาของประชาชนในปมนั้นๆ กันต่อไป

“อภิสิทธิ์” จริงใจจริงจังจัดการเรื่องโกงจริงหรือ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ทักษิณคงสั่งไพร่พลในพรรคเพื่อไทยให้ “เต็มแรง” ถึง “อภิสิทธิ์” จะมีพรรคอะไหล่ไว้สำรอง หรือใช้การลอยตัว ก็คงจะเลี่ยงแปดเปื้อนไปด้วยได้ยาก

ดังนั้น ถึงจะมั่นใจในดุลอำนาจที่มีอยู่ในมือ สิทธิพิเศษจากสัญญาณบวกที่ได้รับ กองทัพเป็นแบ็ก แต่ถ้ายังปล่อยให้ปมปัญหานี้เรื้อรัง จนกลายเป็นรัฐบาลอมโรคโกง ก็สุ่มเสี่ยงที่กระแสประชาชนจะตีกลับ

เมื่อนั้น “ตั๋ว” ที่ได้รับก็อาจเปลี่ยนมือ ฝันที่จะนั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศอีกครั้งก็อาจสลายไปได้

และถึงจะลากกันต่อไหว แต่จะมีประโยชน์อันใด เพราะการ “พายเรือให้โจรนั่ง” หรือ “นั่งเรือที่โจรพาย” ก็สร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมืองไม่ต่างกัน

ที่สำคัญการได้เป็นนายกฯ ในรัฐบาลที่กลาดเกลื่อนเต็มไปด้วยเรื่องคดโกง

จะเรียกผู้นำที่สง่างามได้เช่นใด??

]]>
13405
อภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. บกพร่องโดยสุจริต หรือตั้งใจผิดพลาด https://positioningmag.com/13327 Tue, 14 Dec 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13327

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “ยกคำร้อง” คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง29ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ นอกจากเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ฝ่ายถูกกล่าวหา “ชนะฟาวล์” ทางเทคนิค

ด้วยความผิดพลาดใน “กระบวนการขั้นตอน” ที่มิชอบตามกฎหมาย และบกพร่องในการปฏิบัติตามเงื่อนเวลาที่กฎหมายกำหนด จน “คดีหมดอายุความ”

คำวินิจฉัยที่ออกมายังสร้างแรงสั่นสะเทือนตามมาเป็นต่อฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็น“เอฟเฟกต์” ที่ส่งไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะผู้ร้องคดี

กกต.ที่ถือว่าเป็น “ต้นทาง” ที่ทำให้มีคำวินิจฉัยที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากชนัก ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในรัฐบาล

โดยเฉพาะอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ไม่อาจลบเลี่ยงสะเก็ดระเบิดที่ถาโถมใส่เต็มๆเพราะจากเนื้อหาคำวินิจกลางของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุเหตุผลที่ต้องยกคำร้องก็ด้วยเพราะประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการ กระทำผิดขั้นตอนและกระบวนการยื่นเรื่องตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง

ทั้งเรื่องการไม่มีความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองประกอบคำร้อง ที่นำไปสู่ความผิดพลาดในเรื่อง “อายุความ” ที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด15วัน จึงไม่แปลกที่แรงสั่นสะเทือนทั้งหมดจะถาโถมมาสู่ประธาน กกต. ทั้งโดยตรงจากคำวินิจฉัยของที่ชี้ความผิดพลาดของ กกต. หรือทั้งจากฝ่ายผู้ถูกร้อง

ฝ่ายถูกกล่าวหาอย่างประชาธิปัตย์เอ่ยอ้างได้ว่าพ้นผิด ก็เพราะ “กกต.พลาด” ไม่เท่านั้น พรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามอย่างพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง ที่หลังคำวินิจฉัยออกมา ก็เหมือนลูกเข้าเท้าพอดี เพราะชูธงเรื่อง “สองมาตรฐาน” ไว้ล่วงหน้าแล้ว

แม้แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ การวิเคราะห์จากนักวิชาการ นักกฎหมายบางส่วน เสียงสะท้อนที่กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ไปที่ประธาน กกต. นอกจากกังขาในเรื่องกระแสสังคมที่กังขาในเรื่องคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมองว่าเป็นการตัดตอน เลือกที่จะวินิจฉัยเรื่องขั้นตอนการปฏิบัติ แต่ไม่พิจารณาเรื่องเนื้อหาสาระในประเด็นการใช้จ่ายเงิน29ล้านบาท เป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่

นายอภิชาต และ กกต. ยังโดนถล่มจากคนเสื้อแดง แบบ “เฉลี่ยเป้าโจมตี” จากศาลรัฐธรรมนูญมาที่ กกต.ในครั้งนี้ ถึงขั้นที่มีการทวงถามความรับผิดชอบ

จี้ กกต.ให้ลาออก!

โดยเฉพาะนายอภิชาต ที่แม้แต่ กกต.ด้วยกันเองแม้บางส่วนจะยังมีท่าทีปกป้อง แต่หลังฉากก็มีการแสดงความไม่พอใจ ในความบกพร่องในการทำหน้าที่ ทำให้ต้องรับเรื่องร้อนไปด้วย รวมทั้งเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตัวเอง
มีการส่งซิกเป็นรายงานข่าวในท่วงทำนอง “ตะเพิดประธาน กกต.”

โยนเผือกร้อนไม่ให้ถึงตัวกันเป็นแถว!

อย่างไรก็ดี ถ้าย้อนเส้นทางคดียุบพรรคการเมือง อีกคดีประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ก็ทำให้เห็นว่าเกิดความผิดพลาดบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของนายอภิชาตจริงๆ

โดยเฉพาะเมื่อคำร้องให้ยุบ ปชป.กรณีใช้เงิน29ล้านบาท ถูกยื่นจากดีเอสไอและส.ส.พรรคเพื่อไทย มาถึงนายทะเบียนพรรคการเมือง คือนายอภิชาตในหมวกอีกใบ

โดยหลังจากตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้นมาพิจารณาคำร้อง นายอภิชาตได้ทำความเห็นส่วนตัวในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ให้ “ยกคำร้อง” ทั้งในคดี 29ล้านบาท รวมถึงคดีรับเงินบริจาค258ล้านบาทและที่จริงคดียุบพรรค ปชป.ในกรณีเงิน29ล้านบาท ก็น่าจะเป็นที่ยุติ ตามอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองตามกฎหมาย ที่ได้มีความเห็นเมื่อ17ธันวาคม2552

ถ้านายอภิชาตไม่นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กกต.อีก และหลังจากนั้นที่ประชุม กกต. ก็มีมติโยนเรื่องให้นายอภิชาตไปทำความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอกลับมาเป็นทางการอีกครั้ง แต่ที่ยุ่งเข้าไปใหญ่ นายอภิชาตกลับออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อปฏิบัติตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองอีกครั้ง โดยไม่น่าจะมีความเป็น

จนได้ผลสรุปเสนอต่อที่ประชุม กกต.วันที่12เม.ย. 2553และวันดังกล่าวคือวันที่มีการลงมติของ กกต.ทั้ง5คน ในช่วงที่คนเสื้อแดงที่กำลังก่อม็อบในช่วงเวลานั้น และบุกไปปิดล้อมสำนักงาน กกต.เพื่อกดดันในเรื่องคดียุบพรรค
และแปลกที่ผลการลงมติของ กกต.ออกมาเป็นเอกฉันท์ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งที่นายอภิชาตเคยมีความเห็นยกคำร้อง

กระนั้นก็ดี ที่นายอภิชาต “กลับลำ” จากความเห็นที่มาเดิม ยกคำร้องคดียุบพรรค มาเป็นลงมติให้ “ยุบพรรค” ในการประชุมช่วงเดือน เม.ย. 2553 เป็นการลงมติในฐานะประธานกกต.แต่ไม่ได้ใช้ดุลพินิจในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ก่อนเสนอเรื่องต่อศาล จึงถือเป็นการผิดขั้นตอนกระบวนการเช่นเดียวกับการมีมติที่ประชุม กกต.ในวันที่ 17ธ.ค.2553ที่ศาลรัฐธรรมนูญถือว่า เป็นวันต้องเริ่มนับเวลา ก่อนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญภายใน15วัน ทั้งมูลเหตุจากความผิดพลาดเรื่องกระบวนการขั้นตอน และการเลยเงื่อนเวลายื่นคำร้องที่กฎหมายกำหนดดังกล่าว จึงนำไปสู่คำวินิจฉัยยกคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ และไม่พิจารณาประเด็นคำร้องที่เหลือ

จากรายละเอียดทั้งหมด นายอภิชาตจึงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้กับความผิดพลาดและข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้อง คดียุบพรรค ปชป. ที่เหลือเชื่อและมีการพูดถึงกันว่า นายอภิชาตที่เป็นถึงอดีตผู้พิพากษาระดับสูง มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องหลักนิติศาสตร์หลักกฎหมาย จะเกิดการวินิจฉัยที่ผิดพลาดเช่นที่เกิดขึ้น

จะ “บกพร่องโดยสุจริตใจ” หรือ “เผอเรอเพราะตั้งใจ” ก็ยากแก่การพิสูจน์

รวมทั้งที่บอกได้ยาก แต่ก็มองได้เช่นกันว่า การปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียนพรรคการเมืองกับคดีสำคัญที่เกี่ยวโยงกับพรรคการเมืองที่เก่าแก่เป็นประวัติศาสตร์ ต้องทำหน้าที่ท่ามกลางกระแสกดดัน จากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรง เกิดความแตกแยก ความวุ่นวายในบ้านเมืองและคดียุบพรรคคืออีกประเด็นที่ถูกจับตาจากสังคม เป็นอีกเงื่อนปมข้อเรียกร้องของการชุมนุมของมวลชนเสื้อแดง และเป็นอีกปมชี้เป็นชี้ตายสถานการณ์โดยรวม จะเป็นสาเหตุให้การทำหน้าที่ของนายอภิชาตไม่รอบคอบ ไร้หลักยึด จนเหมือนเร่งรีบร้อนรน เลิ่กลั่ก รวมทั้งออกอาการยึกยัก พลิกกลับไปกลับมา

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะกระแสกดดันจากม็อบเสื้อแดง!

สิ่งสำคัญคือ เมื่ออาสาเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติภารกิจสำคัญ ในองค์กรอิสระหน่วยงานสำคัญของบ้านเมือง หากไร้หลักยึด ไหลไปตามกระแส โอนเอนไปตามแรงกดดันภายนอก

หวั่นไหว หวาดกลัว จนไร้มาตรฐาน!

เมื่อมีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่มีความผิดพลาดในกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย จนส่งผลกระทบต่อองค์กรโดยรวมเช่นนี้ แม้นายอภิชาตจะยกเหตุผลหาข้ออ้างอื่นใดมาอธิบายความก็คงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้!

]]>
13327
คดียุบพรรค-คลิปฉาวศาล รธน. วิกฤตการณ์กระบวนการยุติธรรม https://positioningmag.com/13264 Tue, 09 Nov 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13264

ทำไปทำมา คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ คดีประวัติศาสตร์ที่จะไม่ใช่เพียงสิ่งที่ทุกคนจับจ้องรอดูว่าจะเป็น “จุดเปลี่ยนการเมืองไทย” ภายหลังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพียงเท่านั้น

จากกรณี “คลิปฉาว” ที่เกี่ยวโยงกับศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นผลกระทบเกี่ยวเนื่องมาจากคดียุบพรรค ได้สั่นคลอนความน่าเชื่อถือจนกลายเป็น “วิกฤตศาลรัฐธรรมนูญ”

และอาจเป็น “จุดพลิกผัน” ส่งผลต่อความเป็นไปของบ้านเมืองในภาพรวม!

จากคดีที่พรรคการเมืองอย่างประชาธิปัตย์ถูกข้อกล่าวหา ใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง29ล้านบาทไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ที่ กกต. เป็นผู้ร้อง

และพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกกล่าวหาได้ตั้งคณะทำงานกฎหมายเพื่อต่อสู้คดีในประเด็นต่างๆอย่าละเอียด มีข้อแก้ต่างรองรับไว้ในทุกประเด็น

แม้แต่ในทางร้ายที่สุด กรณีหากมีการยุบพรรคเกิดขึ้นจริง ก็ต้องหาทางต่อสู้ในเรื่องคดี เพื่อให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันรอดพ้น ไม่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม จนเวลาเดินมาถึงห้วงรอแถลงปิดคดี ลุ้นคำวินิจฉัยพิพากษา การประเมินผลล่วงหน้ายังออกมาในทางไม่ชัวร์

โดยเฉพาะเมื่อประเมินการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีแนวทางในการพิจารณาคดี ใช้ทั้ง “นิติศาสตร์” ควบคู่กับ “รัฐศาสตร์”

            ยุบ-ไม่ยุบ ยัง ห้าสิบ-ห้าสิบ!!

แต่ที่ทำให้มีเปอร์เซ็นต์ทางลบกับประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้น ก็มาจากกรณีการเปิด “คลิปฉาวศาล รธน.”

แต่เมื่อประเมินแล้วจะมีผลกระทบกับคดีก็มีเพียง คลิป ส.ส.ประชาธิปัตย์ ในทีม

กฎหมายไปร่วมวงหารือกับ พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และทำให้เข้าใจว่ามีเรื่อง “วิ่งเต้น-ล็อบบี้” ในคดียุบพรรค

สร้างกระแสกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ที่หากตัดสินในทางเป็นคุณกับ ปชป. ก็จะยิ่งเพิ่มน้ำหนักในการโหมโจมตีในประเด็น “สองมาตรฐาน”

นอกเหนือจากนั้น ก็ไม่ได้อะไรเป็นประเด็นน่าจะกระทบต่อศาล และ ปชป. ทั้งคลิปที่ติดกล้องแอบถ่ายการสนทนาของตุลาการในห้องประชุม

กระทั่งคลิป “ลักไก่” ที่ตั้งใจนำภาพถ่ายพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ร่วมหารือกับผู้พิพากษากลุ่มใหญ่ เพื่อให้คนดูเข้าใจว่ามีเรื่องของ “ใบสั่ง” ทั้งที่ภาพดังกล่าวเป็นคนละงานคนละเรื่อง

แต่ที่ชัดเจนคือ คลิปฉาวน่าจะมีการกระทำกันอย่างเป็นขบวนการ โดยเฉพาะตัวละครสำคัญ “พสิษฐ์” ที่วันนี้ชัดเจนในระดับหนึ่งแล้วว่าร่วมอยู่ด้วย

ทั้งการติดกล้องแอบถ่าย การวางแผน จัดฉาก ตลอดไปจนถึงพยายามซักไซ้-ถามนำ

เพื่อให้คู่สนทนา “ติดกับดัก” เข้าแผนที่วางไว้

โดยภายหลังมีการเปิดเผยถึงสายสัมพันธ์ของเลขาฯรายนี้ กับ ส.ส.เพื่อไทย และบุคคลในเครือข่ายอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่แปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งทักษิณ ชินวัตร

“พสิษฐ์” จึงถูกตั้งข้อสงสัย “รับงาน” มา “เผาศาล”

ทำให้หลังจากเปิดคลิปร้อนมาได้สักระยะ กระแสจึงเริ่มตีกลับเมื่อมีพูดถึงการเชื่อมโยงตรงนี้ และแผนการทำลายกระบวนการยุติธรรมของ “ทักษิณ” และพวก

            รวมทั้งเสียงเรียกร้องความรับผิดชอบจาก ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นคนแต่งตั้งพสิษฐ์มาทำงาน จนกลายเป็น “ไส้ศึก” ในเกมปั่นป่วนทำลายล้างองค์กร

ไม่เท่านั้นยังมีข้อมูลสายสัมพันธ์ของ “ชัช” ที่เชื่อมโยงกับ “ทักษิณ” และเครือข่ายการเมือง

ฉะนั้นเพื่อไทยเล่นเกมนี้ก็เหมือน “ทำปืนลั่นใส่ตัวเอง” เช่นกัน

เพราะถึงแม้กรณีคลิปฉาวจะทำได้เข้าเป้า สร้างแรงกดดันการทำหน้าที่ของตุลาการที่เป็นองค์คณะในคดียุบพรรค แต่ในทางกลับกัน ทำให้การพิจารณาคดียุบพรรค ปชป. ไม่ว่าจะตัดสินไปทางใดก็ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน

ตรงนี้อาจช่วยให้ตุลาการที่เป็นองค์คณะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น!

อย่างไรก็ดี ระยะต่อมา ภายหลังจากกระแสคลิปชุดแรกซาลง และเริ่มเห็นทิศแนวทางการเดินหน้าต่อไปของศาลรัฐธรรมนูญ “คลิปร้อน” ชุดสองจึงถูกเปิดออกมา

เป็นคลิป3ตอน ที่แอบถ่ายทำและบันทึกเสียงการสนทนาของตุลาการบางราย กับผู้กำกับ เขียนบท และนักแสดงในคนๆเดียวอย่าง “พสิษฐ์” ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับการโจมตีของคนพรรคเพื่อไทย ที่จุดพลุนำร่องมาก่อน

ว่าด้วยปมร้อน ตุลาการบางรายอาศัยหน้าที่ตำแหน่ง ช่วยเหลือเด็กตัวเอง “โกงข้อสอบ”
เพื่อสอบเข้าเป็นพนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

ถึงแม้จะถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องการ “จัดฉาก-วางแผน” แต่อีกทางหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า มีการยอมรับจากตุลาการบางท่านในเนื้อหาข้อคลิปเองว่ามีพฤติกรรมโดยมิชอบดังกล่าวจริง

            คลิปชุดนี้จึงเป็นคลื่นสึนามิที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อศาลรัฐธรรมนูญมหาศาล

เพราะเป็นที่รับรู้กันทั่วไปแล้วว่า ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ในการตัดสินคดีความ เพื่อดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในบ้านเมือง จะต้องไม่มีข้อคลางแคลงสงสัยใดๆในพฤติกรรม

ประจักษ์ชัดในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต!

คลิป “โกงข้อสอบ” ของตุลาการบางราย จึงกลายเป็นผลกระทบต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังถูกจับจ้องจากสังคม ทั้งในเรื่องความเชื่อถือขององค์กร และการแสดงความรับผิดชอบจากตุลาการที่เกี่ยวข้อง

กระทั่งเริ่มมีการพูดถึงการปรับรื้อเปลี่ยนแปลงกันทั้งองค์กร ถึงขั้นที่มีผู้ออกมาเสนอให้ “ยุบศาล รธน.” ทิ้ง และเปลี่ยนไปเป็นแผนก อยู่ในศาลฎีกา หรือศาลปกครองแทน

แต่ที่ต้องติดตามต่อไปว่า กรณีคลิปร้อนที่เป็น “ไฟเผาศาล” ดังกล่าว จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อคดียุบพรรค ที่กำหนดวันแถลงปิดคดีไว้ 29พ.ย. นี้ และรอคำพิพากษาช่วงปลายปี

เพราะเมื่อองค์กรยุติธรรมกำลังเผชิญภาวะ “วิกฤตความน่าเชื่อถือ” ระดับรุนแรงเช่นนี้ หากตุลาการที่เกี่ยวข้องแสดงความรับผิดชอบ 3-4ราย

แม้ไม่ถึงขั้นลาออกจากการดำรงตำแหน่ง เพียงประกาศถอนตัวจากคดียุบพรรค ก็จะทำให้เหลือตุลาการไม่ครบ5ราย ที่จะเพียงพอในการเป็น “องค์คณะ”

จนมีบางฝ่ายเริ่มมองว่า ดีไม่ดีคดียุบพรรค ปชป.อาจเป็น “เกมยาว” ??

เหนืออื่นใด คลิปเผาศาลที่เกิดขึ้น นอกจากสะท้อนความอัปลักษณ์ในพฤติกรรมส่วนตัวของคนในองค์กรยุติธรรมบางราย ที่ต้องถือว่ามีส่วนสำคัญในการทำลายองค์กรของตัวเอง

ยังแสดงให้เห็นชัดด้วยว่า วันนี้มีผู้ที่ต้องการสร้างผลกระทบบางประการต่อศาล ที่ไม่ได้มีเพียงเป้าหมายเพื่อดิสเครดิตหรือสั่นคลอนความน่าเชื่อถือ

แต่มีเจตนาและความต้องการ “ทำลายล้าง” กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

มีความพยายามโจมตี “สถาบันตุลาการ” มาต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จพอสมควรกับการกระทำต่ออำนาจในฝ่าย “นิติบัญญัติ” และ “บริหาร”

ฉะนั้นวิกฤตศาลรัฐธรรมนูญอาจจะลุกลามบานปลาย จนทำให้เกิดการล้มคว่ำไปทั้ง “กระดานอำนาจประเทศไทย” หากไม่เร่งแก้ไข “ดับวิกฤต” ที่เกิดขึ้น !!

วันนี้มีผู้ที่ต้องการสร้างผลกระทบบางประการต่อศาล ที่ไม่ได้มีเพียงเป้าหมายเพื่อดิสเครดิตหรือสั่นคลอนความน่าเชื่อถือ

แต่มีเจตนาและความต้องการ“ทำลายล้าง”กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

มีความพยายามโจมตี “สถาบันตุลาการ” มาต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จพอสมควรกับการกระทำต่ออำนาจในฝ่าย “นิติบัญญัติ” และ “บริหาร”

]]>
13264
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เกมดิ้นหนีตาย กับ “สัญญาณอันตราย” ของ “เนวิน” https://positioningmag.com/13192 Mon, 11 Oct 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13192

ไม่แน่ใจ คำว่า “ปรองดอง” ที่พูดกันเปรอะอยู่ในเวลานี้ โดยเฉพาะจากคนวงการเมือง จะหมายถึง “ความสามัคคีกลมเกลียวกัน ไม่แก่งแย่งกัน พร้อมเพรียงกัน ตกลงกัน” ตามพจนานุกรมหรือไม่?

เป็นการปรองดองที่จริงใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาความแตกแยกภายในบ้านเมืองครั้งรุนแรงเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยหรือเปล่า?

เพราะเท่าที่แต่ละฝ่ายที่เสนอเรื่องนี้ ต่างมีเป้าหมายแอบแฝง ซ่อนเงื่อนซ่อนปม
ปรองดองโดยมีวาระซ่อนเร้น!

“ปรองดอง” ในความหมายของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร น่าจะหมายถึง การหาทางเจรจา รอมชอม เพื่อปลดชนักเคลียร์คดีให้ “พ้นผิด”
ส่วน“ปรองดอง ”ของฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา3 ที่มองอีกมุมก็ได้เช่นกันว่า เป็นการ “ซื้อเวลา” เพื่ออยู่ในอำนาจต่อไปให้ยาวนานที่สุด

แต่ “ปรองดอง” ที่น่าวิเคราะห์คือ พรรคภูมิใจไทย ที่นำโดยนายเนวิน ชิดชอบ ที่เอาจริงเอาจังในการประกาศเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยกโทษให้ทุกสีเสื้อ ไม่ว่าเหลือง แดง หรือสีกากีตำรวจ หรือเขียว–กองทัพ!

ข้อสงสัยในข้อเสนอของเนวินและภูมิใจไทย ได้ถูกเปิดแฉกันมาเป็นฉากๆ แล้วว่าการเอาจริงเอาจังเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าว มีวาระแฝง
ทั้งเพื่อเรียกคะแนนจากทุกสีเสื้อ โดยเฉพาะมวลชนรากหญ้า “เสื้อแดง” ในภาคเหนือและภาคอีสาน ฐานเสียงที่หนาแน่นของพรรคเพื่อไทย และ เนวิน-ภูมิใจไทย ยากที่จะเจาะได้

และเนื้อหาของกฎหมาย เป็นประโยชน์ของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการและปราบปรามม็อบ ทั้งสีเขียว-กองทัพ สีกากี-ตำรวจ ระดับบิ๊กที่เกี่ยวข้อง
ทั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ์ อดีต ผบ.ตร. ที่ติดบ่วงคดีความผิดการสลายม็อบเสื้อเหลือง และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่มีส่วนรับผิดชอบสั่งการจัดการกับการชุมนุมของม็อบทุกสีเสื้อมาตลอด4ปี

เป็น2บิ๊กในสาย “บูรพาพยัคฆ์” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม แนวร่วมในเครือข่าย “แม่ทัพใหญ่สีน้ำเงิน” ที่ได้ประโยชน์ มีโอกาสพ้นผิด
เป็นข้อสงสัยที่ “เนวิน” และภูมิใจไทย ยังไม่มีคำแก้ต่างแก้ตัว!

แต่ยังมีปมที่ประเมินลึกไปกว่านั้น ที่ “เนวิน”เดินหมากตานี้ เพื่อยื้อแผนปรองดองของ2ค่ายใหญ่ ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย
สกัดพิมพ์เขียว “รัฐบาล2พรรค”

นอกจากนี้ วันนี้สิ่งที่ “เนวิน” และพรรคภูมิใจไทย เร่งรีบสุดแรงยังมาจาก “สัญญาณอันตราย” จากกรณีการแต่งตั้ง มงคล สุระสัจจะ เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องสะดุดลง
ไม่เพียงเพราะ “ว่าที่ปลัด” ยังค้าง “มลทิน” คดีทุจริตเช่าคอมพิวเตอร์ แต่ที่มากกว่านั้นคือแรงต้าน จากอดีตข้าราชการกระทรวงมหาดไทย
โดยเฉพาะเป็นแรงต้าน “ทรงพลัง” จาก พงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัด มท. ที่มีสายสัมพันธ์แน่นปึ้กกับ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี
“เนวิน” รับรู้ดี ถึง “สัญญาณไม่ปกติ” ครั้งนี้ดี!

นอกจากเร่งรีบอย่างร้อนร้น สั่ง ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ล่ารายชื่อประชาชนให้ได้ 1-3แสนคน ภายในเวลา2เดือนครึ่ง เพื่อสนับสนุนการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
อีกทางหนึ่ง นายใหญ่ภูมิใจไทยก็เลือกที่จะประคองตัวให้อยู่ในเกมต่อไป โดยไม่เลือกทาง “แตกหัก” กับผู้นำอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีท่าทีแข็งกร้าวใส่เขาอย่างชัดเจน
แต่ “ยอมงอ” ทั้งปล่อยให้มีการตั้งคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบข้อกล่าวหานายมงคล โดยมีคนจากนอกกระทรวงมหาดไทยเข้าร่วม รวมทั้งยอมให้ตั้ง “รักษาการปลัด มท.” ที่ไม่ใช่นายมงคลตามที่ต้องการ แต่ชื่อ ขวัญชัย วงศ์นิติกร ก็คือคนมหาดไทยในเครือข่าย “ชิดชอบ”

การยอมอ่อนข้อก็เพื่อให้อยู่ในวงอำนาจ และตรึงกำลังพลพรรคภูมิใจไทย ที่หล่อเลี้ยงด้วยงบประมาณ และการอุ้มชูจากข้าราชการสายสีน้ำเงิน
ไม่ให้ไพร่พลแตกแถวแตกทัพก่อนเดินเข้าสนามรบในวันหน้า

อีกทางหนึ่ง ระหว่างเกมนิรโทษกรรมของนายเนวิน ประจวบเหมาะกับสถานการณ์การเมือง ที่เข้าสู่ช่วงไคลแม็กซ์ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์งวดเข้ามา
ห้วงลุ้นระทึก ปชป.รอดหรือร่วง รัฐบาลอยู่หรือไป ก็มีประเด็น “นายกฯคนกลาง” ที่แต่ละฝ่ายตระเตรียมหากเกิดกรณีฉุกเฉิน หากเกิดกรณี “ยุบพรรค” ล้างกระดาน เลือกผู้นำกันใหม่
จุดนี้เอง ที่เนวินเร่งแสวงหา “แนวร่วม” เพื่อเพิ่มอำนาจการ “ต่อรอง”

นอกเหนือไปจากมีแนวร่วมชั้นดี “2ป.บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ ที่แม้จะก้าวลงจากอำนาจ แต่ประกาศจะไม่ไปไหน
เป็น2ป.ที่มีชื่อลุ้นเก้าอี้ใหญ่ หากเกิด “จุดเปลี่ยนประเทศ” ในคดียุบ ปชป.

นักการเมืองผ่านศึกโชกโชนอย่างเนวิน ยังเดินเกมแตะมือสารพัดบิ๊กเนม เพื่อเป็นตัวเลือก ชูเป็นแคนดิเดต “นายกฯคนใหม่” ในสายตัวเอง
รวมทั้งการต่อสายไปยังคนในประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะที่มีชื่อ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นอีกหนึ่งแคนดิเดต “ผู้นำ” เสียงเชียร์จากค่ายภูมิใจไทยมีส่วนสำคัญ
แม้แต่ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่เริ่มมีสัมพันธ์ที่ดีกับเครือข่ายสีน้ำเงินในระยะหลัง

นอกจากนี้ การกลับไปผูกมิตรกับ บรรหาร ศิลปอาชา ที่ห่างไปหลังหลงจู๊ไปมีสัมพันธ์อันดีกับขั้ว3พี เพื่อแผ่นดิน นั่นก็เพราะ เนวินต้องการ แท็กทีมกับพรรคชาติไทยพัฒนา
นอกจากเกมการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยังมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง
ในพรรคร่วมรัฐบาลวันนี้ และยามต้องช่วงชิงในกลเกมตั้งรัฐบาลในอนาคต!
ไม่ว่ากรณีขั้วเก่าประชาธิปัตย์ยังคงอยู่ หรือยามต้องฟอร์ม ครม.กันใหม่ รวมทั้งหากเกิดเหตุพลิกขั้วกลับข้างไปที่พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

เป็นการดิ้นสู้ของเนวิน ในยามสัญญาณอันตรายมาถึง ทั้งปม “แรงต้านทรงพลัง” ในการตั้งปลัดมหาดไทย และล่าสุดกับข่าวแกนนำประชาธิปัตย์ ต่อสายเตรียมดึงก๊วน “3พี เพื่อแผ่นดิน” พินิจ จารุสมบัติ-ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ กลับรัฐบาล
และเป็นจริง ก็ยากที่เนวินและภูมิใจไทย ที่เคยประกาศศึกเดือดกับ3พี จะอยู่เป็นสุข และโอกาสถูกดีดออกแทน มีอยู่ไม่ใช่น้อย

โดยเฉพาะข่าวไม่กรองที่กระตุกขวัญเนวินพอสมควร คือข่าวที่ว่า พรรคเพื่อแผ่นดินกลับร่วมรัฐบาลครั้งนี้ อาจพ่วง ส.ส.อีสานเพื่อไทยที่ “ผูกเสี่ยว” ไว้มาด้วย!
สัญญาณ “หายนะ” แรงจัด ที่ทำให้ “เนวิน” ภูมิใจไทย นิ่งไม่ได้ จากนี้ไปจึงต้องจับตา “นายใหญ่ภูมิใจไทย” จะคิดแผน วางเกม เดินหมากอีกสารพัด

ดิ้นสุดแรง เพื่อไม่ให้ค่ายสีน้ำเงินหลุดวงโคจร!!

]]>
13192
เปิดสูตรพิเศษ “รัฐบาลแห่งชาติ” บทเรียนความล้มเหลวที่ไม่ยอมจำ https://positioningmag.com/13124 Fri, 10 Sep 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13124

ทั้งที่วิกฤตเผาบ้านเผาเมืองพฤษภาฯ มหาวินาศเพิ่งผ่านพ้นมามาไม่กี่เดือน แต่จากเหตุระเบิดกลางเมืองหลายครั้งที่ผ่านมา และความเคลื่อนไหวไม่ปกติ ต่างเป็นตัวบ่งชี้ถึง “สัญญาณอันตราย”
ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังไม่พ้นจากปากเหวแห่งหายนะ!

ถึงแม้การประเมินตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวจะบ่งชี้ว่าประเทศขยับไปสู่ทิศทางที่ดีในแดนบวก แต่อีก
ทางหนึ่งการประมาณการ “อัตราความน่าเป็นห่วง” ด้านความมั่นคงปลอดภัย เริ่มขยับสู่ “โซนแดง”
เสี่ยงเข้าแดน “ติดลบ” อีกครั้ง!!

และที่มองกันว่าสถานการณ์บ้านเมืองไม่อาจไว้วางใจ ที่หลายฝ่ายประเมินโดยยึดเอา “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นตัวตั้งปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

ด้วยเพราะอดีตนายกฯ ที่หลบหนีความผิดคดีอาญาแผ่นดิน และความร่ำรวยผิดปกติ
แสดงให้เห็นแล้วว่า “ศักยภาพการทำลายล้างสูง”
“ทักษิณ” ที่ถูกประเมินว่า ยังไม่ยอมพ่ายแพ้ และยังมีพลังที่จะต่อสู้ทุกรูปแบบ เพื่อคืนสู่อำนาจ โดยเฉพาะการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งที่เชี่ยวชาญ
จึงมีหลายฝ่ายที่ต้องการขันอาสามา “แก้โจทย์ใหญ่” จัดการคนที่มองกันว่าเป็น “ศัตรู” และเป็นภัยต่อความมั่นคงประเทศ บล็อกเกมที่จะเดินไปสู่การเลือกตั้งของถนัดของทักษิณ

แม้จะมีฝ่ายที่รับผิดชอบ มีรัฐบาลบริหารบ้านเมืองมี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ทำงานอยู่แล้ว!
“รัฐบาล” ไปไม่ไหว หมดเวลาของ “อภิสิทธิ์” ??

ด้วยเพราะการประเมินจากโจทย์ “ทักษิณ” ที่กำลังปรับเปลี่ยงรูปแบบต่อสู้ที่วิเคราะห์ได้ทั้ง อาจถอยเพื่อรอ “เจรจา” หรือเดินไปสู่ “เกมหนัก”

ขณะเดียวกันประเมินจากหัวขบวนฝ่ายความมั่นคง ทั้งกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะนั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. พร้อมแผงอำนาจบูรพาพยัคฆ์-ตท.12 และการเข้าสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี
พล.อ.ประยุทธ์ “ทหารเสือ” พล.ต.อ.วิเชียร “ตำรวจวัง” ที่ถือเป็น “ตัวจริงเสียงจริง” กับภารกิจสำคัญ ปกปักษ์รักษาประเทศชาติและราชบัลลังก์!

อีกทั้งการตีความล่วงหน้าถึงสัญญาณ “เปลี่ยนตัวเล่น” ด้วยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่รอการชี้ขาดจากศาลรัฐธรรมนูญ2-3เดือนหน้านี้

รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับสปีดการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุดต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไข รธน.ที่ชะลอความเร็วลง เหมือนรอความชัดเจนบางอย่าง

ทุกฝ่ายต่างจดจ้องรอดู “จุดเปลี่ยนประเทศไทย”
ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวในความสงบเงียบ ทั้งเหตุระเบิด การก่อหวอดของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็น “ปัจจัยเร้า” ที่ทำให้ป้อมค่ายฝ่ายขั้วอำนาจต่างๆ ขยับตามไปด้วย

โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวในการแต่งตัวรอ “จุดเปลี่ยน” พ้นยุค ปชป. และ “อภิสิทธิ์”
มีความพยายามปั่นเกมเร้าสถานการณ์ให้ไปสู่ภาวะCHAOS ยุ่งเหยิง สับสนอลหม่าน ที่รัฐบาลปกติไม่สามารถจะรับมือได้ จำเป็นต้องมีสูตรพิเศษประเทศไทย

รัฐบาลเฉพาะกิจ นายกฯรัฐบาลแห่งชาติ!

ขบวนการที่จะเดินไปสู่ “สูตรพิเศษ” เริ่มก่อตัวให้เห็น โดยมีหลายกลุ่ม หลายขั้วอำนาจที่แสดงความต้องการขันอาสาหากสัญญาณการเปลี่ยนแปลงถูกโยนลงมา
เตรียมช่วงชิงส่วนแบ่งอำนาจ บนหัวโขน “ผู้นำเฉพาะกิจ”
โดยรายชื่อบุคคลที่ถูกจับตาว่า จะเข้ามาเป็นนายกฯในสถานการณ์พิเศษอยู่หลายราย ทั้ง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีคนสำคัญของรัฐบาลทักษิณ
เป็นบิ๊กเนมที่แม้ติดชนักการเมือง แต่ถูกพูดถึงทุกครั้งเมื่อประเด็นรัฐบาลสูตรพิเศษถูกจุดขึ้น และวันนี้ทั้งคู่ก็พยายามปรากฏชื่อโชว์ตัวทางสาธารณะ
เดินสายเชื่อมต่อคอนเนกชั่นกับฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะ “บุคคลชั้นนำประเทศ” รวมทั้งเกาะเกี่ยวอยู่กับภาคการเมืองในป้อมค่ายต่างๆ

แม้แต่ขั้วทักษิณ ปีกของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ชูสูตร “รบ.คนกลาง” ฝ่าวิกฤตมาตลอด
เช่นเดียวกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รมว.คลัง ที่มาแนวเดียวกับ2ส. “สมคิด-สุรเกียรติ์” รวมทั้งถูกจัดอยู่ในลิสต์ “ตัวกลาง” ที่มาทำหน้าที่ “เคลียร์” ให้ทักษิณ
และยังได้เปรียบในเรื่องสถานะ “ฐานันดรศักดิ์”
ขณะที่รายของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา มีกลุ่มคนเสื้อเหลืองบางปีก และผู้ที่ตั้งตนเป็นโปรโมเตอร์สูตรพิเศษ “คาบไปป์” พ่นควันคิดเกมสนับสนุน
รวมทั้งในแวดวงชนชั้นนำกำลังซาวเสียง “บุคคลสถานะพิเศษ” ที่มีตำแหน่งสูงส่ง ทำงานใกล้ชิด ไม่มีข้อกังขาเรื่องความจงรักภักดี ที่รอถูกเรียกเข้ามารับภารกิจ
โดยเฉพาะในทำเนียบผู้อาวุโสของบ้านเมือง องคมนตรี อดีตบิ๊กทหาร อดีตข้าราชการ ที่ได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบงานสำคัญๆ ของบ้านเมืองเวลานี้
แต่ที่ถูกพูดถึงหนาหูขึ้น คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ในฐานะพี่ใหญ่ของก๊วน “3ป.บูรพาพยัคฆ์”

เมื่อสถานการณ์ของประเทศยามนี้ ทหารยังมีความสำคัญในการชี้ทิศทางความเป็นไปบ้านเมือง พล.อ.ประวิตร ที่เรียกกันในกองทัพว่าเป็น “ป๋าคนใหม่” จึงได้รับการจับตา
ขณะที่อีกทาง พล.อ.ประวิตร ก็พาบิ๊กๆ ในกองทัพ ไปผูกติดอย่างแนบแน่นอยู่กับฝ่ายการเมืองสายสีน้ำเงิน พรรคภูมิใจไทย ของเนวิน ชิดชอบ
สีน้ำเงินบวกเขียว แพ็กกันในนาม “ขั้วอำนาจใหม่”
พล.อ.ประวิตร หรือ“บิ๊กป้อม” จึงจัดได้ว่าถือว่าเป็นฝ่ายดุลอำนาจสำคัญอยู่ในมือ และมี
ข่าวความเคลื่อนไหวในการเดินเกมอำนาจ ทั้งพยายามผลักดันบุคคลอื่น
รวมทั้งปรากฏชื่อ พล.อ.ประวิตรเอง เป็นแคนดิเดต “นายกฯ รัฐบาลแห่งชาติ”
ดังคำทำนายของโหร คมช. ผู้นำฝ่ายวิกฤตจะมีอักษรในชื่อย่อและชื่อจริง อักษร ป.ปลา
อีกทั้งโหราจารย์ในวัดดังกรุงเทพฯ เคยทายทักไว้ว่า พล.อ.ประวิตร กำลังได้ลุ้น
รับ “ครุฑตัวที่สอง” ของชีวิต!

อย่างไรก็ดี กับสูตรพิเศษ ตั้งรัฐบาลและนายกฯรัฐบาลแห่งชาติ กับกลุ่มบุคคลชั้นสูง บุคคลในกองทัพ และจากฝ่ายการเมือง ที่อาจจะมีเหตุผล เตรียมการแก้โจทย์ใหญ่
เตรียมการรับมือภยันตราย จากบุคคลที่มองว่าเป็นมหันตภัย “ทักษิณ”
แต่อีกทางหนึ่ง คนเหล่านี้มักมองว่าบ้านเมืองในยามสุ่มเสี่ยงวิกฤต เป็นภาระของบุคคลพิเศษอย่างพวกเขาที่มองตัวเองว่า มีความรู้ความสามารถ คิดอ่านสูงส่งเหนือกว่าคนทั่วไป

แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว คนเหล่านี้ต่างก็แฝงเร้นในการเสนอตัวเข้ามารับภาระในยามวิกฤต ทั้งต้องการได้รับความสำคัญ ที่ในยามสถานการณ์ไม่ปกติ
ที่สำคัญคือต้องการ “ส่วนแบ่งอำนาจ” หรือครอบครองอำนาจทั้งหมด!
และทั้งๆที่สูตร “รัฐบาลพิเศษ” ลักษณะนี้ ที่ผ่านการพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ หนำซ้ำยิ่งทำให้ภาวะวิกฤตยิ่งวิกฤติหนักเข้าไปใหญ่
แต่ก็ยังมีความคิดที่จะนำพาบ้านเมืองไปในทางสุ่มเสี่ยงหายนะเช่นนั้น!

]]>
13124
วินาศกรรม-เสียงพรรคร่วม-ยุบ ปชป. ปัญหา3ปมร้อน ชี้เป็นชี้ตาย “อภิสิทธิ์” https://positioningmag.com/13058 Tue, 17 Aug 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13058

ฝนฟ้าคะนอง คลื่นลมการเมืองแปรปรวน มรสุมสารพัดลูกทยอยถล่มใส่รัฐนาวาประชาธิปัตย์ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯที่เป็นกัปตัน ผู้นำการขับเคลื่อนรัฐนาวาลำนี้

ทั้งกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายเริ่มมีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ขณะที่มรสุมอีกลูกคือการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ2554 วาระ2-3 กับกรณีเสียงสนับสนุนและเสถียรภาพรัฐบาล ส่วนมรสุมลูกมหึมาคือ คดียุบพรรค ปชป.

3 ปมร้อนที่อาจเป็นจุดพลิกผันในเกมอำนาจ และจุดเปลี่ยนประเทศไทย!

โฟกัสไปที่มรสุมลูกแรก ความเคลื่อนไหวของทักษิณ ที่แม้ว่ามวลชนจะยังตั้งหลักไม่ได้ เกมม็อบ หลังพ่ายแพ้ราบคาบในการก่อเหตุเผาเมือง “พฤษภาฯมหาวินาศ”

แต่ “นักโทษชาย” ประกาศแล้วว่า “ถึงพ่ายศึก แต่ไม่ยอมปราชัยในสงคราม”

ระเบิดกลางเมืองหลายจุด ตั้งแต่หน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ ดิวตี้ฟรี คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ คือสัญญาณที่บ่งชี้ ประเทศไทยในโหมดอันตราย

แม้ “ระเบิดการเมือง” ยากจะสาวไปถึงผู้บงการ แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนก็มีผลสรุปเบื้องต้น เชื่อมโยงไปยังระเบิดหลายครั้งใน กทม.ช่วงม็อบเสื้อแดง

ตั้งข้อสงสัย เกี่ยวข้องกับเครือข่าย “ใต้ดิน” ในเกม “ทักษิณ”

เดินแผน “วินาศกรรมเมือง” ??

สอดคล้องกับท่าทีของเครือข่ายอดีตนายกฯ ที่เริ่มขยับขับเคลื่อนกิจกรรม พร้อมกับการประกาศว่าจะสู้ทุกทาง แม้แต่ “มุดใต้ดิน”จัดกองกำลังติดอาวุธ ตั้งหน่วยจรยุทธ์พร้อมๆ กับการส่งสัญญาณผ่าน จักรภพ เพ็ญแข เผยกับสื่อต่างประเทศยอมรับว่า “นายใหญ่” ของพวกเขารู้เห็นเหตุจลาจลเมื่อเดือน พ.ค. แต่กำลังประเมินเพื่อเลิกการสนับสนุน

นอกจากเป็นแผน “ออกตัว” อีกทางหนึ่งก็ฉายให้เห็นถึงเป้าหมายที่เปลี่ยนไปของนักโทษชายที่อัดฉีด “น้ำเลี้ยง” แล้วได้งาน “ไม่คุ้ม” อาจปรับแผนใหม่ เน้นยุทธศาสตร์“โลกล้อมประเทศ-เพื่อนบ้านล้อมไทย” เห็นได้ชัดกับท่าทีของประเทศกัมพูชา ที่ผู้นำมีสายสัมพันธ์อันดีกับอดีตผู้นำไทย กับความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ระอุเดือดอยู่วันนี้

“ฮุนเซน” สมประโยชน์อยู่กับ “ทักษิณ” สมรู้ร่วมคิด ป่วนเพื่อยึดไทย?

ฉะนั้น เรื่องความมั่นคง ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ เป็นประเด็นสำคัญที่ รัฐบาลอภิสิทธิ์จะเพิกเฉยไม่ได้ จะต้องตั้งรับและตอบโต้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมัวแต่ท่องคาถา ปรองดองสมานฉันท์ หรือเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องอื่นเรื่องใด ไปเท่าใดก็จะเปล่าประโยชน์ ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ก็หายนะกันหมดแน่!

เช่นเดียวกัน กับการบาลานซ์อำนาจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่ผู้นำประเทศจะต้องถ่วงดุลให้ดี โดยเฉพาะสถานการณ์เฉพาะหน้า กับเสียงสนับสนุนในการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณด้วยตัวเลขกลมๆ 260-270 กว่าๆ หักเสียง ส.ส.ที่เป็นรัฐมนตรีอีก24 เสียงที่โหวตไม่ได้ วันนี้รัฐบาลจึงมีเสียงมากกว่าฝ่านค้านเพียง20-30เสียง“ปริ่มน้ำ” อย่างน่าหวาดเสียว!

ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้ว เชื่อว่ารัฐบาลจะโหวตผ่านกฎหมายสำคัญ ที่จะนำไปสู่งบฯใช้จ่ายในการบริหารแผ่นดินไปได้ ด้วยสูตร “ตัวเลขล่อใจ”จำนวนงบฯที่ถูกคณะอนุกรรมาธิการชุดต่างๆ ปรับลด โดยเฉพาะงบฯของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ถูกหั่นมากองรวมไว้ “หมื่นกว่าล้านบาท” เปิดช่องให้หน่วยงานต่างๆ เสนอโครงการเข้ามาขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลอีกครั้ง “เค้กก้อนโต” ที่พร้อมจัดสรรปันส่วน ที่เรียกว่า “งบฯส.ส.” ถือเป็น “ไม้ตาย” ที่ใช้ได้เสมอมา เพราะใครๆ ก็ไม่อยากอด!

เพียงแต่ว่า ที่ต้องจับตาต่อไป กับความเคลื่อนไหวของบรรดาคีย์แมนป้อมค่ายการเมืองต่างๆ ในพรรคร่วมรัฐบาล นอกจากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่กลุ่ม3P แม้ส่งสัญญาณบวกกับการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบฯ แต่สัญญาณยังเป็น “ลบ” กับรัฐบาล พร้อมพลิกไปอยู่กับขั้วเพื่อไทยเสมอ

ยังไม่รวมท่าทีของพรรคอื่นๆ ที่นอกจากภูมิใจไทย ในสายเนวิน ชิดชอบ ที่ประกาศเป็นศัตรูกับค่ายเพื่อไทยชัดเจนแล้ว นอกนั้นล้วนพร้อม “เลือกข้างใหม่”

ทั้งชาติไทยพัฒนา กลุ่มมัชฌิมาฯ ที่อย่างไรก็ไม่กลืนเป็นเนื้อเดียวกับภูมิใจไทย “สายเนวิน” และมีกระแสข่าวแพ็กกับกลุ่ม3Pเพื่อแผ่นดิน สุวิทย์ คุณกิตติ แห่งกิจสังคม สุวัจน์ ลิปตพัลลภ จากพรรครวมชาติพัฒนาต่อสาย “นายใหญ่” ในต่างแดนเป็นระยะๆ

เช่นเดียวกับพรรคมาตภูมิ ทั้ง “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และสายปากน้ำ “มั่น พัธโนทัย” หรือเพื่อแผ่นดินสาย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ถึงเลือกอิ่มดีกว่าอด เข้าร่วมรัฐบาลแต่ถ้าบวกลบคูณหาร ปลื้ม “แม้ว” มากกว่า “มาร์ค”!!

เรื่องจำนวนเสียง และสูตรตั้งรัฐบาล จึงจะกลายเป็นปมร้อนประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป และเกี่ยวเนื่องกับมรสุมลูกใหญ่ของประชาธิปัตย์ ในคดียุบพรรค เรื่องร้อนที่แม้แต่นายชวน หลีกภัย ต้องลงจากหิ้ง สั่งระดมสู้คดีเต็มพิกัด

กรณีคดีเงินบริจาค 258ล้านจากทีพีไอ อาจจะหายใจหายคอคล่องขึ้น ภายหลังมี “ตัวช่วยพิเศษ” ดีเอสไอ สั่งไม่ฟ้องคดีไซฟ่อนเงินทีพีไอ รวมทั้ง ป.ป.ช.สั่งให้การยึดกิจการทีพีไอสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยมิชอบ อีกทั้งมีกระแสข่าวเรื่องการกลับคำให้การของพยานปากเอกหลายราย สถานการณ์ไหล “เข้าทาง” ประชาธิปัตย์

แต่ที่หนัก คือคดีการใช้เงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง กกต. 29ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ ข้อต่อสู้ยังไม่สามารถแก้ต่างได้ชัดเจน แต่วงใน ปชป.กำลังควานหาหลักฐานเด็ด “เอกสารรับรองการใช้เงิน” จากบางฝ่าย!?หรือหากไม่พ้นจริง ทางรอดสุดท้ายก็คือพยายามต่อสู้ให้คดีเป็นความผิดเฉพาะบุคคลเลี่ยง “เชือดยกพวง”

3-4เดือนนับจากนี้ไป คือช่วงเวลาที่คนพรรคประชาธิปัตย์จะต้องดิ้นหนีตายสุดชีวิต เป็นระยะเวลาที่สั้นลงจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดพยานให้การไปกว่าครึ่งและเป็นเวลาที่คนการเมือง “จับตา” และประเมินหาสูตรอำนาจประเทศไทยกันใหม่

โดยเฉพาะสูตรพิเศษ “รัฐบาลแห่งชาติ” หลายบิ๊กเนม “คนนอก” ถูกโยนกลางฟลอร์เพื่อซาวเสียง “นายกฯเฉพาะกิจ”

นอกจากแผนรับมือของประชาธิปัตย์ เปิดหัวพรรคสำรอง ยังวางตัวอดีตนายกฯ ชวน ที่ไม่ต้องติดบ่วงคดียุบพรรค รอคิวทำแฮททริกเก้าอี้นายกฯ เป็น “ผู้นำขัดตาทัพ”รวมทั้งขั้วอำนาจ และพรรคการเมืองต่างๆ เช็กเสียงหนุนชื่อย่อที่ถูกพูดถึงกันหนาหู แม้กระทั่ง “หมอดู” ของกองทัพ ยังชี้คำทำนาย ผู้ที่อยู่ในข่ายมาเชิดเป็นผู้นำเฉพาะกิจ อักษรย่อ “ป.ปลา”แต่ทั้งหมดทั้งปวง ทั้งหมดจะชี้ขาดที่คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสำคัญ  เช่นเดียวกันกับมรสุมจาก “ม็อบเสื้อแดง-ทักษิณ” ที่ยังแค่จุดเชื้อ แต่รอจังหวะเติมฟืนให้ไฟให้โหมกระพือเผาผลาญบ้านเมืองอีกครั้ง   
        
ฤดูฝนนี้ ประเทศไทยอากาศแปรปรวนยิ่งนัก!!

]]>
13058