True – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 15 Mar 2024 01:27:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กลัวแข่งราคา! ‘ทรูออนไลน์’ เดิมเกมอัดสิทธิประโยชน์ ‘เน็ตบ้าน’ ชูความ ‘คุ้ม’ มัดใจผู้บริโภค https://positioningmag.com/1466188 Thu, 14 Mar 2024 12:04:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466188 อย่างที่รู้กันว่า เอไอเอส นั้นได้ควบรวมกับ 3BB ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ส่งผลให้มีจำนวนผู้ใช้ เน็ตบ้าน หรือ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ รวมกันกว่า 4.72 ล้านราย แซงคู่แข่งอย่าง ทรูออนไลน์ บริการเน็ตบ้านจาก บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ผู้ใช้งานประมาณ 3.78 ล้านราย

ตลาดเน็ตบ้านยังไปต่อได้

แน่นอนว่าการจะกลับเป็นเป็นเบอร์ 1 อีกครั้งในตลาดเน็ตบ้านของ ทรูออนไลน์ ในเร็ววันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ใช่ว่าจะเติบโตไม่ได้ โดย สกลพร หาญชาญเลิศ หัวหน้าสายงานออนไลน์คอนเวอร์เจนซ์ บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่น ตั้งเป้าว่า ในปีนี้ทรูออนไลน์มีโอกาสโกยลูกค้าใหม่ได้อีก 2 แสนราย รวมเป็น 4 ล้านราย รวมถึงเพิ่มการเติบโตของ ARPU (รายได้เฉลี่ยต่อของผู้ใช้งานต่อคนต่อเดือน) ที่ปัจจุบันอยู่ 494 บาท

“ภาพรวมอุตสาหกรรมตอนนี้มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์รวม 10 ล้านราย ซึ่งเรามองว่ายังมีโอกาสเติบโต จากการขยายตัวของชุมชน โดยเห็นได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด”

ต้องเน้นอัดสิทธิประโยชน์ เพราะลงราคาไม่ไหว

ฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด ยอมรับว่า กลัวการแข่งราคา เนื่องจากตลาดอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มี ต้นทุนสูง โดยเฉพาะต้นทุนการติดตั้งที่ถือเป็นต้นทุนก้อนใหญ่ที่สุด เนื่องจากอสังหาฯ ของไทยส่วนใหญ่เป็นแนวราบไม่ใช่แนวดิ่งเหมือนต่างประเทศ ดังนั้น จะเห็นว่าสัญญาของผู้ให้บริการในตลาดส่วนใหญ่จะเพิ่มเป็น 2 ปี

ในขณะที่ลูกค้าเองก็พยายามหา ดีลที่คุ้มที่สุด ทำให้การทำตลาดของทรูออนไลน์ต้องหาสิทธิประโยชน์อื่น ๆ มาบวกเพิ่มเข้าไปในแพ็คเกจเพราะไม่สามารถ ขึ้นราคา ได้ง่าย ๆ แต่ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า อีกทั้งยังช่วยมัดใจลูกค้ากลุ่มพรีเมียม หรือช่วยให้ลูกค้าอัพเกรดโปรได้อีกด้วย โดยสิทธิประโยชน์ที่ใช้ได้ผลหลัก ๆ จะเป็น คอนเทนต์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และ กล้องวงจรปิด

ล่าสุด ทรูออนไลน์ได้เพิ่มแพ็กเกจใหม่ ได้แก่ PRO AI 799 บาท, เปลี่ยนเราเตอร์ที่รองรับความเร็วสูงสุด 2Gbps, มอบอินเทอร์เน็ต, ให้อินเทอร์เน็ตมือถือเพิ่ม 10GB นาน 3 วัน กรณีอินเทอร์เน็ตบ้านเกิดเหตุขัดข้อง และมอบประกันที่พักอาศัย เป็นต้น ปัจจุบัน แพ็กเกจเริ่มต้นของทรูออนไลน์อยู่ที่ 499 บาท ความเร็ว 500/500 Mbps

“ตอนเอไอเอสควบรวมกับ 3BB เราก็กังวลเรื่องการแข่งขันราคา เพราะถ้าลงแล้วผู้บริโภคจะเข้าใจยากกับการขึ้นราคา แต่ตอนนี้ไม่ได้แข่งเรื่องราคาแล้ว แข่งกันเรื่องคุณภาพ เทคโนโลยี และบริการบัลเดิลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า”

ยังใช้ หนุ่ม กรรชัย เป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่อง

พรีเซ็นเตอร์ ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลมาก เพราะแฟนคลับพร้อมจะสนับสนุน ยิ่งพรีเซ็นเตอร์ใช้งานสินค้าจริง จะยิ่งทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การที่ทรูออนไลน์ยังใช้ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นพรีเซ็นเตอร์ตั้งแต่เดือนมิถุนาคม 2022 ลากยาวจนถึงปี 2024 ก็ยิ่งยืนยันว่าใช้ได้ผล

“ตอนนี้พี่หนุ่ม กรรชัย กลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญของประเทศไทยไปแล้ว ดังนั้น การได้เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์แสดงความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เพราะถ้าของไม่ดีจริงก็เหมือนเขาแนะนำของไม่ดี” ฐานพล กล่าว

ฐานพล ทิ้งท้ายว่า เมื่อเอไอเอสกับ 3BB ควบรวมกันทำให้มีฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น ความท้าทายของ ทรูออนไลน์ คือ ทำให้ลูกค้าเก่าแฮปปี้มากที่สุดเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ และสิ่งที่กลัวที่สุดคือ การแข่งขันเรื่องราคา

]]>
1466188
เปิดแผน ‘ทรู’ ปี 2024 พร้อมตอบคำถามการทำ ‘Virtual Bank’ และความพร้อมประมูลคลื่นใหม่ในอนาคต https://positioningmag.com/1465594 Sat, 09 Mar 2024 05:05:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465594 ครบ 1 ปีเรียบร้อยสำหรับ ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เกิดจากการควบรวมระหว่าง ทรูและดีแทค โดยสามารถดึงลูกค้ามาเพิ่มได้ถึง 5 แสนราย รวมเป็น 51.9 ล้านราย และมีรายได้รวม 202,765 ล้านบาท แม้จะขาดทุน 15,689 ล้านบาท แต่ EBITDA ก็เติบโตได้ติดต่อกัน 4 ไตรมาส และปีนี้ทรูตั้งเป้าเติบโตที่ 3-4% โดยมีกลยุทธ์หลักคือ ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า

มั่นใจปีนี้สัญญาณและบริการจะยิ่งดีขึ้น

ปีที่ผ่านมา ทรูได้พัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) แล้วมากกว่า 2,400 เสาทั่วประเทศ สำหรับปีนี้ ทรูจะทำเพิ่มอีกประมาณ 8,000 เสาทั่วประเทศเพื่อให้ครบ 10,000 เสา โดยวางงบลงทุนไว้ 3 หมื่นล้านบาท อีกทั้งเชื่อว่าหากการควบรวมระบบสัญญาณเสร็จสมบูรณ์จะยิ่งทำให้คุณภาพสัญญาณดีขึ้น จากเดิมเป็นการเปิดโรมมิ่งเพราะการควบรวมยังไม่เสร็จสมบูรณ์

“พอการควบรวมแล้วลูกค้าทรู-ดีแทคจะสามารถใช้สัญญาณได้ครบจากทุกเสา เมื่อทุกเสาจะใช้คลื่นได้หมด คุณภาพก็จะดีหมดทั้ง ไม่ว่าจะเป็นความครอบคลุมและความเร็ว” มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว

ในส่วนของการขยายโครงข่าย 4G, 5G ก็ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของ 5G ทรูตั้งเป้าจะขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมการใช้งาน 99% ภายในปี 2573 ปัจจุบัน ทรูมีลูกค้า 5G รวมทั้งหมด 10.5 ล้านราย ส่วนลูกค้าบรอดแบนด์ทรูออนไลน์  3.8 ล้านราย

“ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการใช้งาน 5G ประมาณ 20% ขณะที่ประเทศเกาหลีใต้มีสัดส่วนการใช้งานสูงถึง 45% ส่วนญี่ปุ่น 26% ดังนั้น ไทยยังมีโอกาสเติบโต”

นอกจากนี้ ทรูมีแผนที่จะรวมทั้งหมดที่มี 9 แอป ให้เหลือ แอปเดียว เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าทั่วไปและพาร์ตเนอร์องค์กร โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3

นำเอไอมาใช้ทั้งกับลูกค้าและลูกจ้าง

นอกจากนี้ ทรูจะนำเทคโนโลยี AI มาใช้ทั้งเรื่องการขยายเครือข่ายและเพิ่มสัญญาณแบบเจาะลึกเฉพาะพื้นที่ทั่วประเทศ และการให้บริการลูกค้าแบบ Personalize เพื่อออกแบบบริการและนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงตรงไลฟ์สไตล์ลูกค้าแต่ละบุคคลได้มากขึ้น รวมถึงปรับปรุง มะลิ สู่ Gen2 ที่จะทำให้ฉลาดขึ้น มีความใกล้เคียงมนุษย์ ช่วยแก้ปัญหาทั้งของลูกค้าและพนักงานคอลเซ็นเตอร์ได้แบบเรียลไทม์

ในส่วนของพนักงานภายในองค์กร ทรูมีการรีสกิลและอัปสกิลพนักงาน โดยที่ผ่านมามีการพัฒนาพนักงานไปแล้วกว่า 2,400 คน และปีนี้จะเพิ่มเป็น 5,000 คน

“การใช้เอไอเพื่อเพิ่มคุณภาพการทำงานถือเป็นประเด็นสำคัญของโลกในตอนนี้ ดังนั้น เราต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์กร โดยความรู้และทักษะเก่าไม่พอ ต้องอัปสกิล รีสกิลเพื่อใช้งานหรือสร้างเอไอ”

ยืนยันไม่เคยลดคุณภาพ แต่ผู้บริโภคใช้เยอะไม่รู้ตัว

มนัสส์ ยังยืนยันว่า ทรูไม่มีการลดคุณภาพสัญญาณ แต่มองว่าพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการคอนซูมคอนเทนต์วิดีโอซึ่งใช้แบนด์วิดท์สูง ทำให้ผู้บริโภคใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว ซึ่งทรูพบว่าการใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้น 20% และระยะเวลาในการใช้งานดิจิทัลเซอร์วิสเพิ่มขึ้นจากวันละ 4.40 ชั่วโมง เป็น 5.38 ชั่วโมงต่อวัน

“คอมเพลนมีตลอด เราพยายามจะตอบสนองให้ดีที่สุด เพราะไม่มีเน็ตเวิร์กไหนไม่ถูกคอมเพลน ซึ่งการคอมเพลนของเราลดลง ความพอใจลูกค้าดีขึ้น และปีนี้จะทำให้ดีขึ้นอีก ลูกค้าจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน” มนัสส์ ย้ำ

ขอกสทช. มีความชัดเจนเรื่องจัดสรรคลื่น และจะทำ Virtual Bank ต้องมีพาร์ตเนอร์

จากกรณีที่คลื่นความถี่ 850 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ซึ่งจะหมดอายุในเดือน ก.ย.2568 ทางกสทช. ก็เตรียมนำคลื่นความถี่ดังกล่าวรวมถึงคลื่น 3500 MHz มาเปิดประมูล ซึ่งทาง มนัสส์ ยังไม่สามารถบอกได้ว่าทางทรูจะเคลื่อนไหวอย่างไร เนื่องจากอยากเห็น ความชัดเจนของกสทช. ว่าจะกำหนดกติกา, กำหนดเวลา รวมถึงราคาว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้วางแผนในการลงทุนได้

“ทรูสนใจไหมขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อม เช่น คลื่นไหนที่จะจัดสรร ไทม์ไลน์ และราคา เพราะต้องยอมรับก่อนว่าไทยเป็นประเทศที่มีคลื่นความถี่ที่แพงที่สุดในโลก แพงกว่าสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป และถ้าจะให้เราทำงานได้ดี วางเเผนได้ดี กสทช. ก็ต้องมีความชัดเจน”

ในส่วนของการทำ Virtual Bank ทาง มนัสส์ ยังบอกไม่ได้ว่าทรูจะทำหรือไม่ทำ แม้ว่าปัจจุบันทรูจะมีแพลตฟอร์ม TrueMoney ก็ตาม โดย มนัสส์ ระบุว่า หากทรูจะทำ Virtual Bank จะเป็นลักษณะของพาร์ตเนอร์ชิปเท่านั้น ไม่ทำเองคนเดียวเด็ดขาด

]]>
1465594
คุ้มแค่ไหนถามใจทรู! เปิดลิสต์เครือทรูที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ขึ้นแท่นเป็น ‘พรีเซ็นเตอร์’ https://positioningmag.com/1431989 Fri, 26 May 2023 11:31:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431989 ด้วยชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และความสามารถ จึงไม่น่าแปลกใจนักหากแบรนด์ (ที่มีเงินถึง) จะอยากคว้าตัวสาว ลิซ่า BLACKPINK หรือ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ไอดอล K-pop ที่ได้รับความนิยมและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลกมาขึ้นเป็น พรีเซ็นเตอร์ ให้กับแบรนด์ของตัวเอง และหนึ่งในนั้นก็คือ ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ดูเหมือนจะคุ้มสุด เพราะใช้ลิซ่าไปเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในหลายภาคส่วนเลยทีเดียว

3 ปีจากถิ่น AIS สู่ 3 พรีเซ็นเตอร์เครือทรูในปีเดียว

ย้อนไปเมื่อปี 2019 หากใครจำกันได้ ลิซ่า ได้กลายเป็นพรีเซ็นเตอร์ปี เอไอเอส (AIS) เบอร์ 1 ของตลาดโทรคมนาคมไทยในขณะนั้น โดยเอไอเอสถือเป็น แบรนด์แรกในไทย ที่คว้าตัวลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้สำเร็จ จากนั้น ลิซ่าก็เป็นครอบครัวของเอไอเอสมายาวนานถึงปี 2022 แต่ในปี 2023 ลิซ่าก็ไม่ได้ต่อสัญญากับทางค่ายต่อ

ซึ่งในตอนนั้น เอไอเอสได้เปิดเผยว่า บริษัทพยายามจะต่อสัญญากับลิซ่าแล้ว แต่ไม่สำเร็จเนื่องจาก ค่าย YG ปฏิเสธการต่อสัญญาและไปดีลกับบริษัทที่มี Conflict of interest ซึ่งหลายคนก็เดากันว่าต้องเป็น ทรู แน่นอน

อ่าน >>> ทำไม ‘เอไอเอส’ ต้องทุ่มจับ ‘New Gen’ และกลยุทธ์การใช้ ‘พรีเซ็นเตอร์’ จะเป็นอย่างไรเมื่อไร้ ‘ลิซ่า’

TrueID แพลตฟอร์มแรกที่ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์

มาต้นปี 2023 ก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดไว้ TrueID (ทรู ไอดี) แพลตฟอร์มคอนเทนต์ในเครือทรูฯ ก็ได้ประกาศว่า ลิซ่า เป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด พร้อมกับเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ พร้อมให้เหตุผลว่า “ลิซ่า BLACKPINK จะมาช่วยตอกย้ำภาพความเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกของ TrueID ที่ปัจจุบันให้บริการครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังได้เอ็กซ์คูลซีฟคอนเทนต์ของ BLACKPINK และคอนเทนต์อื่น ๆ จากศิลปินในสังกัด YG Entertainment  อีกด้วย

TrueX แอปพลิเคชันใหม่หลังควบรวม

หลังจากที่ ทรู และ ดีแทค ควบรวมกันเป็น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในช่วงเดือนมีนาคม และ 1 เดือนผ่านไป บริษัทก็ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ TrueX ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มที่รวมบริการต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของลูกค้าทรู และผู้บริโภคทั่วไปมารวมไว้ในแอปฯ เดียว อาทิ โซลูชันการดูแลบ้าน, สุขภาพ, ช้อปปิ้ง รวมถึงบันเทิง

และเพื่อสื่อสารความเป็น LifeOS แพลตฟอร์ม TrueX ก็เลือกใช้ ลิซ่า เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยมีการยิงโฆษณาทางช่องทางต่าง ๆ ทั้งทำโปรโมชันแพ็กเกจ เพื่อดันให้แพลตฟอร์มมียอดดาวน์โหลด 1 ล้านดาวน์โหลดในสิ้นปี

True Money ที่มีพรีเซ็นเตอร์ระดับโลกครั้งแรก

แม้จะทำตลาดไทยมานาน 8 ปี ให้บริการครอบคลุม 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีผู้ใช้มากกว่า 50 ล้านราย แต่แพลตฟอร์ม ทรูมันนี่ (True Money) ก็ยังไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์อย่างจริงจัง มีเพียงแค่บางแคมเปญเท่านั้น แต่มาปีนี้ ทรูมันนี่เลือกจะทุ่มเงินดึงลิซ่า มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงต้องการสื่อว่าแบรนด์ทรูมันนี่เป็นแบรนด์ใหญ่ระดับ Top เหมือนกับลิซ่า

เรียกได้ว่าผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งปี แต่เครือทรูก็ใช้ลิซ่ายืนเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วถึง 3 แพลตฟอร์ม ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าสนใจมากว่า เครือทรูฯ เลือกจะใช้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์เฉพาะ แพลตฟอร์มดิจิทัล แต่ไม่ได้ใช้มาสื่อสารถึงบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ส่วนนั้นเลือกใช้ นาย ณภัทร และ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าเครือทรูฯ จะใช้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัลไหนอีกบ้าง หรือจะข้ามฟากไปฝั่ง เครือซีพี ที่เคยมีข่าวลือ

]]>
1431989
EGG Digital เปิดตัว 6 บริการทรานส์ฟอร์มธุรกิจลูกค้า เตรียมขยายธุรกิจเพิ่มเติมในอาเซียนหลังจากนี้ https://positioningmag.com/1431642 Thu, 25 May 2023 02:50:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431642 เอ้ก ดิจิทัล (EGG Digital) ประกาศรุกธุรกิจให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจร ที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เปิดตัว 6 บริการหลัก รองรับลูกค้าธุรกิจค้าปลีกและ E-commerce ขณะเดียวกันก็เตรียมที่จะขยายธุรกิจเพิ่มเติมในอาเซียนนอกจากประเทศไทยและมาเลเซียหลังจากนี้

ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด ได้กล่าวถึงข้อมูลจาก IDC ถึงการนำเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางดิจิทัลเข้ามาใช้ในการวางรากฐาน เป้าหมาย การดำเนินธุรกิจ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า Digital Transformation ทั่วโลกภายในปี 2026 จะใช้เม็ดเงินมากถึง 3.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่เขาก็ได้ชี้ว่าในเม็ดเงินดังกล่าวนี้อาจมีความล้มเหลว เนื่องจากไม่มีคนที่ช่วยทำให้สิ่งดังกล่าวสำเร็จ

สำหรับอุตสาหกรรมทางค้าปลีกได้ใช้เงิน 388 ล้านเหรียญทำ Digital Transformation มีทั้งการลงทุนใน Big Data รวมถึงการใช้ AI เข้าไปในธุรกิจ เพื่อทำให้ธุรกิจฉลาดมากขึ้น มีประสิทธิภาพในองค์กรมากขึ้น เขายังกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวสำคัญมากสำหรับประเทศไทย เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่แค่เข้าใจลูกค้า แต่ทำอย่างไรที่ทำให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดีขึ้น

เขายังชี้ถึงว่าทำไมข้อมูล (Data) จึงมีความสำคัญมาก ปัจจัยสำคัญคือ ต้นทุนในการเก็บข้อมูลลดลงมาก สามารถเก็บข้อมูลปริมาณได้มากขึ้น เทคโนโลยีต่างๆ ยังทำให้เก็บข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด นอกจากนี้ยังรวมถึงการนำเครื่องมือถือสถิติและคณิตศาสตร์เข้ามา เขาได้เผยว่า EGG Digital มีโมเดลด้านสถิติเพื่อวิจัยลูกค้ามากถึง 20,000 โมเดล นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีอื่นๆ มาวิเคราะห์ลูกค้ามากกว่าเดิม เพื่อเข้าใจลูกค้าได้อย่างถ่องแท้

ขณะเดียวกันในแผนธุรกิจปี 2023 นี้ EGG Digital ได้เปิดตัวบริการ 6 บริการ ได้แก่

1. บริการให้คำปรึกษากับธุรกิจค้าปลีก (Retail Consulting) โดยการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และเสนอเป็นแผนธุรกิจ หรือแคมเปญต่างๆ ให้แก่ลูกค้า

2. บริการให้คำปรึกษาด้านการใช้ข้อมูลเชิงลึกผ่านโซลูชันแพลตฟอร์ม (Insight Solutions) ซึ่งบริษัทจะทำงานร่วมกับแบรนด์สินค้าต่างๆ ที่ต้องการสร้างการเติบโตในธุรกิจค้าปลีก โดยนำข้อมูลของลูกค้า มาวิเคราะห์และเสนอแผนงานที่ตอบโจทย์แบรนด์ต่างๆ

3. บริการสื่อโฆษณาครบวงจร (Media Commercialization) โดย EGG Digital จะเป็นผู้ให้บริการสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยใช้แพลตฟอร์มอัจฉริยะมาวางแผนการใช้สื่อให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับยอดขายของกลุ่มสินค้า แบรนด์ และผลิตภัณฑ์เพื่อให้แต่ละแบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและสร้างแคมเปญได้อย่างเหมาะสม

4. บริการมีเดีย เอเจนซี ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มโซลูชัน (Platform Solutions) – เพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจของคู่ค้าด้วยบริการด้านแพลตฟอร์มโซลูชัน รวมถึงวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสมและตรงกับกับกลุ่มเป้าหมายลูกค้า รวมถึงพัฒนาเว็บไซต์และบริหารจัดการโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง

5. บริการด้าน SMS & Marketing Automation โดยบริษัทจะนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสมแก่แบรนด์เพื่อบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ LINE, Facebook, TikTok และโซเชียลมีเดียอื่นๆ รวมถึง SMS, Google SEO SEM

6. บริการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ (Data Analytics) นำข้อมูลมาบริหารจัดการและพัฒนาเป็นแผนงานที่ชัดเจน เพื่อสร้างประโยชน์แก่ธุรกิจและผู้บริโภคปลายทาง เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็น การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม และการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้น 

ปัจจุบัน EGG Digital โฟกัสไปยังกลุ่มลูกค้า FMCG โดยมีลูกค้าที่เป็นแบรนด์ดังอย่าง Unilever Nestle Oishi เป็นต้น รวมถึงสถาบันการเงินบางรายที่ใช้ได้บริการของบริษัท

ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เตรียมขยายธุรกิจมาทำ Shopper Digital Screen โดยเอาจอใหญ่คุณภาพสูงมาเป็นป้ายโฆษณา เช่น บริเวณป้ายของ Lotus’s โดยเริ่มต้นที่ 24 จุดที่มีปริมาณผู้คนหนาแน่น ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ EGG Digital คาดหวังว่าจะทำรายได้ให้กับบริษัทในสัดส่วน 10-20% ของรายได้รวมหลังจากนี้

นอกจากนี้แผนของ EGG Digital ยังตั้งเป้าขยายธุรกิจไปยังอาเซียนให้ได้มากขึ้น นอกจากประเทศไทยและมาเลเซีย ธีรเดชยังมองว่าธุรกิจของบริษัทแตกต่างจากรายอื่น และไม่มีคู่แข่งประเภทนี้ที่ทำธุรกิจในไทย และจะสามารถขยายธุรกิจไปในละแวกอาเซียนหลังจากนี้ได้ ล่าสุดมีพาร์ตเนอร์จากอาเซียนเริ่มพูดคุยบ้างแล้ว

]]>
1431642
‘ทรู คอร์ปอเรชั่น’ ยังไม่ฟันอนาคตยุบเหลือ ‘แบรนด์เดียว’ ย้ำ 3 ปีนี้ ‘ทรู-ดีแทค’ ยังต้องแข่งหาลูกค้า https://positioningmag.com/1421654 Thu, 02 Mar 2023 11:34:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421654 เริ่มสตาร์ทวันที่ 1 มีนาคม สำหรับ ‘บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)’ ที่เกิดจากการควบรวมของ ‘ทรู’ และ ‘ดีแทค’ ซึ่งนับเป็นการควบรวมกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากมูลค่าของกิจการ (Market Capitalization) ที่รวมกันถึงประมาณ 2.94 แสนล้านบาท แล้วหลังจากควบรวมขุมพลังของ ทรู คอร์ปอเรชั่น จะมีอะไร ลูกค้าจะได้อะไรเพิ่มเติม ไปหาคำตอบกัน

โรมมิ่งคลื่น แต่ไม่รวมคลื่น

แม้ทรู-ดีแทค จะควบรวมกัน แต่การรวม คลื่นความถี่ เป็นสิ่งที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ย้ำว่า ห้ามรวมกันเด็ดขาด ดังนั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงเปิดบริการโรมมิ่งข้ามเครือข่ายในชื่อสัญญาณ ‘dtac-true’ และ ‘true-dtac’ โดยลูกค้าทั้ง 2 ค่ายที่รวมกันกว่า 55 ล้านราย (ทรู 33.8 ล.) (ดีแทค 21.2 ล.) จะใช้งานได้ ผ่านการเปิดโรมมิ่งข้อมูล โดยจะครอบคลุม 77 จังหวัดภายในกลางเดือนมีนาคมนี้ นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายโครงข่าย 5G ครอบคลุม 98% ของประชากร ในปี 2569 อีกด้วย

ทั้งนี้ หลังการควบรวม ทรู คอร์ปอเรชั่น มีคลื่นความถี่ทั้งหมด ได้แก่

  • ย่านความถี่ต่ำ ได้แก่ 700 MHz, 850 MHz และ 900 MHz ที่มีความสามารถในการทะลุทะลวง ครอบคลุมพื้นที่ในวงกว้าง
  • ย่านความถี่กลาง 1800 MHz 2100 MHz 2300 MHz 2600 MHz
  • ย่านความถี่สูง 26 GHz สำหรับใช้งานในภาคธุรกิจ

ใช้ชื่อทรูเพราะฉายภาพนวัตกรรมชัดกว่า

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ เมื่อควบรวมกัน ทำไมชื่อบริษัทกลับมีแต่ทรู โดย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า เนื่องจากแบรนด์ทรูมีโปรดักส์ด้านดิจิทัลที่ครอบคลุมกว่า เช่น เรื่องของคอนเทนต์ ดังนั้น บริษัทใหม่ที่ต้องการสื่อสารว่าเป็นบริษัท โทรคมนาคม-เทคโนโลยี จึงเลือกใช้ชื่อของทรู

“บริษัทใหม่จะได้ประโยชน์จากการผนึกกำลังร่วมกัน (Synergy) ทั้งด้านการลงทุนและรายได้ ซึ่งจะขับเคลื่อนร่วมกัน อาทิ โครงข่ายโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เครือข่ายไอที การจัดซื้อ การขาย การตลาด ช่องทางการค้าปลีก และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยจะนำสู่สมดุลความเสมอภาคและความเท่าเทียมในการแข่งขัน และจะนำมาสู่ประโยชน์สูงสุดของลูกค้า

ยังไม่ฟันอนาคตเหลือแบรนด์เดียว

ฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด กล่าวว่า ตามกฎของกสทช. ที่กำหนดไว้ว่า เมื่อรวมกิจการแล้วต้องคงแบรนด์ไว้ 3 ปี ทำให้แบรนด์ทรู-ดีแทคยังคงอยู่ในตลาด ลูกค้าทั้งสองไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ด สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง แพ็กเกจและอายุการใช้งานยังเหมือนเดิม รวมถึงช่องทางติดต่อหรือศูนย์บริการก็ยังใช้ของค่ายเดิมได้เลย

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่เคาะว่าในอีก 3 ปีจากนี้จะไปในทิศทางไหน จะรวมเป็นแบรนด์เดียว หรือ สร้างเป็นแบรนด์หลัก-แบรนด์รอง ซึ่งทั้ง 2 โมเดลก็มีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน แต่ปัจจุบันการทำตลาดของ 2 แบรนด์ยังต้องทำคู่ขนานกันไป ยังต้องแข่งขันในการหาลูกค้าตามปกติ ขณะที่พนักงานก็ยังทำงานแยกกัน ดีแทคยังทำงานที่จามจุรี ส่วนพนักงานทรูยังอยู่ที่ตึกทรู

“เรากำลังศึกษาอยู่ว่าจะรวมเป็นแบรนด์เดียวหรือสร้างเป็นแบรนด์หลัก-แบรนด์รองเหมือนโตโยต้ากับเลกซัส”

ทั้งนี้ แม้แบรนด์จะแยกกันทำ แต่สิ่งที่ลูกค้าทั้ง 2 ค่ายจะได้เพิ่มเติมคือ สิทธิประโยชน์ที่รวมกัน เช่น ดีแทคจะสามารถเข้าถึงบริการคอนเทนต์ของทรู หรือลูกค้าทรูจะสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากแบรนด์พันธมิตรของดีแทคได้ โดยหลังจากควบรวม ทางบริษัทได้เพิ่ม Better Together Gifts ได้แก่ ดูฟรี บอล หนัง และคอนเทนต์ระดับโลก นาน 30 วัน ผ่านแอปฯ ทรูไอดี, เน็ตฟรี 10GB นาน 7 วัน ทั้งเติมเงิน และรายเดือน และดื่มฟรี 1 ล้านแก้ว เลือกรับฟรี All Cafe, KOI The, DAKASI วันที่ 10 และ 24 มี.ค. ให้กับลูกค้าทั้ง 2 ค่าย

วาง 7 กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กร

  1. ผู้นำด้านโครงข่ายโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างแท้จริง (Be the Undisputed Network and Digital Infrastructure Leader ) – การผสานศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทใหม่ ทั้งโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัล อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานสากล ระบบคลาวด์ การต่อยอดนวัตกรรมบริการดิจิทัลต่างๆ เพื่อคนไทย ทั้ง IoT, AI Analytic, Machine Learning, Cyber Security ที่จะช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนวิถีดิจิทัล (Digital Transformation) ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
  2. เติบโตเป็นผู้นำนอกเหนือจากบริการหลัก (Champion Growth Beyond the Core) – มุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัล โซลูชัน รวมถึงระบบนิเวศดิจิทัลที่ครบวงจร พร้อมร่วมขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลในทุกภาคส่วน (Digital Inclusion) สร้างประสบการณ์ใหม่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพให้องค์กรธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนร่วมสนับสนุนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้เร็วยิ่งขึ้น
  3. สร้างมาตรฐานประสบการณ์ใหม่เพื่อลูกค้าในประเทศไทย (Set the Bar for Customer Experience in Thailand) – ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาช่วยในการวิเคราะห์ เติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าได้ตรงใจมากขึ้น ทั้งการนำเสนอสินค้าบริการ การมอบสิทธิพิเศษ ตลอดจนช่องทางการเข้าถึง O2O ผ่านการผนึกพลังทั้งออฟไลน์ในเครือทั่วประเทศและออนไลน์แบบ 24 ชม.
  4. เติมเต็มชีวิตอัจฉริยะยิ่งขึ้นเพื่อทุกสไตล์ลูกค้าชาวไทย (Enhance Smart Life for Customers) – ทรู คอร์ปอเรชั่น จะส่งมอบประสบการณ์ชีวิตอัจฉริยะเพื่อคนไทย ยกระดับวิถีชีวิต และไลฟ์สไตล์ทั้งความสะดวกสบาย การดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
  5. ยกระดับมาตรฐานสำหรับลูกค้าองค์กร (Raise Standards for Enterprise Customers) – บริษัทใหม่จะเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคธุรกิจทั้งลูกค้า SME ธุรกิจองค์กรและภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ อาทิ IoT, Robotics, AI Analytics และ Blockchain พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สู่การพัฒนานวัตกรรมโซลูชันครอบคลุมทุกมิติ
  6. สร้างสุดยอดองค์กรที่น่าทำงาน (Build the Best Place to Work) – บริษัทใหม่จะเป็นองค์กรแนวหน้าที่ขับเคลื่อนด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน ดึงดูดคนเก่งที่มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลก
  7. การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มคุณค่าขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว (ESG Best in class: Sustainable Organization to Create Long Term Value) – มุ่งเน้นการนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม มาร่วมสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับทุกชีวิต นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งมิติด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

เราตั้งเป้าจะก้าวไปเป็นหนึ่งในองค์กรนายจ้างที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเราได้เพิ่มสวัสดิการให้เท่าเทียมทุกเพศ รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+”

]]>
1421654
ทรู คลิกไลฟ์ มุ่งเสริมแกร่งโรงเรียนเอกชนด้วย CREATIVE LEARNING INNOVATION จัดทัพนวัตกรรมการเรียนล้ำนำเทรนด์ ครบวงจร พร้อมยกระดับเด็กไทยก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มศักยภาพ https://positioningmag.com/1414171 Tue, 03 Jan 2023 10:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414171

ทรู คลิกไลฟ์ TRUE CLICK LIFE ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษาแบบครบวงจร ก้าวสู่ปีที่ 15 ไปพร้อมกับความมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย เสริมแกร่งโรงเรียนเอกชนสู่การเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 21 โดยดึงจุดแข็งด้านความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการสื่อสารครบวงจรและนวัตกรรมล้ำสมัยของไทย ต่อยอดสู่การออกแบบหลักสูตรที่มีกระบวนการการจัดการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ และผลิตนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ให้กับโรงเรียนเอกชน

โดดเด่นที่หลักสูตรคุณภาพก้าวล้ำนำเทรนด์ และกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ พร้อมสื่อการสอนครบครัน หวังแบ่งเบาภาระของครูผู้สอน เพิ่มประสิทธิภาพของผู้เรียน โดยมีโรงเรียนทั่วประเทศที่ใช้หลักสูตรพิเศษนี้กว่า 250 แห่งแล้ว และพร้อมที่จะขยายศักยภาพสื่อการเรียนการสอนที่รองรับการศึกษาไทยในยุคใหม่ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เดินหน้าสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง มุ่งอบรมพัฒนาครู เพิ่มรายวิชาที่รองรับแนวโน้มการศึกษาในอนาคต อัปเดทหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

ดร. เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านความเป็นเลิศทางธุรกิจและการศึกษา บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดมุมมองก้าวทันโลกดิจิทัลสู่การเรียนรู้ที่ยั่งยืนว่า ทรูเข้ามามีส่วนผลักดันกระบวนการศึกษาของไทยหลากหลายมิติมาโดยตลอด ทรูจึงมองเห็นช่องว่างด้านการเชื่อมต่อกระบวนการเรียนรู้ เกิดไอเดียผลิตสื่อมัลติมีเดียและคลังความรู้ในรูปแบบดิจิทัลขึ้นเอง ด้วยการใช้ศักยภาพด้านการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ผลิตนวัตกรรมสื่อการสอนเต็มไปด้วยองค์ความรู้ที่เหมาะสมกับระดับการเรียนรู้ของเด็กแต่ละชั้นเรียนภายใต้การทำงานของ ทรู คลิกไลฟ์ (TRUE CLICK LIFE)

ผู้บริหารด้านการศึกษา ทรู เผยวิสัยทัศน์ของทรู คลิกไลฟ์ จะมุ่งยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนเอกชนสู่มาตรฐานสากล เน้นการพัฒนาระบบการเรียนการสอนยุคใหม่ภายใต้แนวคิด CREATIVE LEARNING INNOVATION ประกอบด้วย 5 นวัตกรรมครบวงจร ครอบคลุมทุกมิติการศึกษา

1. Innovative Curriculum นวัตกรรมหลักสูตรคุณภาพ ได้แก่ หลักสูตรเทคโนโลยีวิทยาการคำนวณ (Computing Science Genius Program) หลักสูตรภาษาอังกฤษ (English Genius Program) หลักสูตรภาษาจีน (Chinese Genius Program) หลักสูตรโรโบติกส์ (Robotics Genius Program) และหลักสูตรดนตรี (Music Genius Program)

2. Innovative Multimedia สื่อมัลติมีเดียล้ำสมัย ตอบโจทย์การศึกษายุคใหม่

3. Innovative Education Management ระบบการบริหารจัดการการศึกษา วิเคราะห์ประเมินข้อมูลโรงเรียน ครู นักเรียนได้ตรงจุด

4. Innovative Learning Community สร้างสังคมการเรียนรู้ เชื่อมโยง ครู นักเรียน ผู้ปกครอง เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา

5. Innovative Professional Development พัฒนาบุคลากรทางการศึกษาสู่มืออาชีพ เสริมทักษะก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องตลอดปี

ทั้งนี้ เหตุผลที่ทรู คลิกไลฟ์ ชนะใจ และเข้าสู่รั้วโรงเรียนเอกชนได้มากกว่า 250 แห่งในปัจจุบัน มาจากความเข้าใจความต้องการของโรงเรียนแต่ละแห่งอย่างลึกซึ้ง และสามารถตอบสนองได้อย่างตรงจุด พร้อมนำเสนอความคุ้มค่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กนักเรียนมากที่สุด และส่งมอบกระบวนการเรียนรู้แบบครบวงจรให้กับโรงเรียนแบบเบ็ดเสร็จ (End to End)

“เราขอเพียงห้องเปล่าเพื่อปรับเปลี่ยน ดีไซน์สิ่งแวดล้อม จัดวางสื่อ และบูรณาการเรียนการสอนให้ตรงตามเป้าหมาย รวมทั้งสื่อการเรียนการสอนที่เข้าใจเด็ก ให้ความสนุก กระตุ้นการคิดวิเคราะห์ และเหมาะสมกับเด็กในแต่ละช่วงวัย รวมทั้งใบงาน กิจกรรม และการประเมินผล ตลอดจนพัฒนาครูต้นแบบที่เข้าใจระบบการเรียนรู้ตามแบบฉบับของทรู คลิกไลฟ์ ส่งตรงถึงโรงเรียน เพื่อนำไปสื่อสารต่อกับครูของโรงเรียนอีกทอดหนึ่ง เพื่อทำให้รูปแบบการเรียนการสอนสมบูรณ์แบบและผลสัมฤทธิ์สูงสุด” ดร. เนตรชนก กล่าว

“เสน่ห์ของสื่อการเรียนการสอนของทรู คลิกไลฟ์ คือความใส่ใจในกระบวนการการเรียนรู้ของเด็ก สามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างเป็นธรรมชาติ และสอดคล้องกับชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ในแต่ละชั้นวัย เราสร้างแอนิเมชัน ที่มีคาแรกเตอร์อย่างพี่แทนและน้องแยมเป็นตัวแทนของเด็กชายและหญิง และยังมีพี่คลิก Click เป็นตัวแทนของผู้ช่วยเหลือการเรียนที่จะเติบโตตามเด็กๆ ไปเรื่อย ๆ เราสร้างสื่อการสอนที่ใส่ใจในรายละเอียด และสอดรับกับการเรียนรู้ มีการใช้สื่อแบบผสมผสาน อาทิ หนังสือ สื่อภาพ สื่อกิจกรรม สื่อดิจิทัล เพลง การ์ตูนแอนิเมชัน เกมฝึกทักษะ แฟลชการ์ด บวกกับทักษะการสอนของครูที่จะสังเกตพฤติกรรมและกระตุ้นเด็กให้สนุกกับเรียนรู้ตลอดคาบเรียน พร้อมกับเชื่อมโยงกับกิจกรรมในห้องเรียนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดจินตนาการและสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใช้ความคิดวิเคราะห์ เรียนรู้ และบรรลุผลตามโครงสร้างหลักสูตร”

ดร.เนตรชนก กล่าวต่อว่า ทรู คลิกไฟล์ ไม่เพียงมุ่งเฉพาะเจาะจงไปที่เด็กเท่านั้น แต่ยังใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยง ครู นักเรียน และผู้ปกครองเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ทุกที่ทุกเวลา ด้วยการใช้เครื่องมือที่กระตุ้นส่วนรวมเรียนรู้ร่วมกัน อีกทั้งยังพัฒนาระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพการสอนของครูผู้สอน ส่งต่อชุดความรู้สู่ผู้เรียนได้อย่างตรงจุด และแสดงผลการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัล มีการวิเคราะห์และประเมินข้อมูลของโรงเรียน ครู และนักเรียนในทุกมิติเพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการและความก้าวหน้าในการจัดการศึกษาอีกด้วย

ทั้งนี้ แนวทางในการพัฒนาต่อของทรู คลิกไลฟ์ จะยังคงสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องด้วยกระบวนการที่เชื่อมโยง โดยจะพัฒนาสื่อการเรียนให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทรู คลิกไลฟ์ มีเครื่องมือพร้อมจัดทำสื่อต่าง ๆ ให้สดใหม่ได้อยู่เสมอ นอกจากนั้นยังมีแผนในการสร้าง Learning Center เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาแบบยั่งยืนให้ทั้งนักเรียนและครู ได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคต ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 พร้อมประกาศตัวเป็นทางเลือกทางการศึกษา โดยคาดหวังจำนวนโรงเรียนที่สนใจหลักสูตรทรู คลิกไลฟ์ เพิ่มขึ้น 500 – 1,000 แห่งทั่วประเทศ

โรงเรียนเอกชนที่สนใจเข้าร่วมหลักสูตร ทรู คลิกไลฟ์ ติดต่อได้ที่โทร. 08-9116-0239 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.trueclicklife.com

 

]]>
1414171
ชำแหละดีลควบรวม ‘ทรู’-‘ดีแทค’ ผูกขาดหรือไม่ เสี่ยงแค่ไหน และ ‘ผู้บริโภค’ ได้หรือเสียมากกว่ากัน https://positioningmag.com/1374729 Mon, 21 Feb 2022 12:15:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374729 เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา บอร์ดทรู-ดีแทค ไฟเขียวควบรวมกิจการ เคาะตั้งบริษัทใหม่เข้าตลาดหุ้น พร้อมถอนหุ้น TRUE และ DTAC ออกจากตลาด โดยทาง สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดงานเสวนา เรื่อง ‘ดีล True – Dtac ต้องโปร่งใส กสทช. ต้องรับฟังผู้บริโภค’ เพื่อสะท้อนหากเกิดการควบรวมจริงถือเป็นการ ‘ผูกขาด’ หรือไม่ และ ผู้บริโภค’ ได้หรือเสียมากกว่ากัน

ตามหลักเศรษฐศาสตร์ผูกขาดชัดเจน

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ประโยชน์ของการควบรวมบริษัทมีอยู่ 2 ประการ คือ ทำให้บริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีนวัตกรรมมากขึ้น ประหยัดต้นทุนมากขึ้น ผู้บริโภคมีโอกาสได้ของดีราคาถูก อีกมุมคือ เพิ่มอำนาจการผูกขาด ทำให้ผู้บริโภคอาจเสียผลประโยชน์ ดังนั้น ในทางเศรษฐศาสตร์ต้องชั่งน้ำหนักของ 2 ข้อนี้

“ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา องค์กรที่กำกับดูแลจะพิจารณาจาก ผลกระทบต่อผู้บริโภคเท่านั้น ว่าการควบรวมก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียกับผู้บริโภคมากกว่ากัน ถ้าเกิดผลเสียอย่างร้ายแรงก็จะ ห้ามการควบรวม แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นร้ายแรงก็จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์เพิ่มเติม”

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

สำหรับการควบรวมของ ทรู-ดีแทค นั้นส่งผลดีหรือผลเสียให้ผู้บริโภคในทางเศรษฐศาสตร์นั้นพิจารณาจาก ผู้ประกอบการรายที่เหลือ (เอไอเอส) มีท่าทีอย่างไร ถ้ามีการ คัดค้าน หน่วยงานกำกับดูแลควรอนุญาตให้ควบรวม แต่ถ้า ไม่คัดค้านหรือสนับสนุน ควร ห้ามการควบรวม กรณีนี้ไม่มีใครคัดค้าน เพราะจะทำให้ตลาดกระจุกตัวเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์

หลักฐานที่ชัดเจนคือ ราคาหุ้นของทั้ง 3 บริษัทเพิ่มขึ้น แม้ว่าเอไอเอสไม่ได้เกี่ยวข้องกับการควบรวมก็ตาม นอกจากนี้ การควบรวมทรู-ดีแทค ยังถือว่าเป็นการผูกขาดในระดับ อันตรายมาก ดังนั้น จึงไม่ควรอนุญาตให้ควบรวม

“ทุกอย่างชี้ว่าการควบรวมครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ แต่เป็นผลเสียกับผู้บริโภค รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่ต้องดีลกับผู้ประกอบการที่จะเหลืออยู่ 2 รายในตลาด ไม่ว่าจะเป็นดีลเลอร์ที่เหลือแค่ 2 ทางเลือก ผู้พัฒนานวัตกรรมหรือสตาร์ทอัพก็มีทางเลือกน้อยลง จะเห็นว่าทุกฝ่ายแย่ลงหมดยกเว้นผู้ประกอบการ ดังนั้น ควรระงับไม่ให้เกิดการควบรวม”

ด้าน นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สอบ. กล่าวว่า การควบรวมกิจการ มีผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน เพราะเมื่อทางเลือกลดลงย่อมส่งผลต่อราคา อีกทั้งยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล สิทธิในด้านกิจการโทรคมนาคมก็จะลดลงตามไปด้วย ดังนั้น หวังว่าบอร์ดใหม่กสทช. จะพิจารณาให้ถี่ถ้วน

“จากงานวิจัยในอังกฤษพบว่า เมื่อผู้เล่นลดลงจาก 4 เหลือ 3 ราย ผู้บริโภคต้องรับภาระเพิ่มขึ้นถึง 20% ดังนั้นจาก 3 เหลือ 2 ย่อมส่งผลต่อผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สอบ.

กฎหมายใหม่กสทช. มีช่องว่าง

นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ตั้งแต่ที่ทั้งทรู-ดีแทคออกมาประกาศว่า “อยู่ระหว่างการหารือเรื่องควบรวม” แต่กลับมีการเรียนอัตราการแลกหุ้นอย่างชัดเจน แสดงว่าทั้ง 2 บริษัทได้คำนวณเรื่องการควบรวมไว้แล้วแสดงว่า มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน มีการเจรจากัน ก่อนที่จะมีการประกาศการควบรวม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้ง 2 บริษัทตั้งใจจะควบรวมกิจการ ลึกที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

ไม่ว่าจะมีการควบรวมหรือไม่นั้น กสทช. เป็นองค์กรที่ต้องออกมากำกับดูแลหากเห็นพฤติกรรมที่ส่องเค้าที่จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน ดังนั้น กสทช. ไม่ควรรีรอบอร์ดกสทช. ชุดใหม่ ควรจะวางกระบวนการตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศควบรวม ต้องเรียกขอดูข้อมูล และอีกปัญหาคือ ประกาศกสทช. ฉบับปี 2561 มีช่องว่างก่อให้เกิดความเสี่ยงในการควบรวมเมื่อเทียบกับประกาศของปี 2553 จากเดิมจะ ต้องมาขออนุญาตก่อน แต่ประกาศฉบับปี 61 แค่รายงานให้ทราบ

“เห็นชัดเจนว่าถ้าจาก 3 เหลือ 2 การแข่งขันน้อยลงอย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้าปล่อยให้ทั้ง 2 บริษัทเดินหน้าควบรวมโดยที่ไม่มีหน่วยงานไหนเลยเข้ามากำกับก็จะนำไปสู่ภาวะการผูกขาดหรือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจเกิดได้ตั้งแต่ก่อนที่การควบรวมจะสิ้นสุดด้วยซ้ำ เพราะแค่เจรจาก็สุ่มเสี่ยงแล้ว”

กสทช. รับต้องรอบอร์ดใหม่พิจารณา

นพ. ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช ยอมรับว่า ตั้งแต่มีข่าวการควบรวม กสทช. ได้เรียกผู้ประกอบการมาชี้แจงบ้าง รวมถึงได้ประสานงานกับคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) แต่ช่วง 3 เดือนที่มีข่าว ทางกสทช. ไม่เคยนำเสนอเรื่องการควบรวมให้เป็นวาระการประชุมเลย เพิ่งมี 2 ครั้งหลังสุดที่มีการรายงานด้วยวาจา โดยไม่มีเอกสารวาระก่อนปิดประชุมทั้ง 2 ครั้ง

ดังนั้น กรรมการกสทช. จึงไม่มีเวลาถกแถลง หรือ หารือว่าจะทำอย่างไรต่อ และเป็นปัญหาที่ตัวข้อเท็จจริงยังอยู่ในชั้นสำนักงานทั้งหมด ซึ่งปัญหาที่เกิดถือเป็น จุดอ่อนของการบริหารของสำนักงานกสทช. อีกปัญหาคือ ตัวกฎหมายผู้ร่างคือสำนักงานกสทช. ซึ่งประกาศฉบับแก้ไขการรวมกิจการปี 61 ก็ร่างโดยสำนักงานกสทช. ซึ่งส่วนตัวนั้น ไม่เห็นด้วย เพราะกฎหมายปี 53 มีความเสี่ยงในการควบรวมได้ทันที

“หลายคนไม่เอะใจเลยว่า กฎหมายปี 61 เป็นแค่การรายงานให้ทราบ แต่ไม่มีอำนาจในการพิจารณา ถือเป็นประกาศที่อำนวยความสะดวกให้ธุรกิจไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบในการควบรวม ดังนั้น ตรงนี้ตรงไปตรงมามาก และผมไม่ได้เห็นด้วย”

อีกปัญหาสำคัญคือ การควบรวมมาในช่วงคาบเกี่ยวการแต่งตั้ง กสทช. ชุดใหม่ ซึ่งทางกรรมการชุดปัจจุบันไม่ใช่เป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติเรื่องการควบรวม ดังนั้น เมื่อมีการเสนอคำขอควบรวม จึงทำให้เกิดความอิหลักอิเหลื่อหากบอร์ดทั้ง 2 ชุดเห็นไม่ตรงกัน อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ใน 1-2 สัปดาห์จากนี้ ขณะที่การควบรวมคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 65

นพ. ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช

อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาเรื่องการควบรวมจำเป็นต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากมาประกอบว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ไม่เช่นนั้นจะเกิดการลำเอียงในการพิจารณาในภายหลัง ผู้ที่ขอยื่นอาจขอค้านทางปกครองในภายหลังว่าเราไม่มีความเป็นกลาง ดังนั้น โดยหลักแล้วทำให้กสทช. ต้องรอข้อมูลผลการศึกษาให้ครบถ้วน ซึ่งปัจจุบันข้อถกเถียงเรื่องผลดีผลเสียจากการควบรวมของทรู-ดีแทค ยังเป็นแค่การพยากรณ์ทั้งสิ้น เพราะยังไม่เกิด แต่ถ้าปล่อยให้ควบรวมก็จะสายเกิดไปในการรับมือ

และทางกสทช. ไม่ได้นิ่งนอนใจโดยมีการประสานงานกับ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า โดยได้หารือว่าจะรับมืออย่างไร นอกจากนี้ คณะสภาผู้แทนราษฎรณ์ก็มีการแต่งตั้งตัวแทนเพื่อศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งทางกสทช. ก็ได้หารือกันทุกสัปดาห์ มีการศึกษาผลระยะยาวสภาพตลาด ภายหลังจากการควบรวม เบื้องต้นพยายามรวมประเด็นเพื่อทำการวิเคราะห์ในทุกด้าน

“โดยสรุปแล้ว กสทช. ยังไม่ได้ฟันว่าจะไม่ให้ควบรวม หรือให้ควบรวม แต่ต้องปกป้องประโยชน์ต่อประชาชน และต้องคำนึงถึงมาตรการในระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้น สิ่งที่เป็นไปได้คือ ถ้าจะพิจารณาเรื่องนี้ต้องวิเคราะห์โครงสร้างตลาดที่เหมาะสมในประเทศไทย มีมาตรการเชิงโครงสร้าง และสิ่งสำคัญต้องติดตามผลกระทบจากการควบรวมจริง ๆ”

แนะ 3 ข้อ ป้องกันผูกขาด

ดร. สมเกียรติ ได้เสนอ 3 แนวทาง สำหรับป้องกันการผูกขาดที่จะเกิดจากการควบรวมทรู-ดีแทค ดังนี้

  1. ไม่อนุญาตให้ควบรวม : โดยหากดีแทคต้องการจะเลิกกิจการในประเทศไทย ควรให้ขายกิจการกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เอไอเอสและทรู
  2. ควบรวมได้ แต่ต้องคืนคลื่น : อนุญาตให้ควบรวมได้แต่ต้องคืนคลื่นมาบางส่วนแล้วนำมาจัดสรรใหม่ เพื่อให้มีผู้ประกอบการ 3 ราย ในตลาดโทรศัพท์มือถือเหมือนเดิม
  3. ควบรวมได้แต่ต้องส่งเสริมให้เกิด MVNO หรือผู้ให้บริการที่ไม่มีโครงข่ายฯ ของตัวเอง : ทางเลือกนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่มีความเหมาะสม เนื่องจาก MVNO ไม่ได้เกิดง่าย และการดูแลยากมาก ดังนั้น ควรป้องกันไม่ให้มีการผูกขาด เพราะหากปล่อยให้มีการผูกขาดแล้วไปแก้ไขในภายหลังจะเป็นเรื่องที่ยากมาก

สุดท้าย ผศ.ดร. กมลวรรณ จิรวิศิษฏ์ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายพาณิชย์และธุรกิจ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้จะยังไม่ควบรวมแต่การมีการ แบ่งปันข้อมูล อาจนำไปมาซึ่งการ ไม่แข่งขัน เพราะอาจมีการ ฮั้ว กันเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เรื่องนี้หน่วยงานกำกับดูแลต้องนำมาพิจารณาด้วย

]]>
1374729
“โลตัส” ผนึก “กลุ่มทรู” เปิด Smart LivingTECH เติมเต็มไอเดียแต่งบ้านให้เป็น “สมาร์ทโฮม” https://positioningmag.com/1363867 Fri, 26 Nov 2021 04:00:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363867

เมื่อ “โลตัส” ผู้นำแห่งวงการค้าปลีก และ “กลุ่มทรู” ผู้นำการให้บริการสื่อสารและดิจิทัลครบวงจรในประเทศไทย มาเจอกัน ต้องมีนวัตกรรมล้ำๆ ให้คนไทยได้สัมผัสอย่างแน่นอน การจับมือกันล่าสุด ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า ผ่าน Lotus’s Smart LivingTECH powered by True แห่งแรกในไทยที่โลตัส สุขุมวิท 50

Lotus’s Smart LivingTECH powered by True เป็นเหมือนโชว์รูมที่สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์สมาร์ทโฮมต่างๆ ที่จะพลิกโฉมที่อยู่อาศัยสู่บ้านอัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัลของทุกคนในบ้านทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทค อุปกรณ์ IoT ครบวงจร และนวัตกรรมโซลูชันบ้านอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติและควบคุมผ่านแอปพลิเคชันเดียว LivingTECH คอยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ Lotus’s Smart LivingTECH powered by True ยังจำลองการอยู่อาศัยแบบอัจฉริยะด้วยอุปกรณ์ IoT ครบวงจรที่แรกในประเทศไทย โดยนำร่องที่โลตัส สุขุมวิท 50 ให้ลูกค้าสามารถทดลองและสัมผัสประสบการณ์สุดสมาร์ทได้ด้วยตัวเอง

เจมส์ พาโดแวน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการพาณิชย์ – สินค้าอุปโภค โลตัส กล่าวว่า

“โลตัส มุ่งมั่นที่จะทำให้ลูกค้าของเรา รู้สึกดีดีทุกวัน ที่โลตัส ผ่านการส่งมอบสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง และประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีเยี่ยมทุกที่ ทุกเวลา การร่วมมือกับกลุ่มทรู ในการเปิด Lotus’s Smart LivingTECH powered by True ภายในสาขาของเรา จะช่วยยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าของโลตัส ให้ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ได้ดียิ่งกว่าเดิม เพราะลูกค้าในยุคปัจจุบันต้องการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย และมีสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ

บ้านและที่อยู่อาศัยจึงจำเป็นที่จะต้องสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ นวัตกรรม IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกเชื่อมต่ออย่างอัจฉริยะ จะช่วยให้ลูกค้าสามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านได้ผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ

โซน Smart Living Tech ยังมีจุดเด่นอยู่ที่การจำลองการอยู่อาศัยแบบอัจฉริยะ ให้ลูกค้าสามารถสัมผัสและทดลองใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้จริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากทรูให้คำแนะนำ โดยเราเปิดตัวสาขานำร่องแห่งแรกที่โลตัส สุขุมวิท 50 และมีแผนการที่จะขยายไปสู่สาขาอื่น เพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าในโลตัสให้มีความสนุกและสมาร์ทยิ่งกว่าเดิม”

ทางด้าน เอกราช ปัญจวีณิน  กรรมการผู้จัดการ  ธุรกิจดิจิทัลโซลูชัน บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด  กล่าวว่า

“ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป พัฒนานวัตกรรมดิจิทัลโซลูชันล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ทั้งภาคธุรกิจ และการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล โดยนำศักยภาพเทคโนโลยีสื่อสาร และระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรของกลุ่มทรู สร้างสรรค์และยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของคนไทยอย่างต่อเนื่อง นำร่องเปิด Smart LivingTECH powered by True โดยร่วมมือกับโลตัส จัดทัพอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฮมสุดล้ำที่สามารถติดตั้งเองได้ง่ายๆ ครอบคลุมทุกการใช้งาน ทุกโซนในบ้าน สำหรับทุกคนในครอบครัวไว้ในที่เดียว”

โซนนี้ชูจุดเด่นนวัตกรรมโซลูชันบ้านอัจฉริยะที่เชื่อมโยงการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ภายในบ้านเข้าด้วยกัน ควบคุมทุกอุปกรณ์ได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน LivingTECH แอปเดียวครบจบ ทั้งสั่งงาน ตั้งค่า และปรับแต่งบรรยากาศภายในบ้าน สร้างประสบการณ์ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

อำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง โซลูชั่นนี้จะช่วยเสริมให้คนไทยเข้าถึงอุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่หลากหลายได้ง่ายขึ้น เพิ่มการใช้งานที่แพร่หลาย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้เติมเต็มชีวิตในยุคดิจิทัลให้สมบูรณ์แบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สะดวกสบายและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ภายในโซน Lotus’s Smart LivingTECH powered by True ได้จำลองบรรยากาศการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทภายในบ้านอัจฉริยะที่มีทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทค และหลากหลายอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฮม จัดแบ่งพื้นที่เป็นโซนต่างๆ ให้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตดิจิทัลได้ตั้งแต่ก่อนเข้าบ้านจนถึงการพักอาศัยในห้องต่างๆ ภายในบ้าน อาทิ

  • พื้นที่บริเวณหน้าบ้าน – ยกระดับความปลอดภัยด้วยอุปกรณ์ประตูล็อคอัจฉริยะ (Smart Door Lock), กล้องวงจรปิดอัจฉริยะภายนอกบ้าน (Smart Outdoor Camera) และอุปกรณ์เซ็นเซอร์สำหรับประตูและหน้าต่าง (Door& window Sensor) ที่สามารถแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันเมื่อพบการเคลื่อนไหว

  • ห้องนั่งเล่น – เปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าให้สมาร์ทขึ้นได้ทันที ด้วยรีโมทคอนโทรลอัจฉริยะ (IR Remote Control) และ ปลั๊กอัจฉริยะ (Smart Plug) พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทค ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ และหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ (Smart Robot Cleaner)

  • ห้องครัว – อีกขั้นของความปลอดภัยในห้องครัวยุคดิจิทัล ที่มีทั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับควัน (Smoke Sensor) และ เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับน้ำรั่วซึม (Water Leak Sensor)

  • ห้องนอน/ห้องนอนเด็ก – เพิ่มความสุขและสุขอนามัยในห้องนอน ด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นตลอด 24 ชั่วโมง และตัวช่วยในการดูแลลูกน้อยผ่านกล้องวงจรปิดอัจฉริยะสำหรับเด็ก (Smart Baby Camera)

  • ห้องนอนผู้สูงอายุ – แม้ไม่อยู่บ้านก็ดูแลผู้สูงอายุให้ปลอดภัยได้ทุกย่างก้าว ด้วยอุปกรณ์เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion Sensor) และ ปุ่มกดฉุกเฉินอัจฉริยะ (Emergency Button) ขอความช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฮมอีกมากมายให้ลูกค้าได้สัมผัสและเลือกชมตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ เติมเต็มไอเดียการตกแต่ง และเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็น “บ้านอัจฉริยะ” ได้จริงแล้ววันนี้

พบกับ Lotus’s Smart LivingTECH powered by True  พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษได้ที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า โลตัส สุขุมวิท 50

]]>
1363867
‘เอไอเอส’ ไม่ขออยู่เฉยส่งแคมเปญ ‘อยู่กับเอไอเอสดีที่สุด’ พร้อมอัดส่วนลด 50% ดึงย้ายค่าย https://positioningmag.com/1363591 Tue, 23 Nov 2021 13:59:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363591 ในช่วงสัปดาห์นี้ ในแวดวงโทรคมนาคมคงไม่มีข่าวไหนจะใหญ่ไปกว่าการที่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ dtac จะควบรวมกัน แน่นอนว่าหลังจากมีข่าว หลายคนต่างก็ต้องคิดแล้วว่าการแข่งขันจากนี้จะเป็นอย่างไร และพี่ใหญ่อย่าง ‘เอไอเอส’ (AIS) จะงัดไม้ไหนออกมาสู้

ในตลาดโทรคมนาคมที่ผ่านมา เอไอเอสถือว่าเป็นเบอร์ 1 ที่แข็งแรงมาโดยตลอด หากอ้างอิงจากตัวเลขไตรมาส 3 ปี 64 เอไอเอส มีลูกค้าทั้งสิ้น 43.7 ล้านเลขหมาย มีคลื่นความถี่รวม 1,420 MHz และมีรายได้ รายได้ 130,995 ล้านบาท ขณะที่เบอร์ 2 อย่าง ทรูมูฟ เอช มีลูกค้า 32 ล้านเลขหมาย มีคลื่นรวม 990 MHz มีรายได้ 96,678 ล้านบาท ส่วน ดีแทค มี 19.3 ล้านเลขหมาย มีคลื่นรวม 270 MHz และมีรายได้ 78,818 ล้านบาท

แน่นอนว่าหากทรูและดีแทคควบรวมกันแล้วจะพลิกขึ้นนำเอไอเอสทันที แต่ในส่วนของจำนวนคลื่นความถี่ยังถือว่าน้อยอยู่ ดังนั้น ก่อนที่ทั้ง 2 บริษัทจะควบรวมกันอย่างสมบูรณ์ เอไอเอสก็ไม่รอช้าที่จะสื่อสารไปยังผู้บริโภคด้วยการใช้จุดแข็งของ จำนวนคลื่นความถี่ ว่ามีมากที่สุดพร้อมทั้งขยี้ด้วยแคมเปญ อยู่กับเอไอเอสดีที่สุด

โดยเอไอเอสถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่กวาดเอาดาราตัวท็อปมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้มากเบอร์ต้น ๆ ของไทย ไม่ว่าจะ เจมส์ จิรายุ, เป๊ก ผลิตโชค, เวียร์ ศุกลวัฒน์, เบลล่า ราณี, น้องเทนนิส, แบมแบม กันต์พิมุกต์, ลิซ่า ลลิษา และน้อง ๆ BNK48 ดังนั้น เอไอเอสจึงได้ปล่อยภาพเหล่าพรีเซ็นเตอร์เพื่อสื่อสารถึงความเป็น เบอร์ 1 เผยแพร่ลงในโซเชียลทุกช่องทาง โดยในทวิตเตอร์ก็ขึ้นเทรนด์เป็นอันดับ 1 เลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่ย้ำว่า อยู่กับเอไอเอสดีที่สุด แต่ถ้าย้ายมาอยู่ด้วยกันมันก็จะดีนะ เพราะมีความเห็นในโซเชียลบางส่วน ที่รู้สึกอยากย้ายค่ายหากทรูและดีแทคควบรวมกัน ดังนั้น เอไอเอสจึงอัด โปรย้ายค่าย โดยโปร 4G มีส่วนลด 50% แถมใช้ฟรี 1 เดือนด้วย ส่วนโปร 5G ลด 25%

ก็ไม่รู้ว่ากว่าจะถึงเวลาที่ทรูและดีแทคควบรวมกันเสร็จ เอไอเอสจะสามารถดึงลูกค้าย้ายค่ายไปได้มากน้อยแค่ไหน และไม่รู้ว่าทางทรูและดีแทคจะออกแคมเปญอะไรออกมารักษาลูกค้าไหม หรือจัดหนักทีเดียวตอนควบรวมไปเลย คงต้องรอดูกัน

]]>
1363591
เทียบ ‘หมัดต่อหมัด’ ศึก 5G ‘เอไอเอส’ ปาดหน้าคว้าไทยลีก ‘ทรู’ แจกมือถือฟรี อัดพรีเซ็นเตอร์ใหม่เพิ่ม https://positioningmag.com/1349570 Wed, 01 Sep 2021 13:07:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349570 เรียกได้ว่าร้อนแรงไม่มีแผ่วสำหรับสงคราม ‘5G’ เพราะการลงทุนทั้งการประมูลคลื่นและโครงข่ายต่าง ๆ ไม่ได้มีมูลค่าน้อย ๆ ดังนั้นต้องเร่งทำทุกวิถีทางที่จะเปลี่ยนผู้ใช้ 4G เดิมให้มาใช้ 5G และจะดียิ่งกว่าหากเปลี่ยนเอาลูกค้าของคู่แข่งมาใช้งานค่ายตัวเอง ซึ่ง ณ ปัจจุบันจะเห็นว่า ‘เบอร์ 1’ และ ‘เบอร์ 2’ อย่าง ‘เอไอเอส’ และ ‘ทรู’ จะแลกหมัดกันอย่างเมามันในศึกนี้

เดือดตั้งแต่พรีเซ็นเตอร์

เรื่องการดึงพรีเซ็นเตอร์ ต้องยอมรับว่าทั้งเอไอเอสและทรูต่างไม่มีใครยอมใครมานานแล้ว เพราะหากลิสต์รายชื่อแต่ละคนต่างก็มีแต่ ‘ดาราเบอร์ต้น’ ด้วยกันแทบทั้งสิ้น อย่างเอไอเอสก็มีทั้ง เป๊ก ผลิตโชค, เจมส์ จิรายุ, แต้ว ณฐพร, มิว นิษฐา, พุฒ พุฒิชัย, เวียร์ ศุกลวัฒน์, เบลล่า ราณี, แบมแบม กันต์พิมุกต์ และ ลิซ่า ลลิษา ส่วนทรูก็ไม่น้อยหน้า ได้ดาราแถวหน้าอย่าง ณเดช คูกิมิยะ, ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์, เฌอปราง BNK48, ไบร์ท วชิรวิชญ์ และ ไอซ์ พาริส

อย่างไรก็ตาม ย้อนไปช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่มหกรรมกีฬา ‘โอลิมปิก 2020’ ที่เหล่านักกีฬาต่างกำลังขับเคี่ยวกัน แบรนด์ต่าง ๆ ก็เล็งแล้วว่าจะต้องดึง ‘ฮีโร่ทีมชาติ’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ได้ และในธุรกิจโทรคมนาคม เอไอเอส ก็มือไวคว้าตัว ‘น้องเทนนิส’ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ หนึ่งเดียวที่สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกปี 2020 มาได้

น้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ

ขณะที่ ทรู แม้จะพลาดน้องเทนนิสแต่แก้ตัวด้วยการดึง ‘โค้ชเช’ ชเว ยอง-ซอก โค้ชของน้องเทนนิส และถือเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของวงการกีฬาเทควันโดไทยเกือบ 20 ปี นอกจากนี้ยังได้ ‘แต้ว’ สุดาพร สีสอนดี เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิกแรกกีฬามวยสากลสมัครเล่นหญิง

แม้จะคว้ามาถึง 2 ฮีโร่โอลิมปิก แต่ก็องยอมรับว่าอิมแพ็คของทั้งโค้ชเชและน้องแต้วจะยังสู้น้องเทนนิสไม่ได้ ดังนั้น ผ่านไปไม่ถึงเดือนทรูก็เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่อีกหนึ่งคน ก็คือ ‘กันต์ กันตถาวร’ พิธีกรเบอร์ต้น ๆ ของไทยมาช่วยสื่อสารผ่านแคมเปญ ยุคนี้ต้องทรู 5G’

ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังจากการเป็นพิธีกรประจำรายการฮิตของเวิร์คพอยท์หลายรายการ และมีฐานแฟนในโลกออนไลน์กว่า 10 ล้านผู้ติดตาม นอกจากนี้ยังมีทักษะการสื่อสารที่ดี ทำให้ โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และการสื่อสาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เชื่อว่ากันต์จะสามารถเข้าถึงกลุ่ม Early Adopter ได้

กันต์ กันตถาวร

เอไอเอสปาดหน้าคว้า ‘ไทยลีก’

หากพูดถึงการแข่งขันด้านคอนเทนต์ของทั้งเอไอเอสและทรู จะเห็นถึงความดุเดือดมาตลอด โดยเอไอเอสก็มี ‘AIS Play’ ส่วนทรูมี ‘True ID’ ซึ่งทั้ง 2 แพลตฟอร์มก็ต่างเปิดให้ ‘ดูฟรี’ ไม่จำกัดค่าย (แต่ไม่ใช่ทุกคอนเทนต์) อย่างไรก็ตาม เอไอเอสที่ได้ ‘Disney+ Hotstar’ มาอยู่ในมือ ถือว่าเป็นการสร้างแต้มต่อขึ้นอย่างมาก เพราะแฟน ๆ ดิสนีย์, มาร์เวล หรือแม้กระทั่งสตาร์วอส์ต่างใจจดใจจ่อที่จะใช้บริการ

ล่าสุด เอไอเอสก็ได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดการแข่งขัน ‘ไทยลีก 2021-2022’ อีกด้วย โดยในรอบเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ‘True Visions’ คือผู้ได้สิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขัน ฟุตบอลไทยลีก ก่อนที่จะเกิดการระบาดของ COVID-19 ทำให้การแข่งขันต้องเลื่อนออกไป และเกิดกรณีดราม่าระหว่าง True Visions กับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย จนสุดท้าย True Visions ก็เลือกที่จะไม่ต่อสัญญาฤดูกาล 2021-2022

จริง ๆ แล้วในฤดูกาล 2021-2022 ผู้ที่ได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดการแข่งขันคือ เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่จะเริ่มฤดูกาลก็เกิดดราม่าอีกรอบ โดยสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ออกแถลงการยกเลิกสัญญาการถ่ายทอดการแข่งขันฉบับดังกล่าว โดยอ้างว่า เซ้นส์ฯ ไม่วางหนังสือค้ำประกันจากธนาคารตามที่ตกลง ส่วน เซ้นส์ฯ เองตอบโต้ว่า ยังอยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไขบางประการกับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ

จากปัญหาดังกล่าว ทำให้สิทธิ์ในการถ่ายทอดการแข่งขันไทยลีกต้องว่างไป และ True Visions ก็กลายเป็นตัวเต็งที่จะกลับมาคว้าสิทธิ์ถ่ายทอด โดยช่วงวันที่ 4 สิงหาคมมีข่าวว่าทรูเองก็ได้เปิดโต๊ะเจรจากับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ด้วย แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นเอไอเอสที่ ปาดหน้า คว้าสิทธิ์ไปครอง โดยถ่ายทอดสดผ่านแอปพลิเคชัน AIS Play บนโทรศัพท์มือถือ, กล่อง AIS Playbox, Samsung Smart TV, Apple TV และเว็บไซต์ aisplay.ais.co.th ที่สำคัญ ชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายได้ทุกเครือข่าย

ไม่รู้ว่าภาพของ ‘King of Sports’ ที่ทรูพยายามสื่อสารนั้นสั่นคลอนไปมากน้อยแค่ไหน เพราะแม้จะไม่มีไทยลีกในมือ แต่ยังมีลิขสิทธิ์ของ ‘พรีเมียร์ลีก’ นอกจากนี้ยังมี ลาลีกา, กัลโช่เซเรีย อา, ลีกเอิง และบอลถ้วยยุโรป ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่ายูโรปาลีก, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และ เอฟเอคัพ แต่แน่นอนว่า ไม่ฟรี โดยมีค่าแพ็กเกจ 399 บาท/เดือน ลูกค้าทรู 299 บาท/เดือน และแพ็กเกจ beIN ราคา 199 บาท/เดือน ลูกค้าทรู 119 บาท/เดือน

แจกมือถือ 5G หมัดฮุกของทรู

หลายค่ายคาดการณ์ว่า เมื่อสมาร์ทโฟน 5G มีราคาถูกลง การใช้งานจะยิ่งแพร่หลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้เอไอเอสจะมีลูกค้ากว่า 43.2 ล้านราย โดยใช้งาน 5G แล้ว 1 ล้านราย (สิ้นสุดไตรมาส 2) ซึ่งถือว่ายังเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก เช่นเดียวกันกับทรู 5G ยังมีเพียง 1 ล้านรายเท่านั้น จากลูกค้าในเครือข่าย 31.7 ล้านราย

ดร. ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น มองว่า แม้สมาร์ทโฟน 5G จะราคาถูกลงมาก แต่ราคายังอยู่ในระดับสูงกว่า 6,000 บาทขึ้นไป ดังนั้น ทรูจึงแก้ปัญหาด้วยการ ‘แจกมือถือ 5G’ รุ่น Mid-Tier ฟรี หรือรับส่วนลดเพิ่ม 3,000 บาท สำหรับซื้อมือถือ 5G รุ่น High-Tier ให้กับลูกค้าที่ร่วมโครงการ 5G VIP ด้วยการสมัครและชำระค่าบริการแพ็กเกจรายเดือนล่วงหน้าตามที่กำหนด ซึ่งแคมเปญดังกล่าวลากยาวถึงสิ้นปีนี้เลยทีเดียว

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเอไอเอสหรือทรูต่างก็มีเป้าหมายในการดันผู้ใช้ 5G ให้แตะ 2 ล้านรายภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาจต้องรอดูกลยุทธ์จากฝั่งเอไอเอส ว่าจะมีการ ‘ลด แลก แจก แถม’ อะไรมาเขย่าตลาดอีกหรือไม่ แต่ที่น่าหนักใจอาจจะเป็น ‘เบอร์ 3’ ที่หากไม่เร่งทำอะไร ลูกค้าอาจจะค่อย ๆ ถูกดูดหายไปก็ได้

]]>
1349570