True – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 27 Nov 2025 10:10:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เพราะสายมู 70% เชื่อในเบอร์มงคล! ‘ทรู’ เดินเกมรุกคว้า ‘อ.สมเจตน์’ เปิดตัว ‘เบอร์พลังดาว’ ปักเป้าโต 30% https://positioningmag.com/1548916 Thu, 27 Nov 2025 04:18:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548916 หากพูดถึงเรื่องการ มู (มูเตลู) หรือ สายมู ของไทย น่าจะไม่แพ้ชาติใดในโลก ที่ไหนดี อะไรว่าศักดิ์สิทธิ์ พร้อมจะไปสักการะบูชา และแน่นอนว่า เบอร์มงคล ก็เป็นอีกไอเทมหลักของชาวสาย มู และถือเป็นอีกตลาดที่ยังคง ทำเงิน ให้กับโอเปอเรเตอร์ทุกค่ายรวมถึง ทรู-ดีแทค ที่ล่าสุดคว้า อ.สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ มาเปิดตัว เบอร์พลังดาว เดินหน้ากลยุทธ์ Better มู Gether หวังโกยยอดเปิดเบอร์มงคลโต 30%

สายมู 70% เชื่อในเบอร์มงคล

โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และมีเดีย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เล่าว่า มี 5 ปัจจัย ที่ทำให้ คนไทยสนใจเรื่องมู ได้แก่

  • Avoid Problem: ผู้คนมองหาวิธีประคองใจ ในวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
  • Decision Making: ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจต่าง ๆ
  • Bad Situation: การมูหรือการดูดวงทำหน้าที่เป็นที่พึ่งทางใจ ช่วยตั้งหลักรับมือช่วงที่ยากลำบาก
  • Entertainment: เพื่อความสุขในการเพิ่มพลังบวก และสร้างความหวังเล็กๆ
  • The Opportunity: หวังช่วยเปิดทางให้โอกาสใหม่ๆ หรือจังหวะชีวิตที่ดีขึ้น เดิมพลังในการเดินหน้าต่อ

ที่น่าสนใจคือ การมูไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว Gen Z เป็นเจนเนอเรชั่นที่สนใจเรื่องมูมากที่สุด โดยผลสำรวจพบว่า 50% Engagement ของคอนเทนต์มูเตลูมาจาก Gen Z ตามด้วย Gen Y 26% และ Gen X 14%

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่ากว่า 70% เชื่อในพลังของตัวเลข ทำให้ เบอร์มงคล กลายเป็น ไอเทมเสริมดวงที่นิยมมากที่สุด คิดเป็น 46.3% ของไอเทมมูทั้งหมด นอกจากนี้ คนไทย 3 ใน 4 ใช้ AI ดูดวง

ยิ่งขายเบอร์มงคลได้ = ได้ลูกค้าคุณภาพ

โรจน์ เดโชดมพันธ์ หัวหน้าสายงานโมบายล์ โพสต์เพย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทรู-ดีแทคมียอดขายเบอร์มงคล-เบอร์สวยเฉลี่ยเดือนละ 1 หมื่นเลขหมาย ซึ่งทรงตัวในหลักนี้มาตลอด

ที่สำคัญ ลูกค้าเบอร์มงคลจะมียอดใช้งานเฉลี่ย หรือ ARPU (Average Revenue Per User) ที่สูงกว่าลูกค้าโพสต์เพด (ลูกค้ารายเดือน) ปกติเกือบ 2 เท่า อยู่ที่ประมาณ 899 บาท/เดือน จากปกติเฉลี่ย 415 บาท/เดือน นอกจากนี้ จะใช้เบอร์นานเฉลี่ย 2-3 ปี ดังนั้น ลูกค้ากลุ่มนี้จะมีอัตรา Churn Rate หรือยกเลิกการใช้บริการที่ต่ำกว่าปกติ เท่าตัว

โรจน์ เดโชดมพันธ์ หัวหน้าสายงานโมบายล์ โพสต์เพย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น

ดึงอ.สมเจตน์ เสริมทัพ

หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้ยอดขายเบอร์มงคลเติบโตก็คือ อาจารย์ ที่เป็นพาร์ทเนอร์ โดย โรจน์ ยอมรับว่า ชื่อเสียงของอาจารย์มีผลต่อความน่าเชื่อถือ โดยที่ผ่านมา ทางทรูและดีแทคได้จับมือกับ อาจารย์ลักษณ์ โหราธิบดี และ อาจารย์ช้าง ทศพร ศรีตุลา

ล่าสุดได้ดึง อาจารย์สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ เจ้าของเว็บไซต์ เบอร์มงคลสมเจตน์ดอทคอม ที่เปิดมา 16 ปี มีผู้ใช้กว่า 1 ล้านราย และมีการขายเบอร์มงคลกว่า 1 แสนเลขหมาย/ปี พร้อมกับเปิดตัว เบอร์พลังดาว โดยเตรียมเบอร์มงคลล็อตใหม่ 3 แสนเบอร์ คาดว่าจะช่วยดันยอดขายเบอร์มงคล เพิ่ม 30%

“เราเห็นพฤติกรรมว่า บางคนเขาไม่ได้เปลี่ยนแค่ตัวเอง แต่เขาเปลี่ยนทั้งครอบครัว อย่างแม่เปลี่ยนมาใช้เบอร์มงคล เบอร์ลูกก็เปลี่ยนด้วย”

อาจารย์สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ

สายมูก็เป็นอีกแบรนด์ดิ้งทรู

โอลิเวอร์ ทิ้งท้ายว่า กลยุทธ์สายมู หรือ Better มูGetther เป็นอีกทิศทางการทำตลาดของแบรนด์ เพราะตลาดในปัจจุบันไดนามิกมากขึ้น ลูกค้าไม่ได้ต้องการ One size fit all โดยเฉพาะ Gen Z ที่ใช่แค่เอนเตอร์เทนเมนต์ เช่น โซเชียลฯ, เพลง, ซีรีส์, เกม ไม่พออีกต่อไป ต้องมองในเชิงสังคมมนุษยวิทยามากขึ้น อย่างเรื่องมูก็เป็นอีกความเชื่อของ Gen Z

“เราต้องปรับตัวเสมอ เพราะลูกค้าไม่ใช่ของตาย เขาพร้อมจะไปตามเหตุและผล เลือกเบอร์ ช่วยให้มีคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งทันยุคทันสมัยมากขึ้น แต่สุดท้าย เขาจะอยู่กับเรานานหรือไม่ ก็จะวนกลับมาที่คุณภาพ”

]]>
1548916
ถ้าเธอ 0 บาท ‘ปีหน้า’ ฉันให้ 0 บาท ‘ปีนี้’ สงครามโปร iPhone 17 จาก ‘True-Dtac’ และ ‘AIS’ https://positioningmag.com/1538839 Mon, 22 Sep 2025 06:22:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538839 ผ่านจากสงคราม ‘สตรีมมิ่ง’ ที่แลกกันไปคนละหมัด โดยทาง ‘AIS’ ได้คว้าสิทธิ์ ‘พรีเมียร์ลีก’ พร้อมจัดโปรดึงลูกค้าใหม่เต็มสูบ ทาง ‘True’ ก็สวนกลับด้วยการดึง ‘BeIn’ เป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ ล่าสุด ก็ถึงสงครามโปรฯ iPhone 17

หลังจากที่ Apple เปิดตัว iPhone 17 Series ได้แก่ iPhone 17, iPhone 17 Air, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max ไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 โดยทั้ง AIS และ True – Dtac ก็ได้เปิดให้สั่งจอง iPhone 17 พร้อมกันในวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568 และเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2568 นี้

โดยทั้ง 2 ค่ายต่างก็งัดโปรโมชั่นเด็ดออกมาสู้กัน โดยทาง True – Dtac ก็มาแบบล้ำหน้าด้วย โปรข้ามเวลา ให้ลูกค้าซื้อ iPhone 17 เครื่องใหม่ปีนี้ อัปเกรดรุ่นใหม่ 0 บาท ปีหน้า โดยมี 3 เงื่อนไข ได้แก่

  • ซื้อ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมใช้แพ็กเกจรายเดือนเริ่มต้น 1,299 บาทขึ้นไป สัญญา 12 เดือน
  • ชำระค่าบริการต่อเนื่องตามระยะสัญญา 12 เดือนขึ้นไปจนถึงวันรับสิทธิ์
  • ภายในเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2569 นำ iPhone 17 ที่ซื้อมารับการประเมินสภาพเครื่อง เพื่อรับสิทธิ์อัปเกรดเริ่มต้น 0 บาท และใช้งานแพ็กเกจรายเดือนเริ่มต้น 1,299 บาท ไปอีก 12 เดือน

*ต้องเป็นสภาพเครื่องเกรด A เท่านั้น (เครื่องทำงานได้ตามปกติ 100% และตัวเครื่องไม่มีรอยขีดข่วน ไม่มีรอยบุบ ตก แตก ร้าว) ที่จะได้รับส่วนลดเต็ม 100% (0 บาท)

ในเมื่อฝั่ง True – Dtac ให้โปรข้ามเวลา ดังนั้น AIS ขออยู่กับปัจจุบันด้วยโปรฯ All in One แลก iPhone 17 เริ่มต้น 0 บาท โดยมี 3 เงื่อนไข เช่นกัน

  • นำ iPhone 16 มาแลกรับ iPhone 17 โดยเครื่องที่นำมาแลกต้องเป็นเครื่องที่ไม่มีปัญหาการใช้งาน จอไม่แตก  และเครื่องมีรอยขนาดเล็ก น้อยกว่า 3 จุด
  • เปิดเบอร์ใหม่ หรือย้ายค่ายเบอร์เดิม ด้วยแพ็กเกจ All in One 1,499.-/เดือน (สัญญาใช้บริการนาน 24 เดือน) 
  • สมัครแพ็กเกจเน็ตบ้าน AIS FIBRE 3 ค่าบริการรายเดือนหลังหักส่วนลดเริ่มต้น 799.- ขึ้นไป (สัญญาใช้บริการนาน 24 เดือน)

ในส่วนโปรโมชั่นปกติ ดูเหมือนทางฝั่ง True – Dtac จะจัดเต็มกว่า โดยให้ส่วนลดค่าเครื่องพร้อมแพ็กเกจสูงสุด 19,700 บาท เก่าแลกใหม่ลดสูงสุด 5,000 บาท หรือใช้ Point ลดสูงสุด 5,000 บาท นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ใช้งานกับค่ายมานาน จะได้ส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 2,000 บาท

ในส่วนสิทธิพิเศษความบันเทิง สามารถดู NOW ENT ฟรี 1 ปี ,Youtube Premium 12 เดือน NETFLIX Standard12 เดือน ผ่อนได้นานสุด 48 เดือน Apple Service ฟรี 3 เดือน และได้ส่วนลด iPhone Accessories 15%

ฝั่งของ AIS เปิดราคาเครื่องพร้อมแพ็กเกจ การันตีส่วนลดสูงสุด 15,700 บาท เครื่องเก่าแลกใหม่ลดสูงสุด 4,000 บาท ใช้ Ais point รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 5,000 บาท สำหรับสิทธิพิเศษด้านความบันเทิง จะได้ Play PREMIER 1 ปี, Youtube Premium 2 เดือน Spotify Premium 4 เดือน, ฟรี iCloud ความจุ 50 GB และส่วนลด iPhone Accessories 20%

คิดว่าโปรค่ายไหนคุ้มสุด คอมเมนต์กันมาได้นะ

]]>
1538839
เสียพรีเมียร์ลีกแล้วไง! ‘ทรู’ ฉก ‘BeIN’ สู้กลับ ‘เอไอเอส’ ดูบอล 9 ลีก 15 ถ้วย ราคา 199 บาท https://positioningmag.com/1532042 Fri, 01 Aug 2025 09:36:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532042 อย่างที่หลายคนรู้กัน ว่าตลอดช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมากที่สุดก็คือ True Visions โดยได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007-2008 มาจนถึง 2012-2013 มีเพียงฤดูกาล 2013-2016 ที่เสียลิขสิทธิ์ให้กับ บริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จำกัด หรือ CTH และฤดูกาล 2016-2019 ให้กับ beIN Sports แต่สุดท้าย ทรูก็ร่วมเป็นพันธมิตรในการถ่ายทอดสด 

นับจากนั้น True Visions ก็กลับมาได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกลากยาวต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูกาล 2019-2022 จนถึงฤดูกาลปี 2022-2025 จนมาฤดูกาล 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 เป็นอีกครั้งที่ True Visions เสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป เพราะมองว่า ไม่คุ้ม ที่จะลงทุนในราคา 19,000 ล้านบาท โดยบริษัทที่ได้ลิขสิทธิ์ไปในครั้งนี้ก็คือ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ที่มีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง MonoMax

แต่การเสียลิขสิทธิ์ไปครั้งนี้ ไม่เหมือนกับ 2 ครั้งก่อน เพราะผู้ที่ได้ไปคือ JAS ซึ่ง AIS เพิ่งเข้าซื้อหุ้นใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในเครือ JAS ดังนั้น ในเมื่อ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป AIS (เอไอเอส) จึงถูกมองว่าต้องได้ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกแบบนอน และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ 

ซึ่งหลายคนจะเห็นแล้วว่า หลังจากที่ AIS มีพรีเมียร์ลีกในมือ ก็รุกหนักเพื่อโกยลูกค้าใหม่เข้าค่าย โดยให้ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในราคา 199 บาทต่อเดือน และ 1,999 บาทต่อปี หากเป็นลูกค้า AIS จากราคาเต็ม 299 บาทต่อเดือน และ 2,999 บาทต่อปี

นอกจากนี้ เอไอเอสยังใช้พรีเมียร์ลีกในการจับลูกค้าที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อนอย่าง กลุ่มร้านอาหารและสถานบันเทิง ที่มีกว่า 50,000 ร้านทั่วไทย ด้วยแพ็กเกจพรีเมียร์ลีกสำหรับผู้ประกอบการในราคา 2,800 บาท/เดือน พร้อมสิทธิ์รับชมพรีเมียร์ลีก และเอมิเรตส์ เอฟเอ คัพ ครบทุกแมตช์ 

ในขณะที่ดูเหมือนทรูจะเพลี่ยงพล้ำที่เสียพรีเมียร์ลีกไปให้คู่แข่งอย่าง AIS แถมยังอัดโปรฯ หวังดึงลูกค้าย้ายค่ายรัว ๆ โดยอันดับแรกที่ทำเลยก็คือ จัดโปรโมชันให้ลูกค้าทรูที่สมัครดูพรีเมียร์ลีกได้ผ่าน Monomax ได้ในราคา 199 บาท โดยไม่ต้องย้ายค่าย เพราะทรูลดราคาให้เองเลย 

แน่นอนว่าโปรฯ ดังกล่าวจัดได้ไม่นานก็ต้องยกเลิกไป เพราะ JAS ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าวทันที พร้อมกัส่งหนังสือแจ้งไปยังทรู เพื่อให้ยุติการเผยแพร่โปรโมชันดังกล่าวในทันที

แต่ล่าสุด ทางทรูก็แก้เกมโดยการฉก BeIN Sports มาเป็น Exclusive Partner พร้อมออกแพ็กเกจใหม่ NOW FOOTBALL ดูฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย อาทิ UEFA Champions League, UEFA Europa League, UEFA Conference League, La Liga และ Calcio Serie A เป็นต้น ในราคา 199 สำหรับลูกค้าทรู และราคา 259 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป

ซึ่งนั่นทำให้ AIS ต้องยกเลิกแพ็กเกจดูบอลราคา 299 บาทต่อเดือน ที่รวมเอา BeIN Sports Connect ออกไป แปลว่า AIS จากเดิมที่เก็บลิขสิทธิ์ฟุตบอลครบทุกถ้วย ทุกลีก ตอนนี้เลยเหลือเพียงพรีเมียร์ลีก และฟุตบอลถ้วยในอังกฤษอย่าง FA cup, Carabao Cup (แต่ก็เป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย)

นอกจากนี้ ทางทรูยังปรับแพ็กเกจใหม่ของทรูวิชั่นส์ จากเดิมที่แบ่งตามแวร์ลู่ของคอนเทนต์ ให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยเป็นการแบ่งชัดระหว่างแพ็กเกจบันเทิงกับกีฬา แถมทำราคา ถูกลง ได้แก่

  • NOW ENT : ดูได้เฉพาะคอนเทนต์บันเทิงทั้งหมด (ละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ วิดีโอสั้น สารคดี) โดยมี 3 ราคา ได้แก่ 99 บาท (ดูได้เฉพาะบนมือถือ 1 จอ) 199 บาท (1 จอบนทุกอุปกรณ์ พร้อมแอป IQIYI) และ 299 บาท (ดูพร้อมกัน 2 จอบนทุกอุปกรณ์พร้อมแอปเอเซียสุดฮิต IQIYI, WeTV และ VIU) 
  • NOW FOOTBALL : ดูเฉพาะฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย มากที่สุดในไทย พร้อมพากย์สดด้วยนักพากย์ระดับแถวหน้าของประเทศ ราคา 199 สำหรับลูกค้าทรู และราคา 259 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป (ดูได้ 1 จอบนทุกอุปกรณ์) 
  • NOW SPORTS : ดูได้ทครบทุกกีฬา สด ครบ กีฬามันส์มากกว่า 11,000 แมตช์ ราคา 699 บาท (ดูได้ 1 จอบนทุกอุปกรณ์)
  • NOW MAX : มัดรวมทุกแพ็กราคา 1,599 บาท (ดูพร้อมกันสูงสุด 4 จอบนทุกอุปกรณ์)

องอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ยอมรับว่า แม้จะไม่ได้คว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก แต่ทางทรูวิชั่นส์ได้ใช้งบลงทุนด้านคอนเทนต์ เพิ่มขึ้น 20% และมองว่าการแข่งขันในปัจจุบันเน้นที่ความ Exclusive ของคอนเทนต์ ซึ่งในฝั่งของกีฬา ทรูมั่นใจว่ามีความ กว้าง ที่สุดครบทุกหมวดหมู่

ในส่วนของคอนเทนต์บันเทิง ก็จะมีภาพยนตร์ใหม่ ๆ ที่เป็น Exclusive อย่างน้อยเดือนละ 1 เรื่อง หรือในกลุ่มอนิเมชั่นก็จะมีบางเรื่องที่ ฉายพร้อมญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีการลงทุน 200 ล้านบาทในการผลิต ออริจินอลคอนเทนต์ ของตัวเอง รวมแล้ว ในฝั่งคอนเทนต์บันเทิงของทรูวิชั่นส์นาวมีกว่า 2,000 รายการ รวมเวลากว่า 30,000 ชั่วโมง

จากการปรับทัพใหม่ในครั้งนี้ ทาง องอาจ วางเป้าหมายไว้ว่าจะสร้างการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ 50% ภายในปีนี้ จากปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.2 ล้านราย โดยเชื่อมั่นว่า จุดแข็งของทรูวิชั่นส์นาวคือ ความหลากหลาย และ ความคุ้นเคยของผู้ใช้ ที่ทำให้ลูกค้าจะไม่ ย้ายค่ายง่าย ๆ

เรียกได้ว่ารอบนี้ ทรูแก้เกมมาดีเลยทีเดียว ทั้งการฉกเอา BeIN Sports มาอยู่ในมือ ทั้งการจัดแพ็กเกจใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น คงต้องรอดูว่า AIS จะมีอะไรออกมาอีกหรือไม่ หรือสงครามสตรีมมิ่งของทั้ง 2 ค่ายจะยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ต้องติดตาม

]]>
1532042
ยิ่งกว่าสิงโตติดปีก! เมื่อ ‘AIS’ ได้ ‘พรีเมียร์ลีก’ เป็นหมัดน็อก พร้อมเดินหน้าดึงลูกค้าย้ายค่าย! https://positioningmag.com/1527515 Wed, 25 Jun 2025 10:28:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1527515 หากพูดถึงการแข่งขันของ โอเปอเรเตอร์ ของไทย เรื่องของ คอนเทนต์ ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ไม่มีใครยอมใคร และดูเหมือน ทรูมูฟเอช (TrueMove H) จะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในเกมนี้ และโดน หมัดน็อก จาก เอไอเอส (AIS) เพราะเดินเกมพลาดเสียลิขสิทธิ์สำคัญอย่าง ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ให้กับ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล

ตลอด 30 ปี ทรู เสียพรีเมียร์ลีกไป 2 ครั้ง

ย้อนกลับไปในช่วงเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลฟรีเมียร์ลีกมาอย่างยาวนาน คือ True Visions ที่ได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007-2008 มาจนถึง 2012-2013 แต่ในปี 2013-2016 ทาง True Vision ได้เสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกให้กับ บริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จำกัด หรือ CTH ผู้ให้บริการเคเบิลทีวีในประเทศไทย ที่ทุ่มเงินกว่า 10,100 ล้านบาท เอาชนะการประมูลไป

โดยทาง CTH ได้ปักราคาแพ็กเกจไว้ที่ 300-500 บาท โดยตั้งเป้าหมายในการขายสมาชิกแพ็กเกจที่ 1 ล้านราย เพื่อที่จะ ทำกำไร แต่กลับมีสมาชิกเพียง 2 แสนราย ห่างไกลกับเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก ยังไม่รวมต้นทุนอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยี และโครงข่ายในการถ่ายทอด ส่งผลให้บริษัทขาดทุนอย่างหนัก จนต้องยุติการให้บริการในปี 2016

ถัดจากนั้น ฤดูกาล 2016-2019 เป็น beIN Sports ที่ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ด้วยเม็ดเงิน 9,900 ล้านบาท แต่ ทรูก็ร่วมเป็นพันธมิตร ถ่ายทอดสดช่องทางเพย์ทีวีผ่านทรูวิชั่นส์ จนมาปี TrueVisions ก็ได้ดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลปี 2019-2022 และลากยาวต่อเนื่องมาจนถึงฤดูกาลปี 2022-2025 โดยใช้เงินซื้อลิขสิทธิ์ที่ปีละราว ๆ 10,000 ล้านบาท

เสียพรีเมียร์ลีกครั้งนี้ ไม่เหมือน 2 ครั้งก่อน

จนกระทั่งในปี 2025-2030 ทางกลุ่มทรูก็ ยกธงขาว ยอมแพ้การประมูลให้กับ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไปครองเป็นระยะเวลา 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 ด้วยมูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านบาท ซึ่งทรูมองว่า ถ้าต้องเสียเงินด้วยต้นทุนดังกล่าว ไปต่อได้ยาก

เพราะที่ผ่านมา ทรูถึงกับต้องปรับ ราคาแพ็กเกจ ฤดูกาล 2024-2025 ขึ้นมาเกือบ เท่าตัว จากราคาเต็มจะอยู่ที่ 3,200 บาทต่อฤดูกาล แถมมีราคา Early Bird ที่ 2,900 บาทต่อฤดูกาล มาเป็น 5,490 บาทต่อฤดูกาล และ 799 บาทต่อเดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ต้นทุนมันสูงมากจริง ๆ จนต้องมาขึ้นราคาในปีสุดท้าย

และเมื่อ ราคาแพงขึ้น จนลูกค้าหลายคนส่ายหัว ช่องทางธรรมชาติ ที่ผิดลิขสิทธิ์ ก็กลายเป็นอีก ทางเลือก ไปโดยปริยาย ดังนั้น แปลว่าความท้าทายของผู้ที่ได้สิทธิ์พรีเมียร์ลีกจากนี้ก็คือ ช่องเถื่อน หากทำราคาที่เข้าถึงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม การเสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ เพราะผู้ที่ได้ไปคือ JAS ซึ่ง AIS เพิ่งเข้าซื้อหุ้นใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในเครือ JAS ส่งผลให้ JAS รับทรัพย์ 2.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ในเมื่อ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป AIS จึงถูกมองว่าต้องได้ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกแบบนอนมาแน่นอน

ปั้น Entertainment Hub สู้ King of Sports

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ TrueVisions ที่มีคอนเทนต์แม่เหล็กอย่างฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจนสามารถสถาปนาตัวเองเป็น King of Sports ทางฝั่งของ AIS ก็กำลังคลำทางในการปั้นแพลตฟอร์ม AIS Play เพื่อมาต่อกร และกลยุทธ์ที่ AIS ทำก็คือคว้า พันธมิตร ให้มาอยู่ด้วยให้มากที่สุด ไม่ได้เน้นการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ หรือไปผลิตคอนเทนต์เอง เพราะมองแล้วว่า ไม่น่าเวิร์ก เนื่องจากไม่ได้ถนัด และต้องใช้ต้นทุนมหาศาล

ทำให้ไม่ว่าแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าไหนเข้ามาในตลาด AIS เก็บหมด ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Disney+ Hotstar, Prime Video, Max, Viu, iQiYi, WeTV, MonoMax เรียกได้ว่า เอ่ยชื่อแพลตฟอร์มไหน AIS มีหมด ซึ่งนั่นก็ทำให้ภาพลักษณ์ของ AIS ในด้านการเป็น Entertainment Hub ยิ่งชัดในสายตาผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพของการเป็น Entertainment Hub ของ AIS จะชัดเจนมากในตลาด แต่ ณ ตอนนั้น รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY มองว่า การเป็น Entertainment Hub ยังไม่ได้ดึงดูดให้เกิดการ ย้ายค่าย แต่ช่วยให้กับลูกค้าเดิมอยู่กับค่ายนานขึ้นมากกว่า

จากแค่ตรึง สู่การดึงลูกค้าย้ายค่าย!

แต่หลังจากที่ JAS ได้ประกาศว่า AIS เป็นพันธมิตรในการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แถมยังเอาสิทธิ์ ฟุตบอลไทยลีก มาได้อีก นั่นแปลว่า AIS ได้ จิ๊กซอว์ครบทุกตัว ที่จะใช้ แย่งลูกค้าทรู มาอยู่ในมือ ไม่ใช่แค่มีคอนเทนต์ไว้ตรึงลูกค้าให้อยู่กับค่ายอีกต่อไป

ทำให้ AIS เปิดศึกโดยการ ดั๊มพ์ราคา สุดว้าวที่ 299 บาทต่อเดือน และ 2,999 บาทต่อปี ดูได้ 1 จอ จากที่ True เคยทำไว้ 799 บาทต่อเดือน และ 5,490 บาทต่อปี ดูได้ 2 จอ เรียกได้ว่า หารครึ่ง ก็ยังแพงกว่า และถ้าเป็น ลูกค้า AIS ราคาลดไปอีกเหลือ 199 บาทต่อเดือน และ 1,999 บาทต่อปี ได้ดูทั้งพรีเมียร์ลีก ไทยลีก และคอนเทนต์ Monomax

ไม่ใช่แค่ราคาที่จูงใจให้ ย้ายค่าย แต่ AIS ยังออก แพ็กเกจย้ายค่าย ทั้งโมบายและเน็ตบ้าน พร้อมให้ดูพรีเมียร์ลีกฟรีทั้งฤดูกาล โดยโมบายจ่ายเดือน 699 บาท ได้โทร 200 นาที เน็ต 5G 45GB ส่วนเน็ตบ้านราคาเดียวกันได้อินเทอร์เน็ต 500/500 Mbps และไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ดูทันทีเพราะรอย้ายค่าย เพราะ AIS จะให้ ซิมดูบอล ไปใช้ก่อนเลยระหว่างรอ เรียกได้ว่าดึงดูดกันสุด ๆ เพราะ AIS คิดไว้แล้วว่าถ้าเพิ่มฐานลูกค้าได้มาก ก็จะยิ่งเป็นผลดีในระยะยาว

True แอบจัดโปร Monomax?

แน่นอนว่าฝั่ง True เองก็คงไม่ยอมอยู่เฉย ๆ เพราะนอกจากมีการปรับทัพคอนเทนต์ใหม่ไปเน้นเอนเตอร์เทนเมนต์มากขึ้นแล้ว ยังได้จัดโปรโมชันสำหรับ ลูกค้าที่สมัครแอปฯ กีฬา ตั้งแต่ 299 บาทขึ้นไปต่อรายการ และชำระด้วยเบอร์ทรูและดีแทค รับส่วนลด 100 บาท ไปเลย

แม้ว่า True จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ถ้าคุณไม่ใช่ลูกค้า AIS แล้วต้องการดูพรีเมียร์ลีก ก็มีแต่ต้องดูผ่าน Monomax ในราคา 299 บาทเท่านั้น ซึ่งทางทรูก็ชิงให้ส่วนลดไปเลย 100 บาท สำหรับลูกค้าทรูที่สมัครแอป Monomax แล้วจ่ายผ่านทรูหรือดีแทค สรุปง่าย ๆ ลูกค้าทรูก็ดูพรีเมียร์ลีกได้ผ่าน Monomax ได้ในราคา 199 บาท โดยไม่ต้องย้ายค่าย เพราะทรูลดราคาให้เองเลย!

ซึ่งโปรฯ ดังกล่าวก็ทำให้ JAS ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าวทันที พร้อมกับยืนยันว่า JAS ไม่มีนโยบายอนุญาตให้ทรูดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการขายในลักษณะนี้ และบริษัทฯ ได้ดำเนินการส่งหนังสือแจ้งไปยังทรู เพื่อให้ ยุติการเผยแพร่โปรโมชันดังกล่าวในทุกช่องทางทันที และยืนยันว่าโปรโมชันนี้จะต้องถูกยกเลิกตลอดระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง

เรียกได้ว่า สงครามสตรีมมิ่งเดือดยิ่งกว่าสงครามส่งด่วน เสียอีก งานนี้ก็คงต้องรอดูกันยาว ๆ ว่า AIS ที่ได้อาวุธครบมือจะโกยลูกค้าเข้าบ้านได้มากน้อยแค่ไหน และ True จะงัดอะไรออกมาต่อกรอีกบ้าง
]]>
1527515
กลัวแข่งราคา! ‘ทรูออนไลน์’ เดิมเกมอัดสิทธิประโยชน์ ‘เน็ตบ้าน’ ชูความ ‘คุ้ม’ มัดใจผู้บริโภค https://positioningmag.com/1466188 Thu, 14 Mar 2024 12:04:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466188 อย่างที่รู้กันว่า เอไอเอส นั้นได้ควบรวมกับ 3BB ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ส่งผลให้มีจำนวนผู้ใช้ เน็ตบ้าน หรือ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ รวมกันกว่า 4.72 ล้านราย แซงคู่แข่งอย่าง ทรูออนไลน์ บริการเน็ตบ้านจาก บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ผู้ใช้งานประมาณ 3.78 ล้านราย

ตลาดเน็ตบ้านยังไปต่อได้

แน่นอนว่าการจะกลับเป็นเป็นเบอร์ 1 อีกครั้งในตลาดเน็ตบ้านของ ทรูออนไลน์ ในเร็ววันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ใช่ว่าจะเติบโตไม่ได้ โดย สกลพร หาญชาญเลิศ หัวหน้าสายงานออนไลน์คอนเวอร์เจนซ์ บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่น ตั้งเป้าว่า ในปีนี้ทรูออนไลน์มีโอกาสโกยลูกค้าใหม่ได้อีก 2 แสนราย รวมเป็น 4 ล้านราย รวมถึงเพิ่มการเติบโตของ ARPU (รายได้เฉลี่ยต่อของผู้ใช้งานต่อคนต่อเดือน) ที่ปัจจุบันอยู่ 494 บาท

“ภาพรวมอุตสาหกรรมตอนนี้มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์รวม 10 ล้านราย ซึ่งเรามองว่ายังมีโอกาสเติบโต จากการขยายตัวของชุมชน โดยเห็นได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด”

ต้องเน้นอัดสิทธิประโยชน์ เพราะลงราคาไม่ไหว

ฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด ยอมรับว่า กลัวการแข่งราคา เนื่องจากตลาดอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มี ต้นทุนสูง โดยเฉพาะต้นทุนการติดตั้งที่ถือเป็นต้นทุนก้อนใหญ่ที่สุด เนื่องจากอสังหาฯ ของไทยส่วนใหญ่เป็นแนวราบไม่ใช่แนวดิ่งเหมือนต่างประเทศ ดังนั้น จะเห็นว่าสัญญาของผู้ให้บริการในตลาดส่วนใหญ่จะเพิ่มเป็น 2 ปี

ในขณะที่ลูกค้าเองก็พยายามหา ดีลที่คุ้มที่สุด ทำให้การทำตลาดของทรูออนไลน์ต้องหาสิทธิประโยชน์อื่น ๆ มาบวกเพิ่มเข้าไปในแพ็คเกจเพราะไม่สามารถ ขึ้นราคา ได้ง่าย ๆ แต่ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า อีกทั้งยังช่วยมัดใจลูกค้ากลุ่มพรีเมียม หรือช่วยให้ลูกค้าอัพเกรดโปรได้อีกด้วย โดยสิทธิประโยชน์ที่ใช้ได้ผลหลัก ๆ จะเป็น คอนเทนต์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และ กล้องวงจรปิด

ล่าสุด ทรูออนไลน์ได้เพิ่มแพ็กเกจใหม่ ได้แก่ PRO AI 799 บาท, เปลี่ยนเราเตอร์ที่รองรับความเร็วสูงสุด 2Gbps, มอบอินเทอร์เน็ต, ให้อินเทอร์เน็ตมือถือเพิ่ม 10GB นาน 3 วัน กรณีอินเทอร์เน็ตบ้านเกิดเหตุขัดข้อง และมอบประกันที่พักอาศัย เป็นต้น ปัจจุบัน แพ็กเกจเริ่มต้นของทรูออนไลน์อยู่ที่ 499 บาท ความเร็ว 500/500 Mbps

“ตอนเอไอเอสควบรวมกับ 3BB เราก็กังวลเรื่องการแข่งขันราคา เพราะถ้าลงแล้วผู้บริโภคจะเข้าใจยากกับการขึ้นราคา แต่ตอนนี้ไม่ได้แข่งเรื่องราคาแล้ว แข่งกันเรื่องคุณภาพ เทคโนโลยี และบริการบัลเดิลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า”

ยังใช้ หนุ่ม กรรชัย เป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่อง

พรีเซ็นเตอร์ ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลมาก เพราะแฟนคลับพร้อมจะสนับสนุน ยิ่งพรีเซ็นเตอร์ใช้งานสินค้าจริง จะยิ่งทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การที่ทรูออนไลน์ยังใช้ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นพรีเซ็นเตอร์ตั้งแต่เดือนมิถุนาคม 2022 ลากยาวจนถึงปี 2024 ก็ยิ่งยืนยันว่าใช้ได้ผล

“ตอนนี้พี่หนุ่ม กรรชัย กลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญของประเทศไทยไปแล้ว ดังนั้น การได้เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์แสดงความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เพราะถ้าของไม่ดีจริงก็เหมือนเขาแนะนำของไม่ดี” ฐานพล กล่าว

ฐานพล ทิ้งท้ายว่า เมื่อเอไอเอสกับ 3BB ควบรวมกันทำให้มีฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น ความท้าทายของ ทรูออนไลน์ คือ ทำให้ลูกค้าเก่าแฮปปี้มากที่สุดเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ และสิ่งที่กลัวที่สุดคือ การแข่งขันเรื่องราคา

]]>
1466188
เปิดแผน ‘ทรู’ ปี 2024 พร้อมตอบคำถามการทำ ‘Virtual Bank’ และความพร้อมประมูลคลื่นใหม่ในอนาคต https://positioningmag.com/1465594 Sat, 09 Mar 2024 05:05:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465594 ครบ 1 ปีเรียบร้อยสำหรับ ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เกิดจากการควบรวมระหว่าง ทรูและดีแทค โดยสามารถดึงลูกค้ามาเพิ่มได้ถึง 5 แสนราย รวมเป็น 51.9 ล้านราย และมีรายได้รวม 202,765 ล้านบาท แม้จะขาดทุน 15,689 ล้านบาท แต่ EBITDA ก็เติบโตได้ติดต่อกัน 4 ไตรมาส และปีนี้ทรูตั้งเป้าเติบโตที่ 3-4% โดยมีกลยุทธ์หลักคือ ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า

มั่นใจปีนี้สัญญาณและบริการจะยิ่งดีขึ้น

ปีที่ผ่านมา ทรูได้พัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) แล้วมากกว่า 2,400 เสาทั่วประเทศ สำหรับปีนี้ ทรูจะทำเพิ่มอีกประมาณ 8,000 เสาทั่วประเทศเพื่อให้ครบ 10,000 เสา โดยวางงบลงทุนไว้ 3 หมื่นล้านบาท อีกทั้งเชื่อว่าหากการควบรวมระบบสัญญาณเสร็จสมบูรณ์จะยิ่งทำให้คุณภาพสัญญาณดีขึ้น จากเดิมเป็นการเปิดโรมมิ่งเพราะการควบรวมยังไม่เสร็จสมบูรณ์

“พอการควบรวมแล้วลูกค้าทรู-ดีแทคจะสามารถใช้สัญญาณได้ครบจากทุกเสา เมื่อทุกเสาจะใช้คลื่นได้หมด คุณภาพก็จะดีหมดทั้ง ไม่ว่าจะเป็นความครอบคลุมและความเร็ว” มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว

ในส่วนของการขยายโครงข่าย 4G, 5G ก็ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของ 5G ทรูตั้งเป้าจะขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมการใช้งาน 99% ภายในปี 2573 ปัจจุบัน ทรูมีลูกค้า 5G รวมทั้งหมด 10.5 ล้านราย ส่วนลูกค้าบรอดแบนด์ทรูออนไลน์  3.8 ล้านราย

“ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการใช้งาน 5G ประมาณ 20% ขณะที่ประเทศเกาหลีใต้มีสัดส่วนการใช้งานสูงถึง 45% ส่วนญี่ปุ่น 26% ดังนั้น ไทยยังมีโอกาสเติบโต”

นอกจากนี้ ทรูมีแผนที่จะรวมทั้งหมดที่มี 9 แอป ให้เหลือ แอปเดียว เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าทั่วไปและพาร์ตเนอร์องค์กร โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3

นำเอไอมาใช้ทั้งกับลูกค้าและลูกจ้าง

นอกจากนี้ ทรูจะนำเทคโนโลยี AI มาใช้ทั้งเรื่องการขยายเครือข่ายและเพิ่มสัญญาณแบบเจาะลึกเฉพาะพื้นที่ทั่วประเทศ และการให้บริการลูกค้าแบบ Personalize เพื่อออกแบบบริการและนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงตรงไลฟ์สไตล์ลูกค้าแต่ละบุคคลได้มากขึ้น รวมถึงปรับปรุง มะลิ สู่ Gen2 ที่จะทำให้ฉลาดขึ้น มีความใกล้เคียงมนุษย์ ช่วยแก้ปัญหาทั้งของลูกค้าและพนักงานคอลเซ็นเตอร์ได้แบบเรียลไทม์

ในส่วนของพนักงานภายในองค์กร ทรูมีการรีสกิลและอัปสกิลพนักงาน โดยที่ผ่านมามีการพัฒนาพนักงานไปแล้วกว่า 2,400 คน และปีนี้จะเพิ่มเป็น 5,000 คน

“การใช้เอไอเพื่อเพิ่มคุณภาพการทำงานถือเป็นประเด็นสำคัญของโลกในตอนนี้ ดังนั้น เราต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์กร โดยความรู้และทักษะเก่าไม่พอ ต้องอัปสกิล รีสกิลเพื่อใช้งานหรือสร้างเอไอ”

ยืนยันไม่เคยลดคุณภาพ แต่ผู้บริโภคใช้เยอะไม่รู้ตัว

มนัสส์ ยังยืนยันว่า ทรูไม่มีการลดคุณภาพสัญญาณ แต่มองว่าพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการคอนซูมคอนเทนต์วิดีโอซึ่งใช้แบนด์วิดท์สูง ทำให้ผู้บริโภคใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว ซึ่งทรูพบว่าการใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้น 20% และระยะเวลาในการใช้งานดิจิทัลเซอร์วิสเพิ่มขึ้นจากวันละ 4.40 ชั่วโมง เป็น 5.38 ชั่วโมงต่อวัน

“คอมเพลนมีตลอด เราพยายามจะตอบสนองให้ดีที่สุด เพราะไม่มีเน็ตเวิร์กไหนไม่ถูกคอมเพลน ซึ่งการคอมเพลนของเราลดลง ความพอใจลูกค้าดีขึ้น และปีนี้จะทำให้ดีขึ้นอีก ลูกค้าจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน” มนัสส์ ย้ำ

ขอกสทช. มีความชัดเจนเรื่องจัดสรรคลื่น และจะทำ Virtual Bank ต้องมีพาร์ตเนอร์

จากกรณีที่คลื่นความถี่ 850 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ซึ่งจะหมดอายุในเดือน ก.ย.2568 ทางกสทช. ก็เตรียมนำคลื่นความถี่ดังกล่าวรวมถึงคลื่น 3500 MHz มาเปิดประมูล ซึ่งทาง มนัสส์ ยังไม่สามารถบอกได้ว่าทางทรูจะเคลื่อนไหวอย่างไร เนื่องจากอยากเห็น ความชัดเจนของกสทช. ว่าจะกำหนดกติกา, กำหนดเวลา รวมถึงราคาว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้วางแผนในการลงทุนได้

“ทรูสนใจไหมขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อม เช่น คลื่นไหนที่จะจัดสรร ไทม์ไลน์ และราคา เพราะต้องยอมรับก่อนว่าไทยเป็นประเทศที่มีคลื่นความถี่ที่แพงที่สุดในโลก แพงกว่าสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป และถ้าจะให้เราทำงานได้ดี วางเเผนได้ดี กสทช. ก็ต้องมีความชัดเจน”

ในส่วนของการทำ Virtual Bank ทาง มนัสส์ ยังบอกไม่ได้ว่าทรูจะทำหรือไม่ทำ แม้ว่าปัจจุบันทรูจะมีแพลตฟอร์ม TrueMoney ก็ตาม โดย มนัสส์ ระบุว่า หากทรูจะทำ Virtual Bank จะเป็นลักษณะของพาร์ตเนอร์ชิปเท่านั้น ไม่ทำเองคนเดียวเด็ดขาด

]]>
1465594
คุ้มแค่ไหนถามใจทรู! เปิดลิสต์เครือทรูที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ขึ้นแท่นเป็น ‘พรีเซ็นเตอร์’ https://positioningmag.com/1431989 Fri, 26 May 2023 11:31:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431989 ด้วยชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และความสามารถ จึงไม่น่าแปลกใจนักหากแบรนด์ (ที่มีเงินถึง) จะอยากคว้าตัวสาว ลิซ่า BLACKPINK หรือ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ไอดอล K-pop ที่ได้รับความนิยมและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลกมาขึ้นเป็น พรีเซ็นเตอร์ ให้กับแบรนด์ของตัวเอง และหนึ่งในนั้นก็คือ ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ดูเหมือนจะคุ้มสุด เพราะใช้ลิซ่าไปเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในหลายภาคส่วนเลยทีเดียว

3 ปีจากถิ่น AIS สู่ 3 พรีเซ็นเตอร์เครือทรูในปีเดียว

ย้อนไปเมื่อปี 2019 หากใครจำกันได้ ลิซ่า ได้กลายเป็นพรีเซ็นเตอร์ปี เอไอเอส (AIS) เบอร์ 1 ของตลาดโทรคมนาคมไทยในขณะนั้น โดยเอไอเอสถือเป็น แบรนด์แรกในไทย ที่คว้าตัวลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้สำเร็จ จากนั้น ลิซ่าก็เป็นครอบครัวของเอไอเอสมายาวนานถึงปี 2022 แต่ในปี 2023 ลิซ่าก็ไม่ได้ต่อสัญญากับทางค่ายต่อ

ซึ่งในตอนนั้น เอไอเอสได้เปิดเผยว่า บริษัทพยายามจะต่อสัญญากับลิซ่าแล้ว แต่ไม่สำเร็จเนื่องจาก ค่าย YG ปฏิเสธการต่อสัญญาและไปดีลกับบริษัทที่มี Conflict of interest ซึ่งหลายคนก็เดากันว่าต้องเป็น ทรู แน่นอน

อ่าน >>> ทำไม ‘เอไอเอส’ ต้องทุ่มจับ ‘New Gen’ และกลยุทธ์การใช้ ‘พรีเซ็นเตอร์’ จะเป็นอย่างไรเมื่อไร้ ‘ลิซ่า’

TrueID แพลตฟอร์มแรกที่ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์

มาต้นปี 2023 ก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดไว้ TrueID (ทรู ไอดี) แพลตฟอร์มคอนเทนต์ในเครือทรูฯ ก็ได้ประกาศว่า ลิซ่า เป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด พร้อมกับเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ พร้อมให้เหตุผลว่า “ลิซ่า BLACKPINK จะมาช่วยตอกย้ำภาพความเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกของ TrueID ที่ปัจจุบันให้บริการครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังได้เอ็กซ์คูลซีฟคอนเทนต์ของ BLACKPINK และคอนเทนต์อื่น ๆ จากศิลปินในสังกัด YG Entertainment  อีกด้วย

TrueX แอปพลิเคชันใหม่หลังควบรวม

หลังจากที่ ทรู และ ดีแทค ควบรวมกันเป็น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในช่วงเดือนมีนาคม และ 1 เดือนผ่านไป บริษัทก็ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ TrueX ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มที่รวมบริการต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของลูกค้าทรู และผู้บริโภคทั่วไปมารวมไว้ในแอปฯ เดียว อาทิ โซลูชันการดูแลบ้าน, สุขภาพ, ช้อปปิ้ง รวมถึงบันเทิง

และเพื่อสื่อสารความเป็น LifeOS แพลตฟอร์ม TrueX ก็เลือกใช้ ลิซ่า เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยมีการยิงโฆษณาทางช่องทางต่าง ๆ ทั้งทำโปรโมชันแพ็กเกจ เพื่อดันให้แพลตฟอร์มมียอดดาวน์โหลด 1 ล้านดาวน์โหลดในสิ้นปี

True Money ที่มีพรีเซ็นเตอร์ระดับโลกครั้งแรก

แม้จะทำตลาดไทยมานาน 8 ปี ให้บริการครอบคลุม 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีผู้ใช้มากกว่า 50 ล้านราย แต่แพลตฟอร์ม ทรูมันนี่ (True Money) ก็ยังไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์อย่างจริงจัง มีเพียงแค่บางแคมเปญเท่านั้น แต่มาปีนี้ ทรูมันนี่เลือกจะทุ่มเงินดึงลิซ่า มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงต้องการสื่อว่าแบรนด์ทรูมันนี่เป็นแบรนด์ใหญ่ระดับ Top เหมือนกับลิซ่า

เรียกได้ว่าผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งปี แต่เครือทรูก็ใช้ลิซ่ายืนเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วถึง 3 แพลตฟอร์ม ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าสนใจมากว่า เครือทรูฯ เลือกจะใช้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์เฉพาะ แพลตฟอร์มดิจิทัล แต่ไม่ได้ใช้มาสื่อสารถึงบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ส่วนนั้นเลือกใช้ นาย ณภัทร และ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าเครือทรูฯ จะใช้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัลไหนอีกบ้าง หรือจะข้ามฟากไปฝั่ง เครือซีพี ที่เคยมีข่าวลือ

]]>
1431989
EGG Digital เปิดตัว 6 บริการทรานส์ฟอร์มธุรกิจลูกค้า เตรียมขยายธุรกิจเพิ่มเติมในอาเซียนหลังจากนี้ https://positioningmag.com/1431642 Thu, 25 May 2023 02:50:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431642 เอ้ก ดิจิทัล (EGG Digital) ประกาศรุกธุรกิจให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจร ที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เปิดตัว 6 บริการหลัก รองรับลูกค้าธุรกิจค้าปลีกและ E-commerce ขณะเดียวกันก็เตรียมที่จะขยายธุรกิจเพิ่มเติมในอาเซียนนอกจากประเทศไทยและมาเลเซียหลังจากนี้

ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด ได้กล่าวถึงข้อมูลจาก IDC ถึงการนำเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางดิจิทัลเข้ามาใช้ในการวางรากฐาน เป้าหมาย การดำเนินธุรกิจ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า Digital Transformation ทั่วโลกภายในปี 2026 จะใช้เม็ดเงินมากถึง 3.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่เขาก็ได้ชี้ว่าในเม็ดเงินดังกล่าวนี้อาจมีความล้มเหลว เนื่องจากไม่มีคนที่ช่วยทำให้สิ่งดังกล่าวสำเร็จ

สำหรับอุตสาหกรรมทางค้าปลีกได้ใช้เงิน 388 ล้านเหรียญทำ Digital Transformation มีทั้งการลงทุนใน Big Data รวมถึงการใช้ AI เข้าไปในธุรกิจ เพื่อทำให้ธุรกิจฉลาดมากขึ้น มีประสิทธิภาพในองค์กรมากขึ้น เขายังกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวสำคัญมากสำหรับประเทศไทย เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่แค่เข้าใจลูกค้า แต่ทำอย่างไรที่ทำให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดีขึ้น

เขายังชี้ถึงว่าทำไมข้อมูล (Data) จึงมีความสำคัญมาก ปัจจัยสำคัญคือ ต้นทุนในการเก็บข้อมูลลดลงมาก สามารถเก็บข้อมูลปริมาณได้มากขึ้น เทคโนโลยีต่างๆ ยังทำให้เก็บข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด นอกจากนี้ยังรวมถึงการนำเครื่องมือถือสถิติและคณิตศาสตร์เข้ามา เขาได้เผยว่า EGG Digital มีโมเดลด้านสถิติเพื่อวิจัยลูกค้ามากถึง 20,000 โมเดล นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีอื่นๆ มาวิเคราะห์ลูกค้ามากกว่าเดิม เพื่อเข้าใจลูกค้าได้อย่างถ่องแท้

ขณะเดียวกันในแผนธุรกิจปี 2023 นี้ EGG Digital ได้เปิดตัวบริการ 6 บริการ ได้แก่

1. บริการให้คำปรึกษากับธุรกิจค้าปลีก (Retail Consulting) โดยการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และเสนอเป็นแผนธุรกิจ หรือแคมเปญต่างๆ ให้แก่ลูกค้า

2. บริการให้คำปรึกษาด้านการใช้ข้อมูลเชิงลึกผ่านโซลูชันแพลตฟอร์ม (Insight Solutions) ซึ่งบริษัทจะทำงานร่วมกับแบรนด์สินค้าต่างๆ ที่ต้องการสร้างการเติบโตในธุรกิจค้าปลีก โดยนำข้อมูลของลูกค้า มาวิเคราะห์และเสนอแผนงานที่ตอบโจทย์แบรนด์ต่างๆ

3. บริการสื่อโฆษณาครบวงจร (Media Commercialization) โดย EGG Digital จะเป็นผู้ให้บริการสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยใช้แพลตฟอร์มอัจฉริยะมาวางแผนการใช้สื่อให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับยอดขายของกลุ่มสินค้า แบรนด์ และผลิตภัณฑ์เพื่อให้แต่ละแบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและสร้างแคมเปญได้อย่างเหมาะสม

4. บริการมีเดีย เอเจนซี ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มโซลูชัน (Platform Solutions) – เพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจของคู่ค้าด้วยบริการด้านแพลตฟอร์มโซลูชัน รวมถึงวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสมและตรงกับกับกลุ่มเป้าหมายลูกค้า รวมถึงพัฒนาเว็บไซต์และบริหารจัดการโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง

5. บริการด้าน SMS & Marketing Automation โดยบริษัทจะนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสมแก่แบรนด์เพื่อบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ LINE, Facebook, TikTok และโซเชียลมีเดียอื่นๆ รวมถึง SMS, Google SEO SEM

6. บริการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ (Data Analytics) นำข้อมูลมาบริหารจัดการและพัฒนาเป็นแผนงานที่ชัดเจน เพื่อสร้างประโยชน์แก่ธุรกิจและผู้บริโภคปลายทาง เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็น การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม และการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้น 

ปัจจุบัน EGG Digital โฟกัสไปยังกลุ่มลูกค้า FMCG โดยมีลูกค้าที่เป็นแบรนด์ดังอย่าง Unilever Nestle Oishi เป็นต้น รวมถึงสถาบันการเงินบางรายที่ใช้ได้บริการของบริษัท

ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เตรียมขยายธุรกิจมาทำ Shopper Digital Screen โดยเอาจอใหญ่คุณภาพสูงมาเป็นป้ายโฆษณา เช่น บริเวณป้ายของ Lotus’s โดยเริ่มต้นที่ 24 จุดที่มีปริมาณผู้คนหนาแน่น ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ EGG Digital คาดหวังว่าจะทำรายได้ให้กับบริษัทในสัดส่วน 10-20% ของรายได้รวมหลังจากนี้

นอกจากนี้แผนของ EGG Digital ยังตั้งเป้าขยายธุรกิจไปยังอาเซียนให้ได้มากขึ้น นอกจากประเทศไทยและมาเลเซีย ธีรเดชยังมองว่าธุรกิจของบริษัทแตกต่างจากรายอื่น และไม่มีคู่แข่งประเภทนี้ที่ทำธุรกิจในไทย และจะสามารถขยายธุรกิจไปในละแวกอาเซียนหลังจากนี้ได้ ล่าสุดมีพาร์ตเนอร์จากอาเซียนเริ่มพูดคุยบ้างแล้ว

]]>
1431642
‘ทรู คอร์ปอเรชั่น’ ยังไม่ฟันอนาคตยุบเหลือ ‘แบรนด์เดียว’ ย้ำ 3 ปีนี้ ‘ทรู-ดีแทค’ ยังต้องแข่งหาลูกค้า https://positioningmag.com/1421654 Thu, 02 Mar 2023 11:34:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421654 เริ่มสตาร์ทวันที่ 1 มีนาคม สำหรับ ‘บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)’ ที่เกิดจากการควบรวมของ ‘ทรู’ และ ‘ดีแทค’ ซึ่งนับเป็นการควบรวมกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากมูลค่าของกิจการ (Market Capitalization) ที่รวมกันถึงประมาณ 2.94 แสนล้านบาท แล้วหลังจากควบรวมขุมพลังของ ทรู คอร์ปอเรชั่น จะมีอะไร ลูกค้าจะได้อะไรเพิ่มเติม ไปหาคำตอบกัน

โรมมิ่งคลื่น แต่ไม่รวมคลื่น

แม้ทรู-ดีแทค จะควบรวมกัน แต่การรวม คลื่นความถี่ เป็นสิ่งที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ย้ำว่า ห้ามรวมกันเด็ดขาด ดังนั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงเปิดบริการโรมมิ่งข้ามเครือข่ายในชื่อสัญญาณ ‘dtac-true’ และ ‘true-dtac’ โดยลูกค้าทั้ง 2 ค่ายที่รวมกันกว่า 55 ล้านราย (ทรู 33.8 ล.) (ดีแทค 21.2 ล.) จะใช้งานได้ ผ่านการเปิดโรมมิ่งข้อมูล โดยจะครอบคลุม 77 จังหวัดภายในกลางเดือนมีนาคมนี้ นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายโครงข่าย 5G ครอบคลุม 98% ของประชากร ในปี 2569 อีกด้วย

ทั้งนี้ หลังการควบรวม ทรู คอร์ปอเรชั่น มีคลื่นความถี่ทั้งหมด ได้แก่

  • ย่านความถี่ต่ำ ได้แก่ 700 MHz, 850 MHz และ 900 MHz ที่มีความสามารถในการทะลุทะลวง ครอบคลุมพื้นที่ในวงกว้าง
  • ย่านความถี่กลาง 1800 MHz 2100 MHz 2300 MHz 2600 MHz
  • ย่านความถี่สูง 26 GHz สำหรับใช้งานในภาคธุรกิจ

ใช้ชื่อทรูเพราะฉายภาพนวัตกรรมชัดกว่า

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ เมื่อควบรวมกัน ทำไมชื่อบริษัทกลับมีแต่ทรู โดย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า เนื่องจากแบรนด์ทรูมีโปรดักส์ด้านดิจิทัลที่ครอบคลุมกว่า เช่น เรื่องของคอนเทนต์ ดังนั้น บริษัทใหม่ที่ต้องการสื่อสารว่าเป็นบริษัท โทรคมนาคม-เทคโนโลยี จึงเลือกใช้ชื่อของทรู

“บริษัทใหม่จะได้ประโยชน์จากการผนึกกำลังร่วมกัน (Synergy) ทั้งด้านการลงทุนและรายได้ ซึ่งจะขับเคลื่อนร่วมกัน อาทิ โครงข่ายโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เครือข่ายไอที การจัดซื้อ การขาย การตลาด ช่องทางการค้าปลีก และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยจะนำสู่สมดุลความเสมอภาคและความเท่าเทียมในการแข่งขัน และจะนำมาสู่ประโยชน์สูงสุดของลูกค้า

ยังไม่ฟันอนาคตเหลือแบรนด์เดียว

ฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด กล่าวว่า ตามกฎของกสทช. ที่กำหนดไว้ว่า เมื่อรวมกิจการแล้วต้องคงแบรนด์ไว้ 3 ปี ทำให้แบรนด์ทรู-ดีแทคยังคงอยู่ในตลาด ลูกค้าทั้งสองไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ด สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง แพ็กเกจและอายุการใช้งานยังเหมือนเดิม รวมถึงช่องทางติดต่อหรือศูนย์บริการก็ยังใช้ของค่ายเดิมได้เลย

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่เคาะว่าในอีก 3 ปีจากนี้จะไปในทิศทางไหน จะรวมเป็นแบรนด์เดียว หรือ สร้างเป็นแบรนด์หลัก-แบรนด์รอง ซึ่งทั้ง 2 โมเดลก็มีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน แต่ปัจจุบันการทำตลาดของ 2 แบรนด์ยังต้องทำคู่ขนานกันไป ยังต้องแข่งขันในการหาลูกค้าตามปกติ ขณะที่พนักงานก็ยังทำงานแยกกัน ดีแทคยังทำงานที่จามจุรี ส่วนพนักงานทรูยังอยู่ที่ตึกทรู

“เรากำลังศึกษาอยู่ว่าจะรวมเป็นแบรนด์เดียวหรือสร้างเป็นแบรนด์หลัก-แบรนด์รองเหมือนโตโยต้ากับเลกซัส”

ทั้งนี้ แม้แบรนด์จะแยกกันทำ แต่สิ่งที่ลูกค้าทั้ง 2 ค่ายจะได้เพิ่มเติมคือ สิทธิประโยชน์ที่รวมกัน เช่น ดีแทคจะสามารถเข้าถึงบริการคอนเทนต์ของทรู หรือลูกค้าทรูจะสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากแบรนด์พันธมิตรของดีแทคได้ โดยหลังจากควบรวม ทางบริษัทได้เพิ่ม Better Together Gifts ได้แก่ ดูฟรี บอล หนัง และคอนเทนต์ระดับโลก นาน 30 วัน ผ่านแอปฯ ทรูไอดี, เน็ตฟรี 10GB นาน 7 วัน ทั้งเติมเงิน และรายเดือน และดื่มฟรี 1 ล้านแก้ว เลือกรับฟรี All Cafe, KOI The, DAKASI วันที่ 10 และ 24 มี.ค. ให้กับลูกค้าทั้ง 2 ค่าย

วาง 7 กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กร

  1. ผู้นำด้านโครงข่ายโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างแท้จริง (Be the Undisputed Network and Digital Infrastructure Leader ) – การผสานศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทใหม่ ทั้งโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัล อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานสากล ระบบคลาวด์ การต่อยอดนวัตกรรมบริการดิจิทัลต่างๆ เพื่อคนไทย ทั้ง IoT, AI Analytic, Machine Learning, Cyber Security ที่จะช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนวิถีดิจิทัล (Digital Transformation) ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
  2. เติบโตเป็นผู้นำนอกเหนือจากบริการหลัก (Champion Growth Beyond the Core) – มุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัล โซลูชัน รวมถึงระบบนิเวศดิจิทัลที่ครบวงจร พร้อมร่วมขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลในทุกภาคส่วน (Digital Inclusion) สร้างประสบการณ์ใหม่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพให้องค์กรธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนร่วมสนับสนุนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้เร็วยิ่งขึ้น
  3. สร้างมาตรฐานประสบการณ์ใหม่เพื่อลูกค้าในประเทศไทย (Set the Bar for Customer Experience in Thailand) – ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาช่วยในการวิเคราะห์ เติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าได้ตรงใจมากขึ้น ทั้งการนำเสนอสินค้าบริการ การมอบสิทธิพิเศษ ตลอดจนช่องทางการเข้าถึง O2O ผ่านการผนึกพลังทั้งออฟไลน์ในเครือทั่วประเทศและออนไลน์แบบ 24 ชม.
  4. เติมเต็มชีวิตอัจฉริยะยิ่งขึ้นเพื่อทุกสไตล์ลูกค้าชาวไทย (Enhance Smart Life for Customers) – ทรู คอร์ปอเรชั่น จะส่งมอบประสบการณ์ชีวิตอัจฉริยะเพื่อคนไทย ยกระดับวิถีชีวิต และไลฟ์สไตล์ทั้งความสะดวกสบาย การดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
  5. ยกระดับมาตรฐานสำหรับลูกค้าองค์กร (Raise Standards for Enterprise Customers) – บริษัทใหม่จะเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคธุรกิจทั้งลูกค้า SME ธุรกิจองค์กรและภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ อาทิ IoT, Robotics, AI Analytics และ Blockchain พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สู่การพัฒนานวัตกรรมโซลูชันครอบคลุมทุกมิติ
  6. สร้างสุดยอดองค์กรที่น่าทำงาน (Build the Best Place to Work) – บริษัทใหม่จะเป็นองค์กรแนวหน้าที่ขับเคลื่อนด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน ดึงดูดคนเก่งที่มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลก
  7. การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มคุณค่าขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว (ESG Best in class: Sustainable Organization to Create Long Term Value) – มุ่งเน้นการนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม มาร่วมสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับทุกชีวิต นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งมิติด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

เราตั้งเป้าจะก้าวไปเป็นหนึ่งในองค์กรนายจ้างที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเราได้เพิ่มสวัสดิการให้เท่าเทียมทุกเพศ รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+”

]]>
1421654
ทรู คลิกไลฟ์ มุ่งเสริมแกร่งโรงเรียนเอกชนด้วย CREATIVE LEARNING INNOVATION จัดทัพนวัตกรรมการเรียนล้ำนำเทรนด์ ครบวงจร พร้อมยกระดับเด็กไทยก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มศักยภาพ https://positioningmag.com/1414171 Tue, 03 Jan 2023 10:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414171

ทรู คลิกไลฟ์ TRUE CLICK LIFE ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษาแบบครบวงจร ก้าวสู่ปีที่ 15 ไปพร้อมกับความมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย เสริมแกร่งโรงเรียนเอกชนสู่การเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 21 โดยดึงจุดแข็งด้านความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการสื่อสารครบวงจรและนวัตกรรมล้ำสมัยของไทย ต่อยอดสู่การออกแบบหลักสูตรที่มีกระบวนการการจัดการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ และผลิตนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ให้กับโรงเรียนเอกชน

โดดเด่นที่หลักสูตรคุณภาพก้าวล้ำนำเทรนด์ และกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ พร้อมสื่อการสอนครบครัน หวังแบ่งเบาภาระของครูผู้สอน เพิ่มประสิทธิภาพของผู้เรียน โดยมีโรงเรียนทั่วประเทศที่ใช้หลักสูตรพิเศษนี้กว่า 250 แห่งแล้ว และพร้อมที่จะขยายศักยภาพสื่อการเรียนการสอนที่รองรับการศึกษาไทยในยุคใหม่ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เดินหน้าสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง มุ่งอบรมพัฒนาครู เพิ่มรายวิชาที่รองรับแนวโน้มการศึกษาในอนาคต อัปเดทหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

ดร. เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านความเป็นเลิศทางธุรกิจและการศึกษา บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดมุมมองก้าวทันโลกดิจิทัลสู่การเรียนรู้ที่ยั่งยืนว่า ทรูเข้ามามีส่วนผลักดันกระบวนการศึกษาของไทยหลากหลายมิติมาโดยตลอด ทรูจึงมองเห็นช่องว่างด้านการเชื่อมต่อกระบวนการเรียนรู้ เกิดไอเดียผลิตสื่อมัลติมีเดียและคลังความรู้ในรูปแบบดิจิทัลขึ้นเอง ด้วยการใช้ศักยภาพด้านการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ผลิตนวัตกรรมสื่อการสอนเต็มไปด้วยองค์ความรู้ที่เหมาะสมกับระดับการเรียนรู้ของเด็กแต่ละชั้นเรียนภายใต้การทำงานของ ทรู คลิกไลฟ์ (TRUE CLICK LIFE)

ผู้บริหารด้านการศึกษา ทรู เผยวิสัยทัศน์ของทรู คลิกไลฟ์ จะมุ่งยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนเอกชนสู่มาตรฐานสากล เน้นการพัฒนาระบบการเรียนการสอนยุคใหม่ภายใต้แนวคิด CREATIVE LEARNING INNOVATION ประกอบด้วย 5 นวัตกรรมครบวงจร ครอบคลุมทุกมิติการศึกษา

1. Innovative Curriculum นวัตกรรมหลักสูตรคุณภาพ ได้แก่ หลักสูตรเทคโนโลยีวิทยาการคำนวณ (Computing Science Genius Program) หลักสูตรภาษาอังกฤษ (English Genius Program) หลักสูตรภาษาจีน (Chinese Genius Program) หลักสูตรโรโบติกส์ (Robotics Genius Program) และหลักสูตรดนตรี (Music Genius Program)

2. Innovative Multimedia สื่อมัลติมีเดียล้ำสมัย ตอบโจทย์การศึกษายุคใหม่

3. Innovative Education Management ระบบการบริหารจัดการการศึกษา วิเคราะห์ประเมินข้อมูลโรงเรียน ครู นักเรียนได้ตรงจุด

4. Innovative Learning Community สร้างสังคมการเรียนรู้ เชื่อมโยง ครู นักเรียน ผู้ปกครอง เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา

5. Innovative Professional Development พัฒนาบุคลากรทางการศึกษาสู่มืออาชีพ เสริมทักษะก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องตลอดปี

ทั้งนี้ เหตุผลที่ทรู คลิกไลฟ์ ชนะใจ และเข้าสู่รั้วโรงเรียนเอกชนได้มากกว่า 250 แห่งในปัจจุบัน มาจากความเข้าใจความต้องการของโรงเรียนแต่ละแห่งอย่างลึกซึ้ง และสามารถตอบสนองได้อย่างตรงจุด พร้อมนำเสนอความคุ้มค่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กนักเรียนมากที่สุด และส่งมอบกระบวนการเรียนรู้แบบครบวงจรให้กับโรงเรียนแบบเบ็ดเสร็จ (End to End)

“เราขอเพียงห้องเปล่าเพื่อปรับเปลี่ยน ดีไซน์สิ่งแวดล้อม จัดวางสื่อ และบูรณาการเรียนการสอนให้ตรงตามเป้าหมาย รวมทั้งสื่อการเรียนการสอนที่เข้าใจเด็ก ให้ความสนุก กระตุ้นการคิดวิเคราะห์ และเหมาะสมกับเด็กในแต่ละช่วงวัย รวมทั้งใบงาน กิจกรรม และการประเมินผล ตลอดจนพัฒนาครูต้นแบบที่เข้าใจระบบการเรียนรู้ตามแบบฉบับของทรู คลิกไลฟ์ ส่งตรงถึงโรงเรียน เพื่อนำไปสื่อสารต่อกับครูของโรงเรียนอีกทอดหนึ่ง เพื่อทำให้รูปแบบการเรียนการสอนสมบูรณ์แบบและผลสัมฤทธิ์สูงสุด” ดร. เนตรชนก กล่าว

“เสน่ห์ของสื่อการเรียนการสอนของทรู คลิกไลฟ์ คือความใส่ใจในกระบวนการการเรียนรู้ของเด็ก สามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างเป็นธรรมชาติ และสอดคล้องกับชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ในแต่ละชั้นวัย เราสร้างแอนิเมชัน ที่มีคาแรกเตอร์อย่างพี่แทนและน้องแยมเป็นตัวแทนของเด็กชายและหญิง และยังมีพี่คลิก Click เป็นตัวแทนของผู้ช่วยเหลือการเรียนที่จะเติบโตตามเด็กๆ ไปเรื่อย ๆ เราสร้างสื่อการสอนที่ใส่ใจในรายละเอียด และสอดรับกับการเรียนรู้ มีการใช้สื่อแบบผสมผสาน อาทิ หนังสือ สื่อภาพ สื่อกิจกรรม สื่อดิจิทัล เพลง การ์ตูนแอนิเมชัน เกมฝึกทักษะ แฟลชการ์ด บวกกับทักษะการสอนของครูที่จะสังเกตพฤติกรรมและกระตุ้นเด็กให้สนุกกับเรียนรู้ตลอดคาบเรียน พร้อมกับเชื่อมโยงกับกิจกรรมในห้องเรียนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดจินตนาการและสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใช้ความคิดวิเคราะห์ เรียนรู้ และบรรลุผลตามโครงสร้างหลักสูตร”

ดร.เนตรชนก กล่าวต่อว่า ทรู คลิกไฟล์ ไม่เพียงมุ่งเฉพาะเจาะจงไปที่เด็กเท่านั้น แต่ยังใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยง ครู นักเรียน และผู้ปกครองเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ทุกที่ทุกเวลา ด้วยการใช้เครื่องมือที่กระตุ้นส่วนรวมเรียนรู้ร่วมกัน อีกทั้งยังพัฒนาระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพการสอนของครูผู้สอน ส่งต่อชุดความรู้สู่ผู้เรียนได้อย่างตรงจุด และแสดงผลการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัล มีการวิเคราะห์และประเมินข้อมูลของโรงเรียน ครู และนักเรียนในทุกมิติเพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการและความก้าวหน้าในการจัดการศึกษาอีกด้วย

ทั้งนี้ แนวทางในการพัฒนาต่อของทรู คลิกไลฟ์ จะยังคงสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องด้วยกระบวนการที่เชื่อมโยง โดยจะพัฒนาสื่อการเรียนให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทรู คลิกไลฟ์ มีเครื่องมือพร้อมจัดทำสื่อต่าง ๆ ให้สดใหม่ได้อยู่เสมอ นอกจากนั้นยังมีแผนในการสร้าง Learning Center เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาแบบยั่งยืนให้ทั้งนักเรียนและครู ได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคต ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 พร้อมประกาศตัวเป็นทางเลือกทางการศึกษา โดยคาดหวังจำนวนโรงเรียนที่สนใจหลักสูตรทรู คลิกไลฟ์ เพิ่มขึ้น 500 – 1,000 แห่งทั่วประเทศ

โรงเรียนเอกชนที่สนใจเข้าร่วมหลักสูตร ทรู คลิกไลฟ์ ติดต่อได้ที่โทร. 08-9116-0239 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.trueclicklife.com

 

]]>
1414171