หลังจากที่ได้เปิดตัวร้าน ถูกดี มีมาตรฐาน ไปเมื่อ 2564 และเป็นโปรเจกต์ส่วนตัวของ เสถียร เสถียรธรรมะ (เสถียร เศรษฐสิทธิ์) ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ที่ต้องการที่จะยกระดับร้านโชห่วย จากการรุกเข้ามาของร้านค้าปลีกสมัยใหม่

การทำให้ร้านโชห่วยยกระดับขึ้นมาในแผนธุรกิจของ เสถียร ก็คือการนำระบบการจัดการแบบโมเดิร์นเทรด เข้าไปช่วยยกระดับร้านโชห่วยในชุมชนให้อยู่รอด และมีรายได้ที่เติบโต ต่างจากในอดีตที่หลายร้านมีปัญหาเรื่องสต็อกสินค้า การจัดการรายรับรายจ่าย ไปจนถึงโปรโมชันต่างๆ ฯลฯ

Positioning สรุปประเด็นที่น่าสนใจกับแผนธุรกิจในปีนี้

ตั้งเป้าเปิด 8,000 สาขา

ล่าสุดเขาได้เปิดเผยว่าปัจจุบันสาขาของ ถูกดี มีมาตรฐาน มีมากถึง 5,000 กว่าสาขาแล้ว ปัจจุบันมีสมาชิกมากถึง 1 ล้านราย ขณะที่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อนั้นมากถึง 5 ล้านรายต่อวัน

เสถียร ยังได้กล่าวเสริมว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ สาขาส่วนใหญ่ 60% นั้นอยู่ในภาคอีสาน เขาชี้ว่าภาคอีสานมีชุมชนที่อยู่รวมกันจำนวนมาก แตกต่างกับชุมชนในภาคเหนือที่มีพื้นที่อยู่อาศัยเบาบางกว่า ขณะที่สาขาที่มียอดขายที่ดีนั้นอยู่ในภาคกลางและกรุงเทพมหานคร

ขณะที่เป้าหมายธุรกิจของ ถูกดี มีมาตรฐาน ภายในปี 2566 นั้นจะเปิดสาขาได้ราวๆ 8,000 สาขา ถ้าหากยอดขายรวมได้ 40,000 ล้านบาท เขาคาดการณ์ว่าก่อนเดือนธันวาคม บริษัทจะไม่ขาดทุนเหมือนปัจจุบันที่ยังมีผลประกอบการขาดทุนอยู่ราวๆ 3,000 ล้านบาท

ปัญหาของร้าน

อย่างไรก็ดีปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจ ถูกดี มีมาตรฐาน นั้นเขามองว่าหลายร้านที่ปิดไป 90% ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้นอกระบบ ส่วนอีก 10% เขามองว่าเกิดจากยอดขายไม่ดีจริงๆ หรือเจ้าของร้านไม่ได้ดูแลอย่างจริงจัง รวมถึงให้คนอื่นดูแลแทน

แต่ถ้าหากเป็นบางร้านที่ขายดีแต่ได้กำไรน้อยนั้นอาจเกิดจากร้านเน้นในเรื่องขายส่ง เช่น หลายร้านได้ขายส่งเบียร์ให้กับร้านอาหารขาประจำเป็นจำนวนมาก อาจทำให้ได้กำไรน้อยลง เป็นต้น

เสถียรชี้ว่าโมเดลธุรกิจของร้าน ถูกดี มีมาตรฐาน หลายพาร์ตเนอร์ทำได้ดีและพิสูจน์มาแล้วว่าพาร์ตเนอร์อยู่ได้ จึงไม่ต้องปรับโมเดล เขาชี้ว่าร้านที่มีปัญหานั้นเป็นส่วนน้อยมาก เขายังกล่าวเสริมว่าหลายร้านเองนั้นมีทำเลที่ดีด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องปิดตัวลงไป

ขณะเดียวกันเขาก็ได้เปลี่ยนให้ผู้สมัครที่สนใจนั้นต้องผ่านการสัมมนาเพื่อทำความเข้าใจในการเปิดร้าน ปัจจุบันมีผู้สมัครสัปดาห์เฉลี่ย 500 รายต่อสัปดาห์ และย้ำว่าจะต้องทำให้ทุกร้านขายดี

อีกปัญหาใหญ่ที่เขาพบคือต้นทุนร้านค้าเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยสำคัญคือค่าไฟที่แพงขึ้น หลายพาร์ตเนอร์ได้กล่าวกับเขาว่าอยากให้บริษัทดูแลค่าใช้จ่ายส่วนนี้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของภาษีเงินได้

โอกาสใหม่ๆ ในปีนี้

ประธานกรรมการของ ทีดี ตะวันแดง ได้กล่าวว่า ในปีนี้มีบริษัทขายสินค้าออนไลน์รายหนึ่ง เริ่มเห็นลู่ทางของ ถูกดี มีมาตรฐานในช่องทางการส่งสินค้า และจับมือเป็นพันธมิตร

สำหรับแผนการในการปล่อยสินเชื่อร่วมกับธนาคารกสิกรไทยนั้น เขากล่าวว่าอาจต้องเลื่อนไปช่วงปลายปีนี้ เขายังกล่าวเสริมว้ากำลังดูช่องทางระบบฝากถอนเงินให้กับธนาคารต่างๆ ด้วย ไม่เพียงเท่านี้เตรียมเปิดคลังสินค้าแห่งใหม่ที่ขอนแก่น บุรีรัมย์ และลำพูน ที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างในช่วงกลางปีนี้หลังจากที่ได้ซื้อที่ดินเป็นที่เรียบร้อย

ขณะเดียวกันเขาได้กล่าวว่าวางแผนที่จะขยายร้าน ถูกดี มีมาตรฐาน รวมถึง CJ ไปในภาคใต้ แต่ยังไม่ถึงขั้นขยายคลังสินค้าในภาคใต้ สำหรับเรื่องของคู่แข่ง เขาได้ชี้ถึงข้อดีว่าทำให้เกิดการแข่งขัน และทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพแต่อย่ามองว่าเป็นเรื่องทุกข์

เสถียรได้กล่าวว่าโปรเจกต์ ถูกดี มีมาตรฐาน จะเป็นโปรเจกต์สุดท้ายที่เขาทำก่อนที่จะวางมือ เขายังกล่าวติดตลกว่าถ้าไปงานเลี้ยงของพาร์ตเนอร์ร้านค้าของ ถูกดี มีมาตรฐาน มีคนขอถ่ายรูปกับเขามากกว่า แอ๊ด คาราบาว ด้วยซ้ำ

สำหรับ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” มีแนวคิดสร้างมาตรฐานวงการร้านค้าปลีกชุมชน ด้วยการยกระดับมาตรฐานร้านค้าปลีกให้ทันสมัยด้วยความรู้ และเทคโนโลยีการบริหารจัดการร้าน โดยชูโมเดลร้านค้าชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน และมุ่งแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายมาโดยตลอด กับแนวคิด “กินแบ่ง ไม่กินรวบ” โดยถือเป็นร้านสะดวกซื้อชุมชนที่เติบโตเร็วที่สุด

ในความร่วมมือดังกล่าวนี้ธนาคารกสิกรไทย (KBank) เตรียมร่วมลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท ในด้านต่างๆ ประกอบไปด้วย

• สนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว จำนวน 8,000 ล้านบาท
• ร่วมลงทุนผ่านตราสารการลงทุนที่ให้สิทธิลงทุน (หุ้นกู้แปลงสภาพ) ในหุ้นของบริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด จำนวน 5,000 ล้านบาท
• เตรียมลงนามในสัญญาร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อให้บริการสินเชื่อเต็มรูปแบบ จำนวน 2,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันในด้านของการพัฒนาร้านถูกดี มีมาตรฐาน ที่ธนาคารมีแผนดำเนินการร่วมกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่

1. ส่งเสริมศักยภาพของร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ให้เป็นร้านสะดวกซื้อชุมชน ซึ่งร้านค้าชุมชนถือเป็นรากฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยทางใช้เทคโนโลยีการบริหารจัดการร้านและระบบการชำระเงินต่างๆ
2. เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค้าขายต่างๆ โดยธนาคารนำข้อมูลการจับจ่ายในชีวิตประจำวันมาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีหลักฐานแสดงรายได้ประจำ หรือเจ้าของร้านค้าที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนภายในร้าน
3. เป็นจุดให้บริการธุรกรรมการเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับคนในชุมชน เช่น บริการถอนเงิน จ่ายบิล เป็นต้น รวมทั้งเพิ่มบริการดิจิทัลต่างๆ เช่น สแกนจ่ายด้วยคิวอาร์ โค้ด ซึ่งคนในชุมชน ส่วนใหญ่เริ่มคุ้นเคยแล้ว เป็นผลจากนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐในช่วงผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

ความร่วมมือดังกล่าวยังทำให้ KBank สามารถที่จะเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้บริการสินเชื่อหรือบริการของธนาคารฯ ซึ่งความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจคาราบาวครั้งนี้ตามหลังมาจากการประกาศโครงการเดินหน้าเชิงกลยุทธ์มูลค่า 1 แสนล้านบาท และจะทำให้ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อที่แต่เดิมต้องใช้บริการสินเชื่อนอกระบบ ได้มาใช้บริการของธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าด้วย

พัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ชุมชนนอกตัวเมืองในจังหวัดต่างๆ เป็นพื้นที่ที่ลูกค้ามีความต้องการใช้บริการการเงิน บางส่วนไม่มีบัญชีเงินฝาก ไม่มีหลักฐานการเงินที่ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และเป็นพื้นที่ที่สาขาของธนาคารยังเข้าไม่ถึง สามารถจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ง่ายขึ้น สร้างรายได้หมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชน

เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างร้านถูกดี มีมาตรฐาน กับธนาคารกสิกรไทย ในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างกำลังซื้อให้กับชุมชน และความแข็งแกร่งในการให้บริการแก่ผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการเฉพาะสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของร้านซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์ของ และเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเปิดร้านรายอื่นๆ ที่จะเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ในอนาคต ตลอดจนซัพพลายเออร์และผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ในตลาดค้าปลีกได้มากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันร้านถูกดี มีมาตรฐานนั้นมีสาขาอยู่ราวๆ 5,000 สาขา และตั้งเป้าที่จะมีสาขาให้ได้ถึง 30,000 สาขาภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่สัดส่วนการแบ่งกำไรของร้านนั้นจะอยู่ที่ 85-15 โดย 85% ของกำไรนั้นเจ้าของร้านได้ไป ขณะที่อีก 15% เป็นของทีดี ตะวันแดง