สำนักข่าว The Register รายงานข่าวนโยบายการทำงานแบบใหม่ของ “Dell Technologies” ที่ประกาศเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนว่า บริษัทต้องการให้พนักงานลงทะเบียนเลือกระหว่าง “กลับเข้าออฟฟิศ” ตามนโยบายใหม่ของบริษัท หรือ “ทำงานทางไกล” (remote work)
หากเลือกนโยบาย “กลับเข้าออฟฟิศ” ของ Dell พนักงานจะต้องเข้ามาอย่างน้อย 39 วันต่อไตรมาส หรือเฉลี่ยแล้วเท่ากับอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
แต่ถ้าหากเลือกตัวเลือก “ทำงานทางไกล” พนักงานจะต้องยอมรับเงื่อนไขติดตามมา 4 ข้อ คือ 1)ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ หากทีมงานจะนัดหมายเข้ามาประชุมแบบออนไซต์ 2)ไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้น 3)ห้ามย้ายตำแหน่งงานภายในองค์กร 4)บุคคลที่ทำงานทางไกลจะถูกพิจารณาก่อนหากองค์กรมีการปรับโครงสร้าง …หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘เลย์ออฟ’
สรุปได้ว่า ทางเลือก “ทำงานทางไกล” ไม่เข้าออฟฟิศ จะทำให้พนักงานเหมือนเลือกเส้นทางตันให้กับอาชีพของตัวเองที่ Dell โดยพนักงานมีเวลาตัดสินใจถึงแค่วันที่ 7 มีนาคมนี้เป็นวันสุดท้าย
Dell เป็นบริษัทที่มีนโยบายยืดหยุ่นด้านการทำงานมานาน 15 ปี ในช่วงเกิดโรคระบาดเมื่อปี 2020 “ไมเคิล เดล” ผู้ก่อตั้งบริษัท เคยกล่าวไว้ว่าการ “work from home” จะกลายเป็นนโยบายถาวรของชีวิตคนทำงานที่ Dell ต่อมาในปี 2021 มีการสำรวจความเห็นพนักงานตามนโยบายดังกล่าว พบว่ามีถึง 65% ที่พอใจกับตัวเลือกที่ยืดหยุ่นในการทำงานจากที่ไหนก็ได้
เมื่อมีการเปลี่ยนนโยบายบีบให้พนักงานเข้าบริษัท ทำให้แหล่งข่าวกลุ่มพนักงานจำนวนหนึ่งใน Dell บอกกับ The Register ว่า พวกเขาคิดว่าแผนนี้คือการ “บีบให้ลาออก” เพื่อที่บริษัทจะไม่ต้องเสียเงินค่าชดเชยในการปลดพนักงาน
แนวคิดนี้มีที่มาที่ไปจากการประกาศก่อนหน้านี้ของ Dell ที่ต้องการจะลดพนักงานให้ต่ำกว่า 100,000 คนเพื่อลดต้นทุนบริษัท
Dell ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีที่เดียวที่เปลี่ยนใจเรื่องนโยบายการทำงานทางไกล เมื่อปีที่แล้วมีหลายบริษัทเทคฯ ที่ประกาศบังคับให้พนักงานกลับมาออฟฟิศหรือกดดันให้กลับ
แหล่งข่าวภายใน Dell ยังกล่าวด้วยว่า จากการประเมินผ่านกลุ่มตัวอย่างในดาต้าองค์กร พบว่า “ผู้หญิง” จะได้รับผลกระทบมากกว่า จากการสุ่มพบว่ามีผู้หญิง 29 คนที่ทำงานทางไกลอยู่ขณะนี้ เทียบกับ “ผู้ชาย” ที่มีเพียง 2 คน
เหตุที่ผู้หญิงใน Dell กระทบมากกว่าเพราะส่วนใหญ่พวกเธอมักจะเลือกทำงานทางไกล เพื่อให้สามีของตนที่ทำงานบริษัทอื่นซึ่งไม่มีนโยบายทำงานทางไกลได้มีโอกาสย้ายงานไปอยู่ในเมืองที่ต้องการ หรือหลายๆ คนมีสามีเป็นทหารที่ต้องย้ายจุดประจำการบ่อยครั้ง
เมื่อคำนวณแล้ว กลุ่มคนที่จะได้รับผลกระทบสูงสุดจากนโยบายนี้คือ พนักงานผู้หญิงวัย 40-55 ปี และ พนักงานที่ทำงานมานาน 8 ปีขึ้นไป
จากผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดของ Dell ที่รายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 บริษัททำรายได้ 22,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง -10% YoY อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสูงมากกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ สูงขึ้น +317% YoY
แม้มีกำไรแล้วแต่คาดว่า Dell น่าจะยังต้องการลดต้นทุนลงอีก โดยทำตามแผนลดภาษีที่หน่วยงานท้องถิ่นแต่ละเมืองเสนอ ปัจจุบันเมืองหลายเมืองต้องการดึงให้บริษัทเข้ามาตั้งสำนักงานโดยต้องมีจำนวนพนักงานเข้าออฟฟิศมากพอ เพื่อมาปลุกให้เศรษฐกิจเมืองมีชีวิตชีวาขึ้น แลกกับการลดภาษีให้กับบริษัท ล่อตาล่อใจให้หลายบริษัทเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อลดต้นทุน
รายงานนี้ยังไม่ได้รับความเห็นเพิ่มเติมจากทาง Dell นอกไปจากคำแถลงเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า Dell ออกนโยบาย “กลับเข้าออฟฟิศ” เพราะ “ท่ามกลางการปฏิวัติเทคโนโลยีในวันนี้ เราเชื่อว่าการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างบุคคลจับคู่กับวิธีการทำงานแบบยืดหยุ่นนั้น เป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการสร้างความแตกต่างที่มีคุณค่า”
]]>เจฟฟ์ คล้าร์ก ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการร่วมของเดลล์ กล่าวว่า บริษัทจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลง 5% หรือราว 6,650 ตำแหน่ง จากพนักงานทั้งหมด 133,000 คน (ล่าสุด 22 มกราคม 2022) เนื่องการความพยายามในการลดต้นทุนอื่น ๆ เช่น การจำกัดการเดินทาง การหยุดจ้างงานภายนอก และลดการใช้จ่ายด้านบริการจากภายนอก ไม่เพียงพออีกต่อไป
“น่าเสียดายที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สมาชิกบางคนในทีมของเราจะลาออกจากบริษัท ไม่มีการตัดสินใจไหนที่ยากไปกว่านี้ แต่เราต้องทำเพื่อความสำเร็จในระยะยาวของเรา”
จากตัวเลขของ IDC ระบุว่า การจัดส่งคอมพิวเตอร์ของ Dell ลดลง 37% ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Lenovo, HP และ Apple ลดลง 28% 29% และ 2% ตามลำดับ ซึ่งจะเห็นว่า Dell เป็นแบรนด์ที่มียอดจัดส่งหดตัวมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม คลาร์ก ย้ำว่า เดลล์ที่ได้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาก่อนและนั่นทำให้บริษัท แข็งแกร่งขึ้น และจะพร้อมเมื่อ ตลาดฟื้นตัว
ดูเหมือนว่าการปลดพนักงานในบริษัทเทคโนโลยีจะยังไม่หมดลง โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มี PayPal ประกาศแผนปลดพนักงาน 2,000 ตำแหน่ง
]]>