หมดยุคทองของการ Work from Home แล้วหรือเปล่า? ล่าสุดทั้งซีอีโอของ Meta, Snap และ Zoom ต่างเปลี่ยนนโยบายให้พนักงานกลับมาเข้าออฟฟิศ และเริ่มกดดันลงโทษทางวินัยหรือไล่ออกพนักงานที่ไม่ยอมทำตาม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในช่วงโควิด-19 บรรดาซีอีโอต่าง ‘อวย’ การทำงานจากบ้านว่าดีกับสมดุลชีวิตและการงานมากกว่า
3 ปีที่ผ่านมา โรคระบาดบีบให้หลายบริษัทต้องใช้นโยบาย Work from Home สำหรับพนักงานออฟฟิศ จนวิถีชีวิตการทำงานลักษณะนั้นเกือบจะมาแทนที่การเข้าออฟฟิศแบบเดิมๆ ไปโดยเฉพาะในโลกตะวันตก
อย่างไรก็ตาม บางบริษัทเริ่มทยอยเปลี่ยนใจ หันมาใช้นโยบาย “กลับเข้าออฟฟิศ” เหมือนเก่าแล้ว เช่น Meta และ Goldman Sachs ที่เริ่มต้นใช้นโยบายกลับเข้าออฟฟิศมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมาพร้อมกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากพนักงานไม่เข้าออฟฟิศบ่อยครั้งเท่าที่กำหนด อาจจะมีบทลงโทษทางวินัยถึงขั้นไล่ออกได้
ที่ผ่านมาพนักงานส่วนใหญ่ให้ค่ากับบริษัทที่มีนโยบายอนุญาตการทำงานทางไกล (remote work) ไว้สูงมาก The Wall Street Journal เคยรายงานไว้ว่า พนักงานมองว่าการมีนโยบายยืดหยุ่นเรื่องที่ทำงานนั้นเทียบเท่ากับการให้เงินเดือนเพิ่ม 8% เลยทีเดียว ดังนั้น การปรับระบบกลับมาเข้มงวดเรื่องเข้าออฟฟิศจึงเป็นสิ่งที่สวนทางกับความรู้สึกพนักงาน
ในช่วงโควิด-19 มีซีอีโอหลายรายที่อวยยศให้การ Work from Home เป็นนวัตกรรมการทำงานที่ดี แต่ปัจจุบันนี้ ‘กลับลำ’ อย่างแรง เมื่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานไม่ได้ดีอย่างที่คิด
‘Mark Zuckerberg’ แห่ง Meta จากอวยสู่ไล่ออก
ย้อนไปในช่วงเดือนพฤษภาคม 2020 หลังล็อกดาวน์ในสหรัฐฯ ผ่านไป 2 เดือน Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta เคยกล่าวในการประชุมภายในบริษัทว่า การมีนโยบายที่ทำงานแบบยืดหยุ่นทำให้บริษัทมีโอกาสเปิดกว้างขึ้นในการจ้างงาน ‘ทาเลนต์’ เพราะทาเลนต์ที่ไม่ต้องการย้ายมาอยู่เมืองใหญ่ก็สามารถทำงานกับ Meta ได้
ในแง่ชีวิตส่วนตัวของพนักงาน เขามองว่าการทำงานทางไกลทำให้ตัวเขาเองมีพื้นที่และเวลาได้คิดมากขึ้น และได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวมากขึ้น ซึ่งทำให้เขามีความสุขและทำงานได้มีประสิทธิภาพ
เมื่อปี 2020 Zuckerberg ถึงกับวาดฝันว่าพนักงานของ Facebook จะได้ทำงานทางไกลกันใน 5-10 ปีข้างหน้า เขาถึงขั้นบอกด้วยว่าในปี 2022 เขาจะเริ่มทำงานจากระยะไกลสักครึ่งปี
ตัดภาพมาในปี 2023 บริษัท Meta กลับลำอย่างแรงเรื่องของการทำงานจากที่ไหนก็ได้ สำนักข่าว Business Insider รายงานว่า Meta จะเริ่มเข้มงวดเรื่องการกลับเข้าออฟฟิศของพนักงานตั้งแต่เดือนกันยายน 2023
พนักงานบางคนอาจจะได้รับอนุมัติให้ทำงานระยะไกลได้ แต่ส่วนใหญ่จะต้องเข้าออฟฟิศเกือบทั้งสัปดาห์การทำงาน พนักงานจะเริ่มถูกมอนิเตอร์จากฝ่ายบริหารว่าเข้ามาออฟฟิศจริง และจะเริ่มมีบทลงโทษทางวินัยหรือไล่ออก หากพนักงานไม่ให้ความร่วมมือเรื่องเข้าออฟฟิศ
ภาพการสนับสนุนของ Zuckerberg ว่าการทำงานแบบ Work from Home ช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพนั้นไม่มีอีกแล้ว ปัจจุบันเขากล่าวว่า จากการติดตามดาต้าด้านประสิทธิภาพการทำงานในบริษัท เขาพบว่า “คนที่ทำงานจากบ้านไม่มีประสิทธิภาพ และวิศวกรที่มาออฟฟิศนั้นทำงานสำเร็จได้มากกว่า”
Snap: จากใช้เวลากับครอบครัว ตอนนี้ขอใช้เวลากับพนักงาน
Even Spiegel ซีอีโอของโซเชียลมีเดียใหญ่ Snap ในอดีตก็คิดคล้ายๆ กัน หลังผ่านการทำงานจากบ้านในช่วงล็อกดาวน์ไปเพียงเดือนครึ่ง เขาถึงกับบอกสื่อว่า “ผมบอกทีมผมแล้วว่า ผมจะไม่กลับไปออฟฟิศอีก”
เหตุเพราะการทำงานจากบ้านทำให้เขาได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ได้ทานอาหารเช้าและข้าวเย็นกับที่บ้าน ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
แต่ตัดภาพมาถึงเดือนพฤศจิกายน 2022 ดูเหมือน Spiegel จะใช้ชีวิตกับครอบครัวมาจนพอแล้ว
เอกสารภายในของ Snap มีคำสั่งให้พนักงานของบริษัททุกคนต้องกลับเข้าออฟฟิศ 4 วันต่อสัปดาห์ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งนโยบายนี้ถูกกำหนดให้ใช้กับสำนักงานของ Snap ทั้ง 30 แห่งทั่วโลก
เหตุผลเพราะตอนนี้เขามองว่าการมาทำงานร่วมกันแบบเจอหน้ากันจะทำให้ได้ใช้ศักยภาพสูงสุดในการทำงาน และความสะดวกสบายส่วนตัวที่แต่ละคนต้องสละไปนั้น เขาเชื่อว่าจะนำมาสู่การประสบความสำเร็จร่วมกันในทีม
แม้แต่ Zoom ยังให้เข้าออฟฟิศ
ในยุคการทำงานทางไกลระหว่างเกิดโควิด-19 “Zoom” คือบริษัทสุดฮอตที่พุ่งทะยานตีคู่มากับบรรดาบริษัทวัคซีน
นั่นทำให้ Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom ยากที่จะปฏิเสธไม่ให้พนักงานทำงานทางไกลได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็เหมือนปฏิเสธบริการของบริษัทตัวเอง
เมื่อเดือนมกราคม 2022 ในช่วงที่บริษัทอื่นเริ่มให้กลับเข้าออฟฟิศได้แล้ว แต่ Zoom ประกาศว่ามีพนักงานของบริษัทเพียง 2% ที่เลือกกลับมาออฟฟิศ ตามนโยบายของบริษัทที่ให้พนักงานมีทางเลือก สามารถ Work from Home ได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะสร้างโปรดักส์ที่เกี่ยวกับการทำงานทางไกลโดยตรง แต่ Yuan คือหนึ่งในกลุ่มซีอีโอที่ ‘รู้สึกคลางแคลงใจ’ กับการให้พนักงาน Work from Home ได้ตลอดไป เขาเป็นหนึ่งในคนที่มองว่าหลังผ่านช่วงโรคระบาดแล้ว ออฟฟิศต่างๆ น่าจะมีการทำงานแบบไฮบริดมากกว่า
ในที่สุด เมื่อเดือนสิงหาคม 2023 บริษัท Zoom แจ้งกับพนักงานของตนเองให้กลับมาออฟฟิศ โดยใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในระยะ 50 ไมล์จากออฟฟิศ (ประมาณ 80 กิโลเมตร) จะต้องกลับมาทำงานในออฟฟิศอย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์
Yuan กล่าวว่า การทำงานทางไกลทำให้พนักงานยากที่จะทำความรู้จักกันและสร้างความเชื่อใจกัน “ความเชื่อใจเป็นรากฐานของทุกอย่าง ถ้าไม่มีความเชื่อใจ เราจะทำงานได้ช้าลง” Yuan กล่าวในการประชุมภายในบริษัท
“เราไม่สามารถอภิปรายกับคนอื่นได้ดีนัก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ใช้ Zoom ทุกคนจะพยายามทำตัวให้เป็นมิตรมากๆ” Yuan กล่าวยอมรับว่า Zoom มักจะไม่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนไอเดียอย่างตรงไปตรงมา แต่ว่าบริษัทของเขาจะพยายามพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อไป
- “เอเชีย-ยุโรป” กลับเข้าออฟฟิศ แต่ “สหรัฐฯ” ยังคง WFH ความต่างที่มีผลต่อธุรกิจ “สำนักงานให้เช่า”
- ผลวิจัยเผย ทำงาน 4 วันดีต่อพนักงาน ลดเบิร์นเอาต์ บริษัทมีรายได้เพิ่ม 15% หลังทดลองมา 1 ปี
น่าสนใจว่าการทำงานระยะไกลหรือ Work from Home ที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ดี ทำให้พนักงานมีความสุขและมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น และอาจจะกลายเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ ปัจจุบันนี้มีแนวโน้มมีข้อเสียมากกว่าข้อดี เมื่อองค์กรพบว่าวิธีการทำงานแบบนี้ทำให้พนักงานไม่มีวัฒนธรรมองค์กร และบางทีก็ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานด้อยลงด้วย