eBay – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 01 Aug 2023 13:23:52 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CEO ของ eBay เผยเตรียมให้เจ้าของร้านสามารถไลฟ์ขายสินค้าได้ นำ AI มาประยุกต์ใช้งานในเร็วๆ นี้ https://positioningmag.com/1439425 Tue, 01 Aug 2023 02:49:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439425 eBay แพลตฟอร์ม E-commerce เตรียมให้เจ้าของร้านสามารถไลฟ์ขายสินค้าได้ ขณะเดียวกันก็เตรียมนำ AI มาประยุกต์ใช้งานในเรื่องการวางขายสินค้า ซึ่งเขาชี้ว่าเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนแผนการทำธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

Jamie Iannone ซึ่งเป็น CEO ของ eBay แพลตฟอร์ม E-commerce รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Business Insider ถึงแผนกลยุทธ์ของบริษัทหลังจากนี้ ซึ่งผู้บริหารสูงสุดรายนี้ได้กล่าวถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้ทำให้บริษัทนั้นอาจต้องเปลี่ยนแผน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

เขาชี้ว่า เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนากลยุทธ์ โดยเฉพาะสิ่งที่บริษัทได้ทำในช่ว 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ CEO ของ eBay ยังได้ชี้ถึงเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ออกมาในปัจจุบัน ซึ่งทำให้บริษัทเตรียมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการรุกธุรกิจเพื่อหารายได้เพิ่มอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้เขาเองเคยได้เป็น CEO ของบริษัทมาแล้ว ก่อนที่ในปี 2020 จะกลับเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้ง โดยในช่วงที่ผ่านมาเขาได้เข้ามาปรับธุรกิจของ eBay ไม่ว่าจะเป็นโฟกัสในกลุ่มสินค้าในหมวดหมู่เฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าประเภท Sneaker กระเป๋า นาฬิกา หรือแม้แต่การ์ดที่เป็นของสะสม ซึ่งเขาชี้ว่าผลที่เกิดจากการเข้ามาปรับธุรกิจนั้นกำลังออกดอกออกผล

เขายังชี้ว่ามากกว่า 14 ล้านคนของผู้ซื้อสินค้าบน eBay นั้นเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าในหมวดหมู่เฉพาะ และมีลูกค้าขาประจำที่ซื้อสินค้ามากกว่า 6 ครั้งและใช้จ่ายเฉลี่ยมากกว่า 800 ดอลลาร์ต่อปี หรือยอดการซื้อขายมากกว่านั้น

ซึ่งสินค้าหลายอย่างที่ขายบน eBay ลูกค้ากลุ่มนี้ Jamie เตรียมที่จะสร้างความไว้วางใจเพิ่มเติม หนึ่งในวิธีการก็คือมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้มาตรวจสอบสินค้าที่อยู่ในโกดังของบริษัทว่าเป็นสินค้าของแท้หรือไม่ โดยเริ่มจากรองเท้าประเภท Sneaker ก่อนเป็นอย่างแรก และหมวดหมู่อื่นๆ จะตามมาในภายหลัง

ขณะเดียวกัน eBay ได้ทำงานร่วมกับแบรนด์โดยตรงผ่านโปรแกรมที่เรียกว่า Certified by Brand ซึ่งอนุญาตให้แบรนด์ต่างๆ รับรองว่าสินค้ามือสองที่ขายบนแพลตฟอร์มเป็นของแท้

ไม่เพียงเท่านี้เขายังเตรียมนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้งานบนแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นถ้าหากเจ้าของร้านหรือผู้ขายอัพโหลดรูปสินค้าขึ้นไปแล้ว ตัวระบบสามารถมีคำอธิบายสินค้าเพิ่มขึ้นมาได้ทันที CEO รายนี้ยังชี้ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยลดอุปสรรคในการลงรายละเอียดของสินค้าลงได้

นอกจากนี้ eBay เตรียมดึงดูดลูกค้าใหม่ผ่านไลฟ์ขายสินค้าซึ่งเป็นวิธีการช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมในจีน Jamie ชี้ว่าเจ้าของร้านค้ามากกว่า 100 รายได้ทดลองขายสินค้าด้วยวิธีดังกล่าว แต่เขาก็ชี้ว่าสำหรับตลาดในสหรัฐอเมริกานั้นยังถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น แตกต่างกับตลาดในเอเชีย แต่เขาก็ชี้ว่าการทดลองไลฟ์ขายสินค้าของเจ้าของร้านหลายร้านนั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก

ปัจจุบันคู่แข่งของ eBay นั้นไม่ใช่แค่ Amazon เท่านั้น แต่ยังมี Temu และ Shein หรือแม้แต่ TikTok ที่กำลังรุกหนักตลาดแดนมะกันเช่นกัน

แม้ว่าคู่แข่งจะเพิ่มมากขึ้น แต่ CEO รายนี้ยังกล่าวว่า “เรามุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ของเราและวิธีที่เราจะชนะ” ซึ่งปัจจุบัน 85% ของผู้ซื้อสินค้าบน eBay นั้นมาจากผู้ซื้อสินค้ามักเข้าชมเว็บไซต์โดยตรง แตกต่างกับลูกค้ารายอื่นที่ใช้เม็ดเงินในการโปรโมตหรือลดราคาสินค้าเพื่อให้ได้ลูกค้าเข้ามาในแพลตฟอร์ม

]]>
1439425
เปิดลิสต์ ‘สินค้าไทย’ ขายดีบน ‘eBay’ พร้อมผุดโครงการ ‘NextGen’ หนุน SME ลุยตลาดโลก https://positioningmag.com/1348600 Thu, 26 Aug 2021 04:04:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348600 หากจะพูดถึงตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปัจจุบัน แม้อัตราการเติบโตจะสูงแต่การแข่งขันก็สูงไม่ต่างกัน โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทยที่เริ่มขายสินค้ายากขึ้นเพราะผู้ขาย ‘จีน’ ก็เข้ามาขายสินค้าในไทยมากขึ้น เนื่องจากไม่มี boundary เพราะโลกออนไลน์ ซึ่งผู้ประกอบการไทยบางรายก็เลยต้องพึ่ง ‘eBay’ (อีเบย์) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติอเมริกันส่งสินค้าออกสู่ตลาดโลก

จิวเวลรี่ อะไหล่รถ อาหารเสริม 3 สินค้าไทยขายดี

อ้างอิงจากการคาดการณ์เทรนด์อีคอมเมิร์ซของ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ CEO and Founder tarad.com ได้เคยระบุไว้ว่าตลาด Inbound Cross Border หรือสินค้าที่มาจากต่างประเทศเป็นส่วนที่น่าเป็นห่วง เพราะสินค้าจาก จีน บน 3 มาร์เก็ตเพลสดังของไทยมีสัดส่วนถึง 77% หรือประมาณ 135 ล้านชิ้น ขณะที่สินค้าไทยมีสัดส่วนแค่ 23% หรือประมาณ 39 ล้านชิ้น ดังนั้น ทางรอดของผู้ประกอบการก็คือ Outbound Cross Border หรือการนำสินค้าไทยออกไปขายต่างประเทศ ซึ่งอีเบย์ก็ถือที่เป็นหนึ่งในช่องทางเอาสินค้าไทยออกไปขายต่างประเทศได้

รินทร์ลิตา ศรีโรจนภิญโญ หัวหน้าฝ่ายการตลาด อีเบย์ ประเทศไทย ระบุว่า ผู้ค้าไทยยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปี ทั้งจำนวนร้านค้ารายใหม่ และยอดขายที่เติบโตของร้านค้าเดิมที่มีอายุเกิน 1 ปี โดย 3 กลุ่มสินค้าเด่นที่ขายดีมาก ได้แก่ จิวเวลรี่ เพชรพลอย เครื่องประดับ นาฬิกาหรู ตามด้วย อะไหล่ยนต์ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ รถบรรทุก มอเตอร์ไซค์ และ สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม อาหารเสริม เครื่องสำอาง ซึ่งสินค้าทั้ง 3 กลุ่มสามารถขายได้ดีในตลาด สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่

จากการศึกษาในปี 2564 นี้ อีเบย์เห็นเทรนด์ 5 กลุ่มสินค้า ที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วได้แก่

  • อะไหล่รถจักรยานยนต์
  • จิวเวลรี่แบบมีพลอยประดับ หรือมีตัวเรือนเป็นเนื้อเงิน เนื้อทองคำ
  • เพชรแบบเป็นเม็ดที่มีใบรับรอง
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลและจัดแต่งเส้นผม
  • ต้นไม้ตกแต่งบ้าน

โดยทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มสินค้าที่เป็นที่นิยมในตลาดที่มีอัตราการเติบโตของยอดขายมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว

“95% ของผู้ขายไทย ขายสินค้าไปยังต่างประเทศ ขณะที่ผู้ซื้อไทยส่วนใหญ่จะเน้นซื้อสินค้าประเภทของสะสมเป็นหลัก แต่เราไม่ได้เน้นตลาดในประเทศ เพราะช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยมีเครดิตการ์ดไม่ถึง 3% ทำให้การซื้อขายบนแพลตฟอร์มยาก ขณะที่ปัจจุบันยังจำกัดวงแค่ของสะสม ทำให้ปัจจุบันอีเบย์ยังไม่มีแผนที่จะทำตลาดโดเมสติก”

Trading Cards สินค้าขายดีสุดบน eBay

ในส่วนของตลาดโลกนั้น สินค้าเฉพาะกลุ่มในอีเบย์นั้นมีการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยในปีที่ผ่านมา สินค้าขายดีและมีมูลค่าสูงที่สุดบนอีเบย์ทั่วโลก ได้แก่

  • การ์ดสะสม เช่น การ์ดกีฬา การ์ดเกม และการ์ดโปเกมอน ที่มีการขายไปแล้วมากกว่า 45 ล้านใบในปี 2563 ด้วยอัตราการขายออกสูงถึงกว่า 90 ใบในหนึ่งนาที
  • กลุ่มอะไหล่ยนต์
  • อุปกรณ์วิดีโอเกม
  • รองเท้าผ้าใบ
  • ของสะสมลักซ์ชัวรี

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2564 อีเบย์มีผู้ซื้อทั่วโลกมากกว่า 159 ล้านคน มีผู้ขายกว่า 19 ล้านคน มีสินค้ามากกว่า 1,500 ล้านรายการ โดยมียอดการใช้จ่ายมากกว่า 22,100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 730,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่า โควิดทำผู้ซื้อใจร้อน เน้นส่งด่วน 

“เราเห็นเทรนด์การส่งด่วน แต่มันก็ส่งผลต่อผู้ประกอบการไทยที่ขายสินค้าที่มีน้ำหนักเบา แต่เราก็เห็นการปรับตัวคือขายแบบเป็น ‘เซต’ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาต้นทุน และเพิ่มยอดขาย”

ผุด eBay NextGen เพิ่มจำนวนผู้ขาย

เพราะอีเบย์ไทยไม่ได้ทำตลาดโดเมสติกหรือซื้อขายภายในประเทศเหมือน Shopee, Lazada ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือ เพิ่มจำนวนผู้ขายใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดโลกผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.เน้นโครงการสนับสนุนผู้ขาย, 2.ส่งเสริมการขายกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูง ซื้อง่าย ขายคล่อง เป็นที่ต้องการตลาด และ 3.นำระบบชำระเงิน ebay PM ซึ่งเป็นระบบชำระเงินที่อีเบย์ผู้พัฒนามาใช้

โดยอีเบย์ได้พัฒนาโครงการ ‘eBay NextGen’ ที่จะเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยที่ยังไม่เคยค้าขายบนอีเบย์มาก่อน โดยจะให้สิทธิพิเศษ อาทิ

  • อนุมัติให้ลงขายสินค้าในหมวดหมู่ขายดีราคาสูงได้ทันที
  • ได้รับ Selling Limit เพิ่มพิเศษ สามารถขายสินค้าที่มีราคาสูง
  • ฟรีค่าเปิดร้าน eBay Store โดยจะสนับสนุนค่าธรรมเนียมการเปิดร้านนาน 3 เดือน
  • ออกค่าโฆษณาสินค้าให้ 50% สูงสุดไม่เกิน 1,000 เหรียญสหรัฐ
  • ให้คำปรึกษาโดยทีม Business Development Manager

“ปกติผู้ขายใหม่ในอีเบย์จะมีข้อจำกัดคือ ขายสินค้าได้เดือนละ 10 รายการ ในวงเงินยอดขายรวมกันไม่เกิน 500 เหรียญ หรือประมาณ 16,350 บาท และไม่สามารถขายขายสินค้าในบางหมวดหมู่ได้ เช่นหมวดหมู่สินค้าขายดี แต่เพราะสินค้าขายดีของไทยเป็นจิวเวลรี่ โครงการ eBay NextGen ก็จะช่วยให้ขายของได้เร็วขึ้น”

]]>
1348600
ส่อง Top 10 ประเทศที่มีตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในโลก https://positioningmag.com/1338424 Wed, 23 Jun 2021 09:16:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338424 หากพูดถึงอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในไทยจะเห็นว่ามีการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะในปี 2563 ที่การระบาดของ COVID-19 ทำให้ต้องล็อกดาวน์ และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ไทย แต่ตลาดอีคอมเมิร์ซก็เติบโตขึ้นทั่วโลกเช่นกัน ดังนั้น ไปส่อง 10 ตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันว่ามีประเทศไหนบ้าง

จีน

ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับเบอร์ 1 เพราะจีนมีจำนวนประชากรเกือบ 1.4 พันล้านคน ประกอบกับประเทศที่ใหญ่ แน่นอนว่าการซื้อสินค้าที่สะดวกที่สุดคงหนีไม่พ้นออนไลน์ ส่งผลให้มีอีคอมเมิร์ซจีนมีมูลค่าสูงถึง 672 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 15.9% ของตลาดค้าปลีกในประเทศ

โดยเจ้าตลาดของจีนนั้นก็คือ Alibaba group เจ้าของแพลตฟอร์ม Alibaba, Tmall รวมถึง Lazada ในไทยด้วย นอกจากนี้ก็มี JD.COM เบอร์ 2 ของจีน ยังไม่รวมแพลตฟอร์มอื่น ๆ อาทิ Kuaishou แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่คนนิยมทำ ไลฟ์คอมเมิร์ซ ปัจจุบันอีคอมเมิร์ซจีนมีอัตราการเติบโตสูงถึงปีละ 35% ถือเป็นประเทศที่มีการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย

สหรัฐอเมริกา

อดีตเบอร์ 1 ที่ครองโลกอีคอมเมิร์ซมานานกว่า 10 ปี ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีเจ้าตลาดอย่าง Amazon และ eBay ซึ่งเชื่อว่าหลายคนต้องเคยสั่งของสักครั้งแน่นอน ปัจจุบัน ตบาดอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ มีมูลค่าตลาดที่ 340 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 7.5% ของมูลค่าค้าปลีกทั้งหมด

(Photo by Sean Gallup/Getty Images)

สหราชอาณาจักร

แม้สหราชอาณาจักรจะไม่ได้เป็นประเทศใหญ่เหมือนกับจีนและสหรัฐฯ แต่สหราชอาณาจักรก็เป็นผู้เล่นอีคอมเมิร์ซรายใหญ่และครองตำแหน่งที่ 3 โดยมีเจ้าตลาดที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีก็คือ Amazon U.K. นอกจากนี้ก็มี Argos และ Play.com ปัจจุบันมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 14.5% ของมูลค่าค้าปลีกทั้งหมด

ญี่ปุ่น

เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความโดดเด่นด้านอีคอมเมิร์ซ เพราะถือเป็นหนึ่งในประเทศที่บุกเบิกตลาดและเป็นผู้นำเทรนด์ m-commerce หรือการช้อปปิ้งออนไลน์บนมือถือของโลก โดย Rakuten ถือเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้เข้าซื้อกิจการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหลายแห่งทั่วโลก ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซญี่ปุ่นมีมูลค่า 79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 5.4% ของตลาดค้าปลีกในประเทศ

Photo : Shutterstock

เยอรมนี

เยอรมนีเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรป รองจากสหราชอาณาจักร โดยมี Amazon (อีกแล้ว) ครองตลาดในเยอรมนี ตามด้วย Otto แพลตฟอร์มสัญชาติเยอรมัน และ eBay โดยปัจจุบัน อีคอมเมิร์ซมีในเยอรมันมีมูลค่า 73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 8.4% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมด

ฝรั่งเศส

ถือว่ามาแปลกเพราะผู้นำในตลาดอีคอมเมิร์ซของฝรั่งเศสนำโดยผู้เล่นในท้องถิ่น เช่น Odigeo และ Cdiscount แม้ว่าจะมี Amazon เบอร์ 1 ในสหรัฐฯ และในหลายประเทศในยุโรปเป็นคู่แข่งก็ตาม แต่ถึงแม้ Amazon จะไม่สามารถเป็นผู้นำในตลาดอีคอมเมิร์ซฝรั่งเศสได้ แต่ก็ถือเป็นผู้เล่นที่อยู่ในลำดับต้น ๆ อยู่ดี ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซของฝรั่งเศสมีมูลค่า 43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 5.1% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมด

เกาหลีใต้

เกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านอีคอมเมิร์ซประเทศหนึ่ง และหากจำกันได้ ‘11Street’ ผู้เล่นในเกาหลีใต้เคยมาบุกประเทศไทยด้วย (แม้ปัจจุบันจะม้วนเสื่อกลับไปแล้วก็ตาม) ทั้งนี้ เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีความเร็วอินเทอร์เน็ตไร้สายที่เร็วที่สุด และถือเป็นประเทศที่มีตลาด M Commerce หรือ Mobile Commerce ชั้นนำอีกด้วย โดยผู้เล่นอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ได้แก่ Gmarket และ Coupang ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซเกาหลีมีมูลค่า 37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 9.8% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมด

แคนาดา

ผู้นำในตลาดของแคนาดาคือ Amazon ตามด้วย Costco โดยที่น่าแปลกใจคือ แคนาดาเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ แต่กลับมีการแข่งขันต่ำ ด้วยโอกาสดังกล่าวทำให้แบรนด์ต่างประเทศอื่น ๆ ก็พยายามจะแย่งส่วนแบ่งตรงนี้ ปัจจุบัน มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซแคนาดาอยู่ที่ 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 5.7% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมด

รัสเซีย

หลายคนอาจจะแปลกใจว่ารัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ใหญ่ แต่ทำไมมาอยู่อันดับที่ 9 คำตอบคือ ตลาดอีคอมเมิร์ซของรัสเซียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นแม้ประเทศนี้มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่ยอดขายออนไลน์นั้นมีเพียง 2% ของยอดค่าปลีกทั้งหมดเท่านั้น ปัจจุบันมีมูลค่า 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้นำในตลาดอีคอมเมิร์ซ ได้แก่ Ulmart, Citilink และ Ozon

บราซิล

หนึ่งเดียวจากทวีปอเมริกาใต้นี้มีการเติบโตของอีคอมเมิร์ซที่ประมาณ 22% ต่อปี ด้วยอัตราการเติบโตดังกล่าว ทำให้บราซิลถือเป็นประเทศที่ผู้เล่นในอเมริกาเหนือจับตามองที่จะมาสร้างอาณาจักร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซของบราซิลยังมีผู้เล่นท้องถิ่นเป็นผู้นำตลาด อาทิ MercadoLibre และ B2W ปัจจุบัน อีคอมเมิร์ซบราซิลมีมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 2.8% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมด

สำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซใน ไทย ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากไพรซ์ซ่า (Priceza) ระบุว่าในปี 2563 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่ากว่า 220,000 ล้านบาท เติบโตราว 35% อย่างไรก็ตาม 3 อันดับแรกของผู้นำในตลาดไทยล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นจากจีนไม่ว่าจะเป็น Lazada (เจ้าของคือ อาลีบาบา) Shopee (เจ้าของคือ Sea แต่มี Tencent ถือหุ้นใน Sea 40%) และ JD.CENTRAL บริษัทร่วมทุนของ JD.COM และ Central

Source

]]>
1338424
Visa-Mastercard-eBay แท็กทีมถอนตัวจาก ”Libra” ของเฟซบุ๊ก หวั่นปัญหาฟอกเงิน https://positioningmag.com/1249700 Mon, 14 Oct 2019 05:44:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1249700 หลังจากที่ PayPal ได้ประกาศเลิกสนับสนุน Libra ล่าสุด Visa, Mastercard, eBay และ Stripe ต่างประกาศในวันที่ 11 .. ที่ผ่านมาว่าขอถอนตัวไม่เข้าร่วมโปรเจกต์เงินดิจิทัล “Libra” ของเฟซบุ๊ก หวั่นมีปัญหาฟอกเงิน

CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า บริษัทชื่อดังด้านการเงินทั้ง Visa, Mastercard และ Stripe ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการจ่ายและชำระสินค้า รวมถึง eBay ต่างออกมายืนยันว่าได้ถอนตัวจากโปรเจกต์สกุลเงิน Libra ของเฟซ บุ๊กแล้ว

บริษัทเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่มีรายชื่อในฐานะผู้ก่อตั้งสมาคม Libra ไม่ต่ำกว่า 2 โหลของทั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรและบริษัท

Mastercard ตัดสินใจจะไม่เป็นสมาชิกของสมาคม Libra ในช่วงเวลานี้โฆษกบริษัท Mastercard กล่าวผ่านแถลงการณ์ให้กับ CNN ภาคธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตามทาง Mastercard กล่าวว่า ทางบริษัทยังคงเฝ้าติดตามต่อความพยายามของ Libra ต่อไป

และเหมือนเช่นที่โฆษก eBay แถลงว่าทางเรานับถืออย่างสูงต่อวิสัยทัศน์ของสมาคม Libra แต่อย่างไรก็ตาม eBay ได้ตัดสินใจที่จะไม่ก้าวต่อไปร่วมกันในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้ง

ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเฟซบุ๊กได้อ้างว่า โปรเจกต์เงินบิทคอยน์ “Libra” จะช่วยพัฒนาการเข้าถึงการให้บริการทางการเงินเพิ่มมากขึ้น

แต่นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมาที่ทางเฟซบุ๊กได้ประกาศโปรเจกต์นี้ต่อสาธารณะพบว่าทางเฟซบุ๊กได้ถูกตรวจสอบทางความมั่นคงอย่างหนักและได้รับการต่อต้านจากผู้กำกับจากทั่วโลกที่เกรงว่าอาจจะละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้บริโภค และมีความเป็นไปได้ว่าอาจถูกนำไปใช้ในการก่อการร้าย

ทั้งนี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ผู้ก่อตั้งร่วมบริษัทเฟซบุ๊ก และซีอีโอบริหารมีกำหนดต้องเข้าให้การกับคณะกรรมาธิการบริการทางการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในเดือนนี้ โดยหัวหน้าคณะซึ่งเป็น ส.ส จากพรรคเดโมแครตวิพากษ์วิจารณ์โปรเจกต์ Libra ของเฟซบุ๊กอย่างหนัก พร้อมกับเรียกร้องให้ยุติการดำเนินการเสีย

โฆษกสมาคม Libra ของเฟซบุ๊กกล่าวผ่านแถลงการณ์กับ CNN ภาคธุรกิจว่าเรารู้สึกซาบซึ้งต่อการสนับสนุนของ บริษัทสตริปและอีเบย์ต่อเป้าหมายและพันธกิจของสมาคม Libra”

Source

]]>
1249700
ล้วงอินไซด์ eBay เหตุใดถึงให้ความสนใจ “เมืองไทย” พร้อมเผย 5 กลุ่มสินค้าขายดี https://positioningmag.com/1236678 Fri, 28 Jun 2019 03:11:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1236678 ถึงหลายคนรู้จัก eBay จากการเป็นเว็บไซต์ประมูลสินค้าที่เปิดมาแล้วกว่า 24 ปี แต่ในความเป็นจริงยอดขายหลักไม่ได้มาจากการประมูลอีกแล้ว ข้อมูลในปี 2018 ระบุว่า 89% ของผู้ซื้อนิยมซื้อสินค้าทันทีไม่รอประมูล โดย 79% ของสินค้าขายดีคือสินค้าใหม่

ยิ่งไปกว่านั้นจากยอดขาย 95,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นยอดขายที่มาจากนอกสหรัฐฯ ถึง 60% จาก 190 ประเทศทั่วโลก 62% ของผู้ซื้อกดสั่งสินค้าบนสมาร์ทโฟน 70% เป็นสินค้าแบบจัดส่งฟรี จำนวนผู้ซื้อสินค้าบนมีจำนวนกว่า 180 ล้านคนทั่วโลก

จากตัวเลขที่เกิดขึ้นทำให้การค้าปลีกส่งออกข้ามประเทศ” (Cross Border Trade: CBT) ถูกยกเป็น 1 ใน 4 กลยุทธ์หลักที่ eBay ให้ความสำคัญร่วมกับ B2C, C2C และ Mobile

สาเหตุที่ eBay ให้ความสำคัญกับ CBT มาจากข้อมูลที่ว่า CBT มีสัญญาณเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก มีการประเมินว่า มีอัตราเติบโตมากกว่าอีคอมเมิร์ซ คาดว่ามูลค่าตลาด CBT จะโตทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020 คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลก 20% ภายในปี 2022

โดยเอเชียแปซิฟฟิกจะเป็นภูมิภาคที่ CBT ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งในด้านการนำเข้าและการส่งออก ในปี 2018 ที่ผ่านมา ตลาดอีคอมเมิร์ซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่ารวม 23.2 พันล้านเหรียญ คาดว่าจะเติบโตเป็น 102,000 ล้านเหรียญภายในปี 2025

ขณะเดียวกันเอเชียแปซิฟิกถือเป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุดของ eBay แม้จะไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของภาพรวมก็ตาม โดยปัจจัยของการเติบโตนั้นมาจาก 3 เรื่องด้วยกัน 1.สินค้าเป็นที่ต้องการ

2.โครงสร้างข้อมูลทำให้สินค้าหาง่ายขายคล่อง ซึ่งนี่ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่กระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น ร่วมกับการสร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยีโดยเชื่อมต่อ API กับบริษัทโลจิกติกส์ชั้นนำ อย่างของไทยมี 3 บริษัท ได้แก่ ไปรษณีย์ไทย ดีเอชแอล อีคอมเมิร์ซ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส และ 3.ราคาสินค้าอยู่ในระดับแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับสินค้าในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

เจนนี หุย ผู้จัดการทั่วไป บริษัทอีเบย์ ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน อธิบายว่า

แต่เดิมนั้นการขายสินค้าแบบ CBT มักเป็นสินค้าที่น้ำหนักเบา ราคาไม่แพงมาก แต่วันนี้สินค้าไม่ได้ถูกจำกัดขนาดอีกต่อไป สินค้าราคาแพงจำพวกแบรนด์เนมก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ฝั่งคนขายเองก็พัฒนาใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วย ส่วนคนซื้อก็ต้องการบริการที่ไม่ต่างจากหน้าร้านเลยทีเดียว

จากข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้นเมืองไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ eBay ให้ความสนใจ เพราะถือติด 1 ใน 3 ประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ตลาดอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างร้อนแรง คาดว่าในปี 2020 จะมีมูลค่ากว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นตัวเลขที่เติบโต 30% จากปี 2015

ข้อมูลจาก eBay เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา 5 สินค้าเด่นของไทยคือ เครื่องประดับ เม็ดพลอย รองลงมาคือสินค้าสุขภาพความงาม สินค้าเด่นอันดับ 3 ของไทยคือชิ้นส่วน อะไหล่รถ ตามมาด้วยเครื่องใช้ในบ้าน และอันดับ 5 คือของสะสม

แต่ละประเทศจะมีสินค้าที่นิยมแตกต่างกันออกไป อย่างฮ่องกงเด่นที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนไต้หวันจะเด่นที่อะไหล่รถ ขณะที่ญี่ปุ่นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านอนิเมะ สินค้าเด่นย่อมไม่พ้นกลุ่มตัวการ์ตูนของเล่น กระเป๋าแบรนด์เนมมือสองที่เชื่อถือได้ และกระโปรงฟูหวานสไตล์ Lolita

ตลาดหลักที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ของไทยคือสหรัฐอเมริกาคิดเป็นสัดส่วน 50% รองลงมาเป็นตลาดอังกฤษ ออสเตรเลีย เยอรมัน และรัสเซีย โดยผู้ขายหลัก 70% อยู่ในกรุงเทพฯ อีก 20% กระจายตัวอยู่ในเชียงใหม่และภาคเหนือ ที่เหลือ 10% อยู่ในภาคตะวันตก ภาคใต้ และภาคอีสาน

ทั้งนี้เครื่องประดับ เม็ดพลอยถูกยกให้เป็นสินค้าที่เติบโตสูงสุดเพราะช่างไทยรู้จักเลือกเม็ดพลอย และกำหนดราคาขายสอดคล้องไปกับคุณภาพ ขณะที่สินค้าเกษตรแปรรูปถือว่ามีโอกาสขายหากสอดคล้องกับตลาดผู้ซื้อ เช่น กลุ่มชา สมุนไพร เมล็ดกาแฟ แต่จะไม่มีจำหน่ายสินค้าสดเช่นทุเรียน

อย่างไรก็ตาม eBay ไม่ได้มองความท้าทายหลักเป็นเรื่องคู่แข่งในตลาดอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยมองว่าตัวเองนั้นมีสินค้าที่ไม่เหมือนกับแพลตฟอร์มอื่นๆ และอาจหาได้ที่เดียวในโลกตัวอย่างเช่น ของสะสมหายาก เหรียญรุ่นพิเศษ การ์ดเบสบอลหรือการ์ดดารา

แต่ความท้าทายที่สุดคือการพัฒนาเทคโนโลยี และแชร์ข้อมูลเทรนด์ของผู้บริโภคให้กับผู้ขายที่มากขึ้น.

]]>
1236678
“อีเบย์” บริษัทที่ถูกลืม https://positioningmag.com/1145323 Fri, 03 Nov 2017 06:51:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1145323 ในช่วงเวลาที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาต่างออกมาเป็นข่าวกันอย่างดุเดือดนั้น เราอาจได้ยินชื่อบริษัททั้งหน้าเก่าหน้าใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไมโครซอฟท์ (Microsoft) กูเกิล (Google) แอปเปิล (Apple) เฟซบุ๊ก (Facebook) แอมะซอน (Amazon) ทวิตเตอร์ (Twitter) สแลค (Slack) ฯลฯ แต่ถ้าให้ลองนับนิ้วกันจริง ๆ เราอาจพบว่า มีชื่อบริษัทหนึ่งที่หายไปจากสารบบไปโดยที่ไม่รู้ตัว นั่นคือ อีเบย์ (eBay) 

โดยหากย้อนอดีตกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ชื่อของอีเบย์เป็นชื่อที่เติบโตมาพร้อม ๆ กับแอมะซอน (แอมะซอนเปิดตัวทีหลัง ห่างกันเพียง 2 เดือน) ในฐานะแพลตฟอร์มซื้อขาย – ประมูลสินค้ามือสองที่ให้ผู้ซื้อและผู้ขายติดต่อกันโดยตรง ไม่มีตัวกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนแอมะซอนก็เป็นร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ในขณะนั้น ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีกำไร

โดยอีเบย์ในช่วงปี 1998 – 1999 เริ่มเห็นการเติบโตของรายได้ หลังพบว่ามีการประมูลสินค้าเกือบ 800,000 รายการต่อวัน และยังเป็นพันธมิตรกับ AOL ที่นำข้อมูลสินค้าต่าง ๆ จากอีเบย์ไปวางบนหน้าโฮมเพจของ AOL ด้วย ซึ่งในปีนั้น อีเบย์ทำยอดขายได้ที่ 47.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และต่อมาในปี 1999 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 224.7 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในขณะที่ แอมะซอนเติบโตและก้าวไปอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าไกลจากอีเบย์พอสมควร โดยเริ่มจากการเข้าสู่ธุรกิจขายซีดีและดีวีดี ส่วนยอดขายของแอมะซอนปี 1999 อยู่ที่ 610 ล้านเหรียญสหรัฐ โตกว่าอีเบย์ 3 เท่าจนทำให้นิตยสาร Time เลือกภาพของเจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) ซีอีโอแอมะซอนขึ้นหน้าปกเป็นบุคคลแห่งปี ส่วนอีเบย์นั้นก็ยังเติบโตและพัฒนาอยู่ เพียงแต่สิ่งที่ซีอีโอของอีเบย์อย่าง เดวิน เวนิค (Devin Wenig) มองเห็นก็คือ อีเบย์ไม่เป็นที่สนใจมากเท่าแอมะซอนอีกแล้ว และกลายเป็นว่าชื่อของแอมะซอนเริ่มเป็นชื่อแรกที่คนนึกถึงเมื่อต้องการช้อปปิ้งออนไลน์

นั่นจึงเป็นที่มาของโฆษณาบนบิลบอร์ดขนาดใหญ่ในสถานีรถไฟใต้ดินของซานฟรานซิสโกจากอีเบย์ที่มีเนื้อหาใจความว่า “Shop like nobody else because you aren’t like anyone else,” เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา รวมไปถึงสื่อโฆษณาอื่น ๆ เช่น โฆษณาทางทีวีในช่วงการแข่งขัน NBA 

“เราต้องการออกมาบอกเล่าเรื่องราวในมุมที่แตกต่างไป เพราะว่าสิ่งที่ผู้คนคิดเมื่อเอ่ยชื่อเรา (อีเบย์) นั้นไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นในตอนนี้อีกแล้ว” ซูซี่ เดียริ่ง (Suzy Deering) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของอีเบย์กล่าว โดยเธอบอกว่าผู้บริโภคยังมองอีเบย์เป็นเว็บไซต์ประมูลของมือสอง ทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้ได้มีการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน นั่นจึงเป็นที่มาให้เราอยากบอกว่าเราเป็นโมเดิร์นอีเบย์แล้ว และพวกเขาต้องมองเราใหม่”

สิ่งที่ซูซี่กล่าวแสดงถึงความต้องการของอีเบย์ในการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ ซึ่งต้องอย่าลืมว่า อีเบย์เองก็มีผู้ใช้งานถึง 171 ล้านคน และมีสินค้ามากกว่า 1 พันล้านรายการให้เลือกซื้อกัน แต่ในยุคที่การแข่งขันมาจากทุกทาง โดยเฉพาะคู่แข่งที่เติบโตมาพร้อม ๆ กันอย่างแอมะซอนที่ในวันนี้กลายเป็นยักษ์ใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่าถ้าไม่นับในแง่ของการพัฒนา แต่ในแง่การรับรู้ของผู้บริโภค อีเบย์ดูจะถูกคู่แข่งทิ้งห่างไปไกลมากแล้วทีเดียว

ข้อความโฆษณาที่อีเบย์ส่งออกมา ภายใต้การดูแลโดยซูซี่จึงเน้นการสร้างประสบการณ์ใหม่ ด้วยการบอกว่าตนเองนั้นเป็นจุดหมายปลายทางด้านการช้อปปิ้งที่ “สนุก และน่าตื่นเต้น” (We’re a fun, exciting shopping destination) รวมถึงสินค้าที่อีเบย์นำเสนอจะไม่ได้มีแค่ชุดน้ำชาเก่าแก่ หรือรถยนต์มือสองอีกต่อไป แต่จะมีอุปกรณ์แห่งอนาคต เช่น โดรน ฯลฯ วางจำหน่ายบนอีเบย์ด้วย

โดยข้อมูลของอีเบย์ระบุว่า 88 เปอร์เซ็นต์ของโพสต์ที่ปรากฏบนอีเบย์นั้นไม่ใช่ไอเท็มที่ให้ประมูลแบบที่เคยสร้างชื่อให้อีเบย์อีกต่อไปแล้ว และสินค้าที่วางจำหน่ายนั้น 81 เปอร์เซ็นต์เป็นสินค้าใหม่ ไม่ใช่ของมือสอง โดยผู้ค้ารายย่อยยังเป็นผู้ค้าหลักบนอีเบย์ ไม่ใช่แบรนด์ต่าง ๆ ที่ลงมาขายด้วยตัวเอง 

ส่วนซูซี่นั้น ย้ายมาทำงานกับอีเบย์เมื่อสองปีก่อน ก่อนหน้านี้เธอเคยอยู่ที่ดิสนีย์ (Disney) และเวอไรซอน (Verizon) ซึ่งในการก้าวเข้ารับตำแหน่งนี้ของซูซี่ เธอพบว่าอีเบย์มีคู่แข่งในตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นมากมาย ทั้งแอมะซอนที่ก้าวไปไกลแล้ว ก็ยังมีเว็บไซต์ด้านสินค้าทำมืออย่าง Etsy หรือ The Real Real ด้วย มากไปกว่านั้น ตลาดผู้บริโภคก็กำลังเปลี่ยนไปสู่กลุ่มมิลเลนเนียลและชาว Gen Z ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ซื้อรายสำคัญ ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ชื่อของอีเบย์ไม่อยู่ในความสนใจ หรือความตระหนักรู้ในแบรนด์ของคนสองกลุ่มนี้เลย

แต่จุดหนึ่งที่อีเบย์อาจใช้พลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้ก็คือ การที่อีเบย์พบว่าผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการสินค้าที่เป็นยูนีคจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่น หากพวกเขาชอบคอนเวิร์ส (Converse) ถ้าเข้ามาที่อีเบย์จะพบว่ามีทุกสีทุกเวอร์ชัน ซึ่งซูซี่ระบุว่าอาจหาไม่ได้ระดับนี้หากผู้บริโภคเข้าไปที่แอมะซอน หรือห้างสรรพสินค้า

ด้านรองประธานฝ่ายการขายของอีเบย์ อย่าง เจย์ แฮนสัน (Jay Hanson) กล่าวว่า เป้าหมายของอีเบย์คือเป็นสถานที่แห่งแรกที่ผู้บริโภคจะนึกถึงเมื่อต้องการช้อปปิ้ง (ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ตาม) แต่ด้วยความที่โซเชียลมีเดียมาแรง การเปลี่ยนแปลงของอีเบย์จึงมีทั้งการเพิ่มปุ่มหัวใจ (คล้าย ๆ กับในอินสตาแกรม) สำหรับให้ใส่ให้กับสินค้า แบรนด์ หรือผู้ขายที่ชื่นชอบและต้องการให้เป็น Wishlist รวมถึงการเพิ่มเครื่องมืออย่าง Visual Search Tools ลงไปเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเสิร์ชหาจากภาพถ่ายได้ (ถ่ายรูปลงมาแล้วระบบเปรียบเทียบให้) 

อย่างไรก็ดี โซเชียลมีเดียอย่างพินเทอเรสต์ (Pinterest) ใส่ฟีเจอร์นี้ลงในระบบตั้งแต่ปี 2015 แล้ว 

นอกจากนั้น ยังมี eBay Authenticate ซึ่งเป็นระบบการยืนยันตัวตนสำหรับสินค้าลักชัวรี่ เช่น กระเป๋าแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีมูลค่าอย่างน้อย 500 เหรียญสหรัฐ จาก 12 แบรนด์ ที่จะมีผู้ให้บริการมาตรวจสอบความถูกต้อง ถ่ายรูป จึงจะอนุญาตให้เปิดขายได้ ซึ่งอีเบย์คิดค่าบริการ 20 เปอร์เซ็นต์ด้วย

สำหรับผลประกอบการอีเบย์ไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 1.04 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีผู้ใช้งานแบบแอคทีฟที่ 2 ล้านคน จาก 169 ล้านคนทั่วโลก

ส่วนความพยายามเหล่านี้ของอีเบย์จะทำให้อีเบย์กลับมามีตัวตนอีกครั้งในยุคที่ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปแล้วได้หรือไม่ ยังเป็นสิ่งที่เราต้องติดตามกัน แต่ถ้าไม่สามารถกลับมาได้ทันในช่วงนี้ ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกลืม และหมดบทบาทลงไปได้ในที่สุดด้วย

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000106251

]]>
1145323
อีเบย์ ปรับ “ลุค” ลดอายุ เพิ่มคนขายรุ่น “มิลเลนเนียล” https://positioningmag.com/1131165 Thu, 29 Jun 2017 10:40:48 +0000 http://positioningmag.com/?p=1131165 ขายของออนไลน์ ต้องกระฉับกระเฉง “อีเบย์” (ebay) จึงต้องลุกขึ้นมาปรับภาพลักษณ์ให้ดูวัยรุ่น เน้นสีสันสดใส

บุญพันธุ์ บุญประยูร ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีเบย์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อีเบย์ มีการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูเป็นวัยรุ่นมากขึ้น ภายใต้แคมเปญอย่าง ‘Fill your cart with color’ เพื่อสื่อถึงการซื้อของว่าไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อเสมอไป ด้วยการนำสีสันที่สดใสมากขึ้น และเพิ่มประเภทสินค้าให้หลากหลายขึ้น

“ถ้ามองย้อนไปสมัยอีเบย์เริ่มให้บริการในประเทศไทยเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา กลุ่มผู้ขายที่เข้ามาสมัครก็จะเป็นคนวัยรุ่นในช่วงนั้นๆ ดังนั้นการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ เพิ่มจับกลุ่มมิลเลนเนียลที่มีศักยภาพ และจะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประเทศ ให้ทราบว่าอีเบย์สามารถเข้าถึงชีวิตประจำวันของเขาได้’

ในประเทศไทย ได้มีการนำคอนเซ็ปต์ดังกล่าวมาต่อยอดในการสร้างเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการขายสินค้า ไปสู่กลุ่มตลาดหลักในสหรัฐฯ อังกฤษ และเยอรมัน ด้วยการปรับหน้าเว็บใหม่ครั้งแรกในรอบ 3-4 ปี พร้อมนำระบบการจัดการคลังข้อมูลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย

‘ตอนนี้อีเบย์จะส่งเสริมผู้ขายใน 2 ส่วนด้วยกัน คือกลุ่มผู้ขายใหม่ ด้วยการเปิดเว็บไซต์ให้ความรู้แก่ผู้ขายใหม่ มีช่องทางการติดต่อผ่าน Facebook และ Youtube ในการเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแก่ผู้ขายใหม่’

ส่วนกลุ่มผู้ขายที่มีประสบการณ์ จะเน้นไปที่การให้คำปรึกษาในการพัฒนาธุรกิจ พร้อมเข้าไปแนะนำเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพ มีการจัดโครงการอย่าง B2B2C ในการนำผู้ซื้อ-ผู้ขายให้มาเจอกัน รวมถึงการแนะนำเครื่องมือวิเคราะห์ตลาด-เทรนด์ราคาสินค้า (eBay DataLabs)

คนขายในไทยรายได้เกิน 1 ล้านเหรียญต่อปีมีมากสุด

ขณะเดียวกัน ยังได้มีการเปิดเผยข้อมูลในประเทศไทย พบว่า จำนวนผู้ขายที่สร้างรายได้เกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ในแต่ละปีมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับการที่ผู้ขายส่วนใหญ่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ดังนั้นจึงไม่ได้กังวลกับมาตรการเก็บภาษีสินค้าออนไลน์ที่จะเกิดขึ้น

‘เชื่อว่าผู้ขายรายใหญ่ๆ ที่ใช้ช่องทางอีเบย์ในการจำหน่ายสินค้าไปต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นนิติบุคคลที่มีการเสียภาษีรายได้ตามกฏหมายอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะมีมาตรการเก็บภาษีออกมาในอนาคตก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ขายมากนัก’

ขณะที่ในส่วนของภาพรวมทั่วโลก อีเบย์ ถือเป็นมาร์เก็ตเพลสที่มีผู้ซื้อจากทั่วโลกกว่า 169 ล้านคน (มีการซื้อสินค้าอย่างน้อย 1 ชิ้นในช่วงปีที่ผ่านมา) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนในแง่ของจำนวนสินค้าที่มีคนเข้ามาดูและเลือกซื้อมีมากกว่า 1.1 พันล้านชิ้น

สำหรับจุดแข็งของอีเบย์ คือ มีระบบ Feedback ที่ให้ผู้ซื้อได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผู้ขายมาตั้งแต่ต้น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมกับระบบการันตีคืนเงินถ้าไม่ได้สินค้าตามที่ต้องการ (Money Back Garantee) โดยผู้ขายที่ทำสถิติมีลูกค้าให้ฟีดแบ็กมากที่สุดในตอนนี้ คือมากกว่า 8 ล้านความคิดเห็น

ในแง่ของมูลค่าสินค้าที่ทำการซื้อขาย ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมกัน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยกว่า 80% ของสินค้าที่มีอยู่เป็นสินค้าใหม่ และ 67% ของผู้ขายให้บริการส่งของฟรีในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ อังกฤษ และเยอรมัน

‘ตอนนี้สินค้าที่จำหน่ายในอีเบย์เกือบ 80% จะเป็นสินค้าที่กำหนดราคาชัดเจน จะเหลืออีกราว 20% เท่านั้นที่ยังใช้รูปแบบของการประมูล เหมือนสมัยแรกที่อีเบย์เริ่มให้บริการ เพราะปัจจุบันก็มีลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขายแตกต่างกัน’

นอกจากนี้ ยังพบว่า สมาร์ทโฟนกลายเป็นช่องทางสำคัญในการซื้อ-ขายสินค้า โดยมีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไปแล้วกว่า 359 ล้านครั้ง มีจำนวนสินค้าที่ขายผ่านสมาร์ทโฟน 12 ล้านชิ้นต่อสัปดาห์ คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายผ่านสมาร์ทโฟนกว่า 60%

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของทางอีเบย์ สำหรับผู้ขายใหม่ในการตั้งราคาสินค้า เพื่อจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศ ควรคำนึงถึงต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากค่าธรรมเนียมในการวางขายสินค้า ค่าธรรมเนียมของระบบรับชำระเงิน รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการขนส่งให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดการจำหน่ายสินค้าแล้วขาดทุน


ที่มา : http://astv.mobi/AJsTpWx

]]>
1131165
อีเบย์ ยอดขายโมบายคอมเมิร์ซพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ https://positioningmag.com/53742 Fri, 17 Dec 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=53742

อีเบย์ อิงค์ (NASDAQ : eBay) ตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผยปีนี้นับเป็นปีที่ 2 ต่อจากปีที่แล้วที่การซื้อขายสินค้าผ่านมือถือของอีเบย์พุ่งสูงขึ้นทั่วโลกในช่วงเทศกาลวัน “โมบาย ซันเดย์” (Mobile Sunday) หรือวันอาทิตย์ในสัปดาห์ที่สองของเดือนธันวาคม โดยในวันโมบาย ซันเดย์ ปีนี้ อีเบย์มียอดการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 127% คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายสินค้ารวมผ่านมือถือ (GMV) ประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ยอดการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือทั่วโลกเติบโตสูงถึง 165% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 13 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2553 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของวันโมบาย ซันเดย์ ในปี 2552

มร. สตีฟ ญอนโควิช รองประธาน อีเบย์ โมบาย แพลทฟอร์ม เผยว่า “มือถือได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสรรค์สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งเพื่อสรรหาของขวัญในช่วงเทศกาลส่งความสุขนี้ ผู้คนสนุกกับการซื้อหาสินค้าต่างๆ อาทิ เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงสินค้าของเล่นและอุปกรณ์กีฬาผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถช้อปได้ในราคาที่ดีที่สุดได้ทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม โดยที่ผ่านมา อีเบย์มียอดดาวน์โหลด โมบายแอพพลิเคชั่นทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 30 ล้านครั้ง และเราจะมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองลูกค้าทั่วโลก”

ทั้งนี้ การซื้อขายสินค้าบนอีเบย์ผ่านมือถือในสหรัฐอเมริกาในวันโมบาย ซันเดย์ ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงกว่า 38% เมื่อเทียบกับวันไซเบอร์ มันเดย์ (Cyber Monday) ที่ผ่านมา โดยสินค้าเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดผ่านมือถือ และรัฐที่มีการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือสูงสุดในห้าอันดับแรก คือ รัฐแคลิฟอร์เนีย เพนซิลวาเนีย ฟลอริดา อินเดียนา และโอไฮโอ

นอกจากนี้ ข้อมูลซื้อขายสินค้าผ่านมือถือบนอีเบย์ในสามสัปดาห์แรกก่อนวันที่มีการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือสูงที่สุดของปี สะท้อนถึงบทบาทของโทรศัพท์มือถือที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลได้อย่างดี โดย

ประเภทสินค้าที่มียอดการซื้อขายสินค้าผ่านมือถือสูงสุด ในสหรัฐอเมริกา ได้แก่
– เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย
– รถยนต์และรถบรรทุก
– เครื่องประดับ อัญมณีและนาฬิกา
– อุปกรณ์กีฬา
– ชิ้นส่วนอุปกรณ์ยานยนต์

ช่วงเวลาที่มีการซื้อขายสูงสุด ในวันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2553 คือ ช่วง 18.00 – 21.00 น.ตามเวลามาตรฐานทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา โดยมีการทำธุรกรรมมากกว่า 9,500 ครั้งต่อชั่วโมง

ทั้งนี้ สามารถดูอินโฟกราฟฟิก แอพพลิเคชั่น (infographic application) ที่มีการทำงานแบบอินเตอร์แอคทีฟได้ที่ www.ebayinc.com/mobilecommerce ซึ่งจับกระแสเทรนด์ซื้อขายสินค้าบนอีเบย์ผ่านมือถือ (Mobile Shopping) ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ถึง 12 ธันวาคม โดยแสดงสินค้าที่มียอดขายสูงสุดของตลาดโมบายอีเบย์ 20 ประเภท

]]>
53742
เดเร็ค แลม ดีไซเนอร์ชื่อดังก้องโลก เตรียมนำแฟชั่นเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ https://positioningmag.com/53542 Thu, 04 Nov 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=53542

เดเร็ค แลม ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก ประกาศเตรียมนำแฟชั่นเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดภายใต้แบรนด์เดเร็ค แลมที่ได้รับคะแนนโหวตเลือกสูงสุดจากผู้บริโภคออกวางจำหน่ายเฉพาะบนตลาดออนไลน์อีเบย์เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

เดเร็ค แลม เผยว่า “การติดต่อสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภคบนระบบออนไลน์เป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับวงการแฟชั่นในปัจจุบันให้มีความแปลกใหม่และโดดเด่นอย่างมาก เทคโนโลยีอันล้ำสมัยของอีเบย์ทำให้ผมมีลู่ทางใหม่ๆ ในการเข้าถึงลูกค้าเก่าและใหม่ได้โดยตรง และสามารถสร้างสรรค์แฟชั่นใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบถ้วน”

ด้านแชน เฮนดริค ชล็อตแมนน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดเร็ค แลม อินเตอร์เนชั่นแนล แอลแอลซี กล่าวว่า “การผนวกรวมแฟชั่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่นในอนาคต และอีเบย์เป็นช่องทางใหม่และล้ำสมัยที่ช่วยให้เราสามารถนำแฟชั่นใหม่ล่าสุดส่งตรงจากรันเวย์ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วตรงตามฤดูกาล ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคจากทั่วโลกมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์แฟชั่นดีไซน์ใหม่ๆ และทำให้นักออกแบบพูดคุยกับผู้บริโภคได้ทันที ตลอดจนรับฟังความต้องการของนักช้อปได้โดยตรง”

ทั้งนี้ เดเร็ค แลมจะนำคอลเลคชั่นเสื้อผ้าสำเร็จรูปดีไซน์ใหม่ล่าสุดออกเผยแพร่ในงานนิวยอร์ก แฟชั่น วีคใน เดือนกุมภาพันธ์ 2554 และใช้ตลาดออนไลน์อีเบย์ซึ่งมีสมาชิกกว่า 93 ล้านคนเป็นช่องทางที่เปิดให้นักช้อปเข้ามาโหวตเลือกแฟชั่นดีไซน์สุดโปรด โดยคอลเลคชั่นที่ได้รับเลือกมากสุดจะนำมาผลิตและนำออกขายในราคาที่ตั้งไว้ เพื่อเปิดให้นักช้อปเข้าจับจองเป็นเจ้าของความคุ้มค่าของแบรนด์เดเร็ค แลม สุดหรูต้อนรับซีซั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2011 เฉพาะที่ตลาดออนไลน์อีเบย์เพียงแห่งเดียว

มิเรียม ลาเฮจ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป อีเบย์แฟชั่น กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่นักออกแบบแฟชั่น ชื่อดังอย่างเดเร็ค แลมตระหนักถึงความสำคัญของอีเบย์ในฐานะที่เป็นแพลทฟอร์มหลักที่ผนวกรวมนักช้อปสุดฮิปทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ความร่วมมือระหว่างเดเร็ค แลมและอีเบย์ครั้งนี้ตอกย้ำถึงปณิธานของอีเบย์ที่มุ่งนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในการสร้างสรรค์แนวทางใหม่ๆในการเลือกซื้อสินค้าแฟชั่น และสนับสนุนให้มีการเข้าถึงนักออกแบบชื่อดัง ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความคุ้มค่าสูงสุดให้แก่นักช้อปเป็นอย่างยิ่ง และด้วยเครือข่ายของอีเบย์ที่ครอบคลุมทั่วโลก ทำให้อีเบย์สามารถขยายช่องทางการทำธุรกิจแฟชั่นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้นักออกแบบชั้นนำอย่างเช่นเดเร็ค แลม และอื่นๆ รวมทั้งผู้จำหน่ายแฟชั่นแบรนด์ดังสามารถเจาะฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น”

ความร่วมมือระหว่างเดเร็ค แลมและอีเบย์ส่งผลให้มีการพัฒนาแพลทฟอร์ม Designer Exclusives ของอีเบย์ให้ล้ำสมัยอย่างไม่หยุดยั้ง อีเบย์มุ่งเดินหน้าสร้างสรรค์ช่องทางใหม่ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด อีเบย์ แฟชั่น คือตลาดแฟชั่นออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลกที่เป็นแหล่งรวมสินค้าเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับอันล้ำสมัยหลากหลายประเภท เพื่อมอบประสบการณ์การจับจ่ายสินค้าอย่างคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า และอีเบย์ แฟชั่น ฟอร์ ไอโฟน แอพพลิเคชั่น คือ โซลูชั่น ที่สนับสนุนนักช้อปให้สมารถเรียกดูและสั่งซื้อสินค้าแฟชั่นได้อย่างสะดวกและรวดเร็วจากมือถือและทุกที่ทุกเวลา ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ fashion.ebay.com

]]>
53542
อีเบย์ อิงค์ เผยผลประกอบการไตรมาสสามโตต่อเนื่องและแข็งแกร่ง https://positioningmag.com/53488 Fri, 29 Oct 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=53488

อีเบย์ อิงค์ (หรือมีชื่อในตลาดหลักทรัพย์แนสแดคว่า EBAY) เผยผลประกอบการไตรมาส 3/2553 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 โดยในไตรมาสสามของปีนี้ มีรายได้เท่ากับ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นร้อยละ 10 เมื่อคำนวณโดยไม่นับรวมสไกพ์ เมื่อคำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (GAAP) สำหรับไตรมาส 3/2553 อีเบย์ อิงค์ มีรายได้สุทธิ 431.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 0.33 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นปรับลด ขณะเดียวกันในไตรมาส 3/2553 อีเบย์ อิงค์ มีรายได้สุทธิที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (non-GAAP) คิดเป็น 530.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 0.40 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นปรับลด เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อคำนวนโดยไม่นับรวมสไกพ์

สำหรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของอีเบย์ อิงค์ในไตรมาส 3/2553 เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเติบโตอย่างโดดเด่นของธุรกิจเพย์พาล โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้ ยอดการชำระเงินโดยรวม และยอดบัญชีเพย์พาลส่งผลให้บริษัทเป็นผู้นำ การชำระเงินออนไลน์ ทั้งนี้ ธุรกิจเพย์พาลมีผู้ใช้บริการทั่วโลกรวม 90 ล้านราย โดยในไตรมาสสามที่ผ่านมา เพย์พาลมียอดการเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าล้านบัญชีในแต่ละเดือน ยอดการชำระเงินโดยรวมของการบริการสำหรับสถานธุรกิจมีการเติบโตประมาณหรือมากกว่าร้อยละ 40 ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนธุรกิจมาร์เก็ตเพลสมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการให้บริการแก่ลูกค้า โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางในส่วนการดำเนินงานสำคัญต่างๆ ซึ่งรวมทั้งโมบายคอมเมิร์ซและแฟชั่น ทั้งนี้ปริมาณการขายของบริษัท เมื่อคำนวนโดยไม่นับรวมจีมาร์เก็ตมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการเติบโตอย่างรุดหน้าในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร

มร. จอห์น โดนาโฮ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อีเบย์ อิงค์ กล่าวว่า “อีเบย์มี ผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3/2553 โดยมีเพย์พาลเป็นธุรกิจที่นับวันมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคงต่อไป อีเบย์ดำเนินการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอเพื่อรักษาเสถียรภาพทั้งทางด้านความแข็งแกร่ง ความท้าทายทางธุรกิจ และโอกาส ทั้งยังเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่มี การเติบโตเพื่อให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง”

]]>
53488