G7 – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 21 May 2023 09:56:18 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กลุ่ม G7 เห็นพ้อง “ลดพึ่งพาการค้ากับจีน” ชี้เพื่อลดความเสี่ยง แต่มีบางประเด็นต้องจับมือกัน https://positioningmag.com/1431120 Sun, 21 May 2023 08:28:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431120 กลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 ได้เห็นพ้องต้องกันว่าต้องลดการพึ่งพาทางการค้ากับประเทศจีนลง เพื่อที่จะลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ขัดขวางในการเติบโตของเศรษฐกิจแดนมังกร รวมถึงต้องมีความร่วมมือระหว่างกัน เช่น สภาพแวดล้อมโลก

สำนักข่าว Reuters และ CNN ได้รายงานข่าวว่าในการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก หรือ G7 ผู้นำของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำเหล่านี้ได้เห็นพ้องกันในเรื่องความจำเป็นที่จะต้องลดพึ่งพาการค้ากับจีนลง โดยให้เหตุผลถึงการลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ หลังจากที่ประเทศเหล่านี้ได้พึ่งพาจีนในฐานะโรงงานผลิตของโลก

การประชุมที่เมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำเหล่านี้ได้เตรียมพร้อมที่จะลดการพึ่งพาการค้ากับประเทศจีน ซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ “สร้างสรรค์และมั่นคง” กับจีนด้วย

อย่างไรก็ดีในความเห็นร่วมกันของผู้นำเหล่านี้ไม่ได้ต้องการที่จะแยกเศรษฐกิจจีนออกมา (Decouple) แต่ได้เน้นย้ำว่านโยบายดังกล่าวเพื่อที่จะต้องการลดความเสี่ยง และต้องการสร้างความยืดหยุ่น ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ขัดขวางในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนแต่อย่างใด

ความเห็นพ้องต้องกันของผู้นำประเทศกลุ่ม G7 ต่อประเทศจีนนั้นมีหลายประเด็น เช่น เศรษฐกิจ ความมั่นคง ฯลฯ อย่างไรก็ดีมุมมองเกี่ยวกับวิธีจัดการกับจีนถือว่าแตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศฝั่งยุโรป ขณะที่สหรัฐอเมริกามองจีนว่าเป็น “ความท้าทายระยะยาวที่ร้ายแรงที่สุดต่อระเบียบระหว่างประเทศ”

ขณะเดียวกันในการประชุม G7 นั้นก็ได้ชี้ถึงความร่วมมือกับประเทศจีนยังถือเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากมีบทบาทในประชาคมระหว่างประเทศและขนาดเศรษฐกิจของแดนมังกร โดยเฉพาะประเด็นสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งประเด็นดังกล่าวทั้งจีนและชาติตะวันตกได้เห็นตรงกัน

นอกจากนี้แถลงการณ์ของกลุ่ม G7 เองยังมีผู้นำออสเตรเลียที่มีปริมาณการค้ากับจีนสูง และมีข้อขัดแย้งระหว่างกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ให้ความเห็นสนับสนุนความคิดในการลดความเสี่ยงที่จะพึ่งพากับจีนด้วย 

สำหรับประเทศสมาชิก G7 ได้แก่ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา โดยสหภาพยุโรปยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มในรูปแบบที่ไม่ใช่ประเทศอีกด้วย

ในช่วงที่ผ่านมาจีนได้มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกในฐานะโรงงานผลิตของโลก เนื่องจากมีค่าแรงที่ถูก การผลิตสินค้าที่มีจำนวนมาก ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด อย่างไรก็ดีปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดในจีนได้สร้างปัญหาทำให้ภาคการผลิตหยุดชะงัก จนทำให้หลายประเทศหรือหลายบริษัทเริ่มตัดสินใจย้ายกำลังการผลิตออกจากจีนเพื่อลดความเสี่ยง

ที่มา – CNN, Reuters

]]>
1431120
ส่องอัตราภาษีนิติบุคคล ‘สูงสุด-ต่ำสุด’ ทั่วโลก หลังกลุ่มประเทศ G7 ปฏิรูปกำหนดขั้นต่ำ 15% https://positioningmag.com/1337080 Tue, 15 Jun 2021 07:01:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337080 ในอดีตหลายประเทศในโลกพยายามจะลดอัตราภาษีนิติบุคคลเพื่อดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติและบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศของตน เพื่อที่รัฐบาลจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้ ‘บริษัทขนาดใหญ่’ บางรายมักจะจดทะเบียนบริษัทในประเทศที่เรียกเก็บภาษีในระดับต่ำมากหรือไม่มีการเรียกเก็บภาษีนิติบุคคลหรือภาษีเงินได้เลย จึงเป็นเหตุให้กลุ่ม G-7 ได้สนับสนุนให้อัตราภาษีนิติบุคคลทั่วโลกขั้นต่ำอย่างน้อย 15%

ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจากประเทศกลุ่ม G-7 ได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ได้ตกลงกันว่าจะสนับสนุนอัตราภาษีนิติบุคคลทั่วโลกให้มีขั้นต่ำอย่างน้อย 15% เพื่อแก้ปัญหาการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายหลบเลี่ยงภาษีและประกันความยุติธรรมสำหรับชนชั้นกลางและคนทำงานในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก

ที่ผ่านมา รัฐบาลในประเทศเศรษฐกิจใหญ่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการเก็บภาษีบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Facebook และ Google ที่มักใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษีในประเทศแม่ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การตั้งบริษัทสาขาในประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราต่ำแล้วยื่นเสียภาษีที่นั่น แม้ว่าบริษัทจะมีผลกำไรส่วนใหญ่มาจากยอดขายในประเทศอื่นก็ตาม ซึ่งช่วยให้บริษัทหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีที่สูงขึ้นในประเทศบ้านเกิดของบริษัท

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD คาดว่าอัตราภาษีขั้นต่ำขององค์กรทั่วโลกรวมกันจะเพิ่มขึ้นราว 5-8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยทั่วไป ประเทศในแอฟริกาและอเมริกาใต้กำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปและเอเชีย ตามข้อมูลของมูลนิธิ Think Tank Tax Foundation, OECD และที่ปรึกษา KPMG ส่วนประเทศที่มีภาษีต่ำหลายแห่งเป็นประเทศเล็ก ๆ เช่น บัลแกเรีย และลิกเตนสไตน์ ซึ่งอัตราภาษีนิติบุคคลสูงสุดและต่ำสุดทั่วโลก มีดังนี้

ประเทศที่มีอัตราภาษีนิติบุคคลสูงสุด
ประเทศที่มีอัตราภาษีนิติบุคคลต่ำสุด

จากข้อมูลดังกล่าวระบุว่า ประมาณ 15 ประเทศไม่ได้กำหนดภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไป ซึ่งรวมถึงประเทศที่เป็นเกาะ เช่น เบอร์มิวดา หมู่เกาะเคย์แมน และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็น “ที่หลบภัยทางภาษี” นอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นเขตอำนาจศาลที่บริษัทขนาดใหญ่เปลี่ยนผลกำไรไปเพื่อจ่ายภาษีให้น้อยลง โดยพื้นที่ดังกล่าวจะเน้นทำประโยชน์จากการจ้างงานของบริการบริษัทข้ามชาติ รวมถึงการทำเงินจากค่าธรรมเนียมที่จ่ายโดยบริษัทขนาดใหญ่แทน

Daniel Bunn รองประธานโครงการระดับโลกของ Tax Foundation กล่าวว่า ประเทศที่มีภาษีต่ำเอื้อต่อการลงทุนมากกว่าประเทศที่มีภาษีสูงกว่า ดังนั้น การใช้อัตราภาษีขั้นต่ำทั่วโลกจะเพิ่มต้นทุนของการลงทุนเหล่านั้น และอาจส่งผลต่อประเทศเหล่านั้นแน่นอน

“แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แน่นอนว่าอาจยังมีโอกาสหลบเลี่ยงหรือหลีกเลี่ยง หรือประเทศต่าง ๆ จะเปลี่ยนกฎในลักษณะที่เป็นสิทธิพิเศษสำหรับเขตอำนาจศาลของตนก็เป็นได้”

Source

]]>
1337080
กลุ่ม G7 ตั้งเป้าบริจาค ‘วัคซีนโควิด’ ช่วยประเทศยากจน ผ่าน COVAX อย่างน้อย 1,000 ล้านโดส https://positioningmag.com/1336478 Fri, 11 Jun 2021 04:50:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1336478 กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือ G7 ตกลงบริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประเทศรายได้ต่ำปานกลาง เบื้องต้นอย่างน้อย 1 พันล้านโดส ผ่านโครงการ COVAX ขององค์การอนามัยโลก เร่งกระจายวัคซีนให้เสร็จสิ้นภายในปีหน้า

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เปิดเผยว่า สหราชอาณาจักรจะบริจาควัคซีนโควิด-19 อีก 100 ล้านโดส เพื่อสมทบกับเเผนการของสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศว่าจะเเจกจ่ายวัคซีน Pfizer-BioNTech จำนวน 500 ล้านโดส ไปเมื่อเร็วๆ นี้

เอ็มมานูเอล มาครงประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก็เตรียมจัดส่งวัคซีนช่วยเหลืออีก 30 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2021 นี้เช่นกัน

โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เเห่งสหรัฐฯ พร้อมกับอัลเบิร์ต บูร์ลาซีอีโอของบริษัท Pfizer เเถลงร่วมกันเพื่อยืนยันว่า รัฐบาลจะเป็นผู้ซื้อวัคซีนของ Pfizer-BioNTech จำนวน 500 ล้านโดส ให้เเก่โครงการ COVAX โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ เพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนอย่างน้อย 92 ประเทศ

สำหรับเเผนการจัดส่งจะทยอยส่ง 200 ล้านโดสแรกภายในปีนี้ ขณะที่เหลืออีก 300 ล้านโดส คาดว่าจะจัดส่งให้แล้วเสร็จภายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2022 โดยวัคซีนของ Pfizer ที่จะขายให้สหรัฐฯ ล็อตใหญ่นี้ เป็นส่วนหนึ่งใน
เเผนการจัดสรรวัคซีน 2 พันล้านโดสให้กับกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ-ปานกลาง ที่บริษัทเพิ่งประกาศเมื่อไม่นานมานี้

ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาว เปิดเผยเอกสาร เเผนการเเบ่งปันวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมด 80 ล้านโดส ที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เคยให้คำมั่นไว้ โดยตั้งเป้าจะแจกจ่ายให้แล้วเสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เเบ่งเป็นเฟสเเเรก 25 ล้านโดส ในจำนวนนี้ วัคซีนกว่า 75% จะถูกจัดสรรให้กับ COVAX (มีลิสต์รายชื่อประเทศไทยด้วย เเม้ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ) ขณะที่อีก 25% จะเตรียมสำรองไว้ให้ประเทศที่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดหนัก จำเป็นต้องรับความช่วยเหลือในทันที และประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ โดยตรง (คลิกอ่านต่อ : ที่นี่)

อย่างไรก็ตาม มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงแผนบริจาควัคซีนดังกล่าวว่ามีจำนวนน้อยเกินไป โดยองค์กรออกซ์แฟม ใช้คำเปรียบเปรยเหมือนน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรเพราะยังมีประชากรทั่วโลกเกือบ 4 พันล้านคนที่ต้องพึ่งพาโครงการ COVAX และปัจจุบันวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทุกยี่ห้อต้องฉีดให้ครบ 2 โดส

ทั้งนี้ ทวีปแอฟริกายังเป็นโซนที่มีความคืบหน้าด้านการฉีดวัคซีนน้อยที่สุด ประมาณ 1.7% ของวัคซีนที่มีการฉีดทั่วโลกไปว่า  2.2 พันล้านโดส

 

ที่มา : Reuters , AFP , AP 

 

]]>
1336478
กลุ่ม G7 หนุนชาติต่างๆ เก็บภาษีรายได้ทางออนไลน์ขั้นต่ำ 15% บ.เทคข้ามชาติกระทบแน่ https://positioningmag.com/1335534 Sun, 06 Jun 2021 17:01:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335534 พวกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ อย่าง กูเกิล, แอมะซอน, เฟซบุ๊ก ได้รับผลกระทบแน่นอน จากการที่กลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมสำคัญของโลก (G7) ตกลงเห็นพ้องกันที่จะสนับสนุนให้ทั่วพิภพจัดเก็บภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำอย่างน้อยที่สุด 15% เพื่อป้องปรามการที่บริษัทนานาชาติทั้งหลายหลีกเลี่ยงภาษี ด้วยวิธีการโยกย้ายเอาผลกำไรไปไว้ในหมู่ประเทศซึ่งเก็บภาษีอัตราต่ำๆ

ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีคลังของกลุ่ม G7 ณ กรุงลอนดอนคราวนี้ ยังรับรองข้อเสนอที่จะทำให้พวกบริษัทใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งรวมไปถึงประดาเทคยักษ์ใหญ่ที่มีรากฐานอยู่ในสหรัฐฯ ด้วย ต้องจ่ายภาษีในประเทศต่างๆ ที่พวกเขาทำยอดขายรายรับทางออนไลน์ได้มากมาย ทว่าไม่ได้มีสำนักงานแบบตัวเป็นๆ ตั้งอยู่

พวกกลุ่มรณรงค์เรียกร้องเรื่องนี้หลายๆ กลุ่ม ยังคงมีความเห็นว่า สิ่งที่ขุนคลัง G7 ตกลงกันได้นี้ยังคงไม่เพียงพอ เป็นต้นว่า องค์การการกุศล “ออกซ์แฟม” บอกว่า อัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำสุดซึ่งเห็นพ้องกันอยู่ที่ระดับ 15% นั้น “ต่ำเกินไปนักหนา” จากที่จะสามารถสร้างความแตกต่างอะไรขึ้นมาได้

สำหรับรัฐมนตรีคลังสหราชอาณาจักร ริชิ สุนัค ผู้เป็นเจ้าภาพการประชุมหนนี้ เขาแถลงว่าข้อตกลงที่โอเคกันได้คราวนี้ จะ “ปฏิรูประบบภาษีทั่วโลก เพื่อทำให้มันเหมาะสมสอดคล้องกับยุคดิจิตอลโลก และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการทำให้ระบบภาษีมีความยุติธรรม ให้บริษัทที่ถูกต้องสมควร ต้องจ่ายภาษีที่ถูกต้องสมควร ในสถานที่ซึ่งถูกต้องสมควร”

ด้านรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เจเนต เยลเลน กล่าวว่า ดีลที่ผ่านจากกลุ่ม G7 นี้ “เป็นการสร้างโมเมนตัมอย่างมหาศาล” สำหรับการทำข้อตกลงระดับทั่วโลกให้สำเร็จ ซึ่ง “จะยุติการแข่งขันกันเพื่อกำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลให้ลงต่ำที่สุด และก็เป็นการรับประกันให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับชนชั้นกลางและชนชั้นผู้ใช้แรงงานในสหรัฐฯ และทั่วทั้งโลก”

Photo : Shutterstock

ชาติต่างๆ กำลังปลุกปล้ำหาทางกันมาเป็นแรมปีแล้ว สำหรับจัดการกับคำถามที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะป้องปรามพวกบริษัทต่างๆ ไม่ให้หลีกเลี่ยงการชำระภาษีแบบถูกต้องตามกฎหมายซึ่งใช้ในปัจจุบัน ด้วยการใช้แผนอุบายทางบัญชี และทางกฎหมายที่ยักย้ายรายรับผลกำไรของพวกตนไปยังกิจการสาขาซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งหลบภัยภาษี

อันมักหมายถึงพวกประเทศเล็กๆ ซึ่งจัดเก็บภาษีจากบริษัทต่างๆ ในอัตราต่ำ หรือกระทั่งไม่เก็บเลย ถึงแม้วิสาหกิจเหล่านี้แทบไม่ได้มีกิจการธุรกิจอะไรจริงๆ ที่นั่น การถกเถียงอภิปรายระดับนานาประเทศว่าด้วยประเด็นปัญหาภาษีเช่นนี้ บังเกิดความคึกคักและดูมีทางตกลงกันได้ขึ้นมา หลังจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ หนุนหลังไอเดียเรื่องให้ทั่วโลกกำหนดอัตราภาษีต่ำสุดอย่างน้อยที่สุด 15% จากผลกำไรของภาคบริษัท

การหารือของเหล่ารัฐมนตรีคลังนี้ มีขึ้นก่อนหน้าการประชุมซัมมิตประจำปีของบรรดาผู้นำชาติ G7 ซึ่งปีนี้กำหนดจัดระหว่างวันที่ 11-13 มิ.ย. ในเทศมณฑลคอร์นวอลล์ อังกฤษ ของสหราชอาณาจักร การรับรองจากกลุ่ม G7 น่าจะช่วยสร้างโมเมนตัมให้เกิดดีลขึ้นได้ ทั้งในการเจรจาระหว่างชาติต่างๆ มากกว่า 135 ชาติซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในกรุงปารีส ฝรั่งเศส และทั้งในการประชุมระดับรัฐมนตรีคลังของกลุ่ม G20 ที่กำหนดจัดขึ้นในเมืองเวนิส อิตาลี เดือนกรกฎาคมนี้

มานัล คอร์วิน หุ้นส่วนระดับหัวหน้าทางด้านภาษี ของเคพีเอ็มจี บริษัทสอบบัญชี และบริการทางวิชาชีพต่างๆ รวมทั้งเธอยังเคยเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ด้วย ให้ความเห็นว่า การประชุมขุนคลัง G7 ครั้งนี้ สร้างความชัดเจนขึ้นมาว่า พวกประเทศสำคัญๆ เหล่านี้มีจุดยืนอย่างไรในประเด็นปัญหาหลักๆ จำนวนมาก รวมทั้งเรื่องอัตราขั้นต่ำ 15%

“การส่งสัญญาณว่ามีความเห็นเป็นฉันทามติกันแล้วในด้านหลักๆ บางประการของสิ่งที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในทั่วโลกเวลานี้ เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เพื่อทำให้เกิดโมเมนตัมสำหรับการเข้าสู่ระยะต่อไปของเรื่องนี้ ในที่ประชุม G20”

(Photo by Sean Gallup/Getty Images)

ข้อเสนอด้านภาษีที่ผ่านการรับรองเมื่อวันเสาร์ที่ 5 มิ.ย. มีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกเป็นการเปิดทางให้ประเทศต่างๆ จัดเก็บภาษีจากส่วนของกำไรที่บริษัทต่างๆ ซึ่งไม่ได้มีการปรากฏตัวทางกายภาพในประเทศของตน ทว่ามียอดขายมีรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ตัวอย่างเช่น รายได้จากการขายโฆษณาทางดิจิตอล

ฝรั่งเศสถือเป็นผู้นำเปิดฉากการอภิปรายถกเถียงในประเด็นปัญหานี้ ด้วยการออกกฎหมายของตนเองเพื่อจัดเก็บภาษีบริการดิจิตอล จากรายรับต่างๆ ของพวกบริษัทอย่างเช่น กูเกิล, แอมะซอน, และเฟซบุ๊ก ซึ่งแดนน้ำหอมพิจารณาเห็นว่ามีขึ้นมาได้จากการทำธุรกิจในฝรั่งเศส ทว่าทางด้านสหรัฐฯ คัดค้านหนัก โดยมองว่าภาษีระดับชาติเช่นนี้เป็นมาตรการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากมีลักษณะมุ่งเล่นงานเก็บภาษีจากพวกบริษัทอเมริกันเท่านั้น

ส่วนหนึ่งของข้อตกลงก็คือ ประเทศอื่นๆ จะเพิกถอนยกเลิกการจัดเก็บภาษีดิจิตอลฝ่ายเดียวของพวกตน เพื่อหันมายอมรับดีลในระดับทั่วโลก

ทางด้าน นิก เคล็กก์ รองประธานฝ่ายกิจการทั่วโลกของเฟซบุ๊ก แถลงว่า ข้อตกลงนี้เป็นก้าวเดินก้าวใหญ่ในเส้นทางมุ่งสู่การทำให้มีความแน่นอนทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น และเพิ่มความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อระบบภาษีทั่วโลก แต่เขายอมรับว่า มันอาจทำให้เฟซบุ๊กต้องจ่ายภาษีมากขึ้น

“เราต้องการให้กระบวนการปฏิรูปภาษีระหว่างประเทศประสบความสำเร็จ และยอมรับว่าเรื่องนี้อาจหมายถึงว่า เฟซบุ๊กต้องจ่ายภาษีมากขึ้น และต้องจ่ายในหลายๆ สถานที่ต่างๆ กัน” เคล็กก์โพสต์ข้อความเช่นนี้ทางทวิตเตอร์

Photo : Shutterstock

คำแถลงของขุนคลัง G7 ที่ออกมาหลังการประชุม มีน้ำเสียงที่เป็นการสะท้อนข้อเสนอประการหนึ่งของสหรัฐฯ ที่เปิดทางให้ประเทศต่างๆ สามารถจัดเก็บภาษีจากส่วนหนึ่งของรายรับของ “พวกวิสาหกิจนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและทำกำไรได้มากที่สุด” ไม่ว่าจะเป็นกิจการดิจิตอลหรือไม่ก็ตาม ถ้าหากบริษัทเหล่านี้กำลังทำธุรกิจอยู่ภายในเขตแดนของประเทศเหล่านี้ สหรัฐฯ ยังสนับสนุนให้ประเทศดังกล่าวเหล่านี้มีสิทธิที่จะจัดเก็บภาษีได้ในอัตรา 20% หรือกว่านั้นจากผลกำไรซึ่งเกิดขึ้นในท้องถิ่น ที่ล้ำเกินจากอัตราผลกำไรระดับ 10%

สำหรับส่วนหลักอีกส่วนหนึ่งของข้อเสนอนี้ ได้แก่ การที่ประเทศต่างๆ จะจัดเก็บภาษีผลกำไรในต่างประเทศซึ่งพวกบริษัทในบ้านเกิดของตนเองทำได้ ในอัตราขั้นต่ำอย่างน้อยที่สุด 15% นี่จะเป็นการป้องปรามไม่ให้ใช้วิธีปฏิบัติ ซึ่งวางแผนอุบายทางการบัญชีเพื่อโยกย้ายผลกำไรไปยังพวกประเทศจัดเก็บภาษีต่ำสุดๆ ไม่กี่แห่ง เนื่องจากรายได้ซึ่งไม่ถูกจัดเก็บภาษีในต่างแดน ก็จะถูกนำมารวมเป็นรายได้ในประเทศที่ตั้งสำนักงานใหญ่ และถูกเก็บในอัตราอย่างต่ำที่สุด 15% อยู่ดี

ในสหรัฐฯ นั้น ไบเดนกำลังเสนอให้จัดเก็บภาษีในอัตรา 21% จากรายได้ในต่างประเทศของบริษัทต่างๆ อันเป็นการเพิ่มขึ้นจากระดับ 10.5% – 13.125% ซึ่งตราเป็นกฎหมายออกมาบังคับใช้ในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่แม้กระทั่งว่าอัตราของสหรัฐฯ ลงท้ายแล้วสู่งกว่าอัตราขั้นต่ำสุดของโลก ความแตกต่างของเม็ดเงินภาษีที่เกิดขึ้นก็ยังจะเล็กน้อยมาก จนกระทั่งน่าจะสามารถกำจัดช่องโหว่ส่วนใหญ่สำหรับการหลบหลีกภาษีไปได้ ทั้งนี้ข้อเสนอของไบเดนยังต้องผ่านการอนุมัติออกเป็นกฎหมายจากรัฐสภาสหรัฐฯ

คอร์วิน แห่ง เคพีเอ็มจี บอกว่า ในคำแถลงสุดท้ายยังไม่ได้กล่าวถึงจุดสำคัญต่างๆ อีกหลายจุด เป็นต้นว่า คำนิยามของบริษัทนานาชาติ “ใหญ่ที่สุดและมีกำไรมากที่สุด” ซึ่งระบุเอาไว้ในข้อตกลงขุนคลัง G7 จะครอบคลุมไปถึงขนาดไหนแน่ๆ และมีวิธีการอย่างไรในการคุ้มครองไม่ให้บริษัทต่างๆ ถูกเก็บภาษีซ้ำซ้อน ถ้าหากประเทศต่างๆ มีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องที่ว่าใครควรมีสิทธิเก็บภาษีจากพวกเขา จุดที่ละเอียดซับซ้อนเหล่านี้กำลังถูกส่งไปเป็นสิ่งที่การเจรจาของ G20 ตลอดจนการหารือในกรุงปารีสซึ่งจัดโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) จะต้องถกเถียงกันต่อไป

Source

]]>
1335534