เดือนมกราคมที่ผ่านมา ห้องหนึ่งในเว็บบอร์ด Reddit ที่ชื่อว่า WallStreetBets เชิญชวนให้นักลงทุนรายย่อยรวมพลังกันต้านการชอร์ตหุ้นของเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ ด้วยการช่วยกันเข้าซื้อหุ้น GameStop หุ้นบริษัทร้านขายเกม เพื่อทำให้นักลงทุนสถาบันที่ชอร์ตหุ้นไปก่อนหน้านี้ต้องขาดทุน

งานนี้เป็นเหมือนการวัดพลังอำนาจระหว่าง “เฮดจ์ฟันด์” กับ “นักลงทุนรายย่อย” ที่รวมตัวกันติดผ่าน “เว็บบอร์ด” เมื่อบรรดารายย่อยเข้าไปรุมซื้อหุ้นทำให้หุ้น GameStop พุ่งขึ้นเป็น 10 เท่าภายในเวลาไม่กี่วัน และทำให้นักลงทุนสถาบันที่รอทำกำไรจากราคาหุ้นที่ร่วงลงต้องกุมขมับ กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในโลกการเงิน

เมื่อปรากฏการณ์ GameStop ฮือฮาไปทั่วโลก สปอตไลต์จึงฉายส่องมาที่ Reddit เว็บบอร์ดในลักษณะคล้ายกับพันทิป พื้นที่ห้องที่คุยเรื่อง GameStop ในเว็บบอร์ดสามารถดึงคนให้เข้าร่วมพูดคุยในห้องนี้ห้องเดียวจาก 1 ล้านคนเป็น 8 ล้านคนภายในหนึ่งสัปดาห์!

• รู้จัก Ryan Cohen ผู้ถือหุ้น GameStop ที่ทำรายได้ 8.9 หมื่นล้านบาทในข้ามคืน

หลังเกิดเหตุ GameStop ขึ้น ทาง Reddit ระบุว่า เว็บบอร์ดของตนมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็น 52 ล้านคนต่อวัน มากกว่าปีก่อนถึง 44%

เมื่อน้ำขึ้นก็ต้องรีบตัก ล่าสุด Reddit ประกาศผลการระดมทุนรอบ Series E และได้รับเงินลงทุน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7,480 ล้านบาท) มูลค่าบริษัทได้รับการประเมินสูงขึ้นเป็น 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท) เทียบกับเมื่อปี 2019 ที่เคยระดมทุนรอบ Series D บริษัทได้รับการประเมินมูลค่าที่ 3,000 ล้านเหรียญ (ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท) เห็นได้ว่ามูลค่าพุ่งขึ้นมาเป็นเท่าตัวในเวลาเพียง 2 ปี

โดยบริษัทกล่าวว่าจะนำเงินที่ได้ไปเพิ่มจำนวนพนักงาน และลงทุนมากขึ้นในการกระตุ้นแพลตฟอร์มวิดีโอบนเว็บบอร์ดหลังจากเมื่อเดือนธันวาคม 2020 บริษัทเพิ่งจะเทกโอเวอร์กิจการ Dubsmash แพลตฟอร์มวิดีโอคู่แข่งของ TikTok มาไว้ในเครือ

Reddit ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2005 หรือเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ลักษณะเป็นเว็บบอร์ดคล้ายๆ พันทิป มีการตั้งกระทู้และจัดหมวดหมู่ตามความสนใจ เน้นการพูดคุยด้วยข้อความมากกว่ารูปหรือวิดีโอ ทำให้ทิศทางของเว็บค่อนข้าง “เนิร์ด” มักจะเน้นเนื้อหาสาระ มีการแชร์ข่าวมาคุยกัน ถกเถียงอภิปรายกันมากกว่าโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter หรือ Snapchat ที่คุยกันเรื่องสบายๆ มากกว่า ทำให้มีผู้ใช้งานสูงกว่า แต่การใช้ Reddit เป็นพื้นที่สร้างปรากฏการณ์ก็ทำให้เห็นความแข็งแรงของชุมชนแบบเว็บบอร์ดได้อย่างชัดเจน

จากกระแสที่กำลังร้อนแรง Reddit ยังไปซื้อโฆษณาเกมซูเปอร์โบวล์ครั้งล่าสุดมาด้วย โดยซื้อแค่ 5 วินาที ยิงแอดหน้าตาเหมือนกระทู้ในเว็บบอร์ดซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า “สิ่งที่มีพลังจะเกิดขึ้นเมื่อคนออกมารณรงค์เรื่องที่พวกเขาใส่ใจมันจริงๆ และมีสถานที่หนึ่งที่ใช้ในการณ์นั้น ที่นั่นก็คือ Reddit” เรียกว่าเว็บบอร์ดนี้คือคนขโมยซีนและได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากกรณี GameStop

Source

ข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กโชว์รายละเอียดการลงทุนของ Ryan Cohen ว่าในช่วงปีที่แล้ว Cohen ลงทุนซื้อหุ้น GameStop มูลค่ารวม 76 ล้านดอลลาร์ในเวลานั้น ซึ่งเมื่อมูลค่าหุ้น GameStop เพิ่มเกิน 347.51 ดอลลาร์ หุ้นที่ Cohen ถือครองจึงมีมูลค่า 3.1 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 89,997 ล้านบาท

สิ่งที่ทำให้ Cohen รับประโยชน์สุดๆ ในช่วงพีคที่ GameStop มูลค่าหุ้นพุ่งขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 11,500% คือการทิ้งตำแหน่งผู้บริหารบริษัทค้าปลีกอาหารสัตว์เลี้ยงออนไลน์ Chewy ซึ่งนักวิเคราะห์เคยจับตากันว่าจะเป็นดาวเด่นเหมือน Amazon ในหมวดสินค้าสัตว์เลี้ยงได้ไหม แล้วไปตัดสินใจลงทุนกับ GameStop คู่กับการขานรับเข้าร่วมทีมบริหารจนเกิดภาวะหุ้นพุ่งกระฉูดแบบที่โลกต้องจำ ทั้งหมดนี้นำไปสู่ภารกิจใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น ว่า Cohen จะสร้างอนาคตสดใสให้กับ GameStop ได้หรือไม่

ปาฏิหาริย์ Chewy กำลังจะเกิดที่ GameStop?

GameStop เชนค้าปลีกวิดีโอเกมประกาศในวันที่ 11 มกราคม 64 ว่าได้แต่งตั้ง Cohen และเพื่อนร่วมงาน 2 คนตั้งแต่สมัยก่อตั้ง Chewy ได้แก่ Alan Attal และ Jim Grube เป็นคณะกรรมการบริหาร โดยบริษัท RC Ventures บริษัทจัดสรรเงินลงทุนของ Cohen จะเข้าถือหุ้นใน GameStop ราว 13% ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ส

หลังการประกาศไม่นาน ศึกชักเย่อในตลาดหุ้นของ GameStop ก็เริ่มขึ้น นักลงทุนเอกชนรายย่อยในชุมชนออนไลน์อเมริกันอย่าง Reddit รวมพลังกันต้านกลุ่มกองทุนป้องกันความเสี่ยงแถวหน้าในวอลล์สตรีทที่ทำการ “ชอร์ตหุ้น” หรือการขายหุ้นออกไปโดยที่ไม่มีหุ้น จนทำให้ต้องรีบกลับมาซื้อหุ้นคืน กลายเป็นแรงดันมูลค่าหุ้นของแบรนด์ค้าปลีกวิดีโอเกมอย่าง GameStop พุ่งเกินหมื่นเปอร์เซ็นต์ ผ่านศึกชักเย่อที่เกิดขึ้นเพราะฝั่งนักลงทุนเอกชนหวังให้หุ้น GameStop เพิ่มขึ้น แต่กองทุนป้องกันความเสี่ยงรายใหญ่กลับหวังว่าจะลดลง

นิวสวีควิเคราะห์ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Cohen ทำเงินได้ถึง 3 พันล้านเหรียญ แม้ว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ Cohen จะมีโอกาสสร้างเงินก้อนโตด้วยปาฏิหาริย์ตลาดหุ้น

เด็กชาย Ryan Cohen

ตามประวัติ Cohen เป็นบุตรชายของผู้นำเข้าเครื่องแก้ว เด็กน้อยเติบโตในมอนทรีออล ริเริ่มสร้างเว็บไซต์ตั้งแต่ตอนอายุ 14 ปี โดยมีคุณพ่อให้การสนับสนุนเต็มที่

คุณพ่อของ Cohen สมัครใจเป็นลูกค้ารายแรกของเด็กน้อย ก่อนที่กิจการอื่นๆ จะตามมา เรื่องนี้ Cohen ยอมรับกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่าการได้ทำงานร่วมกับคุณพ่อทำให้เขาเข้าใจวิธีทำธุรกิจ และความสำคัญของการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

จนเมื่ออายุ 15 ปี หนุ่มน้อย Cohen ทำรายได้หลายพันเหรียญต่อเดือนจากเว็บไซต์โฆษณาสไตล์ affiliate ที่เขาสร้างขึ้นเอง เป็นรายได้จากส่วนแบ่งเมื่อมีการคลิกที่ลิงก์พันธมิตรบนเว็บไซต์

จนในปี 2554 หนุ่มหล่อ Cohen เปิดตัว Chewy โดยมี Michael Day เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ประมาณ 2 ปีต่อมาทั้งคู่ระดมทุนได้ 15 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่นักลงทุนรายใหญ่ “Larry Cheng” เดินทางไปเยี่ยมชมสำนักงานของ Chewy ระหว่างเดินทางไป Disney World

Cohen เล่าถึงช่วงชีวิตนั้นว่าเงินทุนทำให้ภารกิจของตัวเขายิ่งใหญ่ขึ้น โดยระบุในนิตยสาร Harvard Business Review ในช่วงต้นปี 63 ว่าตัวเขามีความมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้นที่จะทำให้ Chewy เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม เพราะมีเงินทุนจากหลายฝ่ายหมุนเวียนในบริษัท ไม่ใช่แค่เงินของตัวเองอีกต่อไป ซึ่งทำให้ Cohen รู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้น

แต่ที่สุดแล้ว Cohen ตัดสินใจขายลูกรักอย่าง Chewy ไป โดยประกาศว่าการขาย Chewy เป็นการขายหนึ่งในบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ มีรายงานว่า PetSmart จ่ายเงินซื้อ Chewy เป็นเงิน 3,350 ล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 18 เมษายน 60 ซึ่งเทียบเท่ากับ 4 ปีหลังจากที่ Cohen และหุ้นส่วนได้รับเงินลงทุนก้อนใหญ่ครั้งแรก

ไม่เหมือน Amazon

แนวคิดน่าสนใจของ Cohen คือการมองว่าตัวเองไม่เหมือน Amazon เห็นชัดเมื่อ Cohen ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟอร์บส์เรื่องหลักคิดธุรกิจ โดยบอกว่าแม้จะได้รับแรงบันดาลใจจากจดหมายของ Jeff Bezos ถึงผู้ถือหุ้น Amazon แต่เขาและทีมนั้นแตกต่างจาก Amazon อย่างสิ้นเชิง

Cohen ยกให้ Amazon เป็นบริษัทค้าปลีกออนไลน์ยักษ์ใหญ่ที่เขาต้องการเลียนแบบ แต่เขาจะเอาชนะให้ได้ด้วยการเพิ่ม human touch หรือความเป็นมนุษย์ลงไปในบริการ ประเด็นนี้ Cohen ใช้คำว่า “เราเป็นมนุษย์ เราเข้าใจ ไม่เหมือนกับ Amazon” ถือเป็นคำกล่าวตรงไปตรงมาที่ชัดเจน

แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับ Cohen เพราะหลายคนไม่เชื่อว่า Chewy จะเป็นดาวเด่นเหมือน Amazon ในหมวดสินค้าสัตว์เลี้ยงได้ ดังนั้นเมื่อมีความสงสัยมาก Chewy จึงแทบไม่มีใครอยากลงทุนด้วย ตรงนี้ Cohen ใช้คำว่าไม่มีใครอยากลงทุนให้กับคนที่ต้องเผชิญหน้าแข่งกับ Amazon

หลังการขายหุ้น Chewy หนุ่ม Cohen เว้นวรรคพักสั้น ๆ จากการติดต่อธุรกิจ แล้วจึงกลับสู่สังเวียนอีกครั้งด้วยการลงทุนที่ทำให้หลายคนประหลาดใจใน GameStop แบรนด์ผู้ค้าปลีกวิดีโอเกมที่ต้องดิ้นรนสุดขีดในนาทีนี้

จับตา GameStop 

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าเชนร้านค้าของ GameStop ล้าสมัยไปแล้ว เหมือนกับบริษัทให้เช่าวิดีโอ Blockbuster ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แม้แต่ Cohen ก็เคยโพสต์ภาพร้าน Blockbuster คู่กับอีโมจิรูปอุนจิไว้บนทวิตเตอร์เมื่อ 7 มกราคม 64 ที่ผ่านมา เป็นโพสต์ที่เกิดขึ้นหลังจากเมษายน 63 ที่หุ้นของ GameStop จมลงสู่ระดับ 2.80 ดอลลาร์ในช่วงท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ 

ในจดหมายถึงบอร์ดบริหาร GameStop เมื่อเดือนพฤศจิกายน 63 ผู้ถือหุ้นคนใหม่อย่าง Cohen เรียกร้องให้มีการทบทวนเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างแผนงานที่น่าเชื่อถือสำหรับการจำกัดต้นทุน ร่วมกับการจัดลำดับความสำคัญของสถานที่ค้าปลีกที่ยังทำกำไร และการขยายตลาดอีคอมเมิร์ซ 

ไม่นาน Cohen ลงทุนใน GameStop อีกครั้งก่อนวันคริสต์มาสปี 63 เอกสารระบุว่าบริษัทของ Cohen อนุมัติจ่ายเงินอีก 37 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้นอีก 2.5 ล้านหุ้นของ GameStop ทำให้เมื่อถึงสิ้นเดือนมกราคม Cohen จึงเป็นเจ้าของหุ้น 9 ล้านหุ้นที่ซื้อในราคาเฉลี่ย 8.43 ดอลลาร์ในราคารวม 76 ล้านดอลลาร์ในเวลานั้น

น่าเสียดายที่ Cohen ไม่เผยแผนการขายหุ้นเพื่อทำกำไร หรือแผนการนำรายได้มหาศาลไปใช้เพื่อลงทุนใหม่ในอนาคต โดยล่าสุดหุ้น GameStop ราคาตกเหลือ 225 ดอลลาร์ ลดลงกว่า 103.46 ดอลลาร์ หรือประมาณ 31.5% แล้ว 

สิ่งที่พอจะบอกใบ้ถึงแผนการลงทุนของ Cohen ในอนาคต คือคำให้สัมภาษณ์ที่เขาเคยให้กับซีเอ็นบีซี เวลานั้น Cohen ย้ำว่าสิ่งที่สำคัญพอกันกับการหาเงินพิเศษจากธุรกิจข้างเคียงคือการประหยัด Cohen ให้เครดิตกับคุณพ่อที่ได้แสดงให้เห็นมาตลอดว่าจะลงทุนอย่างไร และจะใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่เหลืออยู่หลังจากการออมเท่านั้น.

ที่มา : 

• https://www.entrepreneur.com
  
• https://www.forbes.com
• https://www.newsweek.com
  
• https://www.fairfieldcitizenonline.com