Gulf Binance เจ้าของแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Binance TH ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยชูจุดเด่นค่าธรรมเนียมซื้อขายที่สูสีกับคู่แข่งในตลาด แพลตฟอร์มอยู่ภายใต้การกำกับดูแล และยังรวมถึงแพลตฟอร์มมีเหรียญซื้อขายมากกว่า 115 เหรียญ
สาเหตุที่ทำให้บริษัทเจาะตลาดประเทศไทย เนื่องจากเห็นกระแสตอบรับสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทยที่มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับทั่วโลก โดยตัวเลขผู้ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากถึง 21.9% มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 2 เท่า
ข้อมูลของ Chainalysis ยังได้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่อันดับที่ 10 ของโลก ในด้านการยอมรับให้เกิดการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัล และประเทศไทยยังมีการเติบโตของผู้พัฒนาที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากถึง 43% สูงสุดในอาเซียน
นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวถึงตลาดในประเทศไทยมีการยอมรับถึงสินทรัพย์ดิจิทัล การเข้ามาของ Gulf Binance จะช่วยสนับสนุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนเทคโนโลยีบล็อกเชน และเศรษฐกิจดิจิทัล
กลยุทธ์หลักที่ Gulf Binance ได้นำมาเจาะตลาดในประเทศไทย
ค่าธรรมซื้อขายของ Binance TH มีค่าธรรมเนียม 0.1% สำหรับการซื้อขายระหว่างคู่ USDT และ 0.25% สำหรับการซื้อขายระหว่างคู่เงินบาท (THB) กับสินทรัพย์ดิจิทัล
โดย Binance TH มีฟีเจอร์สำคัญที่เน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้งาน เช่น การแจ้งเตือนราคา (Price Alert) การแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวสินทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio Tracking) และมาตรการป้องกันที่จำกัดการถอนสินทรัพย์ (Whitelist Function) ในขณะเดียวกันก็จะมีเทคโนโลยีตรวจสอบเพื่อป้องกันการฟอกเงิน โดยใช้ข้อมูลจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐอย่าง ปปง. หรือบริษัทเอกชน
ในส่วนกลยุทธ์ด้านการตลาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ได้กล่าวว่าจะเน้นใช้ Key Opinion Leader (KOL) ที่ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการบอกปากต่อปาก แต่จะไม่เน้นการโปรโมตโฆษณาเหมือนกับคู่แข่งรายอื่น
Gulf Binance ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทภายในเครือของไบแนนซ์ (Binance) และ บริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด
ปัจจุบันแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Binance TH มีผู้ใช้งานลงทะเบียนอยู่ที่ 50,000 ราย หลังจากเปิดใช้งานแพลตฟอร์มมาเป็นระยะเวลา 1 เดือน และตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 1 ผู้เล่นตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลภายใน 2 ปี
]]>บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ได้แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงการเข้าซื้อหุ้นของ บมจ. ไทยคม (THCOM) ต่อจาก บมจ. อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) สัดส่วน 41.13% ขณะเดียวกันบริษัทได้เตรียมที่จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) หุ้นทั้งหมดของ THCOM หลังจากนี้ โดยคาดว่าถ้าหากซื้อหุ้นของ THCOM ทั้งหมดจะใช้เม็ดเงิน 10,873.33 ล้านบาท
สำหรับเม็ดเงินที่นำมาใช้ซื้อกิจการของ THCOM มีทั้งเม็ดเงินหมุนเวียนภายในบริษัท นอกจากนี้ทาง GULF ได้ชี้แจงว่าอาจใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน และหรือใช้การระดมทุนในการออกหุ้นกู้หรือตราสารหนี้อื่นๆ
นอกจากนี้ทาง GULF ได้ชี้แจงว่าการลงทุนใน THCOM มีความน่าสนใจและเหมาะสมกับบริษัทฯ ในหลายมิติ ทั้งด้านยุทธศาสตร์ การเติบโต และเพิ่มศักยภาพการต่อยอดไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนี้
ปัจจุบัน GULF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน INTUCH โดยถือหุ้นใน INTUCH สัดส่วน 46.443%
อย่างไรก็ดีการเข้าซื้อหุ้น THCOM รวมถึงทำ Tender Offer จะต้องผ่านเงื่อนไขไม่ว่าจะเป็น การได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ INTUCH ให้เข้าทำธุรกรรมดังกล่าว การได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงไม่มีเหตุการณ์อื่นๆ ที่กระทบต่อความสามารถในการทำธุรกิจของ THCOM อีกด้วย
]]>สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้การรักษาด้านทันตกรรมของประชาชนหยุดชะงักลง ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ในภาพรวมของประเทศไทยดีขึ้นและควบคุมได้แล้ว ทางบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ กัลฟ์ จึงร่วมมือกับ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ “GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน” เป็นครั้งแรก เพื่อรักษาและบรรเทาปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ในครั้งนี้เป็นการทำฟันฟรีให้กับคนในชุมชน ครอบคลุมการรักษาฟันเบื้องต้น อาทิ อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน เคลือบฟลูออไรด์ และเอ็กซเรย์ รวมไปถึงทันตกรรมที่ซับซ้อนอย่างการผ่าฟันคุด โดยรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 100-130 คนต่อวัน นอกจากนี้กัลฟ์ยังสนับสนุนเครื่องดูดน้ำลายความแรงสูง (High Power Mobile Suction) จำนวน 10 เครื่อง เพื่อนำไปใช้ที่หน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่อีกด้วย ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนพันธกิจเพื่อสังคมของกัลฟ์ภายใต้แนวคิด “Powering the Future, Empowering the People” ที่มุ่งดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมอย่างยั่งยืน
นายสิตมน รัตนาวะดี ในนามตัวแทน นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์
เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สืบเนื่องจากการที่ทางกัลฟ์ได้ลงพื้นที่ไปแจกข้าวกล่องแก่คนในชุมชนช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ทีมงานเห็นว่ายังมีประชาชนที่ยังเดือดร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงนำร่องจับมือกับทันตะ จุฬาฯ ออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ ซึ่งในปีนี้ออกหน่วยครั้งแรกที่ชุมชนบ้านแบนชะโด โดยตั้งเป้าว่าจะออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่จนถึงสิ้นปี และอาจขยายพื้นที่ไปจังหวัดอื่นเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เน้นชุมชนที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากศูนย์บริการสาธารณสุข เพื่อให้กลุ่มผู้ที่ยากจนหรือด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงบริการทันตกรรมที่มีคุณภาพได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมถึงได้รับความรู้ด้านการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกต้อง นอกจากนี้พนักงานกัลฟ์ยังมาร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยรับลงทะเบียน และให้ความรู้เกี่ยวกับทันตสุขศึกษาอีกด้วย
“การเดินทางมาหาทันตแพทย์แต่ละครั้งสำหรับผู้มีรายได้น้อยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องมีทั้งค่าเดินทาง และการหยุดงานที่อาจทำให้เสียรายได้ ซึ่งปัญหาสุขภาพช่องปากของประชาชนเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะโรคฟันผุและปริทันต์อักเสบ ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงทีจะลุกลามได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายตลอดการใช้ชีวิตประจำวัน ทางเรารู้สึกยินดีที่ทางกัลฟ์เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมสุขภาพช่องปากแก่ประชาชนผ่านการให้ความรู้ด้านทันตสุขศึกษา และการรักษาฟรี ถือเป็นการกระจายโอกาสและความเท่าเทียมกันด้านบริการทันตสุขภาพให้ทั่วถึงสู่ชุมชน นอกจากนี้ทีมทันตแพทย์ คณะทันตะ จุฬาฯ ขอขอบคุณทางกัลฟ์สำหรับการสนับสนุนเครื่องดูดน้ำลายความแรงสูง เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้” รศ. ทพ. ดร. พรชัย จันศิษย์ยานนท์ คณบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว
ด้านนายประดิษฐ์ จันทร ตัวแทนจากชุมชนบ้านแบนชะโด กล่าวถึงการเข้ารับบริการทันตกรรมในครั้งนี้ว่า “ผมทราบข่าวจากคณะกรรมการในชุมชนผ่านการประกาศเสียงตามสาย เลยรีบแจ้งความประสงค์ขอเข้ารับการรักษาฟันฟรี โดยปกติแล้วผมจะไปหาหมอฟันก็ต่อเมื่อฟันมีปัญหา ปวดฟัน ต้องถอนฟัน เป็นต้น ยิ่งพอมีสถานการณ์โรคโควิด-19 ก็ไม่ได้ไปหาหมอฟันเลย วันนี้จึงเป็นการมาพบหมอฟันครั้งแรกของปี รวมถึงพาลูกชายที่เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 1 มาพบหมอฟันเป็นครั้งแรก รู้สึกดีใจที่มีโครงการดี ๆ อย่างนี้ที่ทางกัลฟ์และทีมหมอเข้ามาดูแลคนในชุมชน”
สำหรับการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่บนมาตรฐานใหม่ในบริบท New Normal นั้นจะมีจุดคัดกรอง วัดอุณหภูมิร่างกาย ความดัน ชีพจร รวมถึงซักประวัติผู้เสี่ยงสงสัยติดเชื้อโควิด-19 ด้วย เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของทุกคน โดยหน้างานมีการจัดที่รับบัตรคิว การจัดที่นั่งรอให้มีระยะห่างที่เหมาะสม มีมาตรการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในสถานทำฟันตามมาตรฐานทันตแพทยสภา ซึ่งทันตแพทย์และบุคลากรทางทันตกรรม ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ เช่น แผ่นป้องกันใบหน้า (Face Shield) แว่นป้องกัน หน้ากากอนามัย ชุด PPE และถุงมือยาง ระหว่างปฏิบัติงาน มีฉากกั้น เคร่งครัดเรื่องการฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาบ้วนปากก่อนการรักษา และทำความสะอาดเก้าอี้ทำฟันก่อนและหลังการรักษาทุกครั้ง นอกจากนี้ยังมีเครื่องดูดละอองฝอย (Extra Oral Suction) เพื่อลดการฟุ้งกระจายของละออง และป้องการการแพร่เชื้อโรค ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรง ทางทันตแพทย์จะเขียนใบส่งตัวมาที่รพ.จุฬาฯ เพื่อนัดหมายตามขั้นตอนต่อไป
สำหรับข่าวสารและภาพบรรยากาศงานออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่เพิ่มเติม สามารถติดตามได้ทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ https://www.facebook.com/GulfSPARK.TH/
]]>มีคำกล่าวตั้งแต่สมัยโบราณว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” เพราะฉะนั้น… สิ่งที่สำคัญที่สุดของวัยเด็กก็คือเรื่อง “การศึกษา” ที่จะช่วยส่งเสริมทั้งด้านความรู้ ความสามารถ สติปัญญา และสังคม เพื่อให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นบุคลากรที่ดีของชาติได้อย่างสมบูรณ์
การสนับสนุนด้านการศึกษาให้แก่เด็กจึงเป็นเรื่องที่หลายภาคส่วนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการให้เด็กทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงด้านการศึกษา โดยเฉพาะเด็กพิการ หรือเด็กด้อยโอกาส ให้มีสิทธิ์ในการเข้าถึงด้านการศึกษาเหมือนกับเด็กทั่วไป
ด้วยเหตุนี้เอง “กัลฟ์” หรือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) จึงได้เปิดโครงการ “หนึ่งทุน หนึ่งฝัน ปั้นอนาคต” เพื่อมอบทุนการศึกษาให้กลุ่มผู้ป่วยของศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ ร.พ.จุฬาฯ สภากาชาดไทย
โครงการ “หนึ่งทุน หนึ่งฝัน ปั้นอนาคต” นี้ นับเป็นความช่วยเหลือด้านการศึกษาที่ต่อยอดมาจากความช่วยเหลือทางด้านสาธารณสุข โดยที่ผ่านมาทางกลุ่มบริษัทกัลฟ์ได้สนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ไม่ว่าจะเป็นเงินสนับสนุน มอบสิ่งของแก่ผู้ป่วย หรือการร่วมเป็นอาสาสมัครในโครงการคลินิกเคลื่อนที่แบบสหสาขาวิชาชีพของศูนย์ฯ ที่ทีมแพทย์ลงพื้นที่ไปตรวจรักษาผู้ป่วยที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
เบื้องต้นทางกลุ่มกัลฟ์ได้วางแผนให้ทุนการศึกษาต่อเนื่อง 4 ปี (พ.ศ. 2563-2566) รวมเป็นเงินกว่า 5 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ได้นำร่องช่วยเหลือให้ทุนการศึกษาไปแล้วจำนวน 30 ทุน ในปี พ.ศ. 2562 เป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ของกลุ่มบริษัทฯ ที่มุ่งพัฒนาเยาวชนไทยและสนับสนุนด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสะท้อนพันธกิจเพื่อสังคมภายใต้แนวคิด “Powering the Future, Empowering the People” ที่มุ่งทำดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมอย่างยั่งยืน
บุญชัย ถิราติ กรรมการบริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“ในโอกาสนี้กัลฟ์ได้ขยายความช่วยเหลือมาที่กลุ่มผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และมีความประพฤติดี ด้วยการมอบทุนการศึกษา ในปีนี้มอบให้เป็นจำนวน 51 ทุน มูลค่ารวมกว่า 600,000 บาท โดยคาดหวังว่าเงินสนับสนุนนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน เพิ่มโอกาสในการพัฒนาศักยภาพและเข้าถึงการศึกษา เพราะทางกลุ่มบริษัทฯ ตระหนักดีว่าการศึกษาคือรากฐานสำคัญในการพัฒนาเยาวชน ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญของสังคมและประเทศชาติต่อไป”
ทางด้าน ศ. กิตติคุณ นพ.จรัญ มหาทุมะรัตน์ หัวหน้าศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ กล่าวว่า
“ในนามของคณะทำงานของโครงการ เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทุนการศึกษานี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ (Craniofacial Deformities) ทำให้เกิดปัญหาหลายประการพร้อมกัน เช่น การกินอาหาร ฟันและการสบฟัน การได้ยิน การพูดไม่ชัด และปัญหาทางจิตใจทั้งของผู้ปกครองและของผู้ป่วยเอง จากปัญหาที่ซับซ้อนนี้เองทำให้การให้การรักษาจำเป็นต้องมีลักษณะเป็นสหสาขาวิชาชีพในการร่วมมือกันเพื่อรักษาให้ครอบคลุมทุกด้าน และเกิดผลดีที่สุดต่อคนไข้แต่ละราย ที่ผ่านมาผู้ป่วยของศูนย์ฯ มีจำนวนมาก ส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัดและมีฐานะยากจน ต้องขอขอบคุณกลุ่มบริษัทกัลฟ์และคณะทำงานทุกท่านที่ร่วมกันทำให้โครงการทุนการศึกษานี้เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์อย่างต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม”
สำหรับการคัดเลือกเด็ก หรือผู้ป่วยที่จะได้รับทุนของโครงการนี้นั้น ทางกัลฟ์จะให้สิทธิ์ทาง “นักสังคมสงเคราะห์” เป็นผู้ประเมิน จะมีเกณฑ์การประเมินทั้งจากฐานะทางการเงินของครอบครัว และความพร้อมในการเรียนของตัวเด็กเองด้วย
แต่ไม่ได้พิจารณาจากผลการเรียน เนื่องจากบางคนอาจมีปัญหาทางสมองควบคู่ด้วย โดยผู้ป่วยที่ได้รับเงินทุนการศึกษานี้เป็นนักเรียนระดับชั้นตั้งแต่อนุบาล 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล สระบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลก ศรีษะเกษ ยโสธร บุรีรัมย์ ชัยภูมิ ตรัง และปัตตานี เป็นต้น ซึ่งทุนที่นักเรียนได้รับจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้
จากทั้งหมด 51 ทุนที่ทางกัลฟ์ได้มอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กๆ ในปีนี้ มีตัวอย่างน้องๆ ที่น่าสนใจหลายราย ได้แก่ “น้องป่าน” เด็กน้อยวัย 9 ขวบที่เข้าออกโรงพยาบาลมากถึง 2-3 แห่ง จนได้รับการเข้ารักษาต่อที่ศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ เมื่อปี 2558 และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจมูก และตาห่างกันผิดปกติ น้องป่านได้รับการดูแลจากคุณป้า คุณปู่ และคุณย่าตั้งแต่แรกเกิด เนื่องจากพ่อแม่ไม่พร้อมที่จะดูแล รายได้หลักที่ไม่แน่นอนของครอบครัวมาจากคุณป้าที่มีอาชีพทำสวน กับเบี้ยยังชีพผู้สูงวัย และเบี้ยผู้พิการของน้องป่าน มันไม่ง่ายนักกับการใช้ชีวิตที่มีผู้ป่วย และคนชรา น้องป่านได้รับทุนการศึกษาปีละ 10,000 บาท เป็นเหมือนแสงส่องทางในวันข้างหน้า
ส่วน “น้องขวัญ” วัย 9 ขวบ เข้ารับการรักษาที่ศูนย์ฯ เมื่อปี 2554 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Apert Syndrome ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 อาศัยอยู่กับพ่อแม่ และพี่ชายวัย 13 ปีที่จ.บุรีรัมย์ โดยครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกร และรับจ้างทั่วไป มีรายได้เฉลี่ยรวมกันทั้งบ้าน 72,000 บาท/ปี จากรายได้ต่อปีที่ไม่มากนัก แต่ต้องใช้จ่ายถึง 4 คน อีกทั้งน้องขวัญยังต้องเดินทางเข้ารับการตรวจติดตามอาการเป็นระยะ ทำให้ครอบครัวเผชิญความยากลำบากทางการเงิน น้องขวัญได้พิจารณารับทุนการศึกษาปีละ 9,000 บาท ช่วยให้น้องขวัญได้ยิ้ม และกินอิ่มเมื่อได้ไปโรงเรียน
โครงการ “หนึ่งทุน หนึ่งฝัน ปั้นอนาคต” เรียกว่าช่วยสร้างโอกาส และความสุขแก่เด็กพิการบนใบหน้า และศีรษะได้อีกครั้ง อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบาความเดือดร้อนด้านค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว เพราะลำพังแค่ค่ารักษาพยาบาลก็มีค่าใช้จ่ายสูงอยู่แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือการส่งเสริมคุณภาพชีวิต การส่งเสริมการศึกษา จะช่วยต่อยอดให้เด็กๆ สามารถใช้การศึกษาเลี้ยงชีพตัวเองต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย
ท่านที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของโครงการ “หนึ่งทุน หนึ่งฝัน ปั้นอนาคต” ได้ทางhttp://www.facebook.com/GulfEnergyDevelopment/ และ https://www.facebook.com/thaicraniofacial
]]>
“เเรงบันดาลใจ” คือจุดเริ่มต้นของพลังเเห่งความสำเร็จ การสร้างเสริมประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เยาวชนที่เป็นอนาคตของสังคม จึงเป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้
อย่างที่ทราบกันดีว่า “กีฬา” เป็นกิจกรรมที่ช่วยเปลี่ยนมุมมองการรับรู้ การใช้ชีวิต ความสามัคคีเเละมิตรภาพ ดังนั้นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมกีฬาไทยให้ไปสู่ระดับโลก จึงเป็นเหมือนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาสังคม เเละคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนไปด้วย
นี่จึงเป็นที่มาของการสานต่อโครงการ “Gulf Football Camp: ชาร์จพลังปลุกฝันนักเตะเยาวชน” เป็นปีที่สอง เดินหน้าปรับปรุงสนามฟุตบอลชุมชนแห่งใหม่ เตรียมพร้อมเฟ้นหานักเตะดาวรุ่ง พาบินลัดฟ้าไปฝึกฝีเท้าที่สโมสร “โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์” ประเทศเยอรมนี สร้างแรงบันดาลใจและปูทางให้นักเตะเยาวชนไทยก้าวไปสู่อุตสาหกรรมกีฬาอย่างยั่งยืน
โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่าง กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF บริษัทพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของไทย เเละสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลเเถวหน้าของประเทศ
หนึ่งในพันธกิจของ “กัลฟ์” คือการพัฒนาเยาวชนให้เป็นพลังของสังคมยุคใหม่ ควบคู่กับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันสโมสรฟุตบอล “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ก็พร้อมส่งต่อความรู้ ความสามารถด้านกีฬาฟุตบอล พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนที่สนใจ
ธนญ ตันติสุนทร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกิจการองค์กร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า กลุ่มบริษัทกัลฟ์เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเยาวชนที่มีใจรักด้านกีฬา โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้สนับสนุนทีมฟุตบอลไทยและจัดกิจกรรมฟุตบอลคลินิกในชุมชนที่กัลฟ์เข้าไปดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
“การสร้างเเรงบันดาลใจเเละเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้ทำตามความฝันของพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งการจะพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยให้ไปสู่ระดับสากลนั้น จำเป็นต้องส่งเสริมความพร้อมอย่างรอบด้าน ทั้งสถานที่ฝึกซ้อมเเละอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน การได้รับคำเเนะนำที่ดีเเละมีสภาพเเวดล้อมที่เอื้ออำนวย”
สำหรับ “ก้าวต่อไป” ในปีนี้ เเม้จะเจอสถานการณ์ COVID-19 ที่ไม่มีใครคาดคิด เเต่ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคที่จะสานต่อโครงการ ซึ่งผู้บริหารกัลฟ์ ยืนยันว่า จะมีการเดินหน้าจัดโครงการ Gulf Football Camp: ชาร์จพลังปลุกฝันนักเตะเยาวชนต่อไปตามเเผนการที่วางไว้อย่างเเน่นอน เเละเมื่อสถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลกคลี่คลายเเล้ว ก็จะร่วมกันส่งนักเตะเยาวชนที่มีความมุ่งมั่นและมีความสามารถรอบด้านไปฝึกฝนทักษะฟุตบอลถึงประเทศเยอรมนี เพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์กีฬาในระดับมืออาชีพกับทีมระดับโลกอย่างใกล้ชิด
ไชยชนก ชิดชอบ รองผู้อำนวยการสายงานการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีประสบการณ์เรื่องของการพัฒนาเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม สามารถผลักดันนักเตะขึ้นสู่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ชุดใหญ่ และทีมชาติไทยได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นการร่วมมือพัฒนาเยาวชนกับกัลฟ์ในครั้งนี้ จึงเชื่อว่าจะมีเพชรเม็ดงามเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างมาก
“เรามุ่งโฟกัสไปที่การพัฒนาเยาวชน เป็นเป้าหมายหลักในการพัฒนาประเทศ จากจุดเล็กๆ ในบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อะคาเดมี ที่มีเด็กในโครงการเเค่ 120 คน ตอนนี้เริ่มออกดอกออกผล กลายเป็นดาวรุ่งวงการกีฬาไทย เเละการได้มาเจอพันธมิตรที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันอย่างกัลฟ์ ก็ทำให้ความฝันนั้นยิ่งใหญ่ขึ้น เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เข้ามาเติมเต็มให้โครงการนี้สมบูรณ์เเละเดินไปข้างหน้า รวมถึงความร่วมมือกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ที่เป็นสโมสรดังที่ค่อยๆ เติบโตจากต่างจังหวัดจนประสบความสำเร็จนั้น มีความคล้ายคลึงกับเรามาก ทำให้มีเเนวคิดเดียวกัน จึงสานต่อการพัฒนาเยาวชนร่วมกันได้ดี”
สำหรับโครงการ Gulf Football Camp: ชาร์จพลังปลุกฝันนักเตะเยาวชน แบ่งกิจกรรมออกเป็น 3 ส่วน ได้เเก่
● การปรับปรุงสนามฟุตบอลเก่าในชุมชนให้ได้มาตรฐาน โดย กัลฟ์ และสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะคัดเลือกสนามฟุตบอลในชุมชนหนึ่งแห่งที่มีผู้เสนอเข้ามาพร้อมเหตุผลที่น่าสนใจและผ่านเกณฑ์การคัดเลือก มาปรับปรุงให้เป็นสนามฟุตบอลที่มีคุณภาพ
โดยในปีที่ผ่านมา โครงการ Gulf Football Camp : ชาร์จพลังปลุกฝันนักเตะเยาวชน ได้ส่งมอบสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานสากลให้กับโรงเรียนชุมชนบ้านหัน จ.ชัยภูมิ
สำหรับปีนี้ ผู้ที่สนใจเสนอให้ปรับปรุงสนามฟุตบอลเก่าในชุมชนให้ได้มาตรฐาน สามารถส่งข้อมูลส่วนตัวและเหตุผลที่ต้องการปรับปรุง พร้อมแนะนำโรงเรียน + เล่าเหตุผล + ระบุตำแหน่งที่ตั้งของสนามฟุตบอลที่เสนอให้ชัดเจน พร้อมระบุ ชื่อ-นามสกุล อายุ เพศ ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ของผู้ส่ง โดยสามารถแนบไฟล์ VDO ในอีเมล หรือ อัพโหลดผ่าน Google Drive/Dropbox/WeTransfer พร้อมลิงค์ไฟล์ มาที่อีเมล [email protected] หรือส่งผ่านช่องทาง Official Line Account โดยกดเพิ่มเพื่อน ID: @gulffootballcamp
● Trial Tournament เป็นการจัดการแข่งขันฟุตบอลระดับเยาวชน ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 เพื่อเฟ้นหานักเตะเยาวชนอายุ 14-15 ปี 2 คน และคัดเลือกอีก 2 คนจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อะคาเดมี รวม 4 คน ที่มีความสามารถโดดเด่นร่วมเดินทางไปเก็บประสบการณ์ที่สโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ประเทศเยอรมนี เป็นระยะเวลา 7 วัน เพื่อฝึกทักษะฟุตบอลในสนามระดับโลก มุ่งสร้างแรงบันดาลใจและปูทางสู่การเป็นบุคลากรมืออาชีพในวงการกีฬาไทย
โดยนักเตะเยาวชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม Trial Tournament สามารถสอบถามรายละเอียดการเข้าร่วมโครงการได้ที่ฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัทบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 02-658-3768, 081-705-4454 หรืออีเมล [email protected] หรือส่งผ่านช่องทาง Official Line Account โดยกดเพิ่มเพื่อน ID: @gulffootballcamp
● ฟุตบอลคลินิกในชุมชน โดยการนำโค้ชและนักเตะของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปร่วมฝึกทักษะฟุตบอลให้กับเยาวชนในชุมชน พร้อมร่วมแบ่งปันประสบการณ์และเผยกลเม็ดระดับมืออาชีพ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารในโครงการ “Gulf Football Camp: ชาร์จพลังปลุกฝันนักเตะเยาวชน” ได้ที่เฟซบุ๊ก GulfSpark.TH
“อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญ คือความมุ่งมั่นของเยาวชนที่จะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นต้นแบบในกลุ่มเยาวชนด้วยกันเอง และมุ่งเติบโตไปเป็นแรงขับเคลื่อนแก่ประเทศ ไม่ว่าจะในฐานะนักกีฬา หรือในฐานะผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นในแวดวงกีฬา อย่างโค้ช นักวางกลยุทธ์ หรือ นักการตลาดกีฬา ดังนั้น กัลฟ์จึงเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ทำในสิ่งที่รักและเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างที่มุ่งหวังไว้” ผู้บริหารกัลฟ์กล่าว
ถึงแม้ว่า ณ ปัจจุบันนี้การเดินทางเพื่อไปฝึกฝนที่ประเทศเยอรมนีเป็นไปได้ยาก จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด ดังนั้นเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของเยาวชน ทางทีมงานจึงต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินกิจกรรม โดยทั้งกัลฟ์ และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยืนยันว่าจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมาตรการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และจะยังคงมุ่งมั่นสานฝันให้กับเยาวชนไทยต่อไป
ในฝั่งของพันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่างสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก็ยืนยันที่จะสานต่อโครงการนี้ เพื่อร่วมแบ่งปันเทคนิคและความเชี่ยวชาญ ให้แก่เยาวชนไทย โดยเยาวชนกลุ่มนี้จะได้ไปเยือน Signal Iduna Park สนามเหย้าของทีม ที่มีความจุใหญ่ที่สุดในเยอรมนีและเป็นหนึ่งในศูนย์ฝึกที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป
“เราเชื่อว่านักเตะเยาวชนของไทยจะได้ประสบการณ์อันล้ำค่าจากการมาเยือนสโมสรดอร์ทมุนด์ และนำความรู้ไปต่อยอดได้อย่างแน่นอน โดยในระหว่างช่วง COVID-19 เราก็มีการสื่อสารเเละอบรมผ่านดิจิทัลเเพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง” ซูเรช เลทช์มานัน กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ระบุ
ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน หลายองค์กรต้องปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เเต่ “กัลฟ์” ยังคงมุ่งทำกิจกรรมเพื่อสังคมเเละสนับสนุนวงการฟุตบอลไทยต่อไป
Gulf Football Camp: ชาร์จพลังปลุกฝันนักเตะเยาวชน จึงเป็นก้าวเเรกที่จะพัฒนาวงการกีฬาไทยให้ไปสู่ระดับโลก โดยจะมีการสนับสนุนกิจกรรมกีฬาให้มีความหลากหลาย มุ่งเข้าถึงเยาวชนอีกจำนวนมากในชุมชนต่างๆ เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนอนาคตของประเทศต่อไป
]]>
ปฎิเสธไม่ได้ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้นส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของปากท้องและสุขภาพที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพี่น้องคนไทยและภาคธุรกิจต่างๆ แต่ท่ามกลางวิกฤตเราก็ได้เห็นธารน้ำใจที่หลั่งไหลมาจากทั้งภาคเอกชนและระดับชุมชนที่ร่วมมือกันปันน้ำใจช่วยคนไทยฝ่าวิกฤตในครั้งนี้
เราเห็นว่า “บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)” หรือ “กัลฟ์” เป็นอีกหนึ่งบริษัทของคนไทยที่เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนไทยสู้ภัยโควิด-19 ในครั้งนี้โดยทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาทในการทำโครงการต่างๆมากมาย
ทั้งนี้งบประมาณดังกล่าวไม่ได้จำกัดการช่วยเหลือที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น แต่ได้กระจายเข้าไปช่วยเหลือครอบคลุมทั้งในด้านการป้องกันการแพร่เชื้อการดูแลรักษาผู้ป่วยและการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งประชาชนกลุ่มเปราะบางบุคลากรทางการแพทย์ขยายไปช่วยเหลือเพื่อนบ้านในต่างประเทศและที่สำคัญยังได้นำน้ำใจไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกอย่าง “ช้าง” อีกด้วย
อย่างที่บอกข้างต้นไปว่าการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อคนไทย 2 เรื่องหลักเรื่องแรกก็คือ “ปากท้อง” ซึ่งหลายคนได้รับผลกระทบจากการที่ธุรกิจต้องปิดชั่วคราว แน่นอนสิ่งที่ตามมาย่อมหนีไม่พ้นการขาดรายได้ หากเป็นผู้ที่มีเงินเก็บย่อมไม่กระทบมากนัก แต่สำหรับผู้ที่ต้องหาเช้ากินค่ำนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่พวกเขาต้องดิ้นรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนกลุ่มเปราะบางที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ผู้พิการ ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ตลอดจนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น กลุ่มแรงงานในโรงงาน หรือในสถานประกอบการ กลุ่มลูกจ้างรายวันที่ถูกเลิกจ้าง ส่งผลทำให้รายได้ลดน้อยลงหรือขาดรายได้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 กลุ่มอาชีพอิสระ เช่น ผู้ขับรถแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนค้าขาย ฯลฯ
เมื่อมีสถานการณ์โควิด-19 ประชาชนกลุ่มนี้จึงถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น
เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มนี้ให้มีพลังกายและพลังใจในการต่อสู้กับสถานการณ์ดังกล่าว กัลฟ์จึงได้ริเริ่มโครงการ“กัลฟ์ ส่งพลังสู่ชุมชนมอบข้าวกล่องสู้ภัยโควิด-19” จัดส่งอาหารกล่องคุณภาพดีสู่ชุมชนแออัดที่กระจายอยู่ทั่ว 50 เขตในกรุงเทพมหานครรวมจำนวนข้าวกล่อง 200,000 กล่องเป็นระยะเวลา 50 วันด้วยกัน ซึ่งนอกเหนือจากการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางแล้วยังถวายภัตตาหารยารักษาโรคและปัจจัยให้พระภิกษุสามเณร วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร วัดกัลยาณมิตร และวัดโมลีโลกยาราม เนื่องจากพระภิกษุสามเณรไม่สามารถรับกิจนิมนต์ได้
ขณะเดียวกันได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยกัลฟ์ได้ร่วมมอบถุงยังชีพจำนวน 2,400 ถุงบรรจุอาหารที่จำเป็น อาทิ ข้าวสาร น้ำมันพืช ไข่ไก่ ผักสด กุนเชียง ปลากระป๋อง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 9 ตำบลของอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนและเป็นอีกหนึ่งพลังผลักดันให้ประชาชนมีกำลังใจในการต่อสู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19
อีกเรื่องที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตในครั้งนี้คือเรื่องของ “สุขภาพ” เพราะการระบาดของโควิด-19 ทำมีทั้งคนไทยที่ติดเชื้อและเสียชีวิตซึ่งหน้าด่านที่ต้องรับผิดชอบในครั้งก็คือ “โรงพยาบาล” ดังนั้นเพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งสามารถตรวจวินิจฉัยอาการของโรคได้อย่างแม่นยำนำไปสู่การกำหนดแนวทางรักษาได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น กัลฟ์จึงได้สนับสนุนงบประมาณรวมจำนวน 34,120,000 บาทให้แก่โรงพยาบาลต่างๆดังนี้
1. โรงพยาบาลรามาธิบดี: สนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ (Extracorporeal Membrane Oxygenation: ECMO) จำนวน 3 เครื่องและเครื่องช่วยหายใจจำนวน 5 เครื่องเป็นจำนวนเงิน 20,000,000 บาท
2. โรงพยาบาลราชวิถี: สนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจจำนวน 18 เครื่องเป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท
3. สถาบันบำราศนราดูร: สนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจจำนวน 1 เครื่องชุดแปลงสัญญาณภาพ X-Ray ใช้งานร่วมกับเครื่อง X-Rayแบบเคลื่อนที่จำนวน 1 เครื่องและเครื่องตรวจอวัยวะภายในด้วยคลื่นความถี่สูงจำนวน 1 เครื่องเป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท
4.สถาบันโรคทรวงอก: สนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อชุดศูนย์กลางพร้อมเครื่องติดตามการทำงานของหัวใจ และสัญญาณชีพชนิดจอสัมผัส จำนวน 1 เครื่อง เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท
5. โรงพยาบาลตำรวจ: สนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องศูนย์กลางเฝ้าติดตามการทำงานของหัวใจและสัญญาณชีพ (Central Monitor) 1 เครื่องและเครื่องติดตามสัญญาณชีพชนิดข้างเตียง (Bedside Monitor) 10 เครื่องเป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
6. โรงพยาบาลพุทธชินราชจังหวัดพิษณุโลก: จัดซื้อเครื่อง Portable Wireless Ultrasound เพื่อมอบให้แก่โรงพยาบาลจำนวน 2 เครื่องเป็นจำนวนเงิน 120,000 บาท
นอกจากนี้ กัลฟ์ยังได้มอบหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ชนิด KN95 จำนวน 100,000 ชิ้นซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับวิกฤตในครั้งนี้ เพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้ป้องกันกลุ่มบุคคลการทางแพทย์ไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 โดยได้มอบให้แก่โรงพยาบาลต่างๆได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย จำนวน 50,000 ชิ้น และอีกจำนวน 50,000 ชิ้นมอบให้แก่โรงพยาบาลในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลหาดใหญ่ โรงพยาบาลจะนะ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต โรงพยาบาลยะลา เป็นต้น ตลอดจนโรงพยาบาลอื่นๆที่ขาดแคลน
อย่างไรก็ตามอย่างที่เรารู้กันการระบาดของโควิด-19 ไม่ได้เกิดเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง แต่ได้กระจายออกไปทั่วประเทศด้วยสามารถแพร่กระจายเชื้อได้จากละอองฝอยจากการไอหรือจาม น้ำลาย น้ำมูก ซึ่งหากร่างกายสูดดมเอาละอองฝอยจากการไอ จาม ของผู้ติดเชื้อ ก็จะสามารถรับเชื้อสู่ร่างกายได้
ดังนั้นนอกจากความช่วยเหลือในส่วนกลางแล้ว ส่วนภูมิภาคในจังหวัดต่างๆก็จำเป็นไม่แพ้กัน ซึ่งกัลฟ์ได้มอบหน้ากากอนามัยแบบผ้ารวมจำนวนกว่า 13,000 ชิ้นแก่ชุดปฏิบัติการคัดกรองผู้ป่วยระดับตำบลในพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครราชสีมา สงขลา และยะลา
หากพูดถึงชุดปฏิบัติการคัดกรองผู้ป่วยระดับตำบลนั้น คนกลุ่มนี้ประกอบด้วย อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแพทย์ประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดถือเป็น “นักรบด่านหน้า” ที่มีภารกิจสำคัญในการตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาภายในชุมชนของตนเองจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 เป็นอย่างมาก ดังนั้นการมอบหน้ากากอนามัยแบบผ้านั้นก็เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ทั้งยังช่วยสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่แก่ผู้ปฏิบัติงานอีกด้วย
นอกจากนี้ยังได้การสนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันโรคโควิด-19 เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ เจลแอลกอฮอล์และ Face Shield ให้แก่หน่วยงานส่วนท้องถิ่นจังหวัดต่างๆได้แก่ สระบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง ชลบุรีนครราชสีมา และสงขลา
ความช่วยเหลือจากกัลฟ์ไม่ได้มีแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังเผื่อแผ่ออกไปยังต่างประเทศด้วย โดยกัลฟ์ได้ส่งมอบหน้ากากอนามัยหมวกทางการแพทย์และแอลกอฮอล์ล้างมือชนิดเจล ให้แก่ผู้ที่อยู่อาศัยในจีนช่วงต้นเดือน ก.พ. รวมถึงการมอบเงินจำนวน 3 พันล้านด่อง (ประมาณ 4.5 ล้านบาท) เพื่อนำไปบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในจังหวัดนินห์ถ่วน และจังหวัดเบ๊นแจ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
น้ำใจของกัลฟ์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่ยังส่งต่อให้เพื่อนร่วมโลกอย่างช้างอีกด้วย มองเผินๆช้างอาจจะดูไม่เกี่ยวข้องกับวิกฤตโควิด-19 แต่แท้จริงแล้วการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาคบริการและการท่องเที่ยวทำให้รายได้ลดน้อยลงหรือสูญเสียรายได้ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวอย่างปางช้างต่างๆซึ่งต้องพึ่งพิงนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวปางช้างก็ต้องปิด ผู้ดูแลช้างควาญช้างก็ต้องแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา ปัญหานี้ยังส่งผลสะท้อนถึงกลุ่มอาชีพต่างๆที่เกี่ยวข้องได้แก่ เกษตรกรผู้ปลูกและส่งอาหารให้ปางช้าง ผู้ทำอาชีพลากไม้และงานประเพณี ผู้ประกอบการโรงแรม กลุ่มมัคคุเทศก์ คนขับรถรับส่งนักท่องเที่ยว ฯลฯ อีกด้วย
เมื่อช้างขาดทั้งงบประมาณในการดูแลทั้งอาหารและยารักษาโรค จึงกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่และอาการเจ็บป่วยของช้าง กัลฟ์จึงทำโครงการ “ช่วยช้างไทยสู้ภัยโควิด-19” เพื่อบริจาคงบประมาณในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลช้าง จังหวัดกระบี่ และโรงพยาบาลช้าง จังหวัดลำปาง รวมทั้งการบริจาคงบประมาณให้แก่สมาคมสมาพันธ์ช้างไทย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสมาคมที่เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการปางช้างในเขตภาคเหนือจำนวน 15 ปางช้างเพื่อช่วยเหลือในการดูแลอาหารและสุขภาพช้างไปควบคู่กัน
ทั้งหมดนี้คือน้ำใจจาก “กัลฟ์” ที่เข้ามาเป็นอีกแรงสำคัญช่วยเหลือประเทศไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 และได้เข้ามาตอกย้ำว่าไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าน้ำใจที่ช่วยเหลือกันอีกแล้ว
]]>เพื่อเป็นการควบคุมโรคโควิด-19 ในระยะยาว และเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ นายบุญชัย ถิราติ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการบริหาร นายบุญชัย เจียมจิตจรุง (ที่ 2 จากซ้าย) หัวหน้าฝ่ายบริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร และนางสาวญาณิศา วัฒนคำนวณ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ จึงเป็นผู้แทนบริษัทฯ มอบหน้ากากทางการแพทย์ KN95 จำนวน 6,000 ชิ้น แก่กรมแพทย์ทหารเรือ โดยมี พลเรือเอกชาติชาย ศรีวรขาน (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ร่วมด้วยพลเรือโท วิชัย มนัสศิริวิทยา (ที่ 5 จากซ้าย) เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เป็นผู้รับมอบ
]]>