Jitta Wealth – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 30 Apr 2024 04:12:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 3 ปี ปั้นล้านแรกให้แตกได้ ด้วยขุมพลังแห่งผลตอบแทนทบต้น https://positioningmag.com/1471554 Tue, 30 Apr 2024 04:05:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471554

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาส Live Investor Exclusive ให้ลูกค้าของ Jitta Wealth ฟัง เพื่ออัปเดตโอกาสการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ VI ในปี 2567 ที่พวกเรายังมองว่ามีอยู่เสมอ เพราะที่ผ่านมาผมมักได้รับคำถามมาเสมอว่าตลาดหุ้นทั่วโลกตอนนี้มีตลาดไหนที่ดี ที่ไหนน่าลงทุนอยู่บ้าง ผมขอสรุปไว้สั้นๆ ว่าในเวลานี้โอกาสลงทุนของเหล่า VI ยังมีหลายตลาดที่น่าสนใจ เช่น จีนหรือฮ่องกง

แต่วันนี้ผมขออนุญาตไม่ขยายความมากนะครับ หากคุณสนใจ สามารถไปย้อนดู Live ในช่องทาง Facebook และ Youtube ของ Jitta Wealth ดูได้ เพราะสิ่งที่ผมตั้งใจจะนำมาเล่าให้ฟังวันนี้ไม่ใช่เนื้อหาส่วนนี้ครับ

เรื่องที่ผมอยากจะแชร์วันนี้ คือการอยากหยิบยกประเด็นตอนหนึ่งที่ผมได้พูดไปในวันนั้นขึ้นมา ซึ่งผมว่าน่าจะตรงใจใครหลายๆ คนอยู่ นั่นก็คือการสร้างล้านแรกให้ได้ภายใน 3 ปี

ใช่แล้วครับวันนี้ผมมีเคล็ด(ไม่)ลับ ปั้นพอร์ตเงินล้าน ที่พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง ในเวลาแค่ 3 ปี!

คุณอาจจะบอกว่าผมพูดเกินจริง!

ก็อาจจะใช่ครับ แต่เชื่อสิครับว่าคุณทำได้ เพราะนี่คือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่คุณเองก็สามารถไปถึงได้…จะเป็นยังไงมาดูกันได้เลยครับ

Forex trade market concept with digital indicators, graphs, financial diagram at night Kuala Lumpur city background. Double exposure

คุณคงคุ้นเคยกับชื่อของ Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก แต่​สิ่งหนึ่งที่น้อยคนจะรู้คือ Einstein ได้ยก ‘ผลตอบแทนทบต้น’ ​เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกครับ

แล้วเราจะใช้สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกนี้มาสร้างล้านแรกได้อย่างไรหรอครับ ตามผมมาเลยครับ วันนี้ผมมีตัวอย่างที่จะทำให้คุณเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น

เริ่มด้วยพอร์ตตัวอย่างของผมนั่นเอง!

พอร์ตที่ว่าก็คือ Global ETF ที่เป็นนโยบายการลงทุนแบบเน้นกระจายความเสี่ยงที่จัดพอร์ตลงทุนในหุ้นคุณภาพดีทั่วโลกผ่าน ETF ชั้นนำให้แบบอัตโนมัติ ​เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามตลาด ไม่อยากมานั่งเลือกประเทศ เลือกตลาดหุ้นให้วุ่นวาย แต่ต้องการโอกาสการลงทุนแบบ VI

ต้องออกตัวก่อนว่าพอร์ตนี้ผมตั้งใจที่จะเก็บไว้เป็นเงินทุนให้ลูก ก็จะค่อยๆ เก็บสะสมไปยาวๆ โดยวิธีการลงทุนใน Global ETF จนได้ล้านใน 3 ปีนั้น ผมเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 100,000 บาท และ DCA อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนจากแรกๆ 10,000 บาทต่อเดือน และต่อมาก็ขยับเพิ่มเป็น 20,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลาลงทุนตั้งแต่ 31 สิงหาคม 2563 – 3 เมษายน 2567

ระหว่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร​ แค่ปล่อยให้มหัศจรรย์ผลตอบแทนทบต้นทำงานต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ครบ 1 ล้านบาท หรือมีผลตอบแทนรวม +53.83% (Money-weighted Return)

นี่แหละครับพลังแห่งการ DCA ที่สร้าง ‘ผลตอบแทนทบต้น’ ที่คุณเองก็สามารถปั้นเงินล้านได้เหมือนกันครับ

คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นที่ 100,000 บาทเหมือนผม สามารถลงทุนแบบเบาๆ ได้ครับ แต่นั่นก็ต้องยอมแลกกับระยะเวลา เพราะจำนวนเงินที่จะ DCA เข้าพอร์ตในแต่ละเดือนที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลต่อระยะเวลาพิชิตเป้าหมาย ซึ่งจริงๆ แล้ววิธีการปั้นเงินล้านแรกมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ รายได้ต่อเดือน สไตล์การ DCA หรือระยะเวลาที่อยากพิชิตเป้าหมายของแต่ละคน

ผมอาจจะเป็นตัวอย่างที่ฮาร์ดคอร์เกินไป คุณอย่าเพิ่งถอดใจครับ เพราะผมยังมีตัวอย่างมาให้คุณได้ลองพิจารณาและเลือกว่า สายไหนที่เหมาะกับคุณ โดยผมได้ตั้งสมมติฐานให้ทุกคนเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาทเท่ากันใน Global ETF แผนเติบโตที่มีผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ 8% ต่อปี แล้ว DCA ทุกๆ เดือนด้วยจำนวนเงินที่ต่างกัน และหักค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ 0.5% เรียบร้อยแล้ว

Photo : Shutterstock

ตัวอย่างที่ 1 เงินล้านแรกสำหรับสายชิล

  • นางชิลใจ สายชิลๆ เน้นค่อยๆ DCA เดือนละ 2,000 บาท ใช้ระยะเวลาในการปั้นพอร์ตล้านแรกที่ 19 ปี

ถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 20 ตอนอายุ 39 ก็จะมีเงินล้านแรกพอดี และพอมีล้านแรกแล้วล้านต่อไปก็ไม่ยากแล้ว

ตัวอย่างนี้เหมาะกับคนค่อยๆ เก็บ หรือมีภาระค่าใช้จ่าย เป็นการลงทุนแบบชิลๆ อาศัยวินัยในการลงทุนปั้นพอร์ตเงินล้าน

ตัวอย่างที่ 2 เงินล้านแรกสำหรับสายสบายใจ

  • นางสบายใจ DCA เดือนละ 3,000 บาท เพิ่มเงิน DCA มากกว่านางชิลใจมาแค่ 1,000 บาทเท่านั้น แต่ย่นระยะเวลาปั้นเงินล้านได้ถึง 4 ปี รวมใช้เวลาแค่ 15 ปี

ถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 20 ปี นางสบายใจจะมีเงินล้านแรกตั้งแต่อายุ 35 ปีเท่านั้น ฉะนั้น หากอยากเร่งฝีเท้าขึ้นสักหน่อย สำหรับสายสบายใจตัวอย่างนี้เหมาะกับคนค่อยๆ เก็บ หรือมีภาระค่าใช้จ่าย แต่ต้องการลงทุนมากกว่านางชิลใจเล็กน้อย ก็สามารถเร่งความเร็วในการปั้นเงินล้านแรกได้แล้ว​

ตัวอย่างที่ 3 เงินล้านแรกสำหรับสายมุ่งมั่น

  • นายวินัย มุ่งมั่นในการมีเงินล้านให้ได้ช่วงอายุ 30 ปี จึงเลือก DCA เดือนละ 5,000 บาท

ถ้านายวินัยเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่อายุ 20 ปี ความฝันของนายวินัยก็จะเป็นจริงได้ตอนอายุ 31 ปี หรือใช้เวลาปั้นพอร์ตเงินล้านเพียง 11 ปีเท่านั้น

สำหรับนักลงทุนที่อยากเปลี่ยนจากเดินเร็ว เป็นวิ่งเร็ว ก็ดูนายวินัยเป็นตัวอย่างก็ได้ครับ แต่ต้องจัดสรรตัวเองหน่อยนะครับ เพราะตัวอย่างนี้เหมาะกับคนที่อาจจะไม่ค่อยมีภาระค่าใช้จ่าย หรือมีรายได้หลายทาง ทำให้มีเงินเหลือเก็บต่อเดือนเยอะกว่าคนอื่นๆ สักหน่อย ความมุ่งมั่นในช่วง 10 ปีนิดๆ นี้ก็สามารถพิชิตเงินล้านได้

ตัวอย่างที่ 4 เงินล้านแรกสำหรับสายเร่งรัด

  • นายเติบโต ที่เริ่มต้นลงทุนตอนอายุ 45 ปี และอยากมีเงินล้านก่อนเกษียณ จึงเลือก DCA เดือนละ 14,000 บาท
Photo : Shutterstock

สำหรับคนที่อยากเร่งเวลาปั้นเงินล้านให้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องดูตัวอย่างจากนายเติบโตที่จะมีเงินล้านใน 5 ปี และเงินล้านนั้นก็จะเติบโตได้อีกเยอะในช่วง 10 ปีก่อนเกษียณ

ตัวอย่างของนายเติบโตใช้ได้กับคนที่อยากเร่งให้ตัวเองมีเงินล้านเร็วๆ ภายใน 5 ปี ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ เยอะ หรือมีรายได้หลายทาง มีรายได้เพียงพอให้ DCA เดือนละ 14,000 บาท

หรือคนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนตอนอายุเยอะขึ้นมาหน่อย ในช่วงที่เงินเดือนมากกว่าตอนทำงานแรกๆ แล้วอยากเร่งให้พอร์ตเติบโตก่อนเกษียณ

นี่คือตัวอย่างการปั้นเงินล้านแรกง่ายๆ สบายใจ แต่ไม่ว่าจะเป็น 19 ปี 15 ปี 11 ปี หรือ 5 ปี หรือแม้กระทั่งพอร์ตของผมที่ใช้เวลา 3 ปี ตัวอย่างเหล่านี้มาจากผลตอบแทนคาดหวังของ Global ETF แผนเติบโตที่ 8%

ซึ่งในความเป็นจริงผลตอบแทนในแต่ละปีก็อาจจะสูงกว่า 8% ก็ได้ เช่นในปี 2566 ที่ผ่านมาผลตอบแทนเฉลี่ยของ Global ETF แผนเติบโตก็สูงถึง 15.37% เลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้ คุณสามารถปรับเปลี่ยนจำนวนเงิน DCA ตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น หรือตามภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลงก็ได้ ก็จะย่นระยะเวลาปั้นเงินล้านลงได้เช่นกัน และถ้าคุณถึงล้านแล้วยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็ลงทุนต่อจากหลักล้าน ก็กลายเป็นสิบล้านได้เช่นกันครับ ด้วยพลังของผลตอบแทนทบต้นที่ช่วยให้เงินของคุณเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ

ที่สำคัญมากกว่าผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ ยังมีเรื่องของการกระจายความเสี่ยง จัดสรรสินทรัพย์อย่างดี ทำให้พอร์ตของคุณไม่ผันผวนมากเกินไป เป็นการเก็บเงินล้านแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป และสบายใจ

ให้โลกรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร…มาจากไหน ก็ปั้นเงินล้านแบบ VI ระดับโลกได้ ด้วยหลักการที่ดี และวินัยของเราเอง!

ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถพิชิตเป้าหมายได้แค่เริ่มเลย และมีวินัย ที่เหลือก็ปล่อยให้สิ่งมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้นช่วยปั้นพอร์ตของคุณให้โต​ ส่วนคุณก็แค่คอยดูเงินพอกพูนไปสู่เป้าหมายอย่างสบายใจ
มาปั้นพอร์ตเงินล้านแล้วเติบโตไปด้วยกันนะครับ

]]>
1471554
3 เทคนิคสร้างวินัยการออม สร้างพอร์ตให้โตได้ด้วย​ DCA ​ https://positioningmag.com/1468014 Thu, 28 Mar 2024 03:49:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468014

โดยตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

นักลงทุนระดับโลกอย่างปู่ Warren Buffett ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“Successful investing takes time, discipline and patience.”
เป็นคำสอนนักลงทุนทั่วโลกอย่างง่ายๆ ว่าสิ่งที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ พอร์ตเติบโตได้นั่นก็คือ เวลา วินัย และความอดทน ​

กลยุทธ์การลงทุนที่มีองค์ประกอบครบทั้ง เวลา วินัยและความอดทน ทั้ง 3 สิ่งนี้รวมอยู่ในเรื่องของ Dollar cost Average (DCA) หรือการลงทุนแบบถั่วเฉลี่ยอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

ดังนั้นหากจะพูดว่ากลยุทธ์การ DCA หรือเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอในสินทรัพย์ที่ดีเป็นหนทางแห่งความสำเร็จในโลกการลงทุนก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนมากนัก

การ DCA ถูกพิสูจน์มาแล้วว่าช่วยสร้างผลตอบแทนให้ดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องจับจังหวะ​

และยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมาก!

จนบางครั้งอาจจะชี้ชะตาว่าพอร์ตจะกำไรหรือขาดทุนได้เลย

แต่ผมเชื่อว่ายังมีนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังละล้าละลัง ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นลงทุน เพราะคิดว่าเงินทุนที่มีในมือจะน้อยเกินกว่าจะใช้สร้างกำไรได้

ผมอยากบอกตรงนี้เลยครับว่า คุณไม่จำเป็นต้องพะวงอะไรให้มากมายเลยครับ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ที่ดียิ่งเริ่มเร็ว ก็ยิ่งทำให้การลงทุนระยะยาวของคุณค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่มีประสิทธิภาพได้

Photo : Shutterstock

ยิ่งในปัจจุบันการลงทุนเป็นเรื่องเข้าถึงง่ายและรวดเร็วขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องรอเก็บเงินจนได้ก้อนใหญ่ มีเงินเพียงไม่กี่บาทก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้แล้ว และยิ่งหากคุณสร้างวินัยให้กับตัวเองด้วยการออมเงิน DCA ได้อย่างสม่ำเสมอจะยิ่งเห็นหนทางแห่งความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าเลยครับ

หากคุณยังรู้สึกว่าการ DCA ทำได้ยาก หรือคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ DCA กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น​อยู่

วันนี้ผมมี 3 เทคนิคง่ายๆ  ที่จะช่วยให้ DCA กลายเป็นเรื่องง่าย​ คุณสามารถเริ่มต้นออมเงินหรือ DCA ได้อย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างไรตามไปดูกันได้เลยครับ

1. ทำงบรายรับ-รายจ่ายประจำเดือน

อาจจะฟังดูน่าเบื่อเพราะเป็นวิธีที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ แต่ถ้าคุณทำได้คุณจะเข้าใจว่ามันสำคัญมากแค่ไหน

คุณไม่จำเป็นต้องมองหาสมุดบัญชีมาเริ่มต้นการบันทึกให้ดูยุ่งยากเลยครับ เมื่อคิดจะเริ่มแล้ว เพียงแค่หยิบมือถือที่คุณติดมืออยู่ขึ้นมาแล้วเริ่มการจดรายรับรายจ่ายของคุณใส่ในแอปโน๊ตธรรมดาๆ หรือจะเป็นแอปสำหรับรายรับรายจ่ายที่จะช่วยให้คุณบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างสะดวกขึ้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ ครับ

เพราะไม่ว่าจะจดที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับ ‘จด’ จริงๆ แค่คุณเริ่มทำแบบนี้สัก 2-3 เดือนคุณก็จะพอเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วว่า ‘คุณหมดเงินไปกับอะไรบ้าง’

แน่นอนว่าถึงตอนนั้นมันจะช่วยให้คุณสามารถเลือกว่ารายการไหนที่ไม่จำเป็น ตัดได้ หรือตัดไม่ได้ แล้วเอางบส่วนนั้นมาใส่เป็นรายการ DCA เติมเข้าพอร์ตรายเดือนได้บ้าง

ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะครับ เพราะวิธีนี้จะทำให้คุณเห็นภาพมากขึ้นว่า คุณสามารถ DCA ได้เดือนละเท่าไหร่ ถ้าอยากเพิ่มจำนวนเงินจะทำอย่างไรได้บ้าง

Photo : Shutterstock

2. จ่ายแค่ไหน ออมเท่านั้น

ถ้ามีคนมาบอกว่า ‘คุณจะมีเงินออมมากขึ้น ถ้าคุณใช้มากขึ้น’ ฟังแล้วคุณอาจจะคิดว่า มันช่างย้อนแย้งจัง จะเป็นไปได้อย่างไร

แต่อย่าลืมว่าการใช้จ่าย ได้ช้อปปิ้งในสิ่งที่ชอบ ถือเป็นความสุขในชีวิตครับ

ดังนั้นคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

แต่ใช้วิธีช้อปที่ช้อบชอบบบ มาช่วยออมเงินแทน

วิธีการก็คือ คุณต้องตั้งกฏให้กับตัวคุณเอง ‘ซื้อเท่าไหร่ ก็ออมเท่าที่ใช้ไป’

นอกจากจะเก็บเงินได้แล้ว คุณก็จะไตร่ตรองมากขึ้นก่อนช้อป และเมื่อมีเงินเก็บ คุณก็สามารถแบ่งเงินนั้นไป DCA ต่อได้บ่อยขึ้นด้วย

หรือคุณอาจจะตั้งกฏที่เบาลงไปหน่อยว่า ถ้าเดือนนี้ใช้เงินเกิน 5,000 บาท จะต้องโอนเงินเข้าพอร์ต 1,000 บาท ถ้าใช้เงินเกิน 10,000 บาท จะโอนเงินเข้าพอร์ต 5,000 บาท

พอร์ตของคุณก็จะงอกเงยขึ้นได้ด้วยเงินเพิ่มทุนเหล่านี้

นอกจากจะเก็บเงินได้แล้ว คุณก็จะไตร่ตรองมากขึ้นก่อนช้อป และเมื่อมีเงินเก็บ คุณก็สามารถแบ่งเงินนั้นไป DCA ต่อได้บ่อยขึ้น มากขึ้นแบบไม่รู้สึกผิดกับการใช้จ่ายครับ

Photo : Shutterstock

3. เก็บเงินตามสูตร 50/30/20

เทคนิคสุดท้ายของวันนี้ อาจจะเป็นสูตรที่ดูคุ้นตา แต่คุณต้องรู้ไว้ว่าหนทางการออมเงินที่เวิร์กที่สุดสำหรับหลายๆ คนคือ ‘ออมก่อนใช้’

การแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก! สูตร 50/30/20 ก็เป็นหนึ่งในสูตรแบ่งเงินยอดฮิต

ง่ายๆ เลยครับ เมื่อเงินรายได้ของคุณเข้าบัญชีมา คุณก็แค่จัดแบ่งออกเป็นก้อนๆ ประมาณนี้

  • 50% สำหรับสิ่งที่จำเป็น (Need)
  • 30% สำหรับสิ่งที่ต้องการ (Want)
  • 20% สำหรับเก็บออม

และส่วนนี้ 20% นี้จะเป็นส่วนที่เราจะแบ่งสัดส่วนมันอีกทีก็ได้ว่า จะ DCA สำหรับพอร์ตลงทุนเท่าไหร่ และเหลือไว้เท่าไหร่สำหรับเป็นเงินเก็บฉุกเฉิน

ซึ่งสัดส่วนเหล่านี้ เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้นครับ คุณเองก็สามารถออกแบบตัวเลขในแต่ละส่วนของคุณได้ตามความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ

แต่อย่าลืมว่าเมื่อได้สัดส่วนที่จะเอามา DCA แล้ว ทุกครั้งที่มีเงินเดือนหรือรายรับเข้ามาก็แบ่งเงินให้ชัดเจนก่อนนำไปใช้ หรือหากกลัวลืมผมเทคนิคง่ายๆ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับตัวเองได้ อย่างเช่นการตั้งค่า DCA ในวันที่เงินเดือนออกก็สะดวกดี

ทุกวันนี้ก็มีหลายแอปการเงินที่ได้นำเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยนักลงทุนให้สามารถเลือกตั้งค่า DCA ไว้แล้ว เช่นเดียวกับแอปของ Jitta Wealth ที่ได้พัฒนาฟีเจอร์การ DCA เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถออมก่อนใช้ ช่วยให้คุณลงทุนอย่างมีวินัยและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

]]>
1468014
3 ทริคควรรู้ ก่อนเริ่มต้นลงทุน https://positioningmag.com/1465189 Tue, 05 Mar 2024 16:41:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465189

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO จาก Jitta Wealth

ในโลกที่หมุนเร็วอย่างทุกวันนี้ การเข้าถึงเรื่องของการเงินการลงทุนแทบไม่มีอุปสรรคใดมาขวางได้ ผมเชื่อว่าผู้บริโภคหลายคนก็มีความสนใจและมองหาโอกาสลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีหรือที่เรียกว่า ‘ให้เงินทำงาน’

และแม้ว่าจะมีแอปพลิเคชันใหม่ๆ ออกมามากมายให้เลือกลงทุน แต่หลายคนก็ยังจดๆ จ้องๆ เพราะยังมีความรู้สึกลังเล กล้าๆ กลัวๆ ไม่แน่ใจว่าจะลงทุนอะไร อย่างไรดี สินทรัพย์ใด จะเหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรารับได้จริงๆ หรือลงทุนเมื่อไร ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า

ก็ไม่แปลกนะครับขึ้นชื่อว่าการลงทุน เราทุกคนอยากเห็นผลตอบแทนจากเงินที่นำไปลงทุน มากกว่าความเสียหายหรือเงินที่ลงทุนไปสูญเปล่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเราเองมีความพร้อมแค่ไหน และควรเอาเงินส่วนไหนมาลงทุนให้เหมาะสมและไม่เสี่ยงมากเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบกับความมั่นคงในชีวิตการเงิน รวมไปถึงความมั่นคงของครอบครัวในอนาคต

วันนี้ผมอยากชวนทุกท่านมาเช็คความพร้อมก่อนการลงทุนกันด้วยวิธีง่ายๆ ลองทำความเข้าใจดูก่อนได้ครับ

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 1: อย่าเพิ่งเริ่มลงทุน ถ้ายังออมเงินไม่เป็น

ในชีวิตของเราแทบทุกคน ย่อมจะมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทุกคนจะต้องเจอเหมือนกัน คือเมื่อวันหนึ่งวันนั้นมาถึง วันที่พวกเราจะต้องเลิกทำงาน หรือที่เรียกว่าเกษียณอายุนั่นเอง บั้นปลายชีวิตแต่ละคนแตกต่างกันไปแน่นอนครับ เพราะความรู้และการเตรียมความพร้อมที่แตกต่างกัน

บางคนเตรียมตัวดี มีเงินเก็บไว้ใช้ก็ไม่ลำบาก แต่บางคนกลับไม่มีเลย ผมเชื่อว่าอย่างหลังเนี่ย หลายคนกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง จริงไหมครับ ผมไม่อยากเห็นคุณเอาแต่กลัวนะครับ ก่อนอื่น​ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน ผมอยากให้คุณลองจัดระเบียบการเงินให้เป็นก่อน

เริ่มที่การดูแลกระแสเงินสด (cashflow)ให้เป็นบวกก่อนนะครับ

กระแสเงินสดหรือจะเรียกว่าสภาพคล่องที่มาในรูปแบบของเงินเก็บก่อนนะครับ เพราะถ้าคุณเริ่มต้นจากกระแสเงินสดติดลบ​ สภาพคล่องตึงตัว การลงทุนนั้นจะกลายเป็นการพนันทันที เพราะเราจะลงทุนด้วยความรู้สึกว่าอยากได้กำไรเร็วๆ กำไรเยอะๆ โดยไม่สนปัจจัยอื่นๆ เลย

แล้วคุณจะต้องทำอย่างไรให้มีเงินเก็บ…

คำตอบเดียวคือ ‘เก็บ’ สร้างวินัยให้กับการออมเงินเท่านั้นครับ

อาจจะตั้งระบบตัดจ่ายอัตโนมัติเช่น 10% ของรายได้ ไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากดิจิทัลดอกเบี้ยสูง หรือฝากประจำก็ได้ หรือแบ่งเงินเป็นสัดส่วนตั้งแต่ต้นเมื่อมีรายได้เข้ามา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘ขอแค่ให้เริ่ม‘ เท่านั้นครับ หลักการนี้คือเรื่องของ ‘วินัย’ ที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออมเงินหรือการลงทุนก็ต้องใช้หลักการนี้เช่นเดียวกัน

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 2:  อย่าเพิ่งลงทุนถ้ายังไม่มี ‘ความรู้’

เพราะว่าความรู้ (Education) เป็นตัวเร่งให้เราได้รู้จักตัวเอง วางเป้าหมายปลายทาง และเรียนรู้เครื่องมือที่จะพาไปถึงเป้าหมายได้อย่างถูกต้องและไม่หลงทาง ยิ่งถ้าหากคุณสามารถทำความเข้าใจธรรมชาติของเครื่องมือ คุณก็จะลงทุนได้แบบไม่ต้องกังวล

เหมือนอย่างตลาดหุ้น ในระยะสั้นย่อมมีความผันผวน เหวี่ยงขึ้น เหวี่ยงลงเป็นระยะ แต่เมื่อคุณถอยออกมามองภาพใหญ่ มองระยะยาวจะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นมักจะเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลงเสมอๆ

แต่อย่าเป็นเด็กเรียนมากไปนะครับ บางคนมีความเชื่อว่า ก่อนจะลงทุนได้ก็ต้องมีความรู้เรื่องธุรกิจก่อน ถึงจะเริ่มต้นลงทุนได้ แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็เริ่มต้นได้ครับ เพราะถ้าต้องรู้ทั้งหมด คุณก็จะไม่มีวันได้ลงทุนอย่างแน่นอน ค่อยๆ ลงทุนไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้น่าจะดีกว่าครับ

ข้อที่ 3: มองการลงทุนให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ลงทุนทั้งที ต้องรู้สึกเป็นหุ้นส่วน มองว่าคุณเป็นเจ้าของหุ้นหรือธุรกิจนั้นๆ ให้คิดว่าคุณจะทำอย่างไรให้ธุรกิจที่เราลงทุนเติบโต มีรายได้ดี สร้างกำไรให้กับคุณ และอะไรส่งผลกระทบกับธุรกิจของคุณบ้าง มากกว่าการหวังแค่เสี่ยงโชค แบบซื้อหุ้นแล้วจะอธิษฐานให้ธุรกิจเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

ก่อนจะเลือกลงทุนในสักบริษัทคุณจะต้องเข้าใจ 4 สิ่งนี้ด้วยกัน

  1. มีความรู้พื้นฐานด้านการเงินพอที่จะอ่านงบการเงินเป็น
  2. รู้จักสินค้าและโมเดลธุรกิจของบริษัทที่เราลงทุน
  3. เข้าใจความเสี่ยงของบริษัท
  4. รู้จักปัจจัยภายนอกทั้งการเมือง เศรษฐกิจ หรือสภาพสังคมไว้บ้าง
Property investment and mortgage financial concept.

ซึ่งเดี๋ยวนี้ ยิ่งมีเทคโนโลยีเข้ามา ทำให้การลงทุนนั้นง่ายกว่าเดิม อย่างเช่นงบการเงินย้อนหลัง ที่คุณสามารถดูได้บนเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย และบางแห่งสามารถเปิดดูได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถืออย่างของ Jitta.com เองก็มีข่าวสารข้อมูลของบริษัททั่วโลกให้คุณเข้ามาดูได้อย่าง real-time ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมากขึ้นและสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วทันเวลา

เท่านี้คุณก็มีพื้นฐาน​ความรู้และเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอที่จะเลือกได้แล้วว่าคุณจะลงทุนในกิจการของบริษัทใดบ้าง ซึ่งหลังจากเลือกและลงทุนไปแล้ว สิ่งต่อไปที่คุณต้องมีคือ ‘วินัย’ ลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่เดาตลาดหุ้น และต้องทบทวนและปรับพอร์ตให้เป็นระบบ

‍‍สุดท้ายแล้ว เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนก็คือ ‘วันนี้’ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนจะสายเกินไป เพราะฤกษ์ดีคือเลิกรอนะครับ ส่วนความกลัว ผมบอกได้เลยว่ามันกำจัดง่ายมาก ด้วยการลงมือทำและเรียนรู้ไปกับมันด้วยสติครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขและประสบความสำเร็จในโลกการลงทุนนะครับ

]]>
1465189
3 ทริก ตั้งเป้าหมายการลงทุน https://positioningmag.com/1461542 Mon, 05 Feb 2024 06:30:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1461542

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ในทุกๆ ครั้ง ก่อนที่คุณจะขับรถ หรือเริ่มออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง หรือลงมือทำอะไรสักอย่าง การที่คุณรู้ว่าคุณจะมุ่งหน้าไปที่ไหน หรือทำสิ่งๆ นั้นไปเพื่ออะไร เป็นเรื่องที่สำคัญจริงไหมครับ

เส้นทางของการลงทุนก็เช่นเดียวกัน

เริ่มต้นปีใหม่แบบนี้ นอกจากจะเซตเป้าหมายชีวิตแล้ว คุณควรเริ่มกำหนดเป้าหมายการลงทุนไปด้วยพร้อมกัน

วันนี้ผมอยากจะพาคุณมาเรียนรู้เรื่องการกำหนดเป้าหมายการลงทุนของตัวเองก่อนจะเริ่มต้นลงทุน เพื่อให้คุณรู้ว่าควรเตรียมตัวยังไง วางกลยุทธ์แบบไหน เพื่อพิชิตเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะการมีเป้าหมายนั้นสำคัญ

​การกำหนดเป้าหมายจะช่วยให้จิตใจคุณเข้มแข็งขึ้น เพราะคุณจะสามารถเตรียมใจว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างที่รออยู่ข้างหน้า และวางกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อพิชิตเป้าหมายนั้น เมื่อคุณได้เตรียมตัวเตรียมใจและมีความพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างทางแล้ว แม้ในบางครั้งที่คุณอาจจะรู้สึกท้อบ้าง แต่การมองไปที่เป้าหมายและเห็นว่าเราเดินมาไกลแล้ว หรือยิ่งกว่านั้นคือรู้ว่าใกล้จะถึงเส้นชัย มันก็จะช่วยให้คุณมีแรงฮึดสู้ได้ไม่น้อยเลย     ​

การลงทุนก็เช่นกันครับ หากคุณตั้งเป้าหมายไว้ที่การลงทุนระยะยาว คุณก็จะสามารถเตรียมใจรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นได้ พร้อมทั้งเตรียมตัวโดยการเดินหน้า DCA เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนรับมือความผันผวนที่เกิดขึ้น และมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไป

ดังนั้นก่อนจะเริ่มลงทุน เรามาลองตั้งเป้าหมายกันก่อนครับ

การกำหนดเป้าหมายด้วยความเสี่ยง

ผมแนะนำให้คุณเริ่มต้นจากสำรวจระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับไหวก่อน

เพราะหากคุณกำหนดเป้าหมายไปเลยโดยที่ไม่รู้ว่ามีความเสี่ยงแบบไหนรออยู่ เมื่อคุณลงทุนได้สักระยะ แล้วต้องเจอกับความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าคุณจะรับมือได้ อาจทำให้คุณต้องยอมแพ้และล้มเลิกการลงทุนนั้นไปอย่างน่าเสียดาย

ดังนั้น หากคุณรู้ว่าตัวเองสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ก็สามารถตั้งเป้าหมายบนระดับความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อจะได้มองหาเส้นทางหรือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม​และไปถึงได้จริง อาทิเช่น

หากคุณรับความเสี่ยงได้น้อย ก็ลองตั้งเป้าผลตอบแทน 2-5% แล้วลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยๆ อย่างตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้ พันธบัตร ก็จะทำให้คุณอุ่นใจและไม่เครียดเกินไป

แต่หากคุณคิดว่าคุณสามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลาง ก็สามารถตั้งเป้าผลตอบแทนระดับกลางๆ 5-8% และสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงขึ้นอย่างการลงทุนในกองทุนรวม ที่มีทั้งหุ้น และตราสารหนี้

หากคุณอายุยังน้อยหรือใจถึงมากพอที่จะรับความเสี่ยงได้สูง ผมแนะนำให้ลองตั้งเป้าผลตอบแทนได้มากกว่า 8%  และเลือกสินทรัพย์เสี่ยงได้เต็มที่มากขึ้น อย่างลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้นต่างๆ

กำหนดเป้าหมายด้วยระยะเวลา

อีกวิธีในการกำหนดเป้าหมายคือนำเรื่องของ ‘เวลา’ มาเป็นเกณฑ์ กล่าวคือคุณต้องสำรวจตัวเองว่าต้องการลงทุนเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ จากนั้นจึงตั้งเป้าหมายให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่คุณสามารถทำได้

เช่นหากคุณต้องการลงทุนระยะสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี คุณอาจต้องกลับมามองถึงข้อจำกัดเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น ระยะเวลาการสร้างผลตอบแทนของสินทรัพย์นั้นๆ ที่จำกัด รวมถึงความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมที่อาจเพิ่มขึ้น

เช่นต้องการลงทุนระยะสั้น ไม่เกิน 1 ปี แต่ไม่อยากรับความเสี่ยงที่สูง ก็อาจคิดมากหน่อยว่าใน 1 ปีนั้นสินทรัพย์ที่เราลงทุนต้องไม่ผันผวนมากนัก ก็ต้องลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น

หรือหากสามารถรับความเสี่ยงได้ก็อาจลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตที่มีความผันผวนของราคาสูง ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นสูงเช่นกัน

หากมีเวลาลงทุนระยะกลาง 1-3 ปี ก็จะมีสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น ความเสี่ยงต่ำกว่าระยะสั้น มีระยะเวลาสร้างผลตอบแทนมากขึ้น แต่ก็ต้องวางแผนให้รัดกุมเช่นกัน

แต่ถ้าคุณหนักแน่นพอ ควรเลือกการลงทุนที่มีเป้าหมายระยะยาว 5 ปีขึ้นไป เพราะจะความเสี่ยงต่ำลง และมีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น สามารถปล่อยให้สินทรัพย์ค่อยๆ สร้างผลตอบแทน แต่อย่างว่านะครับ ระหว่างทางจะมีข่าวสารต่างๆ มากระทบจิตใจได้บ้าง ดังนั้นนักลงทุนที่เลือกเส้นทางนี้ต้องมีความหนักแน่นมากทีเดียว

กำหนดเป้าหมายด้วยวัตถุประสงค์การใช้เงิน

การลงทุนเพื่อเป้าหมายอะไรสักอย่าง จะทำให้คุณสามารถมองหาการลงทุนที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านระยะเวลา หรือความเสี่ยง รวมทั้งสามารถกำหนดกลยุทธ์เพื่อให้สามารถไปถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้เป้าหมายนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้จริงบนระยะเวลาที่มี ดังนั้นสำรวจและถามใจตัวเองไปเลยครับว่าลงทุนครั้งนี้มีไปเพื่ออะไร และคุณจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ บนการลงทุนแบบไหนเพื่อบรรลุเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น ลงทุนเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูก

แน่นอนว่าคุณต้องการรูปแบบการลงทุนที่ค่อนข้างมั่นคงพอที่จะส่งลูกเรียนได้ระยะยาว ก็ต้องมองการลงทุนที่ความเสี่ยงน้อยลงมาหน่อย บนระยะเวลาที่จะต้องใช้เงินก้อนนั้น หรือลงทุนเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ

นอกจากเรื่องระยะเวลาและความเสี่ยง อาจต้องเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ (DCA) เพื่อให้พอร์ตเติบโตได้ไวขึ้น เพื่อให้เงินต้นค่อยๆ เติบโต เพียงพอสำหรับอนาคต เมื่อถึงวันที่เราไม่มีรายได้ใหม่เข้ามาเติมพอร์ต

ที่สำคัญต้องกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน และไม่ล้มเลิกกลางคัน หรือเข้าๆ ออกๆ จากตลาด

แต่ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายแบบใด แต่เป้าหมายต้องมีความเป็นไปได้ สอดคล้องกับความเป็นจริงและดูสมเหตุสมผล พร้อมกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เพื่อให้นักลงทุนสามารถจัดลำดับความสำคัญของแต่ละเป้าหมายได้

เมื่อได้เป้าหมายแล้วเราถึงจะมองหากลยุทธ์ที่เหมาะสม เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมเงินให้พร้อม

และในระหว่างที่ก้าวเดินไปสู่เป้าหมาย อย่าลืมทบทวนตัวเอง ว่าเรายังคงเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ

มองเป้าหมายเป็นเส้นชัย เก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทาง เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้นต่อไป

มีเป้าหมายแล้ว กลยุทธ์พร้อม ใจพร้อม คุณทำได้!

ปี 2567 นี้ตั้งเป้าอะไรไว้ และตอนนี้คุณมาได้ไกลแค่ไหน อย่าลืมมาแชร์กันนะครับ

]]>
1461542
ให้ 11.11 เป็นมากกว่าวันคนโสด แต่เปิดโอกาสมั่งคั่งจากการลงทุน https://positioningmag.com/1453214 Mon, 27 Nov 2023 08:36:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453214

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

11.11 ผ่านไปแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เสียหายกันไปเท่าไร
เปล่าครับ ผมไม่ได้มาเสนอส่วนลดพิเศษอะไรให้แต่อย่างใด เพียงแต่จะมาชวนคุยถึงที่มาของแคมเปญสุดปัง 11.11 หรือ วันที่ 11 เดือน 11 ที่ร้านค้าต่างแข่งกันออกโปรโมชันเพื่อดึงดูดคนให้เข้าร้านกันยกใหญ่ ลดแลกแจกแถมกันแบบฉ่ำมง

ทำไมต้องเป็น 11.11 ผมขออนุญาตเล่าให้คนที่อาจจะยังไม่รู้ที่มาที่ไปสักเล็กน้อยครับ

หากคุณมองตัวเลข 11.11 แล้วเห็นอะไรบ้างคับ มีแต่เลขคี่เต็มไปหมดเลยใช่ไหมล่ะครับ

11.11 จึงเป็นวันที่ถูกนิยามให้เป็นวันคนโสด

หากย้อนไปดูตามประวัติแล้ว วันคนโสดเกิดขึ้นตั้งแต่ราวๆ ปี 2533 จากกิจกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยในประเทศจีน 4 คน ที่ฉลองความโสดของตัวเอง…

ที่ผ่านมาผู้คนอาจจะคุ้นเคยกับวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักกันใช่ไหมล่ะครับ ในเมื่อมีวันของคนมีคู่ ทำไมจะมีวันของคนไม่มีคู่ไม่ได้ล่ะ

เพราะความรักไม่จำกัดแค่คนมีคู่ เราสามารถมอบความรักให้ตัวเองได้ด้วยเช่นกัน

เมื่อมีการเผยแพร่เรื่องราวของนักศึกษากลุ่มนี้ออกไป ทำให้วันคนโสดกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันกลายเป็นเทศกาลในระดับภูมิภาคไปแล้ว

ในวันนี้ ผู้คนจะใช้จ่ายเพื่อตัวเอง เลือกซื้อของที่อยากได้ ‘วันคนโสด’ จึงมีอีกชื่อว่า ‘วันแห่งการช้อปปิ้ง’ ด้วย

นี่จึงเป็นที่มาของวันคนโสดครับ และต่อมาในยุคที่มีการซื้อขายออนไลน์ เทศกาลนี้ยิ่งแพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลกด้วย ผลักดันให้กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) พุ่งกระฉูดไปตามๆ กัน

ข้อดีของวันนี้ยังไม่หมดแค่นั้นครับ เพราะไม่ใช่เฉพาะคนโสดที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอย คนมีคู่เองก็ออกมาช้อปปิ้งเยอะไม่แพ้กันครับ ทำให้ตัวเลขการบริโภคในระบบเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น​

รวมถึงหุ้นในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) พุ่งกระฉูดไปตามๆ กัน เป็นอานิสงส์ดีๆ ให้นักลงทุนที่โสดหรือไม่โสด ก็ยิ้มรับกันอย่างชื่นบานเลยทีเดียวครับ

แม้ในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่ทำให้การซื้อของออนไลน์ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซพุ่งกระฉูดเป็นประวัติการณ์ แต่ 11.11 หรือวันคนโสด ก็มีส่วนช่วยผลักดันไม่แพ้กันครับ

หากคุณอยากรู้ว่า วันคนโสด คนช้อปโหดขนาดไหน และช่วยเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้อย่างไร ผมจะพาไปดูสถิติที่น่าสนใจของวันคนโสดกัน​

1. Alibaba

เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่เห็นถึงความสำคัญของวันคนโสด และมีการจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขาย ซึ่งในปี 2562 ได้ทำสถิติขาย 1 ชั่วโมง กวาด 360,000 ล้านบาท มากกว่ายอดขายทั้งปีของแบรนด์ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในไทยทั้งหมด

และล่าสุดในปี 2565 ที่แม้จะมีความท้าทายในภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่ Alibaba ก็ยังสามารถทำยอดขายสุทธิในวัน 11.11 รวมกับวันอื่นๆ ตลอดระยะเวลาแคมเปญ 18 วัน ได้ถึง 2.65 ล้านล้านบาทเลยทีเดียวครับ

2. Shopee

ทำสถิติยอดขาย 11 ล้านชิ้น ภายใน 5 นาทีแรกของ 11.11 ในปี 2564 และยอดซื้อที่มากที่สุดใน 1 รายการคือ 180,000 บาท เป็นสินค้าประเภทแล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

3. Lazada

ทำสถิติจำนวนสินค้าที่ขายได้โตกว่า 200% จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นกว่า 120% และดันจำนวนผู้ขายที่รายได้มากกว่า 100,000 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 300% ในช่วงแคมเปญ 11.11 ปี 2564

และในปี 2565 ที่ผ่านมา 11.11 มียอดขายในไทยโตทะลุกว่า 20 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ ภายใน 2 ชั่วโมงแรก ขณะที่ยอดขายทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มขึ้นกว่า 124 เท่า ตั้งแต่ 11 นาทีแรกของแคมเปญ

เป็นข้อมูลที่ OMG ในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซมากๆ ครับ

จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่

แม้ว่าที่มาของวันนี้จะเป็นเพียงการฉลองของคนโสดแค่ 4 คน แต่มันก็ได้กลายเป็นเทศกาลหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนได้ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

ซึ่งผลกระทบนั้นก็ได้ถูกส่งต่อมายังประเทศไทยอีกด้วย

ที่สำคัญคือเทรนด์การช้อปปิ้ง ได้ทะลายข้อจำกัดด้านระยะทางด้วยการเปิดให้มีซื้อขายออนไลน์ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว

มีการขายแนวใหม่ประเภทการไลฟ์โชว์สินค้า ที่ช่วยกระตุ้นอีคอมเมิร์ซได้เป็นอย่างดีครับ

ทำให้การกระตุ้นยอดขายจากเทศกาลที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ กลายเป็นรากฐานของเศรษฐกิจระยะยาวในที่สุด

Shopping cart Ecommerce Marketing channel distribution concept on supermarket background

ลงทุนอีคอมเมิร์ซ โอกาสเติบโตของเมกะเทรนด์

ปัจจุบันรัฐบาลทั่วโลกกำลังวางนโยบายที่สนับสนุนอีคอมเมิร์ซ เช่น การลดหย่อนภาษีและขั้นตอนศุลกากรที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเติบโตของช่องทางอีคอมเมิร์ซ

และในปี 2566 อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซคาดจะสร้างรายได้ทั่วโลกถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และตลาดอีคอมเมิร์ซคาดจะขยายตัว 10.4% ภายในสิ้นปี

เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว มีการกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องในแพลตฟอร์มออนไลน์ ผลักดันให้กำไรของบริษัทต่างๆ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

หากคุณสนใจที่จะลงทุนในอีคอมเมิร์ซ เรามีตัวเลือกการลงทุนในนโยบาย Thematic ที่สามารถเลือกลงทุนในธีมอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็น ETF ที่เข้าไปลงทุนในหุ้นของบริษัทค้าปลีกทั่วโลกที่มีรายได้หลักมาจากการค้าขายออนไลน์ อาทิเช่น Amazon และ Alibaba

สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ /jitta.co/3MCjoRM

หรือหากคุณสนใจในการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ที่นอกเหนือจากเทศกาลวันคนโสด 11.11 ที่มีการจับจ่ายใช้สอย กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่แล้วรัฐบาลจีนเองก็มีการออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกมากมาย

เป็นที่น่าสนใจว่าตลาดหุ้นที่ปัจจุบันปรับตัวลดลงมาจากสถานการณ์ของภาคอสังหาฯ จะกำลังกลับตัวตามสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น

เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นจีนคุณสามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มได้ที่ jitta.co/49JkhlJ

When Paying Means Savings…

การใช้จ่ายในช่วง 11.11 หรือเทศกาลที่มีโปรโมชัน ลดแลกแจกแถม นอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ผู้บริโภคเองก็ได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้เงินมากมายให้เกิดความคุ้มค่าได้เช่นกันครับ

ทำให้เงินที่ได้จากส่วนลดกลายมาเป็นเงินออม และเงินลงทุนต่อได้อีกต่อด้วย

นอกจากซื้อของเป็นรางวัลให้ตัวเองในวันนี้แล้ว อย่าลืมลงทุนเป็นรางวัลให้ตัวเองในวันข้างหน้าด้วยนะครับ

]]>
1453214
ล้างอาถรรพ์ให้โลกลงทุน พอกันทีกับพอร์ตต้องคำสาป https://positioningmag.com/1449647 Mon, 30 Oct 2023 13:20:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449647

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ช่วงใกล้วันฮาโลวีนแบบนี้ นักลงทุนอาจจะกำลังสัมผัสกับเรื่องหลอนๆ ในโลกการลงทุน หรือความลี้ลับบางอย่างที่ทำให้เราไม่ว่าจะลงทุนอย่างไร พอร์ตก็แดงวนไป  ทำอย่างไรก็ไม่กำไรอยู่ดี 

คิดไปคิดมา คุณเป็นนักลงทุนที่ต้องคำสาป หรือพอร์ตคุณกำลังต้องคำสาปกันแน่ แล้วเราจะล้างอาถรรพ์ที่แฝงอยู่กับพอร์ตลงทุนได้อย่างไรกัน

วันนี้ผมจะชวนมาร่วมไขปริศนาเกี่ยวกับอาถรรพ์ และเรื่องราวของ ผี วิญญาณ และคำสาป พร้อมวิธีป้องกัน ที่อาจจะทำให้การลงทุนของคุณไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..

โลกนี้อาจมีสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น… เข้ามามีบทบาทกับชีวิต หรือแม้กระทั่งการลงทุนโดยที่คุณไม่รู้ตัว…

วิญญาณ อาถรรพ์ และคำสาป เป็นเรื่องราวที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมของมนุษย์เรามาอย่างยาวนานครับ ไม่ว่าจะเป็นทวีปใด หรือมุมไหนของโลก ล้วนต้องมีเรื่องลึกลับ หาคำตอบไม่ได้ ไปจนถึงสยองขวัญจนไม่อยากหาคำตอบเป็นส่วนประกอบเสมอ

ในโลกการลงทุนก็มีเรื่องน่ากลัวเช่นนี้อยู่เหมือนกันครับ… แต่มันจะเป็นไปในลักษณะไหน ผมจะพาคุณเปิดสัมผัสที่หก แล้วเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กันครับ

ยินดีที่ (ไม่) รู้จัก ‘ผี’

ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2554 คำว่า ‘ผี’ มีไว้ใช้เรียกคนที่ตายไปแล้ว และหมายถึง สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษ มีทั้งดีและร้าย

หลายคนในที่นี้คงได้รับการสะกดจิตมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ว่าผีคือสิ่งที่น่ากลัว ​หลายคนบนโลกนี้กลัวผี ทั้งที่บางคนอาจจะไม่เคยเห็นหรือสัมผัสด้วยซ้ำ…

ไม่ใช่แค่คนไทยที่พูดถึงเรื่องผีๆ เราจะเห็นได้ว่า ‘ผี’ มีลักษณะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมครับ อย่างทางฝั่งยุโรปผีจะมีลักษณะเป็นปีศาจไล่ฆ่าคน เช่น ปีศาจสับหัว (The Headless Horseman) ที่เป็นบุรุษขี่ม้าสีดำและไม่มีหัว ไล่สังหารผู้คนโดยการตัดศีรษะ

Etf
Photo : Shutterstock

ทางฝั่งเอเชีย ผีมักมาในลักษณะของวิญญาณที่มีความคับแค้นใจจากการเสียชีวิตอันน่าเศร้า มักไปสิงร่างคน หรือกระตุ้นจิตใจให้ทำเรื่องไม่ดี ไปจนถึงขั้นพรากชีวิตของคนที่ถูกเล่นงาน

ในโลกการลงทุนก็มีวิญญาณหลอนที่คอยมาสร้างความหวาดกลัวให้กับนักลงทุนเป็นระยะครับ ไม่ว่าจะเป็น วิญญาณ “ข่าวร้าย” วิญญาณ “เงินเฟ้อ” วิญญาณ “เงินฝืด” วิญญาณ “ดอกเบี้ย” วิญญาณ “ภาษี”​ เผลอๆ อาจจะน่ากลัวกว่าเจอผีจริงๆ เสียอีกนะครับ

เพราะถ้ามีวิญญาณเหล่านี้เข้ามาเมื่อไหร่ เมื่อคุณเปิดดูพอร์ต คุณอาจจะมีความรู้สึกขนหัวลุก เหมือนมีลมเย็นๆ พัดผ่านหลังคอให้เย็นวาบ ส่วนบางคนที่จิตอ่อน คุณอาจได้ยินเสียงกระซิบที่คอยบอกว่า ขาย ขาย ขาย ขาย…

และวิญญาณเหล่านี้ มักเป็นตัวแทนของความทรงจำที่เลวร้าย แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นอดีตไปแล้ว แต่ความทรงจำยังคงติดอยู่กับเรื่องราว และคอยตามหลอกหลอนเราอยู่เรื่อยไป

ใครที่เคยติดดอยหรือขายหมูสักครั้ง จะซื้อจะขายหุ้นแต่ละทีคงเสียวสันหลังไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ

ไสยศาสตร์และการลงทุน

ที่ร้ายแรงกว่าการมีวิญญาณมาล่อลวงจิตใจ คือคุณก้าวเข้าสู้ด้านมืดด้วยตัวเอง…โดยการลงทุนใน ‘หุ้นผีบอก’

‘ผีบอก’ เป็นคำที่เรามักได้ยินในบริบทของ ‘ยาผีบอก’ ครับ สูตรยาที่ไม่มีที่มาที่ไป มีเพียงสรรพคุณเลิศเลอ

ตลาดหุ้นที่ขับเคลื่อนด้วย ‘ความหวัง’ นี่เองจึงเป็นบ่อเกิดของ ‘หุ้นผีบอก’ ครับ

หุ้นที่ไม่มีที่มาที่ไปแน่ชัดสักเท่าไหร่ แต่กลับถูกพูดถึงต่อๆ กันในวงกว้างว่ามีโอกาสจะทำกำไรได้เท่านั้นเท่านี้ ซึ่งพอมีการยืนยันจากหลายปากหลายเสียง ก็ทำให้ข่าวหุ้นตัวนั้นดูน่าเชื่อถือขึ้นมาเสียอย่างนั้น

Photo : Shutterstock

พอข่าวเรื่องหุ้นตัวนี้เริ่มมีการกระจายออกไปมากเข้า คนที่ได้รับข่าวหลังๆ จะรู้สึกว่ามันน่าเชื่อถือ เพราะถูกยืนยันมาจากหลายๆ แหล่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมาจากแหล่งเดียวนั่นแหละครับ

หากโชคดีผีผลักก็จะได้กำไร แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นผีซ้ำด้ามพลอย พากันขาดทุนเป็นแถบๆ

การลงทุนแบบไม่มีหลักการ หวังพึ่งแต้มบุญ และหวังว่าหุ้นผีบอกที่ลงไปจะต้องทำกำไรแน่ๆ มักจบด้วยการบาดเจ็บขาดทุนจนต้องออกจากตลาดไป

และหากคุณถลำลึกวนเวียนอยู่แต่กับหุ้นผีบอก หรือลงทุนแบบพึ่งดวง ก็อาจทำให้พอร์ตของคุณติดอาถรรพ์สีแดง ทำยังไงก็ไม่กำไรสักที

ล้อมสายสิญจน์ รดน้ำมนต์ให้พอร์ตลงทุน

ใจเย็นๆ นะครับ อย่าเพิ่งรีบแต่งตัวเตรียมไปหาหมอผี หรือหมอธรรมะที่ไหน เพราะวิธีแก้ คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

วันนี้ผมมีวิธีแก้อาถรรพ์มาบอกครับ…

หาก วิญญาณร้าย มาทำให้จิตใจที่แข็งแกร่งของคุณหวั่นไหว คอยมากระซิบให้คุณขายหุ้นดีๆ ทิ้ง เพราะแค่ราคาผันผวนจากภาวะตลาด หรือฉุดรั้งไม่ให้คุณลงทุน จริงๆ แล้วอาจมาจากจิตใต้สำนึกของคุณเองก็ได้ครับ

เมื่อต้องเลือก ย่อมเกิดความลังเล และความกลัวขึ้นมาเป็นเรื่องธรรมดา น้ำมนต์ที่เราจะใช้ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลครับ สามารถใช้น้ำสะอาดสำหรับล้างหน้า หรือน้ำเย็นๆ สักแก้วมาดื่มสักหน่อย

เรียกสติของตัวเองกลับมาให้มากที่สุดครับ หยุดคิดและวิเคราะห์ให้รอบคอบถึงโอกาสและความเสี่ยง สิ่งที่จะได้และอาจต้องเสียไป หากคุณตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง เช่น การขายหุ้นในพอร์ต

Photo : Shutterstock

จากนั้นค่อยเสริมด้วยหลักการลงทุนดีๆ ที่จะทำให้คุณมองเห็นวิธีการ และมุมมองที่กว้างมากขึ้น

ส่วนวิธีแก้อาถรรพ์พอร์ตจาก หุ้นผีบอก คือเริ่มจากปรับเปลี่ยนนิสัยการลงทุนครับ จากที่เอาแต่เฝ้าติดตามข่าวอย่างเดียว เปลี่ยนเป็นคอยศึกษาพื้นฐานของกิจการควบคู่ไปด้วยครับ

หลีกเลี่ยงเหตุผลในการซื้อขายหุ้นที่ว่า ‘ใครๆ ก็บอกอย่างนั้น’

แค่นี้หุ้นผีบอกก็ทำอะไรคุณไม่ได้แล้วครับ

คาถานักลงทุนระยะยาว ไล่พอร์ตแดงไปจากชีวิต

การลงทุน ต้องมีสติ มีเหตุและผล

การลงทุน ต้องเข้าใจ มีเหตุและผล

การลงทุน ต้องมองไกล มีเหตุและผล

คำภีร์หรือบทสวดอาจไม่ได้เท่าสติ ความรู้ และหลักการลงทุนที่ดีครับ

]]>
1449647
กองทุน S&P500 ETF ประตูบานแรกสู่การลงทุนระยะยาว https://positioningmag.com/1447078 Fri, 06 Oct 2023 06:10:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447078

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนได้ระยะยาว ผมอยากแนะนำเครื่องมือการลงทุนหนึ่ง ที่สุดแสนจะคลาสสิกและเรียบง่าย ที่สำคัญไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ก็ยังเป็นที่นิยมอย่าง ‘การลงทุนเชิงรับ’ (Passive Investment) ที่คุณก็สามารถเริ่มลงทุนได้ เพียงเลือกสินทรัพย์ที่ลงทุนอิงดัชนีและมีค่าธรรมเนียมต่ำ เพราะจัดเป็นการลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ ที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และมีการซื้อขายน้อยครั้งทำให้ค่าธรรมเนียมไม่สูงเกินไป

และนั่นก็ทำให้ก็การลงทุนเชิงรับยังคงอยู่คู่ตลาดและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งหนึ่งในกองทุนยอดนิยมที่ไม่เคยตกเทรนด์อย่าง S&P500 ETF ก็เป็นสินทรัพย์อ้างอิงที่ได้รับความนิยมและเป็นถูกพูดถึงเสมอเมื่อพูดถึงการลงทุนเชิงรับ

มาถึงตรงนี้ อาจจะมีใครเริ่มงง ว่าเจ้า S&P 500 คืออะไร และ ETF อีกล่ะ

มาครับ ผมอยากขอทบทวนความเข้าใจสักเล็กน้อย

S&P 500 หรือ Standard & Poor’s 500 เป็นดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นดังกล่าว ซึ่ง 500 บริษัทเหล่านี้ก็ครอบคลุมกว่า 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดไปแล้ว

ETF หรือ Exchange Traded Funds คือ กองทุนที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนีต่างๆ ที่ใช้อ้างอิง เพื่อทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงการเคลื่อนไหวของดัชนีนั้นๆ มากที่สุด โดยสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดได้เหมือนหุ้น จึงกลายเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในหมู่นักลงทุนเชิงรับ (Passive Investment)

Etf
Photo : Shutterstock

พอจะนึกออกแล้วใช่ไหมครับ เจ้า S&P 500 ETF ก็คือ กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง S&P500 นั่นเอง ความน่าสนใจคือ เจ้า S&P 500 ETF ถือว่าเป็น ETF ตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลกเลยก็ว่าได้ และไม่แปลกใจที่นักลงทุนทั่วโลกต่างให้ความสนใจ และเป็นหนึ่งใน ETF ที่นักลงทุนหลายคนมีติดพอร์ตเอาไว้

ไม่เว้นแม้แต่ปรมาจารย์ด้านการลงทุนเชิงรับ (Passive Investment) อย่าง Warren Buffett ก็ชื่นชอบการลงทุนในกองทุนดัชนี โดยเฉพาะในดัชนี S&P 500

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ในปัจจุบันมีกองทุน ETF มากถึงกว่า 800 กองที่มีนโยบายการลงทุนโดยอ้างอิงดัชนี S&P 500 โดยแต่ละ ETF มีความแตกต่างในด้านการบริหารจัดการและการคัดเลือกหุ้นที่จะเข้าไปลงทุน

เอาล่ะสิ แล้วถ้าจะลงทุน เราจะเลือกอย่างไร

อย่าเพิ่งเลิกลั่ก มาครับ ผมจะใหัเทคนิคกการเลือกลงทุน ว่าเราควรใช้เกณฑ์ใดในการพิจารณาลงทุนใน ETF

1. ดัชนีที่ใช้อ้างอิง

ดัชนีคือส่วนหนึ่งของตลาดหุ้น ยกตัวอย่างเช่น ดัชนี S&P500 เป็นหนึ่งในดัชนีที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฉะนั้นก่อนที่คุณจะเลือกลงทุนใน ETF สักกอง คุณควรรู้ก่อนว่าคุณอยากลงทุนในดัชนีอะไร หรือมีความสนใจในอุตสาหกรรมใดเป็นพิเศษหรือไม่ เพื่อที่คุณจะสามารถตีกรอบหาดัชนีที่คุณต้องการได้ ก่อนที่คุณจะเลือก ETF ที่อ้างอิงมาจากดัชนีนั้นๆ ซึ่งจะแสดงให้เห็นอยู่ในชื่อของ ETF อยู่แล้ว

2. ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีที่อ้างอิง

เมื่อคุณเลือกได้แล้วว่าจะลงทุนใน ETF ที่อ้างอิงดัชนีอะไร ก็ต้องมาดูต่อว่า ควรจะลงทุนใน ETF กองไหน เพราะแต่ละดัชนีก็มี ETF ที่อ้างอิงอยู่หลายกองเช่นกัน ดังนั้นสิ่งต่อมาที่เราจะใช้พิจารณาคัดเลือก นั้นก็คือ ผลตอบแทน ไม่ใช่ว่าผลตอบแทนจะต้องทำกำไรได้มากมาย แต่จะต้องทำได้ใกล้เคียงกับดัชนีที่ใช้อ้างอิง เพราะแม้ว่าจะทำผลตอบแทนได้เยอะ แต่ไม่ใกล้เคียงดัชนี ก็ถือเป็นความเสี่ยงอย่างนึงเช่นเดียวกัน

3. สภาพคล่องสูง

สภาพคล่องสูง คือ ถ้าวันนึงคุณไม่ต้องการ ก็ยังคงมีคนอื่นที่สนใจ ทำให้บริหารจัดการพอร์ตได้สะดวก ซึ่งสามารถดูได้จากจำนวน AUM (Asset Under Management) ยิ่ง AUM สูงยิ่งแสดงให้เห็นว่า ETF ตัวนั้นมีคนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก นอกจากจำนวน AUM แล้ว การมีปริมาณการซื้อขายต่อวันที่สูง และช่องว่างระหว่างราคาเสนอซื้อกับเสนอขายที่ต่ำ ก็สามารถสะท้อนให้เห็นได้ว่า ETF ตัวนั้นเป็นที่ต้องการมากแค่ไหน

4. ค่าธรรมเนียม

โดยพื้นฐานของ กองทุน ETF จะเป็นการลงทุนแบบ Passive fund ที่เน้นทำผลตอบแทนล้อไปตามดัชนีตลาด ค่าธรรมก็จะต่ำกว่าการลงทุนแบบ Active fund ที่พยายามเอาชนะตลาดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ETF แต่ละกองก็จะมี อัตราค่าใช้จ่ายรวม (Expense Ratio) ที่แตกต่างกัน ยิ่งกองไหนมี Expense Ratio ต่ำ ก็จะยิ่งทำให้คุณได้ผลตอบแทนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

5. ระยะเวลา

แม้ผลตอบแทนในอดีตจะไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคตได้ แต่ก็สามารถดูได้ว่า ETF กองนั้นบริหารเป็นยังไง ยิ่งเปิดตัวมานาน ก็แสดงให้เห็นว่าผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมาแบบไหน ผลตอบแทนในช่วงนั้นเป็นอย่างไร เราก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ละเอียดยิ่งขึ้นด้วย

เอาล่ะครับ น่าจะพอได้ไอเดียกันบ้างแล้วนะครับ แต่ยังไม่จบครับ วันนี้ผมมีของแถม ด้วยการสปอย 4 กองทุน S&P 500 ETF ที่มีพื้นฐานที่ดี อยู่เหนือกาลเวลาให้คุณๆ ได้เลือกสรรเข้าพอร์ตลงทุนของคุณได้โดยสะดวก บอกเลยว่า แต่ละกองเปิดมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี แต่ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นทั้งนั้นครับ

Etf
Photo : Shutterstock

SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY)

ชื่อ ETF : SPY

วันที่เปิดตัว : 22 มกราคม 2536 (30ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.095%

มูลค่า AUM : 413,148 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 20.55%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

ETF ตัวแรกที่หยิบยกขึ้นมาจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก SPY ซึ่งเป็น ETF กองแรกที่เปิดตัวในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2536 เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่ง SPY ก็ยังคงทำผลงานได้ดีตลอดมา จนปัจจุบันก็ยังคงเป็น ETF ที่มี AUM มากที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากที่สุด อยู่ที่ราว 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แค่นั้นยังไม่พอ SPY ยังเป็น ETF หนึ่งในสองกองที่ถูกเลือกเข้าพอร์ต Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett อีกด้วย

iShares Core S&P 500 ETF (IVV)

ชื่อ ETF : IVV

วันที่เปิดตัว : 15 พฤษภาคม 2543 (23ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.03%

มูลค่า AUM : 352,055 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 18.44%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

IVV ถือเป็นกองทุน ETF ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก SPY โดยจุดเด่นคือ อัตราค่าใช้จ่ายรวมที่ถูกมาก เมื่อเทียบกับกองอื่นๆ ที่เราหยิบยกขึ้นมา โดย IVV เปิดมากว่า 23 ปี ผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมามากมายเช่นกัน แต่ปัจจุบันก็ยังคงสามารถทำผลงานได้ดี และด้วยข้อได้เปรียบเรื่องค่าธรรมเนียม จึงทำให้ IVV เป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน

iShares S&P 500 Growth ETF (IVW)

ชื่อ ETF : IVW

วันที่เปิดตัว : 22 พฤษภาคม 2543 (23ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.18%

มูลค่า AUM : 35,895 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 24.15%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

IVW เปิดตัวตามหลัง IVW เพียงไม่กี่วัน โดยเป็นการลงทุนในสินทรัพย์คล้ายๆ กัน แตกต่างกันที่นโยบายการลงทุนและการบริหารจัดการ โดย IVW จะเน้นลงทุนไปที่หุ้นกลุ่มเติบโตมากขึ้น แม้ปลายทางจะเป็นการทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงดัชนี แต่การเคลื่อนไหวของผลตอบแทนจะมีการเปลี่ยนแปลงขยับขึ้นลงมากกว่า แต่ก็พ่วงมาด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า IVV อยากไรก็ตาม IVW ก็ยังคงมีข้อได้เปรียบในเรื่องของราคาที่ถูก ทำให้กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนไม่น้อย

Etf
Photo : Shutterstock

Invesco S&P 500 Equal Weight ETF (RSP)

ชื่อ ETF : RSP

วันที่เปิดตัว : 24 เมษายน 2546 (20ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.20%

มูลค่า AUM : 41,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 5.36%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

RSP เป็นอีกหนึ่งกองทุน ETF ที่เปิดตัวมานานตั้งแต่ ปี 2546 โดยเน้นการเติบโตเป็นหลัก ความน่าสนใจของ RSP ก็คือ การคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุน จะมีการแบ่งสัดส่วนที่เท่าๆ กัน เฉลี่ยอยู่ที่ 0.20% ของแต่ละสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ใน ETF ซึ่ง ETF กองอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมีนโยบายที่ลงทุนในหุ้นแต่ละตัวโดยให้น้ำหนักไม่เท่ากัน โดยการถือหุ้นบางตัวในสัดส่วนที่สูง ทำให้การกระจ่ายความเสี่ยงและบริหารจัดการของ RSP ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็แลกมาด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

เป็นอย่างไรบ้างครับ ETF ทั้ง 4 กองที่เราหยิบยกมาแนะนำให้คุณ ล้วนแล้วแต่เป็น ETF ท็อปฟอร์มตลอดกาล เพราะล้วนพิสูจน์ตัวเองด้วยระยะเวลากว่า 20 ปี ที่พอจะทำให้อุ่นใจได้ว่า มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเผชิญอุปสรรคหรือวิกฤตใดๆ ก็ตาม

ในโลกการเงินปัจจุบันยังมีสินทรัพย์ที่น่าลงทุนรวมถึง ETF ดีๆ ที่คุณสามารถนำมาบริหารพอร์ตลงทุน รวมถึงใช้เป็นเครื่องมือในการนำพาคุณไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่คุณวาดหวังไว้ในอนาคต หากคุณสนใจแนวทางการลงทุนและแสวงหาโอกาสในโลกการเงินที่ผมและทีมงานได้เตรียมข้อมูลที่น่าสนใจให้คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา https://blog.jittawealth.com/

]]>
1447078
ให้ Barbie เปิดโลกการลงทุน https://positioningmag.com/1442109 Thu, 24 Aug 2023 03:11:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1442109

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
ตั้งแต่ภาพยนตร์ Barbie เปิดตัวในเดือน ก.ค. ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ติดอันดับที่ 1 บนตาราง Box Office สหรัฐฯ ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ จนถึงตอนนี้กวาดรายได้ทั่วโลกรวมแล้วกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ในช่วงเปิดตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ Warner Bros. เป็นรองเพียงภาพยนตร์ Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 2 ​ซึ่งก็คาดได้ว่าจะขึ้นแท่นอันดับ 1 ได้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ว่ากันว่ากระแสที่ดังเปรี้ยงปร้างครั้งนี้ทำให้นักแสดงนำ และโปรดิวเซอร์อย่าง Margot Robbie จะได้รับเงินค่าจ้างบวกกับเงินโบนัสก้อนใหญ่ถึง 50 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.7 พันล้านบาทขึ้นแท่นผู้กำกับหญิงที่มีรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์

รายได้ดีจนประธาน Fed อย่าง JeromePowell พูดว่า “Barbie (รวมไปถึง คอนเสิร์ตของ Taylor Swift) ส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง”

คาดไม่ถึงเลยใช่ไหมครับว่าอุตสาหกรรมของเล่นและธุรกิจบันเทิง จะมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจได้ขนาดนี้

หรือนี่จะเป็น โอกาสลงทุน ได้ไหมนะ?

ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ อย่าลืมว่า ในสนามการลงทุนมีเรื่องให้คาดไม่ถึงอยู่เสมอครับ อะไรที่อยู่รอบๆ ตัวเราอาจจะเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่ดีก็ได้…

เช่นเดียวกับภาพยนตร์ Barbie ที่นำเสนอเรื่องราวจากคำถามที่ว่า ถ้าบาร์บี้มาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แล้วจะเป็นอย่างไร?

Photo : Shutterstock

ซึ่งกระแสในโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นแล้วว่า Barbie อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์สีชมพูโลกสวยแบบที่ใครหลายคนคิด

ในโลกของการลงทุนก็เช่นกัน ขอแค่คุณยึดในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง เลือกหุ้นคุณภาพดี ราคาที่เหมาะสม กระจายความเสี่ยงและรีวิวพอร์ตสม่ำเสมอ ก็เป็นหลักในการก้าวย่างที่ดีแล้วครับ

เอาล่ะครับ ผมจะพาไปส่องอีกว่า Barbie ในโลกการลงทุน เป็นอย่างไร? เผื่อว่าคุณอาจเจอโอกาสลงทุนในหุ้นดีๆ ก็ได้ครับ ​

คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงบริษัท Mattel ผู้ผลิตตุ๊กตา Barbie จะได้รับผลบวกจากกระแสที่ดีครั้งนี้อย่างไร

หากย้อนไป 64 ปีที่แล้ว หรือตั้งแต่ปี 2502 ที่บริษัท Mattel ผู้ผลิตตุ๊กตารายใหญ่ของโลก เปิดตัว  Barbie เป็นครั้งแรก ก็ทำให้ยอดขายตุ๊กตาทั้งหมดของบริษัท Mattel มากกว่าครึ่งมาจากยอดขาย ตุ๊กตา Barbie ดังนั้นการเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญ ที่จะดันธุรกิจของ Mattel ก้าวไปอีกระดับก็เป็นได้ เพราะใครจะรู้ว่าเวลานี้ Mattel เอง กำลังมีแผนธุรกิจอะไรอยู่อีกรึเปล่า?

ความฮือฮาที่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

Reconteur ให้ข้อมูลที่น่าสนใจไว้ว่า จริงๆ Mattel ได้ทุ่มเงินกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการทำการตลาดให้กับแผนก Barbie ในปีนี้ และตามรายงานของ Media Radar นี่ยังถือเป็นก้าวสำคัญก้าวแรกในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจจากบริษัทผู้ผลิตของเล่นสู่สนามจำหน่ายทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย ซึ่งแผนธุรกิจนี้ถูกเซตขึ้นโดย Ynon Kreiz CEO ของ Mattel

เราอาจจะได้เห็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับของเล่นในตำนาน ของเล่นสร้างชื่อจาก Mattel ออกมาให้เห็นอีกมากมายในอนาคต

cof

แต่ Barbie จะเป็นมากกว่าของเล่น

ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ความต้องการของเล่นเคยพุ่งสูงขึ้นในช่วงโรคระบาด Covid-19 แต่เมื่อการระบาดสงบลงอุตสาหกรรมนี้ก็เงียบเหงาลงตาม รวมไปถึงภาวะเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจตกต่ำก็เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อสินค้าต่างๆ ด้วย

ฐานลูกค้าของตุ๊กตาบาร์บี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 3-8 ปีครับ แต่ถ้าใครดูภาพยนตร์ไปเรียบร้อยแล้ว หรือถ้าดูแค่ Teaser ก็คงจะเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับไม่ได้สร้างมาให้เด็กด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นแผนดึงดูดให้ผู้ใหญ่ซื้อตุ๊กตาเหล่านี้ให้เด็ก หรือแม้กระทั่งหวนนึกย้อนไปถึงของเล่นในอดีตจนอาจจะอยากซื้อมาเล่นอีกรอบก็ได้ครับ

I’m a Barbie girl in investment world… โลกลงทุนที่ไม่มีสีชมพู

แผนธุรกิจของ Mattel เรียกว่าเป็น ‘อนาคต’ ที่น่าจับตามองมากเลยครับ ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นได้จริง ตอนนี้ก็อาจจะเป็นโอกาสในการลงทุนก็ได้ใช่ไหมครับ

แต่การจะลงทุน ต้องดูให้รอบด้านครับ

ดังนั้นก่อนจะไปถึงจุดนั้น ผมจะพาไปส่องดูกันก่อนดีกว่าครับว่า พื้นฐานของหุ้น Mattel ในเวลานี้เป็นอย่างไรบ้าง

หากคุณลองเข้าไปส่องข้อมูลใน Jitta.com คุณจะเห็นได้ว่าราคาปัจจุบันของหุ้นตัวนี้อยู่ต่ำกว่า Jitta Line ถึง 34.84% ครับ แต่ถ้าเลื่อนสายตาไปที่ Jitta Score หุ้นตัวนี้มีคะแนนที่ 4.24 คะแนนเท่านั้น

barbie

เจาะลึกงบการเงินด้วย Jitta

เราลองมาดูงบการเงินของ Mattel กันครับ โดยคุณสามารถอ่านได้ที่ Jitta เลย เพียงเลื่อนเมาส์ไปที่ Factsheet ก็จะเห็นตารางงบการเงินย้อนหลังที่อ่านง่ายและสบายตา ไม่ต้องไปนั่งทำเอาเองครับ ​

ตัวเลขที่น่าสนใจ

  •  รายได้ค่อนข้างคงที่ ไม่ได้มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ มีเพียงปี 2564 ที่รายได้โตกว่า 18.9%
  •  ด้านคุณภาพของกำไรดูได้จาก รายได้รวม บริษัทขาดทุน 3 ปีติดต่อกันในปี 2560-2562
  •  วงจรเงินสด ในปี 2565 ตัวเลขวงจรเงินสดกระโดดไปที่ 110 วัน จากระดับ 80-90 วันเมื่อเทียบกับงบการเงินในช่วง 3-5 ปีย้อนหลัง แสดงให้เห็นว่าบริษัทอาจจะสูญเสียอำนาจต่อรองกับลูกค้าหรือซัพพลายเออร์ รวมไปถึงอาจจะมีการสต๊อกสินค้าที่มากขึ้น

ยังมีตัวเลขอีกมากมายใน Factsheet ของ Jitta ที่รอให้คุณไปหาคำตอบเพิ่มเติมได้ที่นี่  jitta.com/stock/nasdaq:mat/factsheet

เรียนรู้อดีต ไม่ตัดสินอนาคต

แม้ว่าคะแนน Jitta Score ของ Mattel จะอยู่ต่ำกว่า 5 แต่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจครั้งนี้ก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างมากครับ นอกจากจะเป็หนังทำเงินมากที่สุดแห่งปี 2566 แล้ว ยังล้มแชมป์เก่าอย่าง The Batman และหายใจรดต้นคอภาพยนตร์  Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 2 ล่าสุดกวาดรายได้จากเฉพาะในสหรัฐอเมริกาได้ 526.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และรายได้ Box Office จากพื้นที่ทั่วโลกอีก 657.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หากคุณสนใจ หรือคิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าติดตามต่อ คุณสามารถติดตามหุ้นบริษัท Mattel ผ่านการกด Follow ให้ทันทุกการเคลื่อนไหวได้เลยครับ ​

หุ้นดีๆ หรือ โอกาสลงทุน อยู่รอบตัวเรา ครั้งหน้าถ้าเจออะไรน่าลงทุน ก็ลองใช้ Jitta ดูได้แบบฟรีๆ เลยนะครับ ไม่แน่นะครับ คุณอาจเจออัญมณีสีชมพูที่ซ่อนอยู่ในตลาดการลงทุนก็ได้ครับ

]]>
1442109
เลือกวิธีลงทุนอย่างไรให้สร้างกำไรที่ยั่งยืน​ https://positioningmag.com/1439790 Mon, 07 Aug 2023 03:11:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439790

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
เป็นเหมือนกันไหมครับเมื่อตอนเราเด็กๆ เรามีความสุขกับการหยอดเงินในกระปุกออมสินให้เต็ม แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็ชอบมองเห็นตัวเลขในบัญชีเงินฝากที่โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมพอรู้ตัวอีกทีเงินฝากที่มีกลับดูไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อน

คำตอบคือเงินเฟ้อครับ สิ่งที่ทำให้เงินสดที่คุณถืออยู่มีมูลค่าลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อ 20 ปีก่อนคุณอาจจะซื้อข้าวผัดกะเพราไข่ดาวจานละ 15 บาท แต่เดี๋ยวนี้ 15 บาทอาจจะได้แค่ข้าวสวยกับไข่ดาวหนึ่งฟอง

นั่นเป็นเพราะการเลือกที่จะ “อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย” ไม่เคยรู้เลยว่าเราสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ด้วยการลงทุนครับ

คนส่วนมากมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องไกลตัวไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร กลัวความเสี่ยงของการลงทุนจะทำให้เงินต้นหายไป สุดท้ายก็ทิ้งเงินก้อนนั้นไว้เฉยๆ ฝากธนาคารไปเรื่อยๆ โดยไม่เคยรู้เลยว่า

“การไม่ลงทุนนั้นแหละคือสิ่งที่เสี่ยงที่สุด”

แต่ไม่ใช่ว่าลงทุนอะไรก็เหมือนกันนะครับ คุณต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่คุณมั่นใจได้ว่าจะเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาวโดยจำกัดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะรับได้

ลงทุนอะไรดี

ในบรรดาสินทรัพย์ยอดนิยมอย่างหุ้น พันธบัตร ทองคำ และเงินฝาก คุณว่าสิ่งไหนจะทำให้เงินของคุณเติบโตได้มากที่สุดครับ

แม้ว่าภาวะตลาดลงทุนในตลาดหุ้นเวลานี้อาจจะดูไม่สดใสเท่าที่ควรโดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย แต่จากสถิติที่ทางทีมงานจิตตะเวลธ์เคยรวบรวมไว้พบว่า ในระยะยาวเวลา 36 ปี (ระหว่างปี 2518-2565) หากคุณไปลงทุนในทองคำหน่วยละ 178 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2518 มาถึงปี 2565 ราคาทองคำโลกเพิ่มขึ้นเป็น 1,926 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับคุณจะได้ผลตอบแทน 1,082.02% แต่ในปี 2518 คุณเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาจนถึงปี 2565 คุณจะได้รับผลตอบแทนถึง 1,884% ดังนั้น หุ้นจึงเป็นทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดในระยะยาว

ดังนั้นถ้าอยากเพิ่มมูลค่าของเงินให้เติบโตได้ดีกว่าไปฝากธนาคารทิ้งไว้เฉยๆ คุณมีทางเลือกอยู่เพียง 2 ทางเท่านั้นครับ คือซื้อหุ้นกับซื้อพันธบัตร

สินทรัพย์ทั้ง 2 นี้ให้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน ความเสี่ยงก็ไม่เท่ากัน หุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าแต่ก็แลกมาด้วยความผันผวนที่มากกว่า ส่วนพันธบัตรให้ผลตอบแทนต่ำกว่าแต่ความผันผวนก็น้อยกว่าเช่นกัน จะเลือกลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือลงทุนทั้ง 2 อย่าง ผลลัพธ์ต่างกันแน่นอนครับ

เพราะฉะนั้นคำนวณให้ดีก่อนครับว่าเป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร ต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ และรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน

ลงทุนเท่าไหร่ดี

การจัดสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่แต่ละคนจะรับได้ครับ

ถ้ายังเป็นหนุ่มสาวมีเวลาให้ลงทุนอีกนานอย่างน้อย 10 ปีสามารถหาเงินมาทดแทนส่วนที่อาจจะสูญเสียไปได้ทุกเมื่อรับความเสี่ยงได้มากกว่า อาจจะเลือกลงทุนในหุ้น 80% และพันธบัตร 20% หรืออาจจะลงในหุ้นหมดเลยก็ได้ เพื่อให้เงินเติบโตได้สูงสุดในระยะยาว

ส่วนผู้สูงวัยที่เกษียณแล้ว แน่นอนว่ารับความเสี่ยงได้น้อยกว่า อาจจะเลือกลงทุนหุ้น 40% และพันธบัตร 60% หรือจะ 50:50 ก็แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน

ต้องยอมรับว่าถ้าคุณเน้นเงินเติบโตมากกว่ารักษาเงินต้น การลงทุนในหุ้นเป็นสัดส่วนเยอะๆ จะช่วยให้คุณไปถึงฝั่งฝันได้ง่ายกว่า

ยิ่งคุณลงทุนในหุ้นด้วยหลักการที่ดีและวิธีที่ถูกต้อง คุณก็สามารถลดความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นไปได้เยอะเลยครับ

เลือกหุ้นอย่างไรปลอดภัยกว่า

ลงทุนในตลาดหุ้นก็เหมือนกับลงทุนในธุรกิจต่างๆ เหมือนกับว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นๆ ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่เรามีโดยที่เราจะได้รับผลตอบแทนจากกำไรที่เติบโตขึ้นและเงินปันผลที่จ่ายออกมาตามสัดส่วนการลงทุน

ถ้าดูดีๆ แล้วผลตอบแทนจากตลาดหุ้นในระยะยาวเป็นผลตอบแทนจากธุรกิจที่เติบโตขึ้นเป็นหลัก (กำไร + ปันผล) ไม่เกี่ยวกับการเก็งกำไรในตลาดหุ้นรายวัน หมายความว่าเราลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นทำให้เรา “ลงทุนอย่างสบายใจกำไรอย่างยั่งยืน” ตราบใดที่เศรษฐกิจยังเติบโตได้ธุรกิจในตลาดหุ้นยังคงมีกำไรและจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องทำอะไรเงินลงทุนก็จะยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งลงทุนนานมากเท่าไหร่เงินก็จะยิ่งเติบโตอย่างมหัศจรรย์มากขึ้นเท่านั้นครับ

คาดหวังกับตลาดหุ้นได้มากแค่ไหน

มองภาพตลาดหุ้นให้ยาวขึ้นเกือบร้อยปีจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเงินลงทุนจะเติบโตไปเรื่อยๆ ผ่านร้อนผ่านหนาวจากวิกฤตต่างๆ บนโลกใบนี้

ดูผลตอบแทนตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) เป็นเวลาทั้งหมด 95 ปีตั้งแต่ปี 2471 ถึงปี 2565 จะพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนประมาณ 9.64% ต่อปีแบ่งออกเป็น

  • ผลตอบแทนจากการปรับขึ้นของดัชนี 85% ต่อปี
  • ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จ่ายออกมา 79% ต่อปี

ข้อมูลจาก S&P Capital IQ

ระยะเวลา 95 ปีนี้น่าจะครอบคลุมการลงทุนทั้งชีวิตของทุกๆ คนที่ผ่านมาแล้วทุกวิกฤต ทั้งฟองสบู่ดอทคอม ต้มยำกุ้งเศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อสูง รวมไปถึงสงครามโลก ดังนั้นแล้วสบายใจได้เลยครับว่าถ้าอิงกับการลงทุนในธุรกิจอย่างแท้จริงแล้วตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีสุดอยู่เสมอครับ

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นไม่สามารถคาดเดาได้ในระยะสั้นแต่คาดการณ์ผลตอบแทนได้อย่างแม่นยำในระยะยาว

คุณสามารถสร้างเงินให้งอกเงยในตลาดหุ้นได้แน่นอน เพียงแค่ลงทุนในหุ้นทั้งตลาดและถือเป็นระยะเวลาที่นานพอ

4 วิธีเริ่มต้นลงทุนในหุ้น

วิธีลงทุนนั้นมีอยู่หลายแบบด้วยกันครับขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล รวมไปถึงผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คุณเหมาะกับวิธีไหนเลือกด้านล่างนี้ได้เลยครับ

1. ลงทุนในกองทุนรวม SET50

กองทุนนี้จะกระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 50 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทย ซึ่งผลตอบแทนก็จะได้ใกล้เคียงกับตลาด 8-10% ที่สำคัญก่อนซื้อให้เลือกกองทุน SET50 ที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำที่สุดครับ เพราะยิ่งค่าธรรมเนียมต่ำเท่าไหร่ผลตอบแทนก็จะยิ่งมากขึ้นด้วยครับ

2. ลงทุนด้วยตัวเองแบบ Value investing

เน้นลงทุนตามพื้นฐานของกิจการ เลือกบริษัทที่คุณภาพธุรกิจดีมีราคาเหมาะสม ให้มั่นใจว่ากิจการของบริษัทจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีความแข็งแกร่งในระยะยาว แล้วราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เองครับ ทำให้ได้รับกำไรมากขึ้น

ยิ่งถ้าเราคัดเลือกหุ้นดี เลือกบริษัทที่น่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่า 10% มาลงทุนผลตอบแทนระยะยาวที่คุณจะได้รับดีกว่าการลงทุนทั้งตลาดแน่นอน

นักลงทุนเก่งๆ อย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ใช้หลักการลงทุนนี้ทำผลตอบแทนได้ประมาณ 20% ต่อปี เป็นเวลานานกว่า 50 ปี เรียกได้ว่าเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ได้ครับ เคล็ดลับการลงทุนที่บัฟเฟต์พูดถึงเสมอก็คือ “จงลงทุนในธุรกิจที่ดีในราคาที่เหมาะสม”

แต่ต้องยอมรับว่าลงทุนด้วยวิธีนี้อาจแลกมาด้วยเวลา เพราะการศึกษาวิเคราะห์งบอ่านแผนธุรกิจและคอยคัดเลือกหุ้นดีราคาไม่แพงเข้าพอร์ตอยู่เสมอๆ จะต้องมีวินัยที่เคร่งครัด ตัดสินใจด้วย เหตุผลและควบคุม อารมณ์ได้ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อมองว่าเราจะต้องลงทุนด้วยวิธีนี้ไปอีก 10 ปี เมื่อไหร่ที่เราหยุดลงทุนเงินเราก็จะหยุดเติบโตไปด้วยครับ

3. ลงทุนตามแนวทาง QVI (Quantitative Value Investing)

การลงทุนที่รวมเอาวิธีที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกันโดยแทนที่จะลงทุนในหุ้นทั้งตลาดแค่คัดกรองหุ้นตามตัวเลขทางการเงินเพื่อเลือกลงทุนใน “หุ้นดีราคาถูก” กว่าหุ้นในตลาดโดยรวม จากนั้นกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปยังหลายๆ หุ้นคอยปรับพอร์ตตามรอบเวลาที่กำหนดเพื่อให้เรามีหุ้นดีราคาถูกอยู่ในพอร์ตทุกๆ ปีครับ

การลงทุนแบบ QVI มีผู้พิสูจน์มามากมายครับว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในระยะยาว ถ้าเรียงลำดับหุ้นที่น่าลงทุนตามตัวเลขงบการเงินที่สำคัญๆ จากนั้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ยังราคาไม่แพง

ในปัจจุบันวิธีนี้ค่อนข้างทำได้ง่ายแล้วครับถ้าเทียบกับสมัยก่อน เพราะว่ามีข้อมูลงบการเงินของหุ้นครบถ้วน มีเทคโนโลยีที่วิเคราะห์และจัดอันดับหุ้นน่าลงทุนได้ตลอดเวลา จึงทำให้วิธีนี้ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ

4. ลงทุนตาม Jitta Ranking

Jitta ก็มีหลักการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์เป็นที่เรียบร้อย โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดตาม Jitta Ranking  30 อันดับแรกในแต่ละปี และปรับพอร์ตปีละ 1 ครั้ง ผลตอบแทนที่เราจะได้รับใน 10 ปีล่าสุดเทียบกับตลาดหุ้นในแต่ละประเทศจะให้ผลตอบแทนเหนือกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นในทุกประเทศ และเมื่อดูค่าเฉลี่ยผลตอบแทนเฉลี่ยของทั้ง 27 ประเทศนั้น Jitta Ranking จะทำผลตอบแทนได้ 12.43% ต่อปีมากกว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นที่ 9.24% ต่อปีครับ

แน่นอนว่าบางปี Jitta Ranking อาจจะทำผลตอบแทนได้มากกว่าหรือน้อยกว่าตลาดอยู่มากเพราะว่ามีเลือกลงทุนหุ้นน้อยตัวกว่า แต่ในระยะยาวแล้วถ้าธุรกิจที่เราเลือกมามีการเติบโตที่สูงกว่าตลาดโดยรวมผลตอบแทนในระยะยาวก็จะมากกว่าตลาดหุ้นโดยรวมได้เองครับ

สำหรับใครที่ต้องการ “ลงทุนอย่างสบายใจกำไรอย่างยั่งยืน” ด้วยการลงทุนตาม Jitta Ranking แบบอัตโนมัติเลยก็สามารถให้ระบบจัดการพอร์ตอัตโนมัติของ Jitta Wealth ช่วยบริหารจัดการให้ได้ครับ

การลงทุนไม่ใช่เรื่องยากและเสี่ยงอย่างที่คิด สิ่งที่ควรกังวลมากกว่าคือ การพลาดกำไรระยะยาวจากการไม่ลงทุนอะไรเลยเพราะกลัวความผันผวนระยะสั้นของตลาดมากเกินไป

ลองศึกษาข้อมูลสักหน่อยก็จะเจอวิธีการหลายแบบที่นำไปใช้ลงทุนแบบสบายๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินให้เติบโตได้ด้วยผลตอบแทนทบต้นที่แสนมหัศจรรย์ ยกตัวอย่างเช่นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอด 43 ปีที่ผ่านมาด้วยผลตอบแทน 11.87% ต่อปี เงินลงทุนของเราจะเพิ่มขึ้นถึง 124 เท่า เงิน 1 ล้านบาทจะกลายเป็น 124 ล้านบาทโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงแค่ลงทุนให้ถูกต้องและลงทุนให้นานพอครับ

เชื่อเถอะครับว่าการลงทุนไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลานานๆ แล้วผลตอบแทบทบต้นจะสร้างความมั่งคั่งให้กับเราเองครับ

]]>
1439790
ลงทุนจน ‘หยดสุดท้าย’ สไตล์ปู่ Buffett ตัวอย่างการวางแผนการเงินที่คุณเลียนแบบได้ https://positioningmag.com/1436287 Tue, 04 Jul 2023 08:05:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1436287
บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
ผมพูดถึงเรื่องราวของการวางแผนทางการเงินมาหลายตอนแล้ว  หลายท่านที่มีแผนทางการเงินอยู่แล้วอาจจะอ่านผ่าน ๆ บางท่านที่กำลังวางแผนอาจจะเริ่มมีไอเดียกันบ้าง แผนการเงินของคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ วางไว้ถึงช่วงเกษียณหรือกว้างไกลไปถึงบุคคลเบื้องหลังหรือไม่อย่างไร

ผมเชื่อว่าเป้าหมายหนึ่งในชีวิตของใครหลายๆ คน คงต้องมีเป้าหมายทางการเงินแทรกอยู่ด้วย เพราะการมี ‘อนาคตทางการเงินที่มั่นคง’ หลายคนจึงพยายามหาวิธีลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อความสบายในอนาคต

วันนี้ผมมีตัวอย่างของบุคคลหนึ่งที่อยากนำมาเป็นแรงบันดาลใจ

ไม่ใช่ใครที่ไหนครับปู่ Warren Buffett นักลงทุนระดับโลก ไอดอลนักลงทุนสาย VI (Value Investing) และล่าสุดยังเป็นไอดอลเรื่องความใจบุญ หลังจากเพิ่งมีข่าวว่าปู่ได้บริจาคหุ้น Berkshire Hathaway อีก 4.64 พันล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศล 5 แห่ง ไม่นับรวมยอดบริจาคเดิมที่ปู่ทำมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ปู่จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างความมั่งคั่งทางการเงินที่ไม่ได้อยู่เฉพาะที่ความมั่งคั่งส่วนตัวของปู่เอง แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงสังคมในวันนี้

และที่ผมอยากจะนำมาเล่าให้ฟังวันนี้ก็คือการวางแผนทางการเงินของปู่ที่เตรียมแผนการลงทุนเอาไว้แล้ว แต่ตนเองจะไม่มีลมหายใจหรือตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
ลงทุนจนวินาทีสุดท้าย ยังน้อยเกินไปสำหรับ Buffett

เรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อ 10 ปี ที่แล้วครับ ในวันที่ Buffett ฉีกซองพินัยกรรมของตัวเองออกมากางให้ทุกคนได้รับรู้!

จดหมายถึงผู้ถือหุ้นบริษัท Berkshire Hathaway ในปี 2556 ได้ระบุถึงข้อมูลพินัยกรรมบางส่วนที่ปู่ Buffett ได้เขียนเอาไว้ให้กับภรรยา

เนื้อหาในพินัยกรรมก็ยังเป็นไปตามการลงทุนฉบับคุณปู่ครับ เพราะเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ง่ายจนใครๆ ก็ทำตามได้

โดยปู่ Buffett ได้ทิ้งคำแนะนำให้ผู้จัดการมรดกว่า

“หากผมเสียชีวิตลง 90% ของมรดกที่ผมมอบให้ภรรยาควรลงทุนใน กองทุนดัชนีหุ้น ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ และอีก 10% ที่เหลือลงทุนใน พันธบัตรระยะสั้น”

กลยุทธ์ลงทุนแบบ 90/10 ได้ถือกำเนิด

กองทุนดัชนีที่ว่าหนีไม่พ้น กองทุน S&P 500 ครับ ด้วยความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของคุณปู่ ที่สำคัญมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากอยู่ที่ 0.03% เท่านั้น

ส่วนอีก 10% ปู่แบ่งสัดส่วนเงินออกมาเพื่อลงทุนใน ตราสารหนี้ระยะสั้น

เป็นไปได้ว่าเป็นส่วนที่เผื่อเอาไว้ในกรณีฉุกเฉิน ทั้งยังช่วยเรื่อง ‘ลดความเสี่ยง’ และ ‘เพิ่มสภาพคล่อง’ ให้พอร์ตลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

ลงทุนตามพินัยกรรมของปู่

ผมบอกได้เลยว่าพินัยกรรมของปู่ Buffett ได้ซ่อนกลยุทธ์การลงทุนที่น่าเหลือเชื่อเอาไว้

และที่น่าประหลาดใจคือกลยุทธ์ลงทุนที่น่าสนใจในพินัยกรรมของ Buffett มีความคล้ายคลึงกับกลยุทธ์ของ GlobalETF ของ Jitta Wealth อย่างบังเอิญครับ เพราะกองทุน Global ETF Jitta Wealth เป็นกองทุนบริหารจัดการเงินอัตโนมัติ ตามทฤษฎีจัดพอร์ตรางวัลโนเบล โดยจะกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ใน กองทุนหุ้น และตราสารหนี้คุณภาพทั่วโลก

มาดูกันว่าสูตร 90/10 ของ Buffettและ Global ETF คล้ายกันอย่างไรนั้น

แต่ก่อนอื่น คุณน่าจะเห็นคล้ายกับผมว่าปู่ Buffett เชื่อมั่น และมั่นใจในเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากทีเดียว ด้วยตัวเลขที่ปู่แนะนำให้ลงทุนในสัดส่วน 90% ของพอร์ตในกองทุนดัชนี S&P 500 ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ และปล่อยให้เงินลงทุนงอกเงยตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อให้พอร์ตโตตามธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด 500 บริษัทในระยะยาวเลยครับ

Global ETF ของ Jitta Wealth ก็ให้ความสำคัญกับหุ้นสหรัฐฯ เพราะยังมีสัดส่วนลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มากที่สุด ทำให้การเติบโตของพอร์ตจะคล้ายกับการลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 และยังมีการกำหนดการลงทุนในหุ้น และ ตราสารหนี้ ตามสัดส่วนที่ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสมในแต่ละแผนต่างกันแค่ว่า Global ETF เพิ่มโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ เข้าไปด้วย ทำให้พอร์ตกระจายการลงทุนไปทั่วโลก และจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น แถมยังมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติทุกปีหรือเมื่อสัดส่วนสินทรัพย์ เพิ่ม หรือ ลด เกิน 5% จากสัดส่วนเดิม   

Global ETF จึงน่าจะเป็นคำตอบสำหรับ ‘การลงทุนที่เรียบง่าย’ อย่างสบายใจที่คุณกำลังตามหามานานก็เป็นได้ครับ

เพราะปู่ Buffett เป็นอีกคนที่มีแผนเอาไว้สำหรับทุกสิ่ง แม้แต่ การลงทุน ที่เป็นสิ่งที่ปู่ทำมาทั้งชีวิต ถึงวันนึงที่ Buffett จากโลกนี้ไปปู่ก็มีกลยุทธ์ลงทุนที่ยอดเยี่ยมและใช้ได้จริง ทิ้งเอาไว้เป็นมรดกตกทอดสู่โลกใบนี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าปู่ Buffett เยี่ยมยอดยัน ‘หยดสุดท้าย’ จริงๆ

คุณคงเห็นแล้วว่าพินัยกรรมนี้ได้ซ่อนกลยุทธ์การลงทุนที่น่าเหลือเชื่อเอาไว้ คุณเองอาจจะยังไม่ต้องถึงขั้นเตรียมแผนก่อนจากโลก แต่คุณสามารถใช้กลยุทธ์เดียวกับปู่ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่แบบนี้แหละ เพื่อความไม่ประมาทเช่นเดียวกับปู่ที่ได้เตรียมการณ์ไว้สำหรับคนข้างหลัง

เราหวังว่าการพาคุณเปิด ‘จดหมายลับ’ ในพินัยกรรมของ Buffett ในวันนี้จะทำให้คุณได้ไอเดียการลงทุนอย่างชัดเจน และทำให้คุณเข้าใจ Global ETF ที่บังเอิญคล้ายกลยุทธ์ลงทุนที่ Buffett แนะนำมากยิ่งขึ้นครับ

สุดท้ายหากคุณได้ลงทุนตามเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณรับได้ มันจะกลายเป็น ‘การลงทุนอย่างสบายใจ ที่ทำกำไรให้คุณอย่างยั่งยืน’ ได้อย่างแน่นอนครับ

]]>
1436287