อิชิตัน เปิดผลประกอบการปี 63
ปี 2563 ที่ผ่านมา อิชิตันได้บุกตลาด Non-tea มากขึ้น จับกระแสเทรนด์รักสุขภาพ และ COVID-19 ได้แก่ อิชิตัน น้ำด่าง 8.5, อิชิตัน ซี 200 และอิชิตัน วิตซีซี วางตลาดตั้งแต่เดือนเมษายน ปัจจุบัน 3 กลุ่มสินค้ามีส่วนแบ่งการตลาดในระดับ Top5 ของอุตสาหกรรม
ตั้งเป้ายอดขายปีแรกกลุ่มน้ำด่าง และเครื่องดื่มวิตามินไว้ที่ 1,000 ล้านบาท สอดรับเทรนด์ตลาดเครื่องดื่มผสมวิตามิน ณ สิ้นปี 2563 ที่มีอัตราการเติบโต 106% หรืออยู่ที่ 2,195 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเครื่องดื่มที่มีการเติบโตสูงสุดในตลาดเครื่องดื่มทั้งหมด
ภาพรวมตลาดชาพรีเมี่ยมปรับตัวลดลง เนื่องจากการ Work from Home ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเดินทางได้ และฐานลูกค้าหลักในตลาดนี้คือ กลุ่มคนทำงานออฟฟิศ แต่ชาชิซึโอกะยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง
ยอดขายกลุ่มชาพร้อมดื่มในปีที่ผ่านมาจะชะลอตัว แต่อิชิตันได้รับแรงสนับสนุนจากการขายเครื่องดื่มไซส์เล็กราคา 10 และ 15 บาท ที่มากขึ้น เนื่องจากเหมาะกับกำลังซื้อของผู้บริโภค และสนับสนุนให้อัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) จนทำให้มีกำไรที่ดี
อิชิตันไม่พลาดกระแสกัญชง ในปีนี้เตรียมเปิดเกมตลาดเครื่องดื่มกัญชง (Hemp) เตรียมวางจำหน่ายสินค้าใหม่ “อิชิตัน กรีน แลป” เครื่องดื่มเทอร์พีน สารสกัดธรรมชาติที่มีกลิ่นชนิดเดียวกับ CBD ในกัญชง เทอร์พีนทำหน้าที่ช่วยรีแลกซ์และบรรเทาอาการนอนไม่หลับ โดยจะวางจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้
โดยอิชิตันได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตผลิต (ที่มิใช่การปลูก) เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะได้รับการอนุญาตเป็นรายแรกๆ เมื่อกฎหมายรองรับอย่างเป็นทางการ จะมีความพร้อมในการเข้าทำตลาดเครื่องดื่ม CBD ทันที
ตั้งเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ 6,200 ล้านบาท หรือโต 22%
ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิตเครื่องดื่ม หรือ OEM อิชิตันได้ทำบันทึกข้อตกลงผลิตสินค้าให้กับลูกค้ารายใหม่ในประเทศอีก 1 ราย ซึ่งจะออกสินค้ากลุ่มน้ำวิตามิน พรีเมียม วางจำหน่ายในเดือนเมษายน และลูกค้ารายใหญ่จากต่างประเทศคือ อาซาฮี (Asahi Holding Southeast Asia SDN.BHD.) แบรนด์ใหญ่จากญี่ปุ่น สามารถรับรู้รายได้ให้กับอิชิตันกรุ๊ปในไตรมาสที่ 2
สำหรับบริษัทร่วม อิชิตัน อินโดนีเซีย มียอดขายเติบโต 11.8% จากสินค้าที่เน้นความเป็นไทย เช่น ชาไทย กาแฟไทย และน้ำนมมะม่วง และความสามารถในการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยัง Traditional Trade ครอบคลุมพื้นที่เข้าถึงผู้บริโภคในท้องถิ่นได้มากขึ้น ทำให้สามารถสร้างรับรู้ส่วนแบ่งกำไรในปี 2563 ต่อเนื่องที่ 28 ล้านบาท
]]>