Raina MacIntyre ศาสตราจารย์ด้านความมั่นคงทางชีวภาพระดับโลกที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ในซิดนีย์ กล่าวว่า แม้ว่าการระบาดของโรคประจำถิ่นอาจมีผู้ติดเชื้อได้เป็นจำนวนมาก แต่จำนวนผู้ป่วยจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหมือนการระบาดของ COVID-19
“ในส่วนของโรคประจำถิ่นหากจำนวนผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงก็มักจะช้า โดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายปี ดังนั้น โรคระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ไม่ใช่โรคประจำถิ่น”
นักวิทยาศาสตร์ใช้สมการทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า R naught (หรือ R0) เพื่อประเมินว่าโรคแพร่กระจายได้เร็วแค่ไหน R0 ระบุว่าจะมีคนติดเชื้อจากผู้ติดเชื้อจำนวนเท่าใด โดยผู้เชี่ยวชาญที่ Imperial College London ประเมินค่าโอมิครอนอาจสูงกว่า 3 ซึ่งหาก R0 ของโรคมากกว่า 1 การเติบโตจะเป็นแบบ ทวีคูณ หมายความว่าไวรัสกำลังเป็นที่แพร่ระบาดมากขึ้น
“เป้าหมายด้านสาธารณสุขคือการรักษา R ที่มีประสิทธิผล ซึ่ง R0 ได้รับการแก้ไขโดยการแทรกแซง เช่น วัคซีน หน้ากาก หรือการบรรเทาทุกข์อื่น ๆ ให้ต่ำกว่า 1 แต่ถ้า R0 สูงกว่า 1 เรามักจะเห็นคลื่นแพร่ระบาดซ้ำสำหรับการติดเชื้อทางเดินหายใจที่แพร่ระบาด นี่คือเหตุผลที่เราต้องการวัคซีน เพื่อรักษา R ให้ต่ำกว่า 1 เพื่อให้เราสามารถอยู่กับไวรัสได้โดยไม่กระทบต่อสังคมครั้งใหญ่”
ทั้งนี้ MacIntyre กล่าวเตือนว่า “จะมีรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้น” ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว WHO เตือนว่าเชื้อโควิดรุ่นต่อไปจะติดต่อได้ง่ายกว่าโอมิครอน และ Global Biosecurity ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มแผนกวิจัยของ UNSW ที่ครอบคลุมเรื่องโรคระบาดได้โต้เถียงกันเมื่อปีที่แล้วว่า Covid จะยังคง เป็นโรคระบาดและจะเป็นตลอดไป
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้โควิดกลายเป็นโรคเฉพาะถิ่น ต้องมีผู้คนจำนวนมากพอที่จะได้รับการปกป้องภูมิคุ้มกันจากโควิด ตามรายงานของ American Lung Association ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนจะทำให้ไวรัสเปลี่ยนสถานะออกจากสถานะการระบาดใหญ่
เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า มีโอกาสที่โควิดจะสิ้นสุดลงในปีนี้ หากดำเนินการตามแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งรวมถึงการจัดการวัคซีนและความไม่เท่าเทียมกันในการดูแลสุขภาพ
]]>นักวิทยาศาสตร์ของ Statens Serum Institut ซึ่งดำเนินการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อในเดนมาร์ก ได้เปิดเผยว่าพบไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ โอมิครอน (Omicron : BA.1) โดยตัวแปรดังกล่าว สามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์โอมิครอนเดิม 1.5 เท่า โดยจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.2 นั้นแซงหน้า BA.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลักของการระบาด
อย่างไรก็ตาม สายย่อยใหม่นี้ยังไม่มีความสามารถในการ ลดประสิทธิภาพของวัคซีน โดยวัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพ 70% ในการป้องกันการเจ็บป่วยตามอาการจาก BA.2 เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพการป้องกัน 63% สำหรับสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม
“ปัจจุบันไม่มีหลักฐานว่าเชื้อสาย BA.2 นั้นรุนแรงกว่าเชื้อสาย BA.1” โฆษกของ CDC Kristen Nordlund กล่าว
แม้จะแพร่กระจายได้เร็วกว่าแต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่ได้ระบุว่า BA.2 เป็นตัวแปรที่น่ากังวล อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของ WHO ได้เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าสายพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อโอมิครอนแพร่กระจายไปทั่วโลกในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อน มาเรีย แวน เคอร์คอฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้านโควิด-19 ของ WHO เตือนเมื่อวันอังคารว่า เชื้อโควิดรุ่นต่อไปจะแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า
ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะระบุได้ว่า BA.2 สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้ที่เคยติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนเดิมได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อก่อนหน้านี้น่าจะให้ภูมิคุ้มกันแบบครอสโอเวอร์บางอย่างกับ BA.2 ขณะที่ ไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา เริ่มการทดลองทางคลินิกในสัปดาห์นี้โดยฉีดวัคซีนป้องกันเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอน ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าสายพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนดั้งเดิมลดลง
]]>“เราได้ยินหลายคนพูดว่า โอมิครอนเป็นสายพันธุ์สุดท้ายของ COVID-19 ซึ่งนั่นไม่จริง เพราะเชื้อไวรัสนี้แพร่กระจายและหมุนเวียนในระดับที่รุนแรงมากไปทั่วโลก” มาเรีย แวน เคอร์คอฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้าน COVID-19 ของ WHO กล่าว
การติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น 20% ทั่วโลกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีรายงานผู้ป่วยทั้งหมดเกือบ 19 ล้านรายตามรายงานของ WHO แต่ มาเรีย แวน เคอร์คอฟ ตั้งข้อสังเกตว่ายังมีการติดเชื้อใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในรายงาน ทำให้จำนวนจริงสูงขึ้นมากกว่าที่คาด
“การแพร่เชื้อในระดับสูงทำให้ไวรัสมีโอกาสแพร่พันธุ์และกลายพันธุ์มากขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงที่รูปแบบใหม่จะเกิดขึ้น” ดร.บรูซ เอิลเวิร์ด เจ้าหน้าที่อาวุโสของ WHO เตือน
มาเรีย แวน เคอร์คอฟ กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะผ่อนคลายมาตรการด้านสาธารณสุข เช่น ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากและการเว้นระยะห่างทางสังคม เธอเรียกร้องให้รัฐบาลต่าง ๆ เสริมความแข็งแกร่งให้กับมาตรการเหล่านั้นเพื่อควบคุมไวรัสให้ดีขึ้น และป้องกันคลื่นการติดเชื้อในอนาคต เมื่อมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น
“ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ เราจะก้าวไปสู่วิกฤตครั้งต่อไป และเราจำเป็นต้องยุติวิกฤตที่เราอยู่ในขณะนี้และเราสามารถทำได้ในขณะนี้ ดังนั้นอย่าละทิ้งกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลที่ปกป้องเราและคนที่เรารักให้ปลอดภัย” เธอกล่าว
ดร.แอนโธนี เฟาซี กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์ว่าโอมิครอนจะเป็นเวฟสุดท้ายของการระบาดใหญ่หรือไม่
“ผมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่มันจะเป็นอย่างนั้นก็ต่อเมื่อเราไม่พบตัวแปรอื่นที่หลีกเลี่ยงการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของตัวแปรก่อนหน้า” เฟาซี กล่าว
ทั้งนี้ เทดรอส อัดฮานอม เกเบรย์ซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า การติดเชื้อรายใหม่กำลังพุ่งถึงจุดสูงสุดในบางประเทศ สร้างความหวังว่าเวฟโอมิครอนที่เลวร้ายที่สุดจะสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม ระบบบริการสุขภาพยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเวฟการระบาดดังกล่าว
“ฉันขอให้ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ เพื่อที่คุณจะได้ช่วยลดแรงกดดันจากระบบ นี่ไม่ใช่เวลายอมแพ้”
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกเตือนซ้ำ ๆ ว่า การกระจายวัคซีนอย่างไม่เท่าเทียมกันทั่วโลกทำให้อัตราการสร้างภูมิคุ้มกันต่ำในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้ประชากรจำนวนมากเสี่ยงต่อการเกิดขึ้นของสายพันธุ์ใหม่ องค์การอนามัยโลกได้ตั้งเป้าหมายให้ทุกประเทศฉีดวัคซีน 40% ของประชากรทั้งหมดภายในสิ้นปี 2564 อย่างไรก็ตาม 92 ประเทศไม่บรรลุเป้าหมายดังกล่าวตามข้อมูลของ WHO
]]>COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับโลกแทนที่สายพันธุ์เดลตาไปแล้ว แม้จะมีผลงานวิจัยออกมาระบุว่าความรุนแรงนั้นน้อยกว่า แต่ความเร็วในการระบาดนั้นเร็วกว่ามาก แต่ถึงอย่างนั้น บิล เกตส์ (Bill Gates) ก็ยังมองเห็นความหวัง
เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา บิล เกตส์ ได้ตอบคำถามผ่าน Twitter ของ Devi Sridhar ประธานฝ่ายสาธารณสุขระดับโลกที่ University of Edinburgh โดยเขากล่าวว่า เมื่อสิ้นสุดการระบาดเวฟ (โอมิครอน) นี้ ประเทศต่าง ๆ สามารถคาดหวังถึงจำนวนผู้ป่วยที่จะลดลงอย่างมากภายในปี 2022 และโควิดจะกลายเป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลมากขึ้น
บิล เกตส์ กล่าวถึงสถานการณ์ดังกล่าวใน Twitter Q&A ของเขา โดยคาดการณ์ว่า โอมิครอนจะสร้างภูมิคุ้มกันจำนวนมากอย่างน้อยก็ในปีหน้า และหากประเทศสามารถรักษาระดับภูมิคุ้มกันพร้อม ๆ กันกับการระบาดของโควิดได้ ไม่ว่าจะเกิดจากวัคซีนหรือไม่ก็ตาม การระบาดของไวรัสอาจช้าลงนานพอที่จะเปลี่ยนการแพร่ระบาดไปสู่ระยะที่กลายเป็นการระบาดเฉพาะถิ่น และเมื่อถืงเวลานั้น ประชากรโลกอาจต้องฉีดวัคซีนทุกปีเหมือนกับฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ บิล เกตส์ยังมองว่า โอมิครอน จะไม่มีอาการรุนแรงมากเหมือนกับสายพันธุ์อื่น ๆ “สถานการณ์นี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน” แต่ไม่ใช่กับ ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน
ทั้งนี้ บิล เกตส์ ไม่ใช่คนแรกที่คาดการณ์แบบเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของ โอมิครอนแม้ว่าจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนมี ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ที่จะช่วยควบคุมการระบาดของ COVID-19 ให้เข้าสู่ระยะ โรคประจำเฉพาะถิ่น ที่รุนแรงน้อยกว่ามาก
เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีผู้ป่วย COVID-19 รายใหม่ถึง 1.5 ล้านราย ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ Dr. Anthony Fauci ที่ปรึกษาทางการแพทย์ชั้นนำของประธานาธิบดี Joe Biden คาดการณ์ว่า การระบาดของโอมิครอนในปัจจุบันจะถึงจุดสูงสุดภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้
]]>“โอมิครอนกำลังกลายเป็นไวรัสที่ระบาดอย่างรวดเร็วในยุโรปตะวันตกและขณะนี้กำลังแพร่กระจายไปยังคาบสมุทรบอลข่าน โดยภูมิภาคนี้มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 7 ล้านคนในสัปดาห์แรกของปี 2022 เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในช่วงสองสัปดาห์ ด้วยความเร็วในอัตรานี้ ประชากรยุโรปมากกว่า 50% จะติดเชื้อโอไมครอนในอีก 6-8 สัปดาห์ข้างหน้า”
โอมิครอนได้แพร่ระบาดในอัตราความเร็วที่น่าตกใจ ส่งผลให้บางประเทศได้ออกมาตรการการจำกัดทางสังคมอีกครั้งเพื่อพยายามควบคุม อย่างไรก็ตาม หลักฐานเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า โอมิครอนมีความรุนแรงน้อยกว่าตัวแปรเดลตา แต่ถึงอย่างนั้น ระบบสาธารณสุขของนานาประเทศก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะมีโรงพยาบาลหลายแห่งต้องประกาศสถานการณ์วิกฤติ เนื่องจากขาดแคลนพนักงานและจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จอห์น เบลล์ ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตของรัฐบาลสหราชอาณาจักร กล่าวว่า โอมิครอนไม่ใช่โรคแบบเดิมกับสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ แต่จะดูเหมือนไม่รุนแรงมากนัก โดยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้ออกซิเจน และผู้ป่วยหลายคนใช้เวลาค่อนข้างสั้นในการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3 วัน
“ฉากอันน่าสยดสยองที่เราเห็นเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว คือ หอผู้ป่วยหนักเต็ม ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร และเราควรประเมินในแง่ร้ายว่ามันจะเกิดขึ้นอีกได้”
ทั้งนี้ Kluge ระบุเมื่อว่า อัตราการเสียชีวิตยังคงที่และยังคงสูงที่สุดในประเทศที่มีอัตราการเกิด COVID-19 สูง
]]>จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวแอฟริกาใต้พบว่า ผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน อาจมีภูมิคุ้มกันสายพันธุ์เดลตาด้วย โดยการค้นพบอาจมีนัยสำคัญต่อประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่การติดเชื้อโอมิครอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของสายพันธุ์โอมิครอนกับเดลตาคือ อาการป่วยรุนแรงน้อยกว่า
“การติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันชนิดลบล้างฤทธิ์ (Neutralizing Antibody) ที่สามารถต้านไวรัสสายพันธุ์เดลตา เนื่องจากโอมิครอนสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้การติดเชื้อซ้ำกับเดลตามีโอกาสน้อยลง” ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย Khadija Khan จากสถาบันวิจัยสุขภาพแอฟริกาเขียนไว้ในผลการวิจัยของพวกเขา
ในการวิจัยเกิดจากการติดตามผู้ติดเชื้อจำนวน 13 คน โดย 11 คนในนั้นติดเชื้อด้วยตัวแปรโอมิครอน โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 7 รายที่ได้รับการฉีดวัคซีน โดยได้ทั้งวัคซีนของ Pfizer, BioNTech และ johnson & johnson
โดยการตอบสนองของแอนติบอดีของผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอนดูเหมือนจะเพิ่มการป้องกันตัวแปรเดลตาได้มากกว่า 4 เท่าในสองสัปดาห์หลังจากที่ผู้เข้าร่วมลงทะเบียนในการศึกษา โดยผู้เข้าร่วมยังแสดงให้เห็นว่าความสามารถของแอนติบอดีในการสกัดกั้นการติดเชื้อโอมิครอนได้เพิ่มขึ้น 14 เท่า
ดังนั้น หากสายพันธุ์โอมิครอนแทนที่เดลตาและไม่รุนแรงกว่าสายพันธุ์ในอดีต ความร้ายแรงของ COVID-19 จะลดลงและการติดเชื้ออาจเปลี่ยนไปรบกวนบุคคลและสังคมน้อยลง อย่างไรก็ตาม การศึกษายังไม่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ในสาขานี้ และยังไม่ชัดเจนว่าการป้องกันที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากแอนติบอดีที่มาจากโอมิครอน, การฉีดวัคซีน หรือภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อครั้งก่อนหรือไม่ แต่บุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนแสดงให้เห็นถึงการป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาจากแอฟริกาใต้และสหราชอาณาจักรพบว่า ผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอนจะมีอาการป่วยที่ไม่รุนแรง โดยผู้ติดเชื้อโอมิครอนมีโอกาสเกิดโรคร้ายแรงน้อยกว่า 70% เมื่อเทียบกับเดลตา แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า “เป็นข้อมูลเบื้องต้นและมีความไม่แน่นอนสูง” เนื่องจากโอไมครอนยังไม่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในกลุ่มอายุสูงอายุและกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
แต่นักระบาดวิทยาเตือนว่า แม้โอมิครอนจะรุนแรงน้อยกว่าเดลตา แต่ก็ยังสามารถสร้างภาระให้โรงพยาบาลได้ง่าย ๆ ด้วยการแพร่กระจายเร็วกว่าเดลตามาก โดยองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า โอมิครอนกำลังแพร่กระจายเร็วกว่าเชื้อโควิดรุ่นก่อน ๆ การศึกษาจากฮ่องกงพบว่าโอมิครอนแพร่กระจายได้เร็วกว่า 70 เท่าในทางเดินหายใจของมนุษย์ แต่การติดเชื้อในปอดนั้นรุนแรงน้อยกว่า
]]>ประเทศตะวันตกกำลังเริ่มออกมาตรการฉีดวัคซีน ‘เข็มกระตุ้น’ หรือ booster shots โดยมุ่งไปที่ประชนชนกลุ่มเสี่ยง
ทั้งผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ แต่ความน่ากังวลของโอมิครอนที่มีการเเพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ทำให้บางประเทศเริ่มขยายการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ยังประชากรกลุ่มอื่นๆ ด้วย
ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ หรือผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแบบเชื้อตาย (Inactivated Vaccine)
Kate O’Brien ผู้อำนวยการด้านวัคซีนของ WHO กล่าวว่า ในช่วงที่เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่สถานการณ์ใดก็ตาม
ที่กำลังจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับโอมิครอน มีความเสี่ยงที่อุปทานของวัคซีนทั่วโลกจะกลับไปสู่ประเทศรายได้สูงที่กักตุนวัคซีนไว้อีกครั้ง ซึ่งนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อการป้องกันโรคระบาด เว้นแต่ว่าจะมีการกระจายวัคซีนไปยังทุกประเทศจริงๆ
ปัจจุบันวัคซีนโควิดที่มีอยู่ ประสบผลสำเร็จในการช่วยชะลอการแพร่ระบาดของโควิดและลดจำนวนผู้ป่วยหนักลงได้
เเต่ในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำนั้น ยังคงเผชิญความเสี่ยงมากกว่าในสถานการณ์ที่มีเชื้อโควิดกลายพันธุ์
เเละปัญหาสำคัญของโครงการ COVAX คือวัคซีนจำนวนมากที่ได้รับบริจาคจากประเทศร่ำรวย มักจะมีอายุในการเก็บรักษาที่ค่อนข้างสั้น
ด้านไฟเซอร์และไบออนเทค ประกาศว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดสูตรของบริษัท 2 เข็ม จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโอมิครอนลดลง อย่างมีนัยสำคัญ แต่การฉีดวัคซีน ‘เข็ม ‘ จะเพิ่มภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น 25 เท่า
ที่มา : Reuters
]]>อัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ มองว่า COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนมีโอกาสที่จะรุนแรงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ เพราะแพร่กระจายเร็วขึ้นและอาจนำไปสู่ การกลายพันธุ์ที่มากขึ้นในอนาคต และคาดว่าจำนวนเคสโอมิครอนที่ได้รับการยืนยันจะเพิ่มขึ้นจากหลายสิบเป็นล้านในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
“เราไม่คิดว่ามันเป็นข่าวดี เมื่อมันสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เพราะนั่นหมายความว่าจะมีผู้คนหลายพันล้านคนที่ติดเชื้อ และการกลายพันธุ์อื่นอาจเกิดขึ้น”
ด้าน ดร.แอนโธนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของทำเนียบขาว กล่าวว่า รายงานในช่วงสุดสัปดาห์จากแอฟริกาใต้ระบุว่า โอมิครอนไม่รุนแรงเท่าที่กลัวในตอนแรก อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากตัวแปรนี้อย่างเต็มที่
โดยรายงานของสภาวิจัยทางการแพทย์แห่งแอฟริกาใต้ที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ ระบุว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพริทอเรีย ซึ่งป่วยด้วยโรค COVID-19 ไม่ต้องการออกซิเจนเสริม นอกจากนี้รายงานยังตั้งข้อสังเกตว่าผู้ป่วยจำนวนมากเข้ารับการรักษาด้วยเหตุผลทางการแพทย์อื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม บูร์ลาเตือนว่า เป็นเรื่องยากที่จะสรุปผลจากการระบาดของการติดเชื้อในแอฟริกาใต้ในขณะนี้ เพราะมีชาวแอฟริกาใต้เพียง 5% เท่านั้นที่อายุเกิน 60 ปี และคนที่อายุน้อยกว่ามักติดเชื้อ COVID-19 น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากในแอฟริกาใต้ติดเชื้อเอชไอวีด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงจากโควิด
ทั้งนี้ ไฟเซอร์สามารถพัฒนาวัคซีนที่สามารถต่อต้านสายพันธุ์โอมิครอนได้ภายในเดือนมีนาคม 2565 แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนใหม่หรือไม่ และอาจจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการพิจารณาว่า วัคซีนปัจจุบันให้การป้องกันที่เพียงพอต่อตัวแปรหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ไฟเซอร์มั่นใจว่ายาต้านไวรัส Paxlovid จะต่อสู้กับโอมิครอนและไวรัสอื่น ๆ ทุกชนิดที่โผล่ออกมา เพราะยาเม็ดยับยั้งเอนไซม์ที่ไวรัสจำเป็นต้องทำซ้ำหรือที่เรียกว่า โปรตีเอส เพราะมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับไวรัสที่จะกลายพันธุ์โดยปราศจากเอนไซม์โปรตีเอส
“มันยากมากสำหรับไวรัสที่จะสร้างสายพันธุ์ที่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากโปรตีเอสนี้”
ทั้งนี้ บูร์ลาไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถกำจัดโควิดได้ทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้ แต่เชื่อว่าสังคมจะเริ่มมองไวรัสเหมือนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากขึ้นได้รับการฉีดวัคซีนและการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นออกสู่ตลาด
]]>Joseph Briggs นักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ระบุว่า ตัวแปรสำคัญอย่าง โอมิครอน (Omicron)
อาจทำให้การเปิดเศรษฐกิจครั้งใหม่ของสหรัฐฯ ช้าลง แต่ “การใช้จ่ายด้านบริการจะลดลงเพียงเล็กน้อย”
ดังนั้นบริษัทจึงปรับคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2022 ลดลงมาอยู่ที่ 3.8% จากเดิม 4.2% ขณะที่ GDP ของสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.9% ลดลงที่เคยคาดไว้ที่ 3.3%
“ตอนนี้ยังมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ เราประเมินว่าโควิดสายพันธุ์โอมิครอนจะส่งผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระดับปานกลาง”
เเม้โอมิครอนจะเป็นไวรัสที่แพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าเดิม เเต่เชื่อว่าวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันจะมีประสิทธิภาพลดลงไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์โรคระบาดยังน่ากังวลต่อเนื่อง อาจทำให้ปัญหาขาดแคลนซัพพลายรุนเเรงยิ่งขึ้นอีก เมื่อประเทศอื่น ๆ ทยอยยกระดับมาตรการคุมเข้มพรมเเดน เเต่การที่ประเทศคู่ค้า มีอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้นก็น่าจะไม่ทำให้ปัญหานี้ถึงขั้นวิกฤต
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (3 ธ.ค.) ที่ผ่านมาว่า IMF มีแนวโน้มที่จะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงจากการระบาดของโอมิครอน
ล่าสุดโอมิครอนเเพร่ระบาดแล้ว 47 ประเทศรวมไทย โดยวันนี้ (6 ธ.ค.64 ) กระทรวงสาธารณสุข แถลงยืนยันพบผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอมิครอน ‘รายแรกในไทย’ เเละได้เข้าสอบสวนโรคแล้ว ซึ่งสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในไทยขณะนี้ยังคงเป็นสายพันธุ์เดลตา พบมากถึง 99.87% ของเชื้อที่พบในประเทศ ส่วนที่เหลือเป็นสายพันธุ์อัลฟาและเบตาที่จำกัดอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่มา : Reuters
]]>ก่อนหน้านี้พันธมิตร OPEC+ ที่นำโดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ได้ต่อต้านแรงกดดันที่นำโดยสหรัฐฯ ในการเพิ่มผลผลิตอย่างมีนัยสำคัญเพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่หลายส่วนคาดว่า กลุ่ม OPEC+ จะลดกำลังการผลิตในเดือนมกราคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเกิดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ส่งประเทศต่าง ๆ ที่เร่งรีบเพื่อกำหนดขอบเขตการเดินทางใหม่และครุ่นคิดมาตรการอื่น ๆ ที่สามารถลดความต้องการน้ำมัน ซึ่งอาจส่งผลต่อราคา
แต่หลังจากการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เป็นเวลากว่าชั่วโมงเล็กน้อยในบ่ายวันพฤหัสบดี สมาชิก 13 คนขององค์กรกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ในกรุงเวียนนาและพันธมิตรทั้ง 10 ของพวกเขาตัดสินใจที่จะ เพิ่มกำลังการผลิตเล็กน้อยที่ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ทุกเดือนเหมือนที่ทำกันมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันมาตรฐานทั้งสองสัญญา WTI และ Brent ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมที่ 62 ดอลลาร์และ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตามลำดับ จากนั้นพวกเขาฟื้นตัวมาเกือบ 67 ดอลลาร์และ 70 ดอลลาร์ ทั้งคู่เพิ่มขึ้นในวันนี้ แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับสูงสุดที่บันทึกไว้ในปลายเดือนตุลาคม
ทั้งนี้ การประชุมกลุ่ม OPEC+ มีขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังจากสหรัฐฯ จีน อินเดีย และญี่ปุ่น ตัดสินใจที่จะลดปริมาณสำรองทางยุทธศาสตร์เพื่อช่วยลดราคาน้ำมันดิบ หลังจากที่ราคาพุ่งสูงขึ้นซึ่งบั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งสหรัฐอเมริกายินดีกับการตัดสินใจของสมาชิก OPEC+ เพื่อเพิ่มผลผลิต
“เราเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก” เจน ซาซากิ โฆษกทำเนียบขาว กล่าว
อเล็กซานเดอร์ โนวัค รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย บอกกับสำนักข่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าว “อธิบายได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าตลาดมีเสถียรภาพและความต้องการดังกล่าวกำลังฟื้นตัว” อย่างไรก็ตาม เขารับทราบว่ามี “ความไม่แน่นอนอยู่มาก” ที่เชื่อมโยงกับตัวแปร Omicron และกล่าวว่า “แน่นอนว่าเราจะติดตามสถานการณ์นี้ไปพร้อมกับประเทศอื่น ๆ เพื่อดูว่ามันส่งผลต่อการเดินทางอย่างไร”
]]>