Private Equity – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 20 Oct 2025 09:08:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CG Capital ลุย Branded Residences หรูกลางสุขุมวิท เตรียมปั้นโรงแรม+สวนน้ำเมืองท่องเที่ยว https://positioningmag.com/1543479 Mon, 20 Oct 2025 08:00:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543479 CG Capital กองทุน Private Equity ของตระกูล “จิราธิวัฒน์” เดินเกมรุกต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จจากโปรเจกต์ Branded Residences ที่ภูเก็ต เตรียมขยับขึ้นมากรุงเทพฯ ด้วยโครงการใหม่ใจกลางสุขุมวิท และวางแผนขยายพอร์ตโรงแรมเมืองท่องเที่ยวต่อเนื่อง

ภูมิ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการร่วมและหัวหน้าฝ่ายบริการ บริษัท ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่ จำกัด (CG Capital) กล่าวว่า บริษัทก่อตั้งขึ้นช่วงโควิด เพื่อสร้างโอกาสลงทุนในธุรกิจโรงแรมและที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในทำเลศักยภาพอย่าง กรุงเทพฯ และภูเก็ต

ที่ผ่านมา CG Capital ลงทุนรวมกว่า 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินจากกองทุนตั้งต้น 10,000 ล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงินอีก 15,000 ล้านบาท ผ่าน 6 โปรเจกต์หลัก ได้แก่

  • โรงแรมในภูเก็ตและสมุย 5 แห่ง รวมกว่า 1,000 ห้อง (อยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดเปิดภายใน 3 ปี)
  • โครงการ The Standard Residences ภูเก็ต บางเทา ซึ่งเป็น Branded Residences แห่งแรกของบริษัท ปัจจุบันขายได้แล้ว 85% และจะเริ่มโอนปี 2569 มูลค่ารวม 2,000–3,000 ล้านบาท
ภูมิ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการร่วมและหัวหน้าฝ่ายบริการ บริษัท ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่ จำกัด (CG Capital)

ปักหมุดสุขุมวิท เปิดตัว Branded Residences หรูใจกลางสุขุมวิท

หลังประสบความสำเร็จในภูเก็ต CG Capital เดินหน้าสู่กรุงเทพฯ จับมือกับเชนโรงแรมระดับโลก IHG (InterContinental Hotels Group) เปิดตัวโครงการ “InterContinental Residences Bangkok Asoke” มูลค่า 5,500 ล้านบาท จำนวนเพียง 88 ยูนิต ในรูปแบบ Hospitality Branded Residences ที่อยู่อาศัยซึ่งให้บริการระดับเดียวกับโรงแรมหรู

โครงการตั้งอยู่บน ซอยสุขุมวิท 16 บนที่ดินขนาด 1-2-70.8 ไร่ ราคาเริ่มต้น 40.8–200 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 350,000 บาท/ตร.ม. เตรียมเปิดขายรอบ VIP วันที่ 16 พฤศจิกายน 2568

“ตลาด Branded Residences ในไทยมาแรงมาก อ้างอิงข้อมูลจาก CBRE พบว่า
ไทยติดอันดับ
4 ของโลก โดยมี ภูเก็ต (อันดับ 5) และ กรุงเทพฯ (อันดับ 7) อยู่ในท็อป 10 เมืองที่มีตลาด Branded Residences ใหญ่ที่สุดในโลก”

CG Capital IHG
โครงการ InterContinental Residences Bangkok Asoke

สำหรับ Branded Residences กรุงเทพฯ ปัจจุบันมีโครงการระดับ 5 ดาวเพียง 11 โครงการเท่านั้น และมีเพียง 3 โครงการ ที่เป็นแบบ Freehold (ขายขาด) ซึ่งขายออกไปแล้วกว่า 93%และเหลือซัพพลายในตลาดแค่ 33 ยูนิต

InterContinental Residences Bangkok Asoke ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งคือรูปแบบ Freehold บนทำเล “ดาวน์ทาวน์สุขุมวิท”

และยังเป็น Branded Residences แบบ Standalone แห่งแรกของ IHG ที่ไม่ได้อยู่ร่วมกับโรงแรมในพื้นที่เดียวกัน โดยกลุ่มเป้าหมายของโครงการ แบ่งเป็น คนไทย 60% และ ต่างชาติ 40%

ตัวอย่างห้องในโครงการ InterContinental Residences Bangkok Asoke

เตรียมปั้นโรงแรม+สวนน้ำเมืองท่องเที่ยว

นอกจากนี้ CG Capital ยังมีงบลงทุนเหลืออีก 1,500 ล้านบาท เตรียมขยายเพิ่มอีก 1-2 โครงการ โดยมองทำเลหลักอย่าง ภูเก็ต กระบี่ สมุย และกรุงเทพฯ

ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมในมือแล้ว 5 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นการจับมือกับเชนระดับโลก โดยไฮไลต์ คือ โรงแรมพร้อมสวนน้ำที่เตรียมเปิดตัวในภูเก็ตเร็ว ๆ นี้

แผนต่อไปของ CG Capital คือ หลังสร้างและดำเนินการโครงการช่วงแรก (ราว 1–3 ปี) จะทยอยขายโรงแรมให้กับนักลงทุน ทั้งรายย่อยและรายใหญ่ รวมถึงสถาบันต่างประเทศ เพื่อคืนผลกำไรให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน CG Capital

IHG CG Capital
โครงการ InterContinental Residences Bangkok Asoke
]]>
1543479
ลงทุนในจีนกับ K-CHINNO25A-UI กองทุน Private Equity ใหม่จาก KBank เจาะตลาดจีนโดยตรง เน้นกลุ่มเทคฯ แห่งอนาคต https://positioningmag.com/1527231 Tue, 24 Jun 2025 09:30:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1527231

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้ ประเทศจีนได้รับการพูดถึงในมุมมองที่หลากหลาย มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วขึ้นแท่นประเทศมหาอำนาจ เปลี่ยนภาพลักษณ์จากโรงงานของโลก เป็นประเทศแห่งนวัตกรรม นอกจากเรื่องเทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงไปทั่วโลกแล้ว เรื่อง “การลงทุน” ก็เป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ ด้วยศักยภาพ และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ด้วยเหตุนี้เองการลงทุนในตลาดประเทศจีนจึงเป็นโอกาสทองที่น่าสนใจ


มองหา ของดีราคาถูก” กับโอกาสลงทุนใน Private Equity

ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน Private Equity (หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์) เป็นทางเลือกการกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในจีน การลงทุนในบริษัทที่ยังไม่จดทะเบียนทำให้ได้ “ของดีในราคาถูก” โดยเฉพาะในจีนยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI, eVTOL และพลังงานสะอาด การเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ สามารถต่อรองราคาเข้าลงทุน ในราคาถูกกว่าราคาสินทรัพย์ จากการลงทุนแบบ Secondary หรือการลงทุนในตลาดรอง ที่ซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ หรือธนาคารพาณิชย์ และอาจจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจมากกว่าตลาดทั่วไป


รู้จัก K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น)

ตอนนี้โอกาสในการลงทุนในประเทศจีนมาถึงแล้ว ล่าสุด “กสิกรไทย” ได้เปิดตัวกองทุนใหม่ K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น) สำหรับการลงทุนใน Private Equity ของจีนโดยเฉพาะ

จุดเด่นสำคัญของกองทุนนี้ก็คือ ความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนหลักจากกสิกร วิชั่น เซี่ยงไฮ้ หรือ KVPE เป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย และพันธมิตรระดับโลก Stepstone Group (China) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน Private Equity มีประสบการณ์ในตลาดจีนกว่า 15 ปี

กองทุน K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น) กำหนดเปิดเสนอขายครั้งเดียว ในระหว่างวันที่ 18 – 30 มิถุนายน 2568 เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท โดยกองทุนจะเรียกเก็บเงินลงทุนครั้งเดียว (Single Call) และกองทุนมีอายุประมาณ 8 ปี 2 เดือน โดยมีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Kasikorn Vision Private Fund I (Shanghai) Limited Partnership ที่เน้นลงทุนใน 3 ด้านคือ

1) อุตสาหกรรมหลักที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาระยะยาวของจีน ได้แก่ AI, Digitalization, Energy Transition และ Biotech & Healthtech

2) ตลาดรอง (Secondaries) และ/หรือ ลงทุนโดยตรง (Direct Investments)

3) บริษัทที่มีช่วงของธุรกิจที่มีกำไรเป็นบวก (Late Stage) หรือมีศักยภาพในการเติบโตสูง (Growth Stage)

เจาะลึกการลงทุนในจีนยุคใหม่

จีนมีการพัฒนานวัตกรรมที่หลากหลายจนเทียบเท่าฝั่งตะวันตก ที่เห็นได้ชัดก็คืออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มีผู้เล่นใหญ่อย่าง BYD, MG หรือ GWM ที่เริ่มบุกตลาดในหลายประเทศทั่วโลก รวมไปถึงนวัตกรรม AI ที่ล่าสุด DeepSeek ได้สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน

ทำไมจีนถึงน่าลงทุนในวันนี้? คำตอบก็คือ จีนไม่ใช่ประเทศที่เน้นแรงงานราคาถูกอีกต่อไป แต่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy) โดยมีปัจจัยสนับสนุนมากมาย

  • บุคลากรด้าน STEM จำนวนมาก: จีนผลิตบัณฑิตผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมกว่า 3.5 ล้านคนต่อปี
  • Supply Chain ครบวงจร: มีเครือข่ายครอบคลุม 666 อุตสาหกรรม ทำให้เกิดการทดลอง และผลิตได้รวดเร็ว
  • เงินทุนจากรัฐ: รัฐบาลประกาศลงทุนกว่า 1 ล้านล้านหยวนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ด้วยระยะเวลาการลงทุน 20 ปี
  • ตลาดบริโภคขนาดใหญ่: ประชากรจีนกว่า 1.4 พันล้านคน พร้อมเปิดรับนวัตกรรมใหม่ ด้วยกำลังการบริโภค ภายในประเทศ กว่า 44.5% ของ GDP

การลงทุนในนวัตกรรมจีน ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน เป็นลงทุนบน new core growth engine ของประเทศ และมีศักยภาพสูง เพราะจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายที่สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม STEM Talent ที่มากกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 4 เท่า ประกอบกับความสมบูรณ์แบบของ Supply Chain และตลาดภายในประเทศที่แข็งแกร่ง


KVPE ผู้เปิดประตูสู่การลงทุนในจีนอย่างมืออาชีพ

การลงทุนตลาดประเทศจีนเพียบพร้อมด้วยศักยภาพต่างๆ มากมาย แต่อาจจะมีข้อจำกัดบางประการ ทั้งเรื่องภาษา หรือระเบียบต่างๆ ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญโดยตรง หรือการลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนอย่าง KVPE ก็สามารถช่วยนักลงทุนไปได้ไม่น้อย

KVPE หรือ Kasikorn Vision (Shanghai) Private Fund Management บริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทยที่ตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เป็นผู้จัดการกองทุน Private Equity ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดจีน

KVPE ได้รับโควต้า Qualified Foreign Limited Partner (QFLP) มูลค่า 1,500 ล้านหยวน ซึ่งอนุญาตให้ลงทุนในจีนได้โดยตรง พร้อมกับจุดเด่นที่มีทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในจีนยาวนาน และมีการวิเคราะห์ตลาดอย่างใกล้ชิด

โดยที่ KVPE มุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในการประเมิน Exit Certainty ของแต่ละบริษัท เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งธนาคารกสิกรไทยมีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจในจีนมากว่า 30 ปี จึงการันตีความมืออาชีพในการลงทุนได้อย่างแน่นอน

สำหรับกองทุน K-CHINNO25A-UI ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น) เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่สามารถถือครองได้เป็นเวลาประมาณ 8 ปี 2 เดือน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ผ่าน Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย และบลจ.กสิกรไทย โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

– ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น)

– กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อนมากกว่ากองทุนทั่วไป ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วงเวลา 8 ปี 2 เดือน ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่กระทบการลงทุนผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจํานวนมาก และกองทุนนี้ไม่ถูกจํากัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไปจึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนระดับสูงได้เท่านั้น

​​- กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน​

-บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด รวมทั้งไม่รับประกันเงินต้นหรือผลตอบแทนใด ๆ

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

]]>
1527231
ตลาดหุ้นผันผวนหนัก ลงทุน ‘สินทรัพย์นอกตลาด’ มาแรง ให้ผลตอบแทนดี https://positioningmag.com/1472088 Sun, 05 May 2024 08:01:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472088 KBank Private Banking ชู ‘สินทรัพย์นอกตลาด’ โดยชี้ถึงจุดเด่นไม่ว่าจะเป็น ไม่ต้องรับความผันผวนของตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง แต่ยังได้รับผลตอบแทนที่ดี

ตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวถึงในช่วงที่ผ่านมาได้มีการออกกองทุนสินทรัพย์นอกตลาด มากถึง 10 กอง โดยลงทุนทั้งในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) 6 กองทุน กองอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด 2 กองทุน รวมถึงหนี้นอกตลาด (Private Credit) 1 กองทุน

ผู้บริหารของ KBank Private Banking ได้กล่าวว่า ภาพรวมตลาดการลงทุนทั่วโลกในปี 2024 ยังคงผันผวน จากความไม่แน่นอนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก การเลือกตั้งในหลายประเทศ เช่น รัสเซีย อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ต่างๆ ไปจนถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในฝั่งยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิมต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้

ตรีพลชี้ยังกล่าวถึงสภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่กองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดเหล่านี้สามารถผ่านช่วงเวลาแย่ๆ มาได้ เช่น กองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วโลก ซึ่งตั้งกองทุนในปี 2019 นั้นให้ผลตอบแทนเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ 58.67%

เขายังได้กล่าวถึงข้อดีของการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ไม่ว่าจะเป็น

  • สินทรัพย์นอกตลาด (Private Assets) ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้น
  • Private Assets ช่วยกระจายความเสี่ยง และยังทำให้เข้าถึงการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเขาได้ยกตัวอย่างกองทุนที่มีหุ้นของ SpaceX นั้นมีผลตอบแทนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาดีพอสมควร
  • ทำให้หลายบริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น

ขณะเดียวกันบทบาทของสินทรัพย์นอกตลาดคือการเพิ่มเสถียรภาพให้กับพอร์ตการลงทุนของลูกค้า เนื่องจากไม่มีราคาซื้อขายทุกวันเหมือนกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่หลายกิจการเองยังดำเนินต่อไปทุกวัน ตรีพลยังชี้ถึงหลายบริษัทที่อยู่นอกตลาดหุ้นถือเป็นโอกาสลงทุนในบริษัทที่อาจพลิกโฉมธุรกิจได้ หรือเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต

แนวทางการจัดพอร์ตสินทรัพย์นอกตลาด – ข้อมูลจาก KBank Private Banking

ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ KBank Private Banking วางแผนนำเสนอกองทุนที่ลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดให้กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยเสนอกลยุทธ์ในการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาด เพื่อที่จะลดข้อจำกัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ที่จะจัดแบ่งส่วนหลักและส่วนเสริมเพื่อกระจายความเสี่ยง

โดยสัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุนหรือ Core จะคิดเป็น 60-80% ของพอร์ตสินทรัพย์นอกตลาดจะเป็นกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง ที่ลงทุนเพิ่มได้ทุกเดือน ขายหน่วยลงทุนได้เป็นรายไตรมาส ขณะที่สัดส่วนเสริมหรือ Satellite คิดเป็น 20-40% ของพอร์ตสินทรัพย์นอกตลาด จะเป็นกองทุนหุ้นนอกตลาดตามธีมต่างๆ เช่น หุ้นนอกตลาดทั่วโลก หุ้นนอกตลาดจีน หุ้นนอกตลาดไทย หุ้นเทคนอกตลาด หุ้นอสังหาฯ นอกตลาดทั่วโลก หุ้นอสังหานอกตลาดไทย รวมถึงหนี้นอกตลาด เป็นต้น

การจัดพอร์ตในลักษณะดังกล่าว ตรีพลกล่าวว่าจะช่วยลดความผันผวนผ่านการลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันยังสามารถเพิ่มโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากการจับจังหวะลงทุนตามธีมและเมกะเทรนด์ที่กำลังเติบโตขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังมีบริการออกแบบพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดสำหรับลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะอีกด้วย

ในการนำสินทรัพย์นอกตลาดมาให้บริการลูกค้า ทาง KBank Private Banking ได้ร่วมมือกับพันธมิตรหลายราย ไม่ว่าจะเป็น EQT ซึ่งเชี่ยวชาญการลงทุนบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์จากประเทศสวีเดน โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถระดมทุนการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดได้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก ขณะที่ Apollo ที่เป็นบริษัทชั้นนำด้านการจัดการสินทรัพย์ทางเลือกที่มียอดการปล่อยสินเชื่อนอกตลาดเป็นอันดับ 1 ของโลก และยังมีแผนที่จะร่วมมือกับ Goldman Sachs เพื่อร่วมสร้าง Ecosystem การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดอีกด้วย

ตรีพลยังได้กล่าวถึงว่าในอดีตนักลงทุนชาวไทยไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดมากนัก ซึ่งถือว่าแตกต่างกับในปัจจุบัน

ปัจจุบันผู้บริหารของ KBank Private Banking ได้กล่าวว่าลูกค้าสัดส่วน 10% ได้มีการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ซึ่งลูกค้าหลายรายมีประสบการณ์เคยลงทุนสินทรัพย์แนวนี้มาแล้ว และเขาตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปีจะมีลูกค้าลงทุนเพิ่มมากขึ้นเป็นสัดส่วน 20% ของลูกค้าทั้งหมด

]]>
1472088
ทำความรู้จักกับ 9Basil กองทุนของ ‘ชวิณ เจียรวนนท์’ https://positioningmag.com/1471348 Mon, 29 Apr 2024 10:52:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471348 Positioning จะพาไปทำความรู้จักกับ 9Basil ธุรกิจลงทุนในบริษัทนอกตลาดหุ้น หรือ Private Equity ซึ่งเป็นอีกธุรกิจสำคัญของ ‘ชวิณ เจียรวนนท์’ ซึ่งกำลังเป็นข่าวกับดาราชื่อดัง ‘เบลล่า’ ราณี แคมเปน อยู่ในขณะนี้

ชวิณ เจียรวนนท์ (วิล) เป็นหลานของ วัลลภ เจียรวนนท์ รองประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ซึ่งปู่ของ ชวิณ นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้อง ธนินท์ เจียรวนนท์

ในส่วนของการศึกษานั้น ชวิณ จบการศึกษาจาก University of North Carolina at Chapel Hill ใน 2 สาขาวิชาหลัก นั่นคือ ด้านเศรษฐศาสตร์ และการบริหารธุรกิจ

เขาได้ก่อตั้ง 2W Group ซึ่งเป็นสำนักงานครอบครัว (Family Office) และได้ลงทุนในหลายกิจการ ไม่ว่าจะเป็น MC Payment ซึ่งเป็นบริการรับจ่ายเงินในประเทศอินโดนีเซีย หรือแม้แต่เคยลงทุนใน Aura ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริหารความมั่งคั่งซึ่งมีสำนักงานทั้งในสิงคโปร์และออสเตรเลียมาแล้วในปี 2016 ก่อนที่จะขายหุ้นในกิจการดังกล่าวออกมาในช่วงปี 2021

ขณะเดียวกันเขาเองยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งของ Blueprint Forest ซึ่งถือเป็น Family Office อีกแห่งเพื่อที่จะบริหารเงินลงทุนให้กับตระกูลมหาเศรษฐีในทวีปเอเชียด้วย

ชวิณ เจียรวนนท์ (คนกลาง) ในช่วงที่เป็นกรรมการ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) / ภาพจากบริษัท

9Basil ธุรกิจสำคัญของ ‘ชวิณ’

ชวิณ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งของ 9Basil ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ หรือหลายคนอาจคุ้นในชื่อของ Private Equity ในช่วงปี 2018 และธุรกิจดังกล่าวยังสร้างชื่อเสียงให้กับเขาในปัจจุบัน

สำหรับพอร์ตการลงทุนของ 9Basil ที่สำคัญๆ เช่น เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ‘เงินติดล้อ’ ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจการให้บริการสินเชื่อ ซึ่งตัวเขาเองเคยเป็นกรรมการของบริษัทในช่วงปี 2019 จนถึงปี 2022 มาแล้ว ซึ่งการลงทุนในเงินติดล้อนั้นบริษัทได้จับมือกับ CVC Capital Partners ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Private Equity รายใหญ่ของโลก

ปัจจุบัน 9Basil ถือหุ้นในเงินติดล้อ สัดส่วน 3.49% คิดเป็นมูลค่าล่าสุด (29 เมษายน) ราวๆ 2,000 ล้านบาท

9Basil ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ‘อัลฟาแคปปิตอล พาร์ทเนอร์ส กรุ๊ป’ ซึ่งประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีหลักประกัน และธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย ซึ่งความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้นบริษัทมีการยื่นไฟลิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว

ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมท่ีผ่านมา 9Basil เองยังเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนของ Sourcefit ซึ่งเป็นธุรกิจรับมอบหมายและดูแลงานบางส่วนภายในองค์กร (BPO) ในประเทศฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกันในช่วงปี 2020 นั้นบริษัทเองยังมีการลงทุนในกิจการที่มีปัญหาเรื่องหนี้สินด้วย

นอกจาก 9Basil เองแล้ว ชวิณ ยังมีกองทุนอื่นที่ดูแลไม่ว่าจะเป็น Lossless Capital และ Open Forest อีกด้วย

Private Equity ทำไมถึงได้รับความนิยมในไทย

การลงทุนในบริษัทที่เน้นลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ นั้นได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา สาเหตุหลักคือต้นทุนการเงินที่ถูก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เองนั้นถือว่าต่ำ

จุดเด่นของ Private Equity คือสามารถที่จะหาผลตอบแทนที่สูงมากกว่าในตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยที่ไม่ต้องรับความผันผวนจากราคาในตลาดหุ้นในช่วงการลงทุนในกิจการดังกล่าว แต่จะมีการหามูลค่าทางบัญชีว่ากิจการในช่วงลงทุนมีมูลค่าเท่าใด

Private Equity เองมีการกู้ยืมเงิน หรือนำเงินลงทุนจากนักลงทุนไปซื้อกิจการต่างๆ ที่มองว่ามีศักยภาพ สามารถสร้างกำไรในอนาคตได้ ซึ่ง Private Equity มักจะมีการเข้ามาฟื้นฟูกิจการหรือทำให้กิจการมีประสิทธิภาพหรือกำไรที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต

สำหรับการทำกำไรของ Private Equity เช่น การขายกิจการต่อให้นักลงทุนที่สนใจ หรือแม้แต่การนำกิจการที่ตัวเองเป็นเจ้าของ (หรือถือหุ้นอยู่) นำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้มีกำไรอย่างมหาศาล อย่างไรก็ดีธุรกิจดังกล่าวมีความเสี่ยงในเรื่องการบริหารกิจการอาจไม่เป็นไปตามแผน หรือแม้แต่สภาวะธุรกิจที่เปลี่ยนไป ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้การลงทุนเกิดความเสียหายได้

ขณะที่ในประเทศไทย Private Equity ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เหล่าตระกูลมหาเศรษฐีของไทยหลายตระกูลเองได้ประกาศตั้งกองทุน ไม่ว่าจะเป็น ภูมิ จิราธิวัฒน์ ที่มีการประกาศตั้ง ซีจี แคปปิตอล เป็นต้น ซึ่งธุรกิจดังกล่าวถือเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนของเหล่าตระกูลมหาเศรษฐีของไทยอีกทางหนึ่ง

]]>
1471348