บริษัทแม่ของ Shopee อย่าง Sea รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 ของปี 2023 ซึ่งล่าสุดบริษัทได้รายงานการขาดทุน 149 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ไตรมาส 2 นั้นบริษัทสามารถทำกำไรได้มากถึง 322 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสภาวะการแข่งขันของธุรกิจ E-commerce รุนแรงเพิ่มขึ้น
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Sea กลับมาขาดทุนอีกครั้งก็คือ ธุรกิจ E-commerce อย่าง Shopee เองนั้นถูกคู่แข่งรายใหม่ที่เข้ามากดดันอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น TikTok Shop ที่กำลังขยายธุรกิจในอาเซียน รวมถึง Temu ที่กำลังรุกคืบเข้ามาในอาเซียนเช่นกัน
นอกจากนี้ยังรวมถึงคู่แข่งหน้าเก่าอย่าง Alibaba ซึ่งมีธุรกิจลูกในอาเซียนอย่าง Lazada ด้วย
สิ่งที่น่าสนใจในผลประกอบการของ Sea ในไตรมาส 3 นี้
ก่อนหน้านี้ UBS สถาบันการเงินจากสวิตเซอร์แลนด์ได้วิเคราะห์กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียน มองว่าการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง TikTok Shop และ Shein อาจกดดันรายได้ โดยเฉพาะกรณีของ Shopee ทื่มองว่ามาร์จิ้นนั้นอาจหายไปบางส่วนได้
นอกจากนี้บริษัทเองยังมองถึงเรื่องการไลฟ์ขายสินค้าถือเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจอย่าง Shopee ด้วย
Forrest Li ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Sea ได้กล่าวว่า การเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น และเขายังมองว่าการเสียสละกำไรในระยะสั้นจะช่วยธุรกิจในอนาคต และเขายังเน้นถึงเป้าหมายระยะยาวของธุรกิจได้แก่ การเติบโต การทำกำไร รวมถึงการได้ส่วนแบ่งทางการตลาด
]]>บทวิเคราะห์จาก UBS ที่วิเคราะห์กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023 มองว่าการเข้ามาของ TikTok และ Shein นั้นอาจกดดันยอดขายสินค้าออนไลน์รวม (GMV) ของกลุ่ม E-commerce โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Shopee
UBS ยังชี้ว่าแบรนด์สินค้าหลายยี่ห้อเองได้เลือกทำธุรกิจแบบ Direct-to-Customer (D2C) เองก็ยังสร้างแรงกดดันต่อผู้เล่น E-commerce ในตลาดอาเซียนอีกด้วย และ UBS ยังชี้ว่าการดำเนินธุรกิจแบบ D2C ของแบรนด์ต่างๆ จะกดดันต่อ GMV ของบริษัทหลังจากนี้
ก่อนหน้านี้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok เองก็หมายมั่นปั้นมือว่าการเข้ามาในธุรกิจ E-commerce ของบริษัทอย่าง TikTok Shop นั้นจะช่วยทำให้บริษัทมี GMV มากถึง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ปี 2022 ทีผ่านมาบริษัทมี GMV ราวๆ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดที่บริษัทโฟกัสมากสุดก็คืออาเซียน
โดย UBS ชี้ว่าการเข้ามาของ TikTok และ Shein จะทำให้มาร์จิ้นเมื่อเทียบกับ GMV ของ Shopee หายไปถึง 1.9% ในปีนี้ และ 2.5% ในปี 2024
UBS รวบรวมและใช้ข้อมูลของ Sensor Tower เพื่อดูยอดผู้ใช้งานต่อเดือน (MAU) ของผู้เล่นต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลล่าสุดเดือนเมษายนที่ผ่านมา Shein อยู่อันดับ 1 ตามมาด้วย Shopee Lazada Ebay ตามลำดับ ซึ่งทาง Shein มีผู้ใช้งานต่อเดือนที่เติบโตถึง 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ผู้เล่นรายอื่นในไทยนั้น MAU เติบโตน้อยมาก
ขณะที่ตลาดประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย MAU เบอร์ 1 ยังเป็น Shopee ขณะที่ Shein ตามมาเป็นอันดับ 2 ขณะที่อินโดนีเซียผู้นำยังคือ Shopee ยกเว้นเวียดนามที่ Shein แซงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แล้ว
อย่างไรก็ดี UBS ได้ชี้ว่าตัวเลข MAU อาจไม่สามารถนำมาชี้วัดถึง GMV ได้
ไม่เพียงเท่านี้ในรายงานของ UBS ยังชี้ถึงธุรกิจส่งอาหารในอาเซียนว่า Grab เองกำลังแย่งส่วนแบ่งตลาดจากผู้เล่นอื่น ไม่ว่าจะเป็น GoTo รวมถึงผู้เล่นอีกรายอย่าง foodpanda และชี้ว่า GMV ของ GoTo ยังไม่กลับมาฟื้นตัวแม้จะผ่านไปถึงช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ก็ตาม
]]>สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงจาก Memo ที่ส่งให้กับพนักงานของ Sea โดยบริษัทเตรียมปรับเงินเดือนให้กับพนักงานที่เข้าทำงานก่อน 31 มีนาคมปีนี้ โดยได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 5% มีผลในเดือนกรกฎาคม หลังจากที่บริษัทได้ลดค่าใช้จ่าย และปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา
Memo ความยาว 1,300 คำที่ Forrest Li ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Sea ได้กล่าวว่า บริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นครั้งแรก หลังจากก่อนหน้านี้กระแสเงินสดติดลบในทุกไตรมาส และจะทำให้บริษัทสามารถประคองตัวเองได้หลังจากนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้บริหารสูงสุดรายนี้เคยกล่าวว่าจะไม่มีการปลดพนักงานออกชุดใหญ่แล้ว
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาบริษัทได้ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 4 ของปี 2022 ซึ่งบริษัทมีกำไรครั้งแรก หลังจากใช้มาตรการปลดพนักงาน ปิดธุรกิจในต่างประเทศที่ไม่ทำกำไร หลังจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ใช้กลยุทธ์ขยายธุรกิจไปในหลายประเทศเพื่อหาลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะธุรกิจ E-commerce อย่าง Shopee
ไม่เพียงเท่านี้บริษัทยังปลดพนักงาน รวมถึงไม่มีการขึ้นโบนัสรวมถึงเงินเดือนของพนักงานเพื่อที่จะรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ด้วย
ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสูงสุดของ Sea ยังได้กล่าวว่าบริษัทได้จับตามองสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในปีนี้เขายังพยายามที่จะทำให้บริษัทกลับมามีกำไร และมองว่าเทรนด์ของ E-commerce ในระยะยาวนั้นจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ใน Memo ดังกล่าวยังได้พูดถึงความยากลำบากในปีที่ผ่านมา โดยเขาต้องตัดสินใจอย่างเจ็บปวดในการปลดพนักงานมากถึง 3,500 ราย ไม่เว้นแม้แต่ผู้บริหาร เพื่อที่จะรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ เขายังกล่าวว่าสภาวะภายนอกถือเป็นความท้าทายของบริษัท และการสร้างพื้นฐานให้แกร่งในวันนี้เพื่ออนาคตข้างหน้าของบริษัท
]]>สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานข่าว อ้างอิงข้อความที่ Forrest Li ซึ่งเป็น CEO ของ Sea ได้ส่งให้กับพนักงาน ซึ่งสื่อรายดังกล่าวได้รับมา โดยกล่าวว่าบริษัทจะไม่มีการปลดพนักงานแล้ว และเขายังพูดถึงว่านี่เป็นครั้งแรกที่บริษัทต้องผ่านวิกฤตใหญ่เช่นนี้ หลังจากที่บริษัทได้ IPO ในปี 2017
ข้อความที่ส่งให้กับพนักงานนั้นตามมาหลังจากบริษัทสามารถมีกำไรในไตรมาส 4 ของปี 2022 ที่ผ่านมาได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปลดพนักงานชุดใหญ่เพื่อที่จะลดต้นทุนบริษัท นอกจากนี้ยังมีการควบคุมค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น การลดงบที่ใช้ทางการตลาดลง ปิดธุรกิจในประเทศต่างๆ ที่ไม่ทำเงิน เพื่อที่จะทำให้บริษัทกลับมามีกำไร
เขายังกล่าวเสริมว่า Sea เป็นบริษัทแรกๆ ในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่มีการปรับตัว (ในเรื่องการปลดพนักงาน รวมถึงลดต้นทุนของบริษัท) แม้ว่าจะมีการเจ็บตัว แต่ก็ทำให้บริษัทมีสถานะที่แข็งแกร่งในทุกวันนี้
อีเมลถึงพนักงานด้วยความยาวข้อความถึง 700 คำ ยังได้กล่าวว่าแม้ว่าจะมีการปลดพนักงานไป แต่ก็บริษัทต้องมีการพิสูจน์ถึงการทำกำไรในระยะยาวได้ และยังย้ำว่างานดังกล่าวยังไม่สำเร็จ ซึ่งการปลดพนักงานรอบล่าสุดของ Sea ก็คือในช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการปลดพนักงานมากถึง 500 ราย
CEO รายดังกล่าวยังย้ำว่า โลกกำลังจับตามองว่ากำไรในไตรมาส 4 ที่ผ่านมานั้นจะเป็นเรื่องชั่วคราวหรือเป็นสิ่งที่บริษัททำได้จริง
การปรับตัวครั้งใหญ่ของบริษัทแม่ Shopee รวมถึง Garena เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไปอย่างมาก รวมถึงความไม่ไว้ใจของนักลงทุน ส่งผลต่อบริษัทเทคโนโลยีหลายรายที่ไม่มีกำไรนั้นต้องกลับมาหาทางทำกำไร เพื่อที่จะพิสูจน์ถึงความสามารถของบริษัท
]]>โดยในไตรมาส 4 นี้บริษัทมีกำไร 426.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ดีกว่าค่าเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ที่ Bloomberg รวบรวมไว้ว่าบริษัทจะขาดทุนมากถึง 434 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รายได้ในไตรมาส 4 เติบโตมากกว่าปี 2021 ถึง 7% อยู่ที่ 3,451.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่ถ้าหากมองเป็นผลประกอบการทั้งปีแล้ว Sea จะมีรายได้รวมของบริษัทในปี 2022 อยู่ที่ 12,449.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตมากกว่าปี 2021 มากถึง 25% แต่ผลการดำเนินงานทั้งปียังขาดทุนอยู่ที่ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าดีกว่าในปีที่ผ่านมาที่ขาดทุน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
มาตรการสำคัญในปี 2022 ที่บริษัทงัดออกมาใช้นั่นก็คือมาตรการคุมค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการปลดพนักงาน การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ปิดส่วนธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออกไป การลดเงินสำหรับวิจัยและพัฒนา รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโปรโมชันต่างๆ และยังรวมถึงมาตรการอย่างการไม่ขึ้นโบนัสและเงินเดือนของพนักงานด้วย
นอกจากนี้ในไตรมาส 4 ยังมีข่าวดีที่ว่ากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ของ Shopee นั้นกลับมาเป็นบวกครั้งแรกอีกด้วย หลังจากในส่วนธุรกิจ E-commerce ได้ฉุดให้ผลประกอบการขาดทุนในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา
Forrest Li ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Sea ได้กล่าวว่าปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของบริษัทที่จะกลับมาสู่เส้นทางทำกำไร และเรื่องดังกล่าวเป็นหนทางระยะยาวของบริษัท นอกจากนี้เขามองว่าบริษัทนั้นถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว
อย่างไรก็ดีผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสูงสุดของ Sea ยังได้กล่าวว่าบริษัทได้จับตามองสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในปีนี้เขายังพยายามที่จะทำให้บริษัทกลับมามีกำไร และมองว่าเทรนด์ของ E-commerce ในระยะยาวนั้นจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
]]>สำหรับจำนวนการปลดพนักงานของ Shopee ประเทศไทย มีทั้งพนักงานประจำ รวมถึงพนักงานสัญญาจ้างจากหลายแผนก เช่น ShopeePay เป็นต้น ซึ่งเบื้องต้นที่ Positioning ได้ข้อมูลมานั้นคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 200 ราย
การปลดพนักงานของ Shopee ประเทศไทยถือว่าเป็นครั้งที่ 2 แล้ว หลังจากครั้งแรกมีการปลดพนักงานในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา Sea Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Shopee ได้ปลดพนักงาน Shopee ที่สิงคโปร์ จีน รวมถึงอินโดนีเซีย โดยบริษัทให้เหตุผลในเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Sea Group ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 โดยที่รายได้รวมของบริษัทยังเติบโตมากถึง 29% เมื่อเทียบกับปี 2021 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี บริษัทยังรายงานผลขาดทุนอยู่ถึง 931 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 32,993 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ Forrest Li ได้กล่าวในจดหมายบริษัทที่ส่งให้กับพนักงานว่าเขาและผู้บริหารจะไม่รับเงินเดือนของบริษัทจนกว่าบริษัทจะกลับมาเติบโตและเลี้ยงตัวเองได้ และเขากล่าวว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจนั้นไม่ใช่พายุที่พัดผ่านโดยใช้เวลาไม่นาน แต่ปัญหาเหล่านี้ถือว่าเป็นปัญหาระยะกลาง หลังจากสภาวะเศรษฐกิจรวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
แหล่งข่าวของ Positioning ยังได้กล่าวว่า Shopee ประเทศไทย ยังมีการปรับลดสวัสดิการของพนักงานลงรวมถึงแสดงความกังวลว่าบริษัทอาจมีการปลดพนักงานอีกครั้งหลังจากนี้ด้วย
]]>สื่อต่างประเทศหลายแห่งได้รายงานถึงการปลดพนักงาน ไม่ว่าจะเป็น Bloomberg ได้รายงานว่า Shopee ได้ปลดพนักงานคิดเป็นสัดส่วน 3% ในประเทศอินโดนีเซีย โดยการปลดพนักงานนั้นบริษัทให้เหตุผลเรื่องของประสิทธิภาพของธุรกิจ รวมถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป
ไม่ใช่แค่อินโดนีเซียเท่านั้น Business Times สื่อธุรกิจของสิงคโปร์รายงานว่า Shopee เองก็ได้ปลดพนักงานในสิงคโปร์รวมถึงที่จีน ไม่ว่าจะเป็นแผนกบุคคล ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายการตลาด รวมถึงวิศวกร อย่างไรก็ดี จำนวนพนักงานที่ถูกปลดทั้ง 2 แห่งนั้นไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Shopee ได้ทำการปลดพนักงานในหลายประเทศลง โดยผลกระทบดังกล่าวนี้ส่งผลหนักต่อพนักงาน ShopeeFood และ ShopeePay ในหลายตลาด ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมประเทศไทยแล้วยังมี ไต้หวัน บราซิล เม็กซิโก ชิลี และโคลอมเบียด้วย
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Sea Group ได้ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 โดยที่รายได้รวมของบริษัทยังเติบโตมากถึง 29% เมื่อเทียบกับปี 2021 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี บริษัทยังรายงานผลขาดทุนอยู่ถึง 931 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 32,993 ล้านบาท
บริษัทแม่ของ Shopee ได้ให้เหตุผลสำคัญว่าสภาวะเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไป ทำให้บริษัทเน้นทำธุรกิจในประเทศที่มีโอกาสทำกำไร รวมถึงปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อที่จะลดการขาดทุน และปูทางสู่เส้นทางกำไร
]]>แผนกอีคอมเมิร์ซของ Sea Group ได้แจ้งพนักงานว่ากำลังปิดการดำเนินงานใน 4 ประเทศ โดยในประเทศชิลี โคลอมเบีย และเม็กซิโก จะปรับเปลี่ยนไปเน้นที่รูปแบบ ธุรกิจข้ามพรมแดน แทน ส่วนในประเทศ อาร์เจนตินา จะเป็นการ ยุติกิจการทั้งหมด
Chris Feng หัวหน้าผู้บริหารของ Shopee ระบุถึงสาเหตุว่า “จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในปัจจุบัน บริษัทจำเป็นต้องมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่การดำเนินงานหลัก และตัดสินใจที่จะเลือกทำธุรกิจแบบข้ามพรมแดนในเม็กซิโก โคลอมเบีย และชิลีแทน”
ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Sea Group ได้ประกาศยุติกิจการของ Shopee ใน อินเดียและฝรั่งเศส และในเดือนมิถุนายนก็ได้ลดการจ้างงานทั้งในส่วนของแผนกอีคอมเมิร์ซและจัดส่งอาหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และการละตินอเมริกา นอกจากนี้ Shopee ได้ยกเลิกการจ้างงานหลายสิบตำแหน่งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2021 ที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทของ Sea Group เพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากหน่วยเกมและอีคอมเมิร์ซได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของ COVID-19 แต่ปัจจุบันหุ้นของบริษัทร่วงลงตั้งแต่นั้นมา และตอนนี้มีมูลค่าเพียง 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์
]]>ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจ Entertainment ของบริษัทได้รับปัญหาจากการแบนเกมของบริษัทในประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันนั้นยังไม่มีท่าทีผ่อนคลายจากรัฐบาลแต่อย่างใด ขณะเดียวกันบริษัทยังต้องมีการปลดพนักงาน รวมถึงชะลอการขยายธุรกิจ หรือแม้แต่ยกเลิกการธุรกิจในประเทศที่คาดการณ์ว่าอาจไม่สร้างกำไร เช่น ในโปแลนด์ เป็นต้น
นอกจากนี้เป้าของบริษัทยังเปลี่ยนมาเป็นความพยายามที่จะทำให้บริษัทมีกำไรให้ไวที่สุดด้วย
ตัวเลขแยกตามธุรกิจในไตรมาส 2
นอกจากนี้ Sea Group ยังคาดการณ์ว่าตัวเลขในธุรกิจ e-commerce ในปี 2022 นี้จะอยู่ที่ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ลดลงจากเดือนพฤษภาคมหลังงบไตรมาส 1 ออกมา ซึ่งบริษัทคาดไว้ที่ 8,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนของหุ้น Sea Group ได้ตกลงไปมากถึง 73.04% ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 1.78 ล้านล้านบาทเท่านั้น
ที่มา – Sea Group, Bloomberg
]]>มีรายงานว่า ยักษ์ใหญ่ในตลาดอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee ได้ทำการปลดพนักงานในหลายประเทศลง โดยผลกระทบดังกล่าวนี้ส่งผลหนักต่อพนักงาน ShopeeFood และ ShopeePay ในหลายตลาด ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วยังมี ไต้หวัน บราซิล เม็กซิโก ชิลี และโคลอมเบีย
ทั้งนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Shopee ไม่ได้เปิดเผยถึงเหตุผลในการเลิกจ้างครั้งนี้ แต่ที่น่าตกใจคือ ในรายงานระบุว่า จำนวนพนักงานของ ShopeeFood และ ShopeePay ในประเทศไทย โดนปลดออกถึง ครึ่งหนึ่ง โดย บริษัทขอให้พนักงานกลับบ้านและรออีเมลแจ้งการเลิกจ้าง โดยแหล่งข่าววงในยืนยันว่า มีการปลดจริง โดยพนักงานล็อตแรกที่ถูกปลดจะมีผลทันทีวันพุธนี้ (15 มิถุนายน 2565)
สำหรับเหตุการณ์ลดคนงานครั้งใหญ่นี้ เกิดหลังจากที่มีข่าวหลุดออกมาว่า Shopee จะปิดกิจการในอินเดีย โดยเลิกจ้างพนักงานกว่า 300 คนในประเทศ หลังจากที่เข้าไปทำตลาดได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น นอกจากนี้ Shopee ยังถอนตัวออกจาก ตลาดฝรั่งเศส หลังจากดำเนินธุรกิจได้ 5 เดือน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ Sea Group ไตรมาส 1/2022 รายได้รวมของทั้งกลุ่มบริษัท (GAAP Revenue) อยู่ที่ 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 64.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรขั้นต้น อยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 81.3%
ส่วน Shopee ที่ถือเป็นบริษัทในเครือมีรายได้ (GAAP Revenue) 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 64.4% ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อโดยรวมอยู่ที่ 1.9 พันล้านออเดอร์ เพิ่มขึ้น 71.3% และมีมูลค่าการขาย (GMV) 17.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 38.7%
ด้านผลประกอบการของ Shopee ในไทย จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังคงขาดทุนต่อเนื่อง