Top Glove บริษัทยักษ์ถุงมือยางจากมาเลเซีย มีพนักงานรวมเกือบ 5,800 คน แต่หลังจากโรค COVID-19 ระบาดซ้ำในมาเลเซีย บริษัทตรวจพบว่าพนักงาน 2,453 คนติดเชื้อ
โรงงานและหอพักพนักงานของ Top Glove นั้นอยู่ในย่าน Meru ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดรอบใหม่เมื่อมีพนักงานติดเชื้อมากเกินครึ่ง ส่งผลให้บริษัทต้องปิดสายการผลิต 16 แห่งซึ่งอยู่ในย่านเสี่ยงสูงชั่วคราว ขณะที่อีก 12 แห่งเริ่มลดกำลังผลิตลง และบริษัทมีแผนจะปิดชั่วคราวโรงงานทั้ง 28 แห่งนี้ จากจำนวนโรงงานทั้งหมดที่มีในมาเลย์ 41 แห่ง เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายโรคในหมู่พนักงาน
Top Glove กล่าวว่า บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดถุงมือยางทั่วโลกถึง 26% เป็นตัวเลขที่ทำให้บริษัทเป็นเจ้าตลาดอันดับ 1 ผ่านการผลิตถุงมือยางปีละ 9 หมื่นล้านคู่ และมีโรงงานทั้งในมาเลย์ จีน ไทย และเวียดนาม
จนถึงปัจจุบัน จำนวนถุงมือยางในโลกก็ยังแทบไม่เพียงพอหลังจากเกิดโรคระบาด COVID-19 ขึ้น ดีมานด์การใช้งานในโลกพุ่งสูงจนการส่งออกของ Top Glove เติบโตถึง 48% และสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางมาเลเซียเคยคาดการณ์ไว้ว่า สภาวะขาดแคลนถุงมือยาง รวมถึงชุด PPE จะเป็นเช่นนี้ไปจนถึงปี 2022 เลยทีเดียว
ดังนั้น การปิดโรงงานกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทรายใหญ่แห่งนี้อาจจะเป็น ‘ข่าวร้าย’ สำหรับคนทั่วโลก เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงที่ COVID-19 เริ่มระบาดใหม่ๆ เมื่อบุคลากรการแพทย์ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัส ก็จะทำให้บุคลากรด่านหน้าเหล่านี้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเมื่อติดเชื้อแล้วระบบสาธารณสุขก็จะขาดบุคลากรการแพทย์ไว้รับมือโรคในระยะต่อไป
อีกแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้ การติดเชื้อในหมู่พนักงาน Top Glove ทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจความเป็นอยู่ของพนักงานโรงงานถุงมือยางมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเนปาล บังกลาเทศ และอื่นๆ ที่อพยพเข้ามาทำงานในมาเลย์ และเมื่อดีมานด์ถุงมือยางในโลกสูงขึ้นจาก COVID-19 พนักงานเหล่านี้จะต้องทำงานถึง 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (หรือเฉลี่ยมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่มีวันหยุด) และนอนแออัดกันในหอพักคนงาน รวมถึงได้ค่าจ้างต่ำ
ก่อนหน้านี้ กรมศุลกากรและป้องกันชายแดน (CBP) ของสหรัฐอเมริกา เคยกักสินค้าจากบริษัทลูกของ Top Glove ไม่ให้เข้าประเทศมาแล้ว เพื่อเป็นการตอบโต้บริษัทที่ต้องสงสัยว่าใช้แรงงานบังคับ โดย Top Glove เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกรายงานว่า มีการบังคับให้พนักงานจ่ายเงินเพื่อเข้าทำงานในโรงงานถุงมือยาง เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานใช้หนี้และถูกผูกมัดไว้กับนายจ้าง
ขณะที่ ลิม วี ไช ผู้ก่อตั้ง Top Glove เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 14 ของมาเลเซีย ประจำปี 2020 จัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes เขามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิถึง 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากราคาหุ้น Top Glove พุ่งทะยาน 280% ในรอบ 4 เดือน (เม.ย.-ก.ค. 63)
อย่างไรก็ตาม ข่าวปิดโรงงานทำให้หุ้นบริษัท Top Glove ตกลง 7.48% ในวันอังคารที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา
]]>Lim Wee Chai ประธานบริหารของ Top Glove Corporation Bhd ให้สัมภาษณ์กับ Reuters ว่า เมื่อช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดคำสั่งซื้อจากยุโรปและอเมริกา เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของกำลังผลิตปกติ จากเดิมที่บริษัทเคยผลิตได้วันละ 200 ล้านชิ้น มีส่วนเเบ่งการตลาดอยู่ถึง 1 ใน 5 ของถุงมือยางที่จำหน่ายทั่วโลก
โดยลูกค้าบางรายกำลังตื่นตระหนกกับการระบาดของ COVID-19 จากปกติแล้วพวกเขาจะสั่งซื้อราว 10 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน แต่ตอนนี้พวกเขาเพิ่มการสั่งซื้อเป็น 20 ตู้คอนเทนเนอร์
“จะมีปัญหาการขาดแคลนเกิดขึ้นแน่นอน เพราะพวกเขาสั่งมากขึ้น 100% เเต่เราเพิ่มกำลังการผลิตได้เเค่ 20% เท่านั้น จึงจะมีการขาดแคลนประมาณ 50% ถึง 80% ของความต้องการในตลาด” ผู้บริหาร Top Glove กล่าว
พร้อมคาดการณ์ว่าการสั่งซื้อถุงมือจำนวนมากจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีก 3 เดือน เเละยอดสั่งซื้อจะยังคงอยู่ระดับสูงต่อไปอีก 9 เดือน แม้ว่าตอนนั้นความต้องการในตลาดเอเชียจะเริ่มลดลงเเล้วก็ตาม
ทั้งนี้ บริษัทจะเพิ่มเครื่องจักรใหม่ทุกสัปดาห์และคาดว่าจะสามารถเพิ่มการผลิตให้ได้ถึง 30% โดยกำลังหาเเรงงานเพิ่มราว 1,000 คน เพื่อผลิตให้ทันกับความต้องการของตลาด
“เราต้องการพนักงานเพิ่มประมาณ 10% ในช่วงนี้ เเต่เนื่องจากถูกจำกัดการเดินทางจึงไม่สามารถจ้างเเรงงานเพิ่มจากเนปาลได้ ดังนั้นเราจึงต้องใช้แรงงานท้องถิ่นเพื่อช่วยในการเเพ็กสินค้าโดยเฉพาะ”
ที่มา : Reuters
]]>