“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ SC แถลงเปิดตัวสิทธิประโยชน์ลูกบ้าน SC รูปแบบใหม่ “Morning Coin” เหรียญยูทิลิตี้ โทเคนบนระบบบล็อกเชน ที่ได้รับความร่วมมือจาก Token X บริษัทในเครือ SCBX ช่วยในการวางระบบ ทำให้เชื่อถือได้ถึงความปลอดภัยและความเสถียรในการใช้งาน
โดยวิธีการได้รับเหรียญ Morning Coin (MNC) สามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ 1) เป็นผู้ซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมของ SC Asset และ 2) ซื้อสินค้าต่างๆ ภายในแอปพลิเคชัน RueJai App
หลังจากได้รับเหรียญ Morning Coin แล้ว จะสามารถนำมาแลกใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ โดยบริษัทแบ่งออกเป็น 3 ด้านภายใต้ SC Asset Reward Program “The S.U.N.” ดังนี้
ปัจจุบันลูกบ้าน SC Asset สามารถเปิด MNC Wallet ใน RueJai App ได้ทันที และหากสมัครเปิดวอลเล็ตภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2567 จะได้รับเหรียญ 5,000 MNC ทันที
SC Asset จะมีการเปิดอีเวนต์แรกเพื่อเปิดตัวและทดลองใช้งาน Morning Coin ในงานตลาดนัด “ซันไชน์ มาร์เก็ต” ที่ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ วันที่ 17-19 พ.ค. 2567 ซึ่งจะเป็นการรวมสินค้าและธุรกิจของลูกบ้าน SC มาออกร้านในงาน ขณะที่ลูกบ้านนักช้อปท่านอื่นสามารถใช้ Morning Coin มาลองแลกรับส่วนลดและสิทธิพิเศษในงานได้
นอกจากนี้ ในด้านการแลกสิทธิ “กิจกรรม” ทางบริษัทแย้มว่าจะมีอีเวนต์ 4 งานในปีนี้ให้สำหรับผู้ถือ Morning Coin ได้แก่
ขณะที่ในด้าน “เครือข่าย” ลูกบ้าน บริษัทเตรียมประเดิมสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ “Orange Pages” ให้ลูกบ้านที่ทำธุรกิจหรือขายสินค้า/บริการสามารถลงทะเบียนประกาศไว้ในเครือข่ายได้ เพื่อให้ลูกบ้าน SC ได้รู้จักกันและอุดหนุนกันและกันได้ง่ายขึ้น
ลูกบ้าน SC ในขณะนี้มีอยู่ 26,000 ยูนิต และมีสมาชิกบน RueJai App แล้วกว่า 100,000 คน โดยทางบริษัทวางเป้าว่าในจำนวนนี้จะมีผู้สมัครเปิด MNC Wallet มากกว่า 80%
Morning Coin ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของ SC ในการสร้างความเข้มแข็งให้งานบริการหลังการขาย จากที่ผ่านมา SC เน้นวางพื้นฐานด้วยการดูแลเชิงกายภาพ (Physical) ให้กับลูกบ้าน เช่น การแจ้งเตือนรอบซ่อมบำรุง–ล้างบ่อเกรอะ–ฉีดปลวก แต่ระบบพริวิลเลจนี้จะเป็นการดูแลเชิงอารมณ์ความรู้สึก (Emotional) ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าแบรนด์สร้างคุณค่าให้มากกว่าการซื้อบ้านหนึ่งหลังนั่นเอง
]]>ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล ผู้ผลิตและสร้างสรรค์ภาพยนตร์-ซีรีส์แอนิเมชัน ควงพันธมิตรทั้งไทย-เทศเปิดตัวระบบนิเวศของ “คราวน์ โทเคน” (CWT) และพัฒนาแพลตฟอร์ม NFT ในชื่อ “ADOT” สร้างประสบการณ์เชื่อมต่อคอนเทนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญา (IPs) กับโลกการเงินดิจิทัล มุ่งไปสู่โลกอนาคตใน “เมตาเวิร์ส” โดยเหรียญ CWT เริ่มเทรดบน ZIPMEX แล้วตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) (T&B Media Global Thailand) เป็นผู้ผลิตและสร้างสรรค์ภาพยนตร์-ซีรีส์แอนิเมชันชั้นนำของไทย ผลิตผลงานทั้งที่ฉายในไทยและต่างประเทศ โดยมีงานที่ชาวไทยรู้จักดีอย่าง “เชลล์ดอน” มาถึงวันนี้ T&B กำลังก้าวไปอีกขั้นของการสร้างระบบนิเวศในธุรกิจสื่อบันเทิง ผ่านการจับมือพันธมิตรหลากหลายสร้าง “คราวน์ โทเคน” (CWT) และแพลตฟอร์ม “ADOT” สำหรับซื้อขาย NFT
คราวน์ โทเคนนี้เป็นเหรียญรูปแบบ Utility Token ที่จะมาเชื่อมโยงกับ ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IPs) ซึ่งก็คือคอนเทนต์และคาแรกเตอร์ที่ครีเอเตอร์ผลิตออกมาผ่านสื่อภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน เปิดประสบการณ์ใหม่ของผู้ถือคราวน์ โทเคนจะได้มีส่วนร่วมและรับสิทธิประโยชน์กับคอนเทนต์ ในแบบที่แตกต่างจากที่เคย
รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์ม ADOT มาเป็นพื้นที่ซื้อขาย สะสม แลกเปลี่ยน NFT จากครีเอเตอร์ ทำให้เกิดคอมมูนิตี้ เกิดกิจกรรมใหม่ระหว่างครีเอเตอร์กับแฟนๆ
แน่นอนว่า T&B ไม่ได้สร้างระบบนิเวศนี้ด้วยตัวคนเดียว “ดร.ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์” ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศที่จะร่วมกันสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็น
พันธมิตรระดับโลกอย่าง Mr. Andrew รวมถึง Mr. Kenji Xiao และ Sunac Culture Group จะร่วมกับ T&B ทุ่มทุนสร้างผลงานแอนิเมชันสู่ตลาดโลก 6 เรื่อง ระหว่างปี 2022-2025 ได้แก่ Legends of the Two Heroes, FriendZSpace, Looking for Gods, New Legend, The Forestias และ Blue City ซึ่งแอนิเมชันเหล่านี้จะถูกนำไปต่อยอดเป็น NFT บนแพลตฟอร์ม ADOT อีกด้วย
“ดร.ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์” ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด
คุณพรรณธร ลออรรถวุฒิ, CFA, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มบริษัท T&B Media Global และ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท VUCA Digital กล่าวว่า แพลตฟอร์ม ADOT จะเชื่อม IPs ที่ทั้งมีทั้งภาพยนตร์ ละคร แอนิเมชัน เพลง และเอ็นเทอร์เทนเมนต์ในรูปแบบต่างๆ มาสู่สินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Digital Assets ซึ่งจะสร้างโอกาสเพิ่มมูลค่าและต่อยอดให้กับศิลปินคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ ผู้ผลิต
รวมไปถึงผู้ชมจะได้มีส่วนร่วมและได้รับประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ เมื่อเข้าถือครองคราวน์ โทเคน- CWT จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย ทั้งการรับ NFT Airdrop จากแอนิเมชันทั้ง 6 เรื่อง สิทธิในการโหวตทิศทางของภาพยนตร์และแอนิเมชันในเครือ T&B สิทธิในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์และ NFT รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ จาก SMO Live Platform ซึ่งพัฒนาโดย Tree Roots Entertainment บริษัทในเครือ T&B และที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมใน “Translucia Metaverse” ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ ของ T&B
คุณพรรณธร ลออรรถวุฒิ, CFA, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มบริษัท T&B Media Global และ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท VUCA Digital
สำหรับแพลตฟอร์ม ADOT จะทำอะไรได้บ้าง? Mr. Roy Hui, Pellar Technology ประเทศออสเตรเลีย ผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนระดับสากล จะเป็นผู้พัฒนาโปรเจ็กต์นี้ Hui อธิบายถึงทิศทางของแพลตฟอร์ม NFT ใหม่นี้ว่า จะมีลูกเล่นให้กับครีเอเตอร์มากขึ้น เช่น Utility Function ครีเอเตอร์สามารถกำหนดได้ว่าเมื่อนักสะสมเก็บผลงานครบทั้งคอลเล็กชันแล้ว สามารถนำมาแลกเป็น NFT ชิ้นพิเศษได้ ซึ่งจะทำให้ได้สิทธิต่อเนื่องเป็นการเข้า Meet & Greet กับศิลปิน
คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า MQDC ได้เห็นความสำคัญกับการนำนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ อย่างเช่น โทเคนดิจิทัล มาต่อยอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในกลุ่มที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ สำนักงาน ศูนย์การค้า ธุรกิจการให้บริการ รวมถึงนวัตกรรมทางการเงิน ภายใต้แนวคิด “For All Well-Being” พร้อมตอกย้ำความเชื่อมั่นว่านวัตกรรมการเงินในครั้งนี้จะผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป
คุณวิบูลย์ ลีรัตนขจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเซิร์ช ได้ประกาศความเป็นไปได้ด้วยความร่วมมือของบริษัท Search Entertainment จะเป็นผู้ผลิตและดูแลการสร้างคอนเทนต์ NFT ขณะที่ VUCA Digital จะดูแลด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและการสร้างคอมมูนิตี้
ดร.เอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด อีกหนึ่งพันธมิตรที่สำคัญของ T&B ได้กล่าวแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของการนำ CWT เข้าไปลิสต์บน ZIPMEX ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2565 ซึ่งถือเป็นก้าวใหม่ของวงการบันเทิงในการต่อยอดธุรกิจ
พันธมิตรในการสร้างอีโคซิสเต็มนี้ต่างเห็นตรงกันว่า แพลตฟอร์ม NFT และเหรียญ CWT จะช่วย “เปลี่ยน” และ “เปิด” โอกาสธุรกิจใหม่ให้กับอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง ช่วยสร้างรายได้ ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และทำให้ครีเอเตอร์กับแฟนๆ มีส่วนร่วมในคอมมูนิตี้โลกเสมือน สร้างนวัตกรรมการเงินรูปแบบใหม่ที่ไร้ขีดจำกัด โดย “คราวน์ โทเคน” กำลังจะเปิดซื้อขายในระดับภูมิภาคเร็วๆ นี้อีกด้วย
]]>การร่วมทุนและเข้าซื้อกิจการกำลังมาแรง! รวมถึง “แอสเซทไวส์” ก็ไม่ตกเทรนด์นี้เช่นกัน ประเดิมปี 2565 ด้วย 2 ดีลใหญ่ จับมือร่วมทุนญี่ปุ่น “ทาคาระ เลเบ็น” พัฒนาคอนโดฯ “แอทโมซ บางนา” มูลค่ากว่า 2,200 ล้านบาท ส่วนอีกดีลหนึ่งเป็นการเข้าซื้อบริษัท “แม็กซี่ พรีเมียร์ วัน” ทำให้แอสเซท ไวส์ได้เป็นผู้พัฒนาคอนโดฯ “Maxxi Prime Ratchada-Sutthisan” บนทำเลทองย่านรัชดาฯ สร้างใกล้เสร็จพร้อมรับรู้รายได้ภายในต้นปีนี้
“กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ประกาศดีลใหญ่ 2 ดีล ประเดิมต้นปี 2565 เปิดดีลแรก “ร่วมทุน” กับอสังหาริมทรัพย์เก่าแก่จากญี่ปุ่น “บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวมากว่า 500 โครงการ และกำลังจะครบรอบ 50 ปีในปีนี้
การร่วมทุนกับทาคาระ เลเบ็น จะร่วมมือกันโครงการแรกที่ “แอทโมซ บางนา” คอนโดฯ ย่านบางนา มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนถือหุ้น ASW ถือ 51% และ ทาคาระ เลเบ็น ถือ 49%
รายละเอียดโครงการแอทโมซ บางนา ตั้งอยู่บริเวณ ถ.บางนา-ตราด กม.4 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีศรีเอี่ยม โดยเป็นคอนโดฯ สไตล์รีสอร์ต สูง 8 ชั้น 5 อาคาร จำนวน 1,103 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท
ฝั่ง “คาซูอิชิ ชิมาดะ” ซีอีโอ บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด กล่าวว่า บริษัทสนใจเข้าลงทุนด้านอสังหาฯ ในประเทศไทย เนื่องจากมีศักยภาพเติบโตเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มต่อเนื่องทั้งรถไฟฟ้าสายใหม่ในกรุงเทพฯ และรถไฟความเร็วสูง
ส่วนเหตุที่เลือกจับมือกับแอสเซทไวส์ เพราะเล็งเห็นว่าเป็นบริษัทมหาชนที่มีความมั่นคง อนาคตไกล โครงการที่พัฒนามามีคุณภาพ และมีปรัชญาทำธุรกิจตรงกันคือ ยึดมั่นในการออกแบบความสุขเพื่อการอยู่อาศัย
อีกดีลหนึ่งของแอสเซทไวส์เป็นการ “เข้าซื้อกิจการ” บริษัท แม็กซี่ พรีเมียร์ วัน จำกัด ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้แอสเซทไวส์ได้โครงการเพิ่มเข้ามาในพอร์ตทันทีคือ “โครงการ แม็กซี่ ไพรม์ รัชดา–สุทธิสาร” (Maxxi Prime Ratchada-Sutthisan) มูลค่าโครงการ 570 ล้านบาท
กรมเชษฐ์กล่าวว่า ดีลนี้มีจุดที่น่าสนใจคือคอนโดมิเนียม แม็กซี่ ไพรม์ รัชดา-สุทธิสาร ก่อสร้างไปแล้ว 83% และมีกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยที่โครงการมียอดพรีเซลแล้ว 70% ทำให้บริษัทจะได้รับผลตอบแทนจากโครงการนี้เร็ว เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ลดความเสี่ยงจากการพัฒนาตั้งแต่ยังเป็นที่ดินเปล่า
รายละเอียดโครงการแม็กซี่ ไพรม์ รัชดา-สุทธิสาร เป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวนห้องชุด 218 ยูนิต ตั้งอยู่ห่างจาก MRT สถานีสุทธิสารเพียง 400 เมตร ใกล้แหล่งงานใน New CBD ถนนรัชดาภิเษก อยู่ในพื้นที่ชุมชนที่สะดวกสบาย จึงเป็นคอนโดฯ ทำเลทองที่แอสเซทไวส์ได้รับเข้ามาเสริมพอร์ต ปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ 1.9-3.79 ล้านบาทต่อยูนิต
กรมเชษฐ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ดีลทั้งสองดีลนี้จะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการไปสู่เป้าหมายรายได้ของแอสเซทไวส์ปี 2565 โดยการร่วมทุนกับบริษัทพันธมิตรที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จะทำให้แอสเซทไวส์ได้ลดความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ ส่วนการเข้าซื้อกิจการในเวลาที่เหมาะสม เปรียบเสมือนได้ “ขึ้นทางด่วน” ทำให้บริษัทเติบโตเร็วขึ้น
เทรนด์การร่วมทุนและการเข้าซื้อกิจการของวงการอสังหาฯ นั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีก่อน โดยบริษัทที่สามารถเข้าเทกโอเวอร์โครงการอื่นได้ย่อมต้องมีความแข็งแกร่งทางการเงิน และการจับมือร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์โดยเฉพาะพันธมิตรต่างชาติระดับโลกเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าแอสเซทไวส์เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
นอกจากนี้ แอสเซทไวส์ยังพัฒนารับกระแส “สินทรัพย์ดิจิทัล” ผ่านการเข้าร่วมในระบบนิเวศของ Popcoin เพื่อจะนำมาใช้ในการทำการตลาด โดยกรมเชษฐ์เปิดเผยว่า เหรียญสกุลนี้ซึ่งเป็น Utility Token จะมีบทบาทพลิกโฉมกลยุทธ์ทางการตลาด สร้างสิทธิประโยชน์แบบใหม่ให้กลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าแบรนด์ Kave Condo ที่เน้นนักศึกษา คนรุ่นใหม่ นับว่าแอสเซทไวส์สามารถจับกระแสการทำธุรกิจได้อย่างรวดเร็วในทุกมิติ เป็นอีกหนึ่งค่ายอสังหาฯ ที่ต้องจับตามองของปีนี้!
]]>