พีแอนด์จีลดต้นทุนแถมได้ภาพ CSR

ภาพของท่อก๊าซธรรมชาติจาก ปตท. ที่จะส่งตรงเข้าสู่โรงงานของพีแอนด์จีที่เวลโกรว์ทางใต้ดิน จะแล้วเสร็จภายในปี 2552 นี้ คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมชัดเจขององค์กรที่ได้ชื่อว่า ยอมรับ ปรับตัวต่อสถานการณ์ความผันผัวนได้เป็นอย่างดี

ปริญดา หัศฎางค์กุล กรรมการผู้จัดการ พีแอนด์จี ประเทศไทย บอกว่า พีแอนด์จีตั้งเป้าให้ปี 2551 เป็น “ปีแห่งการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม”

การดำเนินนโยบายในรูปแบบ “CSR ลดต้นทุน” เช่นนี้ ทำให้พีแอนด์จีได้ทั้ง Brand Image และประหยัดงบประมาณ ขณะเดียวกันก็ทุ่มเม็ดเงินเพื่อพัฒนาผลงานด้านครีเอทีฟผ่านสื่อต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ในเครือพีแอนด์จีอย่างไม่หยุดยั้ง

พีแอนด์จี ได้ทุ่มเม็ดเงินกว่า 450 ล้านบาท เพื่อเอาจริงเอาจังในการลดต้นทุนใน 3 ด้าน ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้ 90 ล้านบาทต่อปี คือ

1. เปลี่ยนรูปแบบโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ซึ่งเดิมใช้น้ำมันหนัก ไปเป็นโรงงานที่ใช้ก๊าซธรรมชาติในกระบวนการผลิต ทำให้ลดการเผาผลาญน้ำมันได้ปีละ 2 ล้านลิตร
2. ลดการใช้น้ำ 38 % “มีการดีไซน์เครื่องจักรเพื่อลดการใช้น้ำ เช่น ท่อบรรจุผลิตภัณฑ์มีขนาดสั้นลง ทำให้ใช้น้ำในการล้างน้อยลง เป็นต้น”
3. ลดการปล่อยน้ำเสีย 85%

อย่างไรก็ตามปริญดาบอกว่าสิ่งที่ทำเป็น A must โดยแท้

“ถ้าไม่ทำ ก็แบกไม่ไหว ถึงทำแล้วก็ยังแบกไม่หมด”

นอกจากนี้ในแง่ดีไซน์ของแพ็กเกจจิ้งที่มีขนาดเล็กลงนั้นเป็นไปเพื่อสอดรับกับนวัตกรรมที่มีความเข้มข้นขึ้นทำให้ใช้พื้นที่จัดเก็บน้อยและช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการทำลายได้

ปริญดา บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า นโยบายแรกของพีแอนด์จี คือ การออกแบบผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อความคุ้มค่าของผู้บริโภค และยังผลพลอยได้เรื่องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ยิ่งช่วยกระตุ้นให้ R&D พัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์เพื่อประโยชน์แบบ 2 เด้งนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งพีแอนด์จีทั่วโลกใช้งบ R&D ราว 67,000 ล้านบาท

ทำให้รอบบัญชีปี 2551 ของพีแอนด์จี ประเทศไทย จะเตรียมขนนวัตกรรมออกมาสู่ตลาดร่วม 25 รายการ

ขณะที่การเทรนนิ่งอย่างเข้มข้นไม่เคยลดน้อยลงเลย นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้พีแอนด์จีประสบความสำเร็จในระดับโลก และมีรางวัลที่น่าเชื่อถือการันตีไม่น้อย อาทิ

รางวัลจาก Fortune คือ Global Most Admired Company 2008 ในอันดับ 5 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในบริษัทผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องใช้ส่วนบุคคล รางวัล Best Company to work for 2007 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรางวัลจาก Business Week คือ Most Innovative Company 2008 อันดับ 8 เป็นต้น และล่าสุดกับรางวัล Advertiser of the year จาก Cannes Lions 2008

ความสำเร็จต่างๆ ที่ได้มาขององค์กรขนาดใหญ่เช่นนี้ ได้มาเพราะการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์วิกฤตต่างๆ อยู่เสมอ ไม่ใช่แค่การทุ่มงบทำการตลาดอย่างบ้าคลั่งเพียงอย่างเดียว

Did you know?

พีแอนด์จีมีส่วนแบ่งการตลาด 1 ใน 4 ของตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและบำรุงผิวทั่วโลก โดยเป็นผู้นำ อันดับ 2 คือ ลอรีอัล อันดับ 3 คือ คิมเบอร์ลี่ คล๊าก อันดับ 4 คือ เฮงเคิล