“เจ๊ดา” ขาประจำ “ไฮโซ”

หากพูดถึงบุคคลในวงสังคม หรือ “ไฮโซ”… ใบหน้าแรกที่คุ้นเคยและถูกนึกถึงในวูบแรกมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “ดารุณี กฤตบุญญาลัย” สาวสังคมที่ออกงานบ่อยที่สุดคนหนึ่ง และเรียกแสงแฟลชจากช่างภาพได้มากที่สุดด้วยเช่นกัน จนหลายคนจัดเธอเป็น “celeb” ของสาวสังคมรุ่นใหญ่

เมื่อทีม POSITIONING ไปดักเจอเธอตามงานสังคมโดยไม่นัดหมาย ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง และขอไปบุกบ้าน โดยใช้เวลาครึ่งวันติดตามเธอ… บ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ของเธอ กำลังถ่ายทำรายการ “พ่อครัวตัวน้อย” จนเสร็จเราจึงได้สัมภาษณ์เธอ แต่ทว่าเป็นการสัมภาษณ์บนรถของเธอ ระหว่างเดินทางไปทำผมและแต่งหน้า เพื่อเตรียมออกงานเลี้ยงของบริษัท เวิร์ค พอยท์ ก่อนเธอจะเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ ในคืนวันเดียวกัน

“พี่ไม่ใช่ไฮโซ แต่พี่สามารถเข้าสังคมของพวกเขาเหล่านั้นได้ เพราะสถานภาพของเราที่มีธุรกิจ มีการศึกษา และสังคมที่เราค่อยๆ เจอ ที่ผ่านมา มันทำให้เราเข้าไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างกลมกลืน เท่านั้นเอง” คำอธิบายสถานภาพนี้เป็นการเปิดประเด็นการสัมภาษณ์ แม้เธอไม่ได้รังเกียจคำนี้ แต่ดูจะไม่ยินดีที่ถูกเรียก “ไฮโซ” เพราะเธอเชื่อว่า “ไฮโซ” ที่แท้จริง คือคนที่สืบเชื้อสายชาติตระกูลมาจากเจ้านายในรั้วในวัง

ระหว่างทางไปร้านทำผม ดารุณีเล่าถึงเส้นทางสู่วงสังคมว่าจากความเป็นนักธุรกิจ เธอจึงรู้จักผู้คนมากและมีสังคมกว้างขึ้น และทำให้เธอมีกิจกรรมทางสังคมมากขึ้น ซึ่งอันที่จริงทุกสังคมล้วนมีกิจกรรมทางสังคมเหมือนกัน เช่น งานวันเกิด งานแต่งงาน งานทำบุญ หรืองานเปิดตัวสินค้าและธุรกิจ เพียงแต่กิจกรรมของสังคมไฮโซจะมีมูลค่าเงินหมุนเวียนสูงกว่า และภาพรวมของงานก็อาจหรูกว่า

สำหรับหลายคน วัตถุประสงค์การออกงานสังคมอาจต่างกันไป เช่น เพื่อสายใยทางธุรกิจ เพื่อโปรโมตแบรนด์สินค้าที่ตนดูแล เพื่อเป็น “somebody”ของสังคม หรืออาจแค่อวดความมั่งมี แต่สำหรับเธอ การออกงานก็คือส่วนหนึ่งของการอยู่ในสังคม และเป็นการพักผ่อนตอบแทนการทำงานหนักของเธอมากกว่า

“พี่ไม่เคยได้ประโยชน์เรื่องธุรกิจแม้แต่หนึ่งครั้งจากตรงนี้ เวลาออกงานพี่จะไม่ค้าขายและไม่บอกว่าเราทำอะไร เพราะพี่ไม่เคยสนใจว่าตรงนี้เป็นแหล่งรายได้ เราเองก็มีตลาดเยอะและมีหนทางไปทางธุรกิจอีกเยอะ” ทั้งนี้เธอเองก็รับว่า การออกมาจุดนี้ทำให้คนรู้จักเธอมากขึ้น และรู้ว่าเธอไม่ใช่ “ซิ้มที่ไหนก็ไม่รู้” แต่คือเจ้าของธุรกิจหลายแห่งที่ประสบความสำเร็จ

ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลใด ดารุณีมองว่าเทรนด์การตลาดวันนี้เป็นไปในทิศทางที่เอื้อให้ “ไฮโซ” มีโอกาสมากขึ้น “แทนที่โฆษณาจะเอาดารามา ก็เปลี่ยนเป็นเอา celeb ไปโฆษณาแทน เพราะคนดูไม่เชื่อว่าดาราจะใช้สินค้านั้นจริง แต่ทำเพราะได้สตางค์มากกว่า จากนั้นก็เลยมีการใช้ celeb กับสินค้าเยอะไปหมด” ซึ่งเธอก็เคยรับเชิญไปร่วมเป็น “celeb” ให้กับแบรนด์เครื่องสำอางพรีเมี่ยมอย่าง La Mer ซึ่งเธอใช้มาตั้งแต่อายุ 17 ปี

หากย้อนรอยเส้นทางในวงสังคมของดารุณี เริ่มต้นในปี 2537 เมื่อธุรกิจมั่นคงและลูกโตจนรับผิดชอบตัวเองได้ เธอเริ่มออกงานสังคมอย่างจริงจัง โดยเกณฑ์การเลือกงานที่จะออกคืองานเพื่อสังคม และงานของเพื่อนฝูงหรือคนในวงธุรกิจที่รู้จัก ซึ่งทุกงานจะต้องมีบัตรเชิญจากเจ้าภาพส่งถึงเธอโดยตรง มิเช่นนั้นเธอไม่ไป “คนอาจจะมองว่า ยายคนนี้อยากดัง ขนาดเจ้าภาพไม่เชิญยังมา” ซึ่งเธอบอกว่ามีคนกลุ่มนี้ปะปนเข้ามาในสังคมไฮโซไม่น้อย

จากวันแรกจนถึงวันนี้ ดารุณีมีความโดดเด่นด้านการแต่งตัวและการแสดงออก (entertainer) อย่างชัดเจน จนเรียกความสนใจของคนในวงสังคมและสื่อมวลชนได้ตลอดมา “เริ่มต้นจากการแต่งตัวที่โดดเด่นในยุคที่คนยังไม่พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัว และพี่เองก็ชอบแต่งตัวอย่างบ้าเลือดตามคอนเซ็ปต์งาน เพราะมันคือความสุข” นี่คือที่มาของห้องเก็บชุดเสื้อผ้าขนาดใหญ่ ที่คนงานที่บ้านถึงกับต้องขอเวลา 3 วันเพื่อเข้าไปค้นหาชุดที่เธอจะใช้

ไม่เพียงแต่เรื่องการแต่งตัว การแสดงออกที่หลุดโลกอย่างเช่น การแสดงคอนเสิร์ตร่วมกับเพื่อนไฮโซ หรือการถ่ายปฏิทินชุดเซ็กซี่ของเธอ ล้วนทำให้เธอเป็นเป้าวิจารณ์แต่ก็กลับยิ่งทำให้เธอดังขึ้น “พี่ดังก็เพราะสื่อที่ทำให้คนรู้จักและสนใจเรา เพราะโดนลงหนังสือพิมพ์บ่อยๆ มันก็เหมือน free advertising” และเพียงไม่นาน คนในวงสังคมก็เริ่มเปลี่ยนทัศนคติมองว่า จริงๆ แล้วเธอคือสีสันของงาน

เธอจึงได้รับเชิญออกงานบ่อยขึ้น จากที่เคยออกงานเฉพาะช่วงเย็นหลังเสร็จงานที่บริษัท หลังๆ งานที่ออฟฟิศของเธอจึงเหลือเพียงแค่การเซ็นเอกสารและเข้าประชุมสำคัญ โดยจะมีเลขาคนหนึ่งที่ดูแลเรื่องที่บริษัทให้ และอีกคนจะคอยดูแลเรื่องการออกงานสังคม ซึ่งเธอและเลขาต่างก็บอกไม่ได้ว่าได้รับเชิญมาแล้วกี่งานและไปจริงกี่งาน แต่สรุปได้ว่าปีหนึ่งออกงานไม่น้อยกว่า 200 วัน และบางวันไปมากถึง 4 งาน

…รถจอดข้างร้านทำผมตึกแถว ดารุณีบอกว่านี่คือร้านทำผมที่เธอทำประจำมา 8 ปี เพราะอยู่ใกล้ออฟฟิศ ซึ่งเป็นร้านที่เธอซื้อต่ออุปกรณ์และบุคลากรจากเจ้าของร้านคนเดิม แต่เธอก็ไม่ลืมบอกว่า ถ้าเป็นงานราตรี เธอจะมีช่างใหญ่ประจำ เช่น ศิริพร อังสุเวช หรือ “โอเล็ก” ทูนธรรม ส่วนช่างแต่งหน้า เธอใช้ช่างรู้ใจที่ร้าน Wedding Castle ของตัวเอง และเธอก็เลือกใช้ช่างใหญ่อย่าง “ซินดี้” นฤชาติ แทนสำหรับงานราตรี

ก่อนจากกัน ดารุณีพูดถึงวัฏจักรการเกิด generation ใหม่ในวงสังคมไฮโซว่า “เพราะรุ่นพี่แก่เกินไป หน้าก็ช้ำแล้ว สังคมก็เลยสร้างคนเป็นข่าวที่มีสีสันขึ้นมาใหม่ เพื่อให้คนทำข่าวมีข่าว หรือคนทำข่าวก็สร้างคนเป็นข่าวหน้าใหม่ขึ้นมาเอง เพราะที่ผ่านมา gab มันยาวมากจากรุ่น 50 จนมาถึงรุ่น 20-30 ซึ่งก็เป็นรุ่นลูกหลานที่เพิ่งเรียนจบกลับมา หรือเป็นนักธุรกิจใหม่ไฟแรง เมื่อมี profile ดีก็ยิ่งมีเรื่องน่าให้เขียน”

ถึงแม้ทุกวันนี้ การเป็น celeb และการออกงานสังคมจะสร้างรายได้ทางธุรกิจ ทั้งทางตรงและอ้อมให้กับกลุ่ม “ไฮโซ” ได้ไม่น้อย จนทำให้ผู้มีอันจะกินหลายคนอยากเข้าสู่วงสังคมนี้ แต่สำหรับดารุณี เธอบอกว่า ถ้าต้องตะเกียกตะกายเพื่อมาอยู่ตรงนี้เธอไม่ทำ เพราะเธอไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรจากการมายืนจุดนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จากวงสังคมนี้เธอจึงมีเครือข่ายเพื่อนสนิทที่เป็นเจ้าของธุรกิจอื่นๆ อีกหลายคน

…และก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เพราะความดังจากวงสังคมไฮโซ ที่เป็นบันไดขั้นแรกนำเธอเข้าสู่วงการบันเทิงซึ่งเป็นความใฝ่ฝันวัยเด็กของเธอ และทำให้เธอมี “ดารุณี แฟนคลับ” รวมถึง “นู้ด-เดิร์น ดารุณี” หนังสือที่เปิดเผยตัวตนและชีวิตของเธอ ซึ่งพิมพ์มาแล้วถึง 3 ครั้ง

Profile

– เส้นทางความดังของดารุณี

ดารุณีเป็นคนหนองคายโดยกำเนิด แต่สืบเชื้อสายมาจากเวียดนามและจีน พ่อเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็ก ส่วนแม่เปิดร้านขายยา ร้านทำผม และร้านตัดเสื้อ เลี้ยงลูก 3 คน เธอย้ายมากรุงเทพฯ เพื่อมาเรียนต่อ ม.7 ที่ ร.ร. เขมะสิริอนุสสรณ์ จากนั้นก็เป็นนิสิต คณะพาณิชย์-บัญชี จุฬาฯ ราว 1 ปีหลังเรียนจบ จึงแต่งงานกับ “ประกิจ กฤตบุญญาลัย” และใช้ชีวิตครอบครัวมากว่า 30 ปี มีลูก 3 คน คือ น้ำฝน น้ำพุ และน้ำนิ่ง

ปัจจุบัน ดารุณีเป็นรองประธานกรรมการบริหารบริษัทซีเนเตอร์ (ประเทศไทย) ประธานที่ปรึกษาและหุ้นส่วนโออิชิกรุ๊ป และเป็นหุ้นส่วนธุรกิจอื่นร่วมกับเพื่อน ก่อนหน้านี้ เธอยังเคยทำธุรกิจก่อสร้าง และเปิดร้านเสื้อผ้า Convento ด้วย นอกจากนี้ กับบทบาททางสังคม เธอเป็นกรรมการฝ่ายหารายได้สภาสตรีแห่งชาติ รองกรรมการฝ่ายหารายได้โครงการหัวใจไร้สาร และเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาประหยัดน้ำมันให้กับภาครัฐ

ดารุณีเข้าวงสังคมเต็มตัวเมื่อปี 2537 แต่ได้รับความสนใจและถูกพูดถึงมากในปี 2539 ก่อนจะดังเป็นพลุแตกราวปี 2541 ซึ่งตลอด 10 ปีมานี้ เธอน่าจะออกงานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000- 5,000 งาน โดยเธอตั้งเป้าเกษียณตัวเองจากงานสังคมในอีก 2 ปีข้างหน้า หาก “น้ำพุ” ลูกสาวคนที่สองมีหลานให้เธอเลี้ยง

นอกจากการออกงาน อีกส่วนของความดังของเธอยังเกิดจากการเวียนว่ายในวงการแสดง ซึ่งงานแสดงทั้งหนัง ละครและวีซีดี ใน 3 ปีที่เข้าวงการมีรวมกันกว่า 20 เรื่อง ยังเป็นอดีตพิธีกรรายการเกมโชว์ รวมถึงออกรายการต่างๆ เช่น แฟนพันธุ์แท้เพชร (เธอเป็นผู้ชนะ) เจาะใจ คนค้นคน (ตอน ค้นชีวิตคนในแวดวงสังคม) และไฮโซบ้านนอก เป็นต้น เธอยังเป็นพรีเซนเตอร์ โฆษณาประหยัดพลังงานของกระทรวงพลังงาน และเป็นดีเจคลื่น FM 95 อสมท. อีกทั้งยังมีหนังสือพ็อกเก๊ตบุ๊ค “นู้ด-เดิร์น ดารุณี” ของตัวเอง

– แบรนด์เบื้องหลังก่อนออกงาน

ปกติเวลาอยู่บ้าน ดารุณีจะแต่งตัวตามสบาย ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปแบรนด์ MNG, Guess, Morgan หรือ Mark & Spencer เป็นต้น แต่เวลาออกงาน เธอใช้ชุดที่ไม่ติดกันของแบรนด์เนมดังๆ เกือบทุกแบรนด์ โดยเฉพาะ Vercace และ Christian Dior ซึ่งเธอเป็นลูกค้าตัวจริงเสียงจริง

สำหรับร้านตัดเสื้อผ้าประจำของเธอ แบ่งเป็น สไตล์หรูเซ็กซี่ เป็นหน้าที่ของร้าน “อะมาเร่” หรือสไตล์คุณนายก็จะเป็นร้าน “ไข่” “เวนิก” แต่ถ้าออกแนวเท่ วัยรุ่น เธอใช้บริการร้าน “นาตาลี” หรือ “Inspired by Inner Complexity” เป็นต้น ส่วนเครื่องสำอางที่ใช้มากที่สุดคือ Este Lauder รองลงมาคือ Christian Dior นอกจากนี้ยังมี Trish Mc Evoy ซึ่งเธอบินไปซื้อมาจากอังกฤษ และบอดี้โลชั่นของ La Mer

– ตัวอย่างฉายาในวงการไฮโซ

Mrs. Yes : สาวสังคมใจดี ผู้ไม่เคยปฏิเสธงานกุศลหรือคำขอร้องของเจ้าภาพ

เจ๊หลุดโลก และ เจ๊โลกแตก : มาจากการแต่งตัวตามคอนเซ็ปต์ อย่างบ้าเลือดและสุดเหวี่ยง รวมถึงลีลาการเต้นและร้องรำของเธอในหลายงาน

Mrs. Perfect : จากความใส่ใจในทุกรายละเอียดของงานสังคมที่และความพิถีพิถันในการเรื่องเครื่องแต่งกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และอาจหมายถึงความสมบูรณ์ทางครอบครัว และธุรกิจที่เธอมี

ดารุณีรายวัน : เนื่องจากช่วงแรกเธอมีข่าวออกตามหนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกวัน

ไฮโซใจดี : เป็นเพราะความถี่ในการออกงานเพื่อสังคม และการทำการกุศลของเธอ