Network Management

ไม่น่าเชื่อว่าประเเป็นเพียง “เกาะเล็กๆ” มีประชากรเพียงแค่ 4 ล้านคน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเป็นของตัวเอง ต้องซื้อวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน แม้กระทั่ง “น้ำ” ก็ยังทศที่ต้องซื้อมาจากมาเลเซีย แต่สร้างประเทศจนได้ชื่อว่าเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย”

สิงคโปร์ แปรจุดอ่อนให้เป็นโอกาส ด้วยการเป็น “เมืองท่าแห่งเอเชีย” ยังขยายไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการค้านำเข้าและส่งออกสินค้า และศูนย์กลางด้านการเงิน

และสิ่งที่สิงคโปร์ทำควบคู่กันมาตลอด ก็คือ การจัดตั้งสถาบันการลงทุน และการสะสมทุน บวกกับการทุ่มเทพัฒนาเรื่องของ “คน” ซึ่งทั้งสองส่วนได้กลายเป็นอาวุธทรงพลังที่ “สิงคโปร์” ใช้ไล่ล่าอาณานิคม เข้าไปซื้อหุ้นในกิจการต่างๆ ตั้งแต่ธนาคาร ธุรกิจสื่อสาร สายการบิน ในหลายประเทศ โดยมี “ไทย”เป็น 1 ในประเทศเป้าหมายสำคัญ

เฉพาะแค่ถนนสาทรเส้นเดียว มีกลุ่มทุนจากสิงคโปร์เข้ามาเป็นหุ้นส่วนอยู่ในกิจการธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ไม่น้อยกว่า 10 แห่ง

จะว่าไปแล้ว สิงคโปร์เข้ามารุกขยายธุรกิจในไทยมานานแล้ว ผ่านกลุ่มทุนชาวจีนในไทย แต่มาปรากฏชัดมากยิ่งขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่ต้องการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับสิงคโปร์ มีการผลักดันนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศออกมาต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน สิงคโปร์ไม่ได้วาง “จุดยืน” ในการเป็นศูนย์กลางการเงินและการค้าเท่านั้น หากแต่ยังก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพ ศูนย์กลางการศึกษา ศูนย์กลางท่องเที่ยว รวมทั้งศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์

ส่งผลให้เกิดความต้องการขยายการลงทุนไปในประเทศต่างๆ เพราะยิ่งมีเครือข่ายมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งเอเชียของสิงคโปร์มากเท่านั้น

กรณีการซื้อหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นของกลุ่มเทมาเส็ก ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลสิงคโปร์ รวมทั้งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หรือแม้แต่การซื้อกิจการ ธนาคารแสตนดาร์ดชาร์เตอร์ด แห่งอังกฤษ ซึ่งครั้งหนึ่งสิงคโปร์เคยอยู่ในฐานะเมืองขึ้นของอังกฤษมาแล้ว ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Network Management ที่สิงคโปร์กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น

สกู๊ปชิ้นนี้ จะเป็นเนื้อหาสำคัญอีกชิ้น ในการฉายภาพให้เห็นถึงสาเหตุ ความเป็นไปของ “สิงคโปร์” และเป้าหมายในอนาคต ต่อการไล่ล่าอาณานิคมของสิงคโปร์ในไทย โดยใช้ทุนเป็นอาวุธ เพราะอย่างน้อยได้รู้ว่าไทยควรจะต้องเตรียมพร้อมตัวเอง และพัฒนาตัวเองให้เท่าทันได้อย่างไร