Positioning Update 10-4-60

โชว์ ดีซีควงบีอีซีเทโรบริหารพื้นที่

โชว์ ดีซีศูนย์การค้าบนย่านพระราม 9 จับมือ บีอีซี เทโร เอ็นเตอร์เทเม้นท์ จัดตั้งบริษัท บีอีซีเทโร โชว์ ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อร่วมกันบริหารพื้นที่จัดงานภายในศูนย์การค้าโชว์ ดีซี รวมกว่า 40,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 50% ของพื้นที่ของศูนย์ทั้งหมด ในการจัดเป็นพื้นที่จัดงานและกิจกรรมรูปแบบต่างๆ อีก 25% เป็นพื้นที่ร้านอาหาร และ 25% เป็นชอปปิ้งมอลล์ ภายใต้งบลงทุนรวม 9,100 ล้านบาท คาดคุ้มทุนใน 8 ปี  

ในส่วนของพื้นที่การจัดอีเวนต์นั้นแบ่งเป็นพื้นที่ภายนอกอาคาร 2 แห่ง รวมความจุได้ 25,000 คน และภายในอาคาร 7 แห่ง รวมความจุได้เกือบ 20,000 คน ตั้งเป้าต่อปีจะรองรับการจัดงานได้กว่า 1,000 งาน หรือมีรายได้อย่างน้อย 500 ล้านบาท พร้อมทั้งช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าใช้บริการได้ถึง 50,000 คน/วันได้

งานนี้ โชว์ ดีซี และบีอีซี เทโร หวังจะปักหมุดเดสติเนชันใหม่แห่งสงครามคอนเสิร์ตสเกล 5,000 คน หวังปีแรกงานเข้าไม่ต่ำกว่า 1,000 อีเวนต์ โกยเม็ดเงินอย่างน้อย 500 ล้านบาท

ที่มา : http://astv.mobi/AU9IjyG


ซิงเกอร์ชี้อาชีพอิสระทำให้คนกรุงฯ นิยมซื้อสินค้าเงินผ่อน

กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานการขายและการตลาด บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

มาดูค่าย ซิงเกอร์ ประเทศไทย ประกาศปรับกลยุทธ์ หลังจากที่ทางกลุ่มเจมาร์ทเข้ามาถือหุ้นใหญ่เมื่อปี 2558 โดยยังเน้นแพลตฟอร์มการเช่าซื้อสินค้าเหมือนเดิม 

โมเดลซิงเกอร์ขายสินค้าอะไรก็ได้แต่จะไม่ขายผ่านระบบออนไลน์ แต่จะใช้เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์เท่านั้น ส่วนพนักงานขายให้ทำแค่ขายเท่านั้น ไม่ต้องตามเก็บหนี้เหมือนที่ผ่านมา

ปีที่แล้วซิงเกอร์มีรายได้รวมเกือบ 3,000 ล้านบาท ติดลบมา 2 – 3 ปี แต่มีกำไร ปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 35% ส่วนหนี้สูญหรือเอ็นพีแอล มีประมาณ 13% ปีจะทำให้ลดลงเหลือ 7% โดยมีลูกค้าประมาณ 200,000 บัญชี รวมมูลค่าเงินผ่อนประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ซึ่งปี 2560 นี้ จะมีงบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งด้านไอที การขยายสาขา และจะขยายช่องทาง อีแคตตาล็อก

กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานการขายและการตลาด บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

โดยจะขยายตลาดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนแค่ 10% เท่านั้น ต่างจังหวัดมากถึง 80 – 90% เนื่องจากคนกรุงเทพฯ มีอาชีพอิสระมากขึ้น ระบบเช่าซื้อของซิงเกอร์จึงมีความสอดรับและตอบสนองเมื่อต้องซื้อสินค้าแบบผ่อน

รวมทั้งการเพิ่มกลุ่มและไลน์สินค้าใหม่ วางตลาดในช่วงหน้าร้อนนี้ หลังจากที่ไม่ได้วางตลาดมานานกว่า 5 ปีแล้ว คือ แอร์ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า แบรนด์ซิงเกอร์ และจะมีเครื่องเสียงแบรนด์จากญี่ปุ่น ยานพาหนะแบรนด์จากญี่ปุ่น และเครื่องนอนเฟอร์นิเจอร์ 2 แบรนด์ของไทย

ที่มา : http://astv.mobi/AbC58lU


บาร์บีคิวพลาซ่าตั้งแฟรนไชส์ขยายสาขาในกัมพูชา

ชาตยา สุพรรณพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เควิน วิทคราฟท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอ็มเอ กรุ๊ป จำกัด

ส่วนค่ายฟู้ดแพชชั่นเจ้าของแบรนด์ร้านบาร์บีคิวพลาซ่าขยายเปิดสาขาในกัมพูชาแล้ว โดยได้แต่งตั้งให้บริษัทอีเอฟจียักษ์ด้านอาหารกัมพูชา ได้รับสิทธิ์เป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์ร้านบาร์บีคิวพลาซ่าเป็นครั้งแรก เพื่อทำตลาดในประเทศกัมพูชาในรูปแบบแอเรียดีเวลลอปเมนต์แฟรนไชส์

โดย อีเอฟจี จะใช้งบลงทุนรวม 150 ล้านบาท ขยายสาขาบาร์บีคิวพลาซ่าไม่น้อยกว่า 10 สาขา ภายในปี 2565 ปี 60 นี้เปิด 2 แห่ง คือที่ พนมเปญ ในศูนย์การค้าอิออนมอลล์ และอีกสาขาเป็นสแตนอโลนในย่านทูลคอร์กในพนมเปญ

ชาตยา สุพรรณพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด

โอกาสในตลาดกัมพูชา มี 4 ด้าน คือ 1. เป็นพื้นที่เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง มีจีดีพีเฉลี่ย 7% ในปี 2557 2. มีประชากรรุ่นใหม่ 13% ของจำนวนประชากรในพนมเปญ มีรายได้ 600-1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 21,000-35,000 บาทต่อเดือน ส่วนอีก 6% มีรายได้มากกว่า 35,000-70,000 บาทต่อเดือน 3. มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่การกินอาหารใกล้เคียงกับคนไทย และ 4. มีทัศนคติที่ดีต่อแบรนด์ของไทย

บาร์บีคิวพลาซ่าถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ยอดนิยมของชาวกัมพูชาที่ชอบเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทย โดยทีมงานของฟู้ดแพชชั่น จะเป็นผู้กำหนดแนวทางบริหารธุรกิจตามกรอบของระบบแฟรนไชส์ที่วางไว้ ควบคู่การลงพื้นที่ฝึกอบรมพนักงานและตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพโดยรวมไปถึงวัตถุดิบสำคัญทั้งหมดจะส่งตรงจากครัวกลางของฟู้ดแพชชั่นไปที่ร้านบาร์บีคิวพลาซ่าทุกสาขาในกัมพูชา ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมการตลาดผ่านกลยุทธ์การสร้าง Brand Love ที่เป็นเอกลักษณ์ของบาร์บีคิวพลาซ่า

สำหรับบริษัท อาร์เอ็มเอ กรุ๊ป จำกัดบริษัทแม่ของ EFG  ถือเป็นรายใหญ่ธุรกิจอาหาร ใน 3 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว และพม่า ได้รับแฟรนไชส์แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลกรวมกว่า 50 ร้านในกัมพูชา

ภาพรวมธุรกิจในต่างประเทศของแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า ในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 19 สาขา ใน 2 ประเทศที่ขยายผ่านโมเดล Joint Venture แบ่งเป็น 17 สาขาในมาเลเซีย, 2 สาขาในอินโดนีเซีย โดยคาดว่าสิ้นปี 2560 นี้จะมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 23 สาขา แบ่งเป็น 18 สาขาในมาเลเซีย, 3 สาขาในอินโดนีเซีย และ 2 สาขาในกัมพูชา

ที่มา : http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9600000034495


เซ็ปเป้ เพิ่มงบออนไลน์ เพิ่มรายได้ ตปท.

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ( ที่3จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) จัดงานแถลงข่าว “เซ็ปเป้คาราวาน : ภารกิจมอบมง แซ่บ เป๊ะ ปัง!” ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มด้วยการจัดคาราวานความสนุก เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพวัยหนุ่มสาว พร้อมเปิดตัว 3 แบรนด์แอมบาสเดอร์ขวัญใจมหาชนกับ 3 ผลิตภัณฑ์ใส่ใจคุณภาพ ได้แก่ ซอ จียอน แบรนด์แอมบาสเดอร์ เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ ในโอกาสฉลองครบรอบ 10 ปี, โทนี่ รากแก่น พรีเซนต์เตอร์คนแรกของ เซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์ และ กระแต อาร์สยาม ตัวแทนสาวหุ่นเป๊ะ จาก กาแฟเพรียว คอฟฟี่

ดูเหมือนว่าปีนี้ ค่ายเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์อย่างเซ็ปเป้ต้องขยับทำตลาดคึกคักเป็นพิเศษ เพื่อรองรับตลาดเครื่องดื่ม 2 แสนล้านบาท ในปี 2560 นี้ คาดว่าจะเติบโตได้ 3-4%  โดยกลุ่มฟังก์ชันนัลดริงก์น่าจะโตได้ 5%  นอกจาก เซ็ปเป้ค่ายฟังก์ชันนัลดริงก์ จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว 7 รายการ พร้อมเปิดตัว 3 แบรนด์แอมบาสเดอร์ ซอ จียอน แบรนด์แอมบาสเดอร์ เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ โทนี่ รากแก่น พรีเซ็นเตอร์คนแรกของ เซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์ และ กระแต อาร์สยาม ตัวแทนสาวหุ่นเป๊ะ จาก กาแฟเพรียว คอฟฟี่ โดยปีนี้จะอัดงบการตลาดราว 200 ล้านบาท เน้นออนไลน์มาร์เก็ตติ้งมากขึ้นเท่าตัว หรือใช้งบเพิ่มเป็น 40% เพื่อเพิ่มยอดขายกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ยังเข้าไม่ถึง และอินไซด์ในการพัฒนาสินค้า รวมถึงรับมือในช่วงปลายปีที่มองว่าออนไลน์จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างรายได้ ซึ่งคาดว่ายอดขายในประเทศทำได้กว่า 1,600 ล้านบาท โต 10% และมีส่วนแบ่งตลาดเป็น 30% จากปีก่อนอยู่ในอันดับสอง มีแชร์ 28%

นอกจากนี้ หลังจากใช้เวลา 1-2 ปี จัดทัพปรับองค์กรแล้ว เซ็ปเป้จะรุกตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยยอดขายจากตลาดต่างประเทศ ต้องเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หรือมีสัดส่วนอย่างน้อย 65% ของรายได้รวม 3,000 ล้านบาท โตขึ้น 10% จาก 2,780 ล้านบาทในปีก่อน

ที่มา : http://astv.mobi/AXex37s


บางจากฯ เปลี่ยนแล้วนะ ! รองรับธุรกิจในอนาคต

  

หลังจากดำเนินธุรกิจมาครบ 32 ปี ปั๊มน้ำมัน “บางจาก” ได้เปลี่ยนชื่อจากบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)” ภาษาอังกฤษ “The Bangchak Petroleum Public Company Limited” เป็น ชื่อใหม่ ภาษาไทย เป็น “บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” และชื่อภาษาอังกฤษ เป็น “Bangchak Corporation Public Company Limited” มีผลตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2560 เป็นต้นไป ซึ่งสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ และโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ยังคงเป็นสถานที่เดิม รวมทั้งตราสัญลักษณ์บริษัท (โลโก้) และชื่อย่อหลักทรัพย์ ยังคงใช้เป็น “BCP”

การเปลี่ยนชื่อบริษัทในครั้งนี้ เพราะการทำธุรกิจเวลานี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและค้าปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเท่านั้น แต่ในอนาคตจะขยายธุรกิจออกไปครอบคลุมทั้งธุรกิจต่อเนื่องและธุรกิจที่สนับสนุนธุรกิจเช่น ธุรกิจชีวภาพ (BIO Product) และธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติที่ประกอบด้วยการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) และเหมืองลิเธียม ธุรกิจสีเขียว ซึ่งจะขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนเศรษฐกิจยุค 4.0 โดยมุ่งสู่กลุ่มบริษัทนวัตกรรมสีเขียวชั้นนำในเอเชีย

ที่มา : http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9600000036559