ศุภวุฒิ สายเชื้อ
กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน)
ถามกันมาตั้งแต่ปี 2550 ว่า “ปีนี้เผาหลอก ปีหน้า (2551) เผาจริง” จนกลายเป็นประโยคยอดฮิต อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย กำลังซื้อหดหาย สินค้าขึ้นราคา ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง
สถานการณ์เผาจริงของปีนี้จะเป็นจริงดังว่าหรือไม่ ลองฟังการวิเคราะห์จากผู้คร่ำหวอดในวงการเศรษฐกิจและนักลงทุนอย่างศุภวุฒิ สายเชื้อ หนึ่งในชื่อที่หลายคนถามหาเมื่อต้องการรู้แนวโน้มด้านการลงทุน
อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ที่ผ่านมา เติบโตประมาณ 4.3% แต่รู้หรือไม่ว่า 3% กว่า เป็นการเติบโตที่มาจากภาคการส่งออก ที่เหลือเป็นอัตราการเติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศแค่ 1% ทำให้การส่งออกเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ศุภวุฒ สายเชื้อ มองว่า โดยรวมแล้วเศรษฐกิจปีนี้ ในช่วงครึ่งแรกน่าจะอยู่ในช่วงฟื้นตัวได้บ้าง แต่หลังจากนั้นจะเป็นเผาจริงหรือเผาหลอก ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ต้องระวังในหลาย ๆ ด้าน โดยประมาณการว่าถ้าให้ดี ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโตขึ้นประมาณ 4.6% ในปีนี้ ควรจะเป็นตัวเลขที่มาจากการส่งออกและการขับเคลื่อนหรือการบริโภคภายในประเทศอย่างละครึ่ง จึงจะเกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจ
“อัตราการเติบโตระดับนี้ถือว่าเราโตช้าที่สุดในเอเชีย ประเทศจีนคาดว่าจะเติบโตประมาณ 12% หรือแม้แต่เศรษฐกิจโลกก็ยังเติบโตประมาณ 5% สิ่งที่เราต้องระวังมากๆ คือการที่ค่าเงินบาทจะยังคงแข็งค่าต่อไปสวนทางกับดอลลาร์ที่อ่อนลงทุกวัน ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อของภาคประชาชน ทางออกที่ดีรัฐควรกระตุ้นเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศ และคิดว่าไม่มีทางเลือกที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศในปีนี้”
โดยคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอีก 5-6% ใครที่ถือดอลลาร์ไว้มากจะยิ่งเสี่ยง เพราะฉะนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยควรปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าตามค่าเงินในภูมิภาค เพื่อช่วยลดอัตราเงินเฟ้อไปพร้อมๆ กับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นประมาณ 0.25-0.5%
การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่คาดหวังว่าน่าจะเป็นไปได้ ส่วนหนึ่งมาจากการฟื้นตัวจากภาคการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งชะลอตัวมานานจากหลายปัจจัย ทั้งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรม ปัญหาการเมืองไม่นิ่ง ปัญหาการลงทุนจ้างงานไม่เพิ่ม สิ่งเหล่านี้ควรต้องกลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียว จนปัจจุบันตัวเลขการส่งออกคิดแล้วเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งของจีดีพีของประเทศ
“ถ้ามีการกระตุ้นในส่วนอื่น จะมีผลต่อความรู้สึกเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพราะคนส่วนใหญ่ถ้ารู้ว่าเงินเดือนจะขึ้น ได้โบนัส จะเริ่มหันไปซื้อสินค้าคงทน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการคาดการณ์รายได้อนาคตโดยตรง แต่ที่ผ่านมาสินค้าคงทนยอดขายตกเพราะคนขาดความมั่นใจ”
ในมุมมองของศุภวุฒิ เชื่อว่า โดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกน่าจะอยู่ในความรู้สึกดีๆ มีการขยับขยายเรื่องการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะผลจากการเมืองที่ทุกพรรคใช้สูตรประชานิยม ลด แลก แจก แถม เป็นแรงจูงใจ
“แต่เมื่อแนวโน้มทุกพรรคมาแนวนี้ วิธีเดียวที่จะหารายได้เข้ารัฐได้คือการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนคนที่จะลงทุนหลังจากที่อั้นการลงทุนกันมานาน ข้อควรระวังคือการคำนวณต้นทุนดอกเบี้ยให้รอบคอบ เพราะแนวโน้มดอกเบี้ยน่าจะขึ้น และต้องคำนวณเผื่อไว้ด้วยว่าหากเศรษฐกิจโลกไม่โตตามที่คาดการณ์จะได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไร”
สำหรับความเสี่ยงของจากปัจจัยภายนอก ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องราคาน้ำมัน
“เมื่อก่อนเวลาจะชะลอเศรษฐกิจมักจะดึงราคาน้ำมันลง แต่รอบนี้ราคาน้ำมันลงได้น้อย เพราะปัญหาตลาดหลักข้างนอกอ่อนตัวแต่ราคาน้ำมันไม่ลงเลย”
ส่วนอีกประเด็นคือการจับตามองเศรษฐกิจของสหรัฐว่าจะวิกฤตเหมือนไทยเมื่อปี 2540 หรือไม่
“ตอนนี้เฟด (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) รู้ว่าสถาบันการเงินของอเมริกาเข้าขั้นวิกฤตคล้ายไทยตอนวิกฤต สภาพคล่องหด เฟดถูกกดดันให้ลดดอกเบี้ย แต่ด้วยความที่ดอลลาร์เป็นเงินของโลกทำให้แทนที่จะเกิดสภาพคล่องกับทำให้เงินไหลไปที่อื่น ความเสี่ยงของเขาถ้าลดดอกเบี้ยเยอะก็อาจจะไม่สร้างเงินหมุนเวียนในประเทศแต่จะไหลไปที่อื่น เหมือนการเกิดปรากฏการณ์หุ้นในเอเชียปรับตัวขึ้นทุกตลาดตลอดช่วงปี 2550 ที่ผ่านมาที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง”
การลดปัญหาด้วยการลดดอกเบี้ยของเฟด จึงเหมือนการให้ยาแก้ปวดชั่วคราว ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังและจับตาให้ดี หากปัญหาขยายวงกว้างขึ้น จะกระทบไปยังตลาดยุโรป และญี่ปุ่นซึ่งพึ่งการส่งไปออกไปยังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ฉะนั้นนอกจากจับตาเศรษฐกิจแบบเกาะติดยังต้องระวังความผิดหวังและผิดคาดไว้ควบคู่กันตลอดเวลา



