พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ผู้ซึ่งเคยนำนายทหารเข้าเฝ้าในหลวงหลังเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่แตะต้องไม่ได้ และอย่าบังอาจท้าทาย ซึ่งรสชาตินี้ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “จักรภพ เพ็ญแข” ต่างได้ลิ้มรสมาแล้วด้วยตัวเอง และแม้เวลาจะผ่านไป เปลี่ยนไปแล้วรัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่า แต่อำนาจและบารมีของ “ป๋า” ก็ยังคงเหลือล้น
29 พฤษภาคม 2551 สายตาของ ”ป๋าเปรม” ที่ถ่ายทอดผ่านเลนส์กล้องทีวีเพียงไม่กี่นาที และภาพนิ่งบนหน้า 1 หนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับในวันรุ่งขึ้น ยังคงสะท้อนถึงแววตาที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ระหว่างที่ ”ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เข้าไปไหว้และพูดอะไรบางอย่างไม่กี่นาที
ไม่ว่า ”ทักษิณ” จะพูดกับ ”ป๋า” ว่า ”ขอโทษ” อย่างที่ร่ำลือกันจริงหรือไม่ แต่ความตั้งใจและพฤติกรรมของ ”ทักษิณ” ในวันนั้น ไม่ต่างอะไรกับเมื่อครั้งที่ยังเป็นเพียงนักธุรกิจที่ต้องวิ่งเต้นไปดักรอผู้หลักผู้ใหญ่ตามงานต่างๆ เพื่อให้ได้งาน ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าต้องเข้าถึงบารมีของ ”ป๋า” เท่านั้น
การปรากฏตัวของ ”พลเอกเปรม” เพียงไม่กี่นาทีวันนั้น ยังช่วยยุติกระแสข่าวลือที่สะพัดในทางลบต่อประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษแห่งบ้านสี่เสาเทเวศร์อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอำนาจ สุขภาพ และยังจุดประกายใหม่ให้น่าติดตามอีกว่า Positioning ของ ”ป๋า” นับจากนี้จะเป็นอย่างไร ท่ามกลางม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลั่นกลองรบกับ”ขั้วของทักษิณ” อีกครั้ง
พลเอกเปรมอยู่ในสถานะประธานองคมนตรี ผู้รับใช้อย่างใกล้ชิดในเบื้องพระยุคลบาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ปรากฏเป็นข่าวคราวมากนักหลังรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยภาพเป็นข่าวสุดท้ายที่เกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง คือการนำนายทหารคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เข้าเฝ้าในหลวง
เป็นภาพที่ทำให้เข้าใจว่าพลเอกเปรมเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อค่ำวันที่ 19 กันยายน 2549 อย่างปฏิเสธไม่ได้
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2551 พลเอกเปรมเดินทางไปเป็นประธานเปิดโครงการ “สานใจไทยสู่ใจใต้” รุ่นที่ 8 ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต และให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเป็นครั้งแรก…
…นักข่าวสายทหาร ถามประธานองคมนตรีว่า : ที่ผ่านมา ป๋าหายไปไหน ?
พลเอกเปรม ตอบว่า…”ไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ทุกวัน แต่อยู่เงียบๆ ตามปกติ”
และคำถามที่ยิงเข้าเป้าคือ จริงหรือเปล่าที่ ป๋า ถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร ?
พลเอกเปรม กล่าวว่า “พวกคุณคิดกันไปเอง ผมไม่ได้ไปทำอะไร” นักข่าวถามย้ำว่า ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติรัฐประหารใช่หรือไม่
ในสไตล์ของผู้ใหญ่ที่พูดน้อย จนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เคยได้รับฉายาว่า”เตมีย์ใบ้” พลเอกเปรมก็บอกกับผู้สื่อข่าวเพียงว่า “น่าจะรู้ดีว่าผมไม่เกี่ยวข้อง ทุกคนต้องรู้อย่างนั้น ผมไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง หรือเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการเมือง”
แต่ดูเหมือนคำปฏิเสธของพลเอกเปรมไม่อาจลบความเชื่อของ “ทักษิณและพวก”ได้ หนึ่งในนั้นก็คือ “จักรภพ เพ็ญแข” ที่นำม็อบไปชุมนุมด่าทอพลเอกเปรมถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ อย่างหยาบคายและดุเดือด
หลังการรัฐประหาร 1 ปี มีการนำภาพและเสียงของ “จักรภพ” เมื่อครั้งไปพูดในที่ประชุมสมาคมผู้สื่อข่าวประเทศ (FCCT) ปลายปี 2550 ในช่วงซักถาม นักข่าวต่างชาติถาม ”จักรภพ” ว่า ตอนที่คุณถูกจับ คุณชูนิ้วเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ คนก็สงสัยและลือกันเยอะแยะว่า คุณชนะอะไร คุณช่วยชี้แจงชัดๆ หน่อยครับ
“จักรภพ” ตอบว่า ”เราชนะเพราะว่า เราได้ไปที่บ้านของเปรม เขาเป็นบุคคลที่แตะต้องไม่ได้ …เขาคือพระเจ้า”
ในคลิปวิดีโอที่บันทึกภาพและเสียงของ ”ทักษิณ” ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ยังมีคำพูดที่หลุดจากปากอดีตนายกฯ คือ”คุณเปรมอยู่เบื้องหลังกระบวนการยุติธรรม และบอกให้สื่อตีผม”
ย้อนไปดูบทบาทของป๋าเปรม ก่อนรัฐประหาร 19 กันยาฯ ซึ่งพลเอกเปรมใส่เครื่องแบบทหารเดินสายปาฐกถาโจมตีคนที่ไม่รู้คุณแผ่นดิน คนไม่ซื่อสัตย์สุจริต โกงชาติโกงแผ่นดิน และปาฐกถาที่ลือลั่นก็คือ “การเปรียบทหารเหมือนม้า ที่เจ้าของคือพระราชา… ไม่ใช่ของจ๊อกกี้ “
ประวัติศาสตร์อีกส่วนหนึ่งถูกบันทึกไว้ใน หนังสือ ลับ ลวง พราง หน้า189 ที่สะท้อนให้เห็นบทบาทสำคัญของพลเอกเปรม
“ในคืนรัฐประหาร ฝ่ายพลเอกเรืองโรจน์ที่ถือเป็น “ลูกป๋า” คนหนึ่ง และทำงานในสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบให้พลเอกเปรมมาตลอด ก็ยังหวังที่จะชิงพลเอกเปรมมาจากฝ่าย คมช. มาอยู่ฝ่ายตน
แม้ว่า “ทักษิณ” ที่อยู่นิวยอร์กได้สั่งด้วยอารมณ์ให้โต้ตอบ ต่อสู้ โดยมีเป้าหมายจับตัวพลเอกเปรม เป็น “ตัวประกันสำคัญ” ต่อรองกับ คมช.
“ผมจะประกาศภาวะฉุกเฉินปลด ผบ.ทบ. แล้วให้พี่เป็นผู้ดูแล พี่จัดการมันเต็มที่เลย พวกมันทำอย่างนี้ได้ยังไง” น้ำเสียงยัวะสุดขีดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สั่งต่อ พลเอกเรืองโรจน์
“ไปจับตัวป๋าเปรม สั่งวินัย ทองสอง (ผู้การกองปราบฯ) ให้ไปจับมาเดี๋ยวนี้” เสียงสั่งการจากแดนไกลของ ”ทักษิณ”
แต่คงสายไปเพราะ ณ เวลานั้น ทหารเสือราชินีจาก ร.21 รอ.ชลบุรี เข้าดูแลอารักขาพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประมุขของฝ่ายรัฐประหารที่บ้านสี่เสาเทเวศร์พรึ่บเต็มหมด พร้อมด้วยรถถังจากกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พันสี่ รอ.) ตรึงไว้อีกแรงหนึ่ง…”
นี่คือ ภาพลักษณ์ของพลเอกเปรมที่ปรากฏผ่านสื่อ และอีกสถานะหนึ่งของพลเอกเปรมที่ถูกตีความไปได้มากมายในตำแหน่งประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ตำแหน่งนี้ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ได้รับเงินเดือนละ 114,000 บาท แต่ในยุครัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ออกพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งขององคมนตรีและรัฐบุรุษ พ.ศ. 2551 บังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2551 ให้เงินประจำตำแหน่งสำหรับประธานองคมนตรี เพิ่มเป็น 121,990 บาท ไม่นับเงินประจำตำแหน่งรัฐบุรุษ อีก 121,990 บาท รวมแล้ว 243,980 บาท
เงินจำนวนนี้ไม่มากเมื่อเทียบกับซีอีโอของบริษัทชั้นนำ แต่ทว่าการเพิ่มเงินประจำตำแหน่งให้ป๋าเปรมในยุครัฐบาลขิงแก่ ถูกนำไปเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวโจมตีป๋าเปรมอย่างคึกคะนอง แต่ป๋าเปรมก็เงียบเฉย
ถามกันว่า วันนี้ บรรดาลูกป๋าที่เคยได้ดิบได้ดีเพราะป๋าเคยอุปถัมภ์มาในอดีต เป็นอย่างไรกันบ้าง คำตอบก็คือ หลายคนยังเหมือนเดิม แต่หลายก็เปลี่ยนไปเป็นพวกทักษิณ จนมีเรื่องเล่ากันกันว่า วันหนึ่งป๋าเคยถามลูกรักของป๋า อดีตรัฐมนตรีคนดังในยุคของรัฐบาลป๋าว่า ตกลงคุณเป็นพวกผมหรือพวกทักษิณกันแน่ ?
คำตอบคือ ผมเป็นลูกป๋าเหมือนเดิม (ครับ)
แต่เอาเข้าจริง พฤติกรรมของอดีตรัฐมนตรีผู้นั้น เอาใจออกห่างป๋า ไปหลงใหลได้ปลื้มกับทักษิณและพวก (นานแล้ว)
แล้วใครกันที่เป็นมิตรแท้ของป๋า หนึ่งในเครือข่ายของป๋าก็คือ นายชวน หลีกภัย และพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อครั้งที่มีเอกสารและซีดีลับโจมตีป๋าเปรมไปทั่วภาคเหนือและอีสาน นายชวนคือหัวหมู่ทะลวงฟันที่ออกรบแทนป๋าเปรม
ชีวิตของพลเอกเปรมที่พูดไว้ว่า”ผมพอแล้ว” เมื่อปี 2531 หลังตัดสินใจไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกวาระ ดูเหมือนว่าหลายคนอาจยังต้องการให้พลเอกเปรมอยู่ในบทบาท เพราะเวลาที่ผ่านไปแล้วกว่า 20 ปี พลเอกเปรมยังคงเป็นบุคคลสำคัญ เป็นเงื่อนไข และชนวนจุดเปลี่ยนในเหตุการณ์บ้านเมืองต่อเนื่องมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จน ณ ปัจจุบันที่สถานการณ์เดินเข้าสู่เงื่อนไขทางการเมืองสำคัญอีกครั้ง
Profile
Name :พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
Age : 87 ปี
Family : บุตรชายคนรองสุดท้อง จากจำนวน 8 คน ของรองอำมาตย์โทหลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ต้นตระกูลติณสูลานนท์ กับนางวินิจทัณฑกรรม (ออด ติณสูลานนท์)
Education :
– โรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา
– โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
– โรงเรียนเทคนิคทหารบก รุ่นที่ 5 สังกัดเหล่าทหารม้า (ต่อมาคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า)
– หลักสูตรพิเศษโรงเรียนเทคนิคทหารบก
– โรงเรียนยานเกราะของกองทัพบกสหรัฐฯ ที่ฟอร์ตน็อกซ์ มลรัฐเคนตักกี
Career Highlights :
– ร่วมรบสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่ปอยเปต กัมพูชา
– ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง พ.ศ. 2485-2488 ที่เชียงตุง
– รองผู้บัญชาการโรงเรียนยานเกราะ ศูนย์การทหารม้า ที่จังหวัดสระบุรี
– ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า (ยศพลตรี เมื่อ พ.ศ. 2511 ช่วงนี้เองเป็นที่มาของชื่อเรียกแทนว่า “ป๋าเปรม” เนื่องจากท่านมักเรียกแทนตัวเองต่อผู้อาวุโสน้อยกว่าว่า “ป๋า” และเรียกผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าว่า “ลูก”)
– รองแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ในปี พ.ศ. 2516
– แม่ทัพภาคทึ่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสานเมื่อ พ.ศ. 2517
– ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ยศพลเอก เมื่อ พ.ศ. 2520
– ผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ. 2521
– สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2502 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
– สมาชิกสภานิติบัญญัติ และวุฒิสมาชิก ช่วง พ.ศ. 2511 – 2516 สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร
– รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
– รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควบคู่กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก สมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
– นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 ถึง 3 สิงหาคม 2531 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของไทย