พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ลีลาสมดุล บนจังหวะ “ปฏิวัติ” ของทหารเสือราชินี

“ผมก็เป็นอย่างนี้ ใจอ่อนโมโหร้าย เป็นปุถุชนธรรมดาที่ย่อมจะลงไปที่ต่ำได้ ผมไม่ได้วิเศษวิโสอะไร และ คงไม่มี ผบ.ทบ.คนใดเลิศเลอขนาดนั้น ผมกล้าบอกว่าหากคุณเป็นเพื่อนผม คบผมได้ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมะธรรมโม เป็นคนที่ไม่แปดเปื้อนอบายมุข เป็นคนที่เที่ยวกลางคืนก็คบผมได้ ผมก็มีผสมกัน ไม่ดีสุด ไม่เลวสุด”

เป็นคำพูดของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ระหว่างตอบคำถามในงานพบปะสื่อมวลชนหลังจากที่เขาเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ท่ามกลางการคาดหวังจากหลายฝ่าย ที่อยากได้ผู้นำกองทัพนำทหารกลับเข้าสู่กรมกอง สร้างกองทัพอาชีพ ถอยห่างจากการเมือง เพื่อให้ประชาธิปไตยเดินหน้าอีกครั้ง

แต่หลากหลายคำถามจากสื่อที่พุ่งตรงเข้ามากลับเหมือน “เข็ม” ที่ทิ่มแทงเข้าไปที่หัวใจให้ได้เจ็บแปลบหลายครั้งและหลายครั้งก็ทำให้เขาเกิดอาการ “น็อตหลุด” ระหว่างให้สัมภาษณ์ประจำวัน จน “สื่อ” ในสายจะออกอาการ “แหยง” ในการตั้งคำถามแต่ละครั้ง

“สื่อชอบถามผมว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 10 (รุ่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ร่ายมายาว หากผมบอกเยสหรือโอเค เขาเหมาหมดว่าผมเป็นอย่างนั้น มาถามอะไรอย่างนั้น มาบอกขึ้นทั้งแผง โอ้ว…มันไม่ขึ้นทั้งแผงหรอก แต่เป็นของมันตามธรรมชาติ ผมบอกเลยว่าผมใช้น้องมากกว่าใช้เพื่อน คนที่ทำให้ผมเจริญได้ ซึ่งเป็นคำพูดที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เคยพูดกับผม น้องกับพี่ พี่คือผู้บังคับบัญชา น้องคือคนที่ทำงานให้กับเรา ซึ่งจะทำให้เราเจริญ เพื่อนจะคอยให้เราช่วย ผมไม่ตั้งเพื่อน คนไหนเก่งก็ตั้ง คนไหนไม่เก่งก็ใช้น้องใช้เพื่อน มาบอกเตรียมทหารรุ่น 10 ขึ้นทั้งแผง ยกแผง ตายยกแผงสิไม่ว่า โง่จริงๆ เลย” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

ไม่นับรวมคำถามในเรื่องภาคใต้ หรือโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางเพื่อเข้าประจำการในกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่ถูก สตง. ตั้งคำถามถึงความไม่ชอบมาพากลในการเลือกบริษัทของยูเครนให้ชนะการคัดเลือกทั้งที่ไม่ได้เข้าแข่งขันในเวลาที่กำหนด

แต่ก็ใช่ว่า พล.อ.อนุพงษ์จะตัดสายสัมพันธ์จากเครื่องมือสื่อสารทางสังคมอย่าง “สื่อมวลชน” ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากแต่เขาใช้วิธีที่ “ลึก”กว่า โดยการเลือกสานสัมพันธ์และเข้าถึง “บิ๊กๆ ในโรงพิมพ์” ของนักข่าวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ข้อมูลที่หลั่งไหลไปยังหนังสือพิมพ์ในทางลึก ได้สร้าง “อิมเมจ” ที่ดีในสายตาเหล่าบรรณาธิการหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้อย่างง่ายได้

อันพิสูจน์ได้ว่ากลยุทธ์ดังกล่าว ได้รับการตกผลึกมาจากข้อผิดพลาดของ “บิ๊กบัง” ที่ “จ้อผ่านสื่อรายวัน” จนเกิดการพลาดพลั้งในที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น เขายัง “สร้างสมดุล” ที่สุดในสถานการณ์แห่งการแบ่งขั้วเลือกข้างทางการเมืองในขณะนี้!!

เพราะรู้ดีว่า เก้าอี้ ผบ.ทบ. นั้นคือหัวใจระหว่าง “ทหารกับการเมือง” ที่ทั้งสองฝ่ายต้องการ “ดึง” เขามาเป็นพวกให้ได้ ซึ่งการยืนอยู่ ณ ขั้วใดอย่างเด่นชัด ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง

แม้จะชัดเจนว่าในหนังสือ “ลับ ลวง พลาง” ของ วาสนา นาน่วม จะบันทึกคำสัมภาษณ์ของ “บิ๊กบัง” ว่า มีตัวเขาและ พล.อ.อนุพงษ์เท่านั้นที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการ ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 51

หากแต่ในนิยามของ พล.อ.อนุพงษ์ต่อปฏิบัติการณ์เมื่อวันนั้น คือการ “หยุดอำนาจ” ที่มีปัญหาไว้เท่านั้น อันเป็นการปฏิเสธ การเป็นปฏิปักษ์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่กระแสการ “ปฏิวัติรัฐประหาร” ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ย่อมสร้างความลำบากใจให้เขาไม่มากก็น้อย !!!

เพราะนั่นแสดงว่า มี “เกมอำพราง” บางอย่างที่หวังทดสอบการ “ไม่แบ่งขั้วเลือกข้าง”…

เป็นการทดสอบและ ประเมินก่อนการโยกย้ายปลายปีกำลังจะเริ่มโหมโรงใน 2 เดือนข้างหน้า ท่ามกลางการหยั่งรู้ว่า “การทดสอบ” ดังกล่าวมาจากกลุ่มใด

“ไม่ต้องห่วง ผมยังไม่ห่วงตัวเองเลย คนอื่นอย่าได้ทุกข์เลย สบายใจได้ เป็นแล้วก็ถือว่าเป็นแล้ว เป็นวันเดียวก็เป็นแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเลย คนนี้ยอมรับด้วยความจริงใจเลย สบายมากๆ เลย ไม่ทุกข์เลย มีคนเก่งกว่า ดีกว่า ผมก็ชอบ ถ้ากลไกทุกอย่างไม่เป็นไปตามนั้น ผมถูกความไม่เที่ยงธรรม ก็ไม่ไปโวยวายกับใครหรอก จบก็จบไป ผมจะไปโวยวายกับใคร ถ้าสังคมเป็นอย่างนั้น จะให้ผมทำยังไง อย่างที่ผมบอก ถ้าเขามากดดันแล้วสื่อเห็นดีเห็นงาม ก็ขอให้ประเทศชาติเป็นอย่างนี้ไป ก็ขอให้ญาติท่านที่เป็นทหารโดนกับความไม่ยุติธรรมบ้างเถอะ ก็จบไป”

ความจำเป็นในการสร้างสมดุล ในสถานการณ์ขณะนี้จึงต้องทำอย่างระมัดระวังและ “รู้เขา- รู้เรา”…

เป็นสถานการณ์ที่ต้องเสาะหาข้อมูลอย่างรอบด้าน และลึกกว่าเดิม พร้อมๆ กับการวางบทบาทท่าทีต่อภายนอกให้เป็นธรรมชาติที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นกับฝ่ายทหาร ฝ่ายการเมือง สื่อ หรือแม้กระทั่ง “เพื่อน”

จึงไม่แปลกถ้าเขาจะเลือกใช้เวลาว่างในการ “ซ้อมกลองชุด” เครื่องดนตรีที่เขารักและถนัดกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่น เพราะอย่างน้อย นี่คือช่วงเวลาในความเป็น “ตัวตน” จริงๆ ที่เหลืออยู่ในแต่ละสัปดาห์

จะเรียกว่าเป็นการ “ระบาย” ก็คงไม่ผิด…

แต่อย่าลืมว่า ทหารเสือราชินีผู้นี้ ก็มีสายเลือดทหารดุริยางค์จากผู้เป็นบิดา ซึ่งเคยเป็นเจ้ากรมดุริยางค์ทหารบกในอดีตมาแล้ว เพราะฉะนั้นการซึมซับเสียงเพลงและเสียงดนตรีจนกลายเป็นกิจกรรมด้านหนึ่งของชีวิตก็ย่อมเป็นไปได้

เพราะอย่างน้อย “การตีกลอง” ต้องใช้ทั้ง “มือขวา” ที่ถนัด และมือซ้าย “ที่ไม่ถนัด” ตีให้จังหวะสลับกันไปมา พร้อมกับขาที่ต้องเหยียบกระเดื่องขั้นจังหวะอีกข้างหนึ่ง

เป็นการสร้างสมดุลของอวัยวะ แขน ขา ในร่างกาย ทั้งที่เป็นธรรมชาติ และฝืนธรรมชาติ ให้เป็น “ธรรมชาติ” มากที่สุด!!!

เป็นการ “ฝึก” สมาธิให้ “นิ่ง” ในสถานการณ์ที่ร้อนแรงและสับสนอีกทาง !!!!

ที่สำคัญ เป็นการ “หยั่งรู้” ว่าคุณกำลังกำหนดให้ร่างกายทุกส่วนให้ทำงานไปพร้อมๆ กัน เพื่อจังหวะของกลองจะได้ออกมาสมบูรณ์ และสอดประสานกับเครื่องดนตรีประเภทอื่นได้อย่างเหมาะเจาะ จนส่งผลให้เพลงหนึ่งเพลงเริ่มต้นและ จบลงได้โดยไม่สะดุด

เปรียบเหมือนชีวิตของเขาที่เดินทางมาด้วย “เส้นทหารเหล็ก” ของทหารเสือราชินี แบบที่สวยหรูและเพอร์เฟกต์ ยากที่ทหารหลายคนจะเป็นได้ จะเหลืออีกแค่ 2 ปีเท่านั้นที่เขาจะถึงปลายทางแห่งเส้นชัยของชีวิต

เพียงแต่จะปิดฉากและจบอย่างสมบูรณ์แบบ 100% หรือไม่ในสถานการณ์ขณะนี้ ไม่มีใครบอกได้!!

เพราะอายุราชการที่จะเหลือถึงปี 2553 ของเขา กลายเป็น “ก้างขวางคอ” ชิ้นใหญ่ของคนอยากนั่ง “ เก้าอี้ ผบ.ทบ.”ที่เข้าไปพึ่ง “พลังอำนาจ” ทางการเมืองเพื่อเข้ามาโค่นล้มเขาให้หลุดออกนอก ทบ.ไปให้ได้

แล้วเขาจะบริหารจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไร ?

…บางสมมุติฐานตั้งโจทย์ว่า “ ปฏิวัติ” มักเกิดขึ้นเดือน ก.ย. อันเป็นช่วงของการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหาร และเหตุผลจริงๆ ก็มักเป็นเช่นนั้น

เพียงแต่ใน พ.ศ. 2551 ในสถานการณ์หลังการปฏิวัติ 19 ก.ย. มาไม่นาน คนอย่างเขาจะเลือกใช้วิธีดาดๆ เช่นนี้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหรือ ?

บางกระแสพูดถึงว่าอย่าง “ป็อก” สามารถทำในสิ่งที่เรียกว่า “ปฏิวัติ” ได้ หาใช่การรัฐประหารด้วยเงื่อนไขเบื้องหลังที่มีเรื่องประโยชน์ของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้อง

จึงไม่แปลกที่เขาจะ “ถอดรหัส” 19 ก.ย. 49 ไว้แค่การ “หยุดอำนาจ” ที่ไม่ใช่การปฏิวัติ?

ที่สำคัญเขาคิดด้วยพื้นฐานของ “เหตุ” และ “ผล” มาตลอด โดยตรวจสอบ “กระแส” อย่างรอบด้าน และความต้องการของ “สังคม” ในส่วนรวมอยู่ตรงไหน…

เพราะนั่นคือ “สมมุติฐาน” ที่เป็นไปได้ และ “เซฟ” ที่สุด

และวันนั้น “ป็อกก็จะเป็นตัวของป็อกเอง” มากที่สุด…

Profile

Name : พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา หรือ บิ๊กป๊อก
Born : 10 ตุลาคม 2492
Education :
– มัธยมศึกษา โรงเรียนพันธะศึกษา, โรงเรียนอำนวยศิลป์
– ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต นิด้า
– การศึกษาด้านการทหาร โรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 21
Career Highlights
-ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
-เสนาธิการกรมทหารราบที่ 21รักษาพระองค์
-รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
-ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
-เสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
-รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
-ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
-ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์
-รองแม่ทัพภาคที่ 1
-แม่ทัพภาคที่ 1
-ผู้ช่วย ผบ.ทบ.
-ผบ.ทบ.
งานอดิเรก : ชอบตีกลอง