“แอร์ไดกิ้น” สยายปีกเปิดสาขาเชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น ขยายฐานลูกค้าทั่วประเทศ ตั้งเป้าผู้นำตลาดแอร์ในไทย

“ไดกิ้น” ผู้นำความเย็นสบายจากญี่ปุ่น รุกตลาดเมืองท่องเที่ยวไทย 1 เดือน ผุด 3 สาขา ดัน ยอดขาย 15-20% พร้อมอัดโปรโมชั่นและแคมเปญการตลาด ตั้งเป้าชิงอันดับ 1 ผู้นำตลาดแอร์ในไทย

ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศมากว่า 90 ปี “ไดกิ้น” ไม่เคยหยุดนิ่งในการคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยี ตลอดจนนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยคำนึงถึงคุณภาพ ความทนทาน ความคุ้มค่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้สโลแกน “ผู้นำความเย็นสบายจากญี่ปุ่น”

มร. ฮิโตชิ ทานากะ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันการซื้อเครื่องปรับอากาศนับเป็นการลงทุนในระยะยาว ผู้บริโภคจึงคำนึงถึงความคุ้มค่า และการบำรุงรักษาเครื่องให้มีอายุการใช้งานยาวนาน ซึ่งเครื่องปรับอากาศไดกิ้นสามารถตอบทุกโจทย์ที่ผู้บริโภคต้องการ ดังนั้นการเปิดสาขาใหม่ของไดกิ้นทั้ง 3 แห่ง คือ เชียงใหม่ ภูเก็ต และขอนแก่น นอกจากจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ยังช่วยขยายฐานผู้บริโภคเครื่องปรับอากาศไดกิ้นให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้นด้วย

“การที่เรามาตั้งสาขาในพื้นที่นั้น แสดงให้ลูกค้าเห็นว่า เราให้ความสำคัญกับลูกค้ามาก เพื่อเป็นการลดขั้นตอนการทำงานต่างๆ โดยสามารถดำเนินการที่สาขาได้เลย เช่นเดียวกับสำนักงานใหญ่ ซึ่งลูกค้าจะได้รับความสะดวกและรวดเร็ว ทั้งทางด้านงานขาย และงานบริการ รวมทั้งด้านการฝึกอบรมเพื่อให้ตอบโจทย์กับลูกค้าในพื้นที่ได้มากขึ้น อีกทั้งจะยังสนับสนุนดีลเลอร์ในพื้นที่ให้เป็นตัวแทนด้านงานบริการ เพื่อความมั่นใจให้กับลูกค้า รวมทั้งพนักงานก็จะได้รับการเพิ่มทักษะความรู้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้งานบริการมีคุณภาพ” มร. ฮิโตชิ ทานากะ กล่าว

ทั้งนี้ปัจจุบันภาพรวมของตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัยในเมืองไทย มีมูลค่าสูงถึง ประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งโดยเฉลี่ยจะเติบโตราว 7% แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นในปี 2016 จึงทำมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 40% ในช่วงเดือน มกราคม-เมษายน โดยเครื่องปรับอากาศไดกิ้น  มียอดขายเติบโตถึง 60% ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่บริษัทจะต้องเตรียมพร้อมรับมือในอนาคต ในขณะที่ในตลาดอินเวอร์เตอร์นั้นเติบโตถึง 70% ส่วนไดกิ้นเติบโตถึง 80% และเป็นผู้นำในตลาดอินเวอร์เตอร์ ด้วยมูลค่าส่วนแบ่งการตลาดกว่า 30% อันเนื่องมาจากความเป็นผู้นำในเรื่องการใช้สารทำความเย็น R32 ซึ่งเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยและระบบอินเวอร์เตอร์แบบสวิงของไดกิ้นที่ประหยัดไฟเป็นพิเศษ

ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นแบบเหนือคู่แข่ง เพื่อความเย็นสบายโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไดกิ้น ได้บันทึกอีกหน้าหนึ่งประวัติศาสตร์ของวงการ ด้วยการเป็นผู้นำด้านสารทำความเย็น R32 รายแรกในไทยตั้งแต่ปี 2014 กับเครื่องปรับอากาศภายในบ้านทุกรุ่น ซึ่งใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า พร้อมทั้งช่วยลดภาวะโลกร้อนและไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ ทำให้ตลาดเริ่มเปลี่ยนมาใช้สารทำความเย็น R32 และมีผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศหลายรายได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้ สารทำความเย็น R32 ซึ่งมั่นใจได้ในคุณภาพการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น R32 ซึ่งมีระบบ inverter ที่ใช้ compressor แบบสวิง และระบบควบคุมความชื้นรายเดียวในไทย อาทิ รุ่นอูรุซาระ (Urusara 7) ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพของสารทำความเย็น ประหยัดไฟ และไม่ทำลายโอโซน ลดภาวะเรือนกระจก ดังนั้นในอนาคตจึงมั่นใจว่าผู้บริโภคจะหันมาซื้อแอร์ R32 กันมากขึ้นเพราะประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงหันมาใช้inverter กันมากขึ้น เพราะราคาถูกลง และประหยัดค่าไฟได้อย่างมาก

นอกเหนือจากความเป็นผู้นำในเรื่องของนวัตกรรม แอร์ไดกิ้น ยังโดดเด่นด้วยดีไซน์การออกแบบที่ผสานเทคโนโลยี  การันตีด้วยรางวัล “Red Dot Design Award” จากประเทศเยอรมนี ในรุ่นเอกิระ (Ekira) ด้วยดีไซน์เรียบหรูเข้ากับทุกการตกแต่ง มีระบบตาอัจฉริยะ  แผ่นกรองอากาศดับกลิ่น ยับยั้งเชื้อโรค กระจายลมเย็นสามมิติ ทำงานเงียบ และเชื่อมต่อด้วย Wifi เพื่อตอบโจทย์ที่พักอาศัยยุคใหม่

ไม่เพียงเท่านั้น ไดกิ้น ยังเป็นผู้คิดค้น เครื่องปรับอากาศระบบน้ำยารวมศูนย์ หรือ VRV ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และยังเป็น เบอร์ 1 ในตลาด VRV หรือ VRF ซึ่ง VRV เป็นระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ที่ชุดภายนอกหรือคอนเดนซิ่งหนึ่งชุดสามารถเชื่อมต่อชุดภายในหรือแฟนคอยล์ได้สูงสุดถึง 64 เครื่อง ผสานเทคโนโลยี VRT (Variable Refrigerant Temperature) ที่สามารถปรับ “อุณหภูมิของน้ำยา” ตามสภาวะอากาศ จึงช่วยให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบควบคุมส่วนกลางอัจฉริยะ ITM (Intelligent Touch Manager) ที่ช่วยควบคุมและตรวจสอบการทำงานของไดกิ้น VRV ซึ่งถูกติดตั้งไปทั่วทั้งอาคาร ให้ผู้ใช้งานควบคุมการเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศได้ตามต้องการ กำหนดอุณหภูมิแต่ละห้อง ตั้งค่าการทำงานรายสัปดาห์ รวมถึงรายงานข้อมูลการใช้พลังงานได้อย่างแม่นยำ จึงเชื่อมั่นว่าการที่ไดกิ้นไม่หยุดยั้งในการพัฒนาทั้งคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความคุ้มค่า จะทำให้ก้าวไปสู่แบรนด์เครื่องปรับอากาศที่ครองใจผู้ใช้เป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน

“ในอนาคตเราวางแผนขยายตลาดด้วยการเตรียมเปิดสาขาไปยังจังหวัดต่างๆ รวม 10 สาขา ภายในปี 2018 เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ อาทิ ภาคเหนือ จ.นครสวรรค์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อุบลราชธานี และ จ.นครราชสีมา,ภาคกลาง จ.ราชบุรี, ภาคตะวันออก จ.ระยอง และภาคใต้ อ.หาดใหญ่จ.สงขลา และ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งตอนนี้เราได้เปิดสาขาเพิ่มที่ จ.ภูเก็ต, จ.ขอนแก่น และ จ.เชียงใหม่ โดยเราวางนโยบายการบริการของสาขาเช่นเดียวกับสำนักงานใหญ่ คือ การให้บริการแก่ลูกค้าที่ฉับไว ทั้งงานบริการและอะไหล่ที่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า รวมทั้งการขยายงานสู่ประชากรในท้องถิ่นที่เราเปิดสาขาเพิ่มขึ้น ซึ่งไดกิ้นได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในส่วนของทรัพยากรบุคคล โดยยังคงมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพ ยังคงสามารถขยายงานและการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง มีการรับสมัครพนักงานฝ่ายขาย และฝ่ายบริการเพิ่มขึ้น และได้ส่งเสริมด้านความรู้โดยการจัดฝึกอบรม และไดกิ้นได้เป็นศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย อีกทั้งยังสนับสนุนดีลเลอร์ในพื้นที่ให้เป็นตัวแทนในด้านงานบริการ (Authorized Dealer) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายไดกิ้นได้แบ่งสัดส่วนเป็นโมเดิร์นเทรด 10% ดีลเลอร์ 55% และ โครงการ 30% ซึ่งการขยายสาขาไปทั่วประเทศ ทำให้เราตั้งเป้าเติบโต 10-15% และก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1ของผู้นำตลาดแอร์ในประเทศไทยภายในอนาคตอันใกล้นี้” ผู้บริหารไดกิ้น กล่าว

จากการแข่งขันที่ดุเดือด ไดกิ้น จึงวางกลยุทธ์การตลาดทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยยังคงให้ความสำคัญกับการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ ในกลุ่มผู้บริโภค B2B เช่น กลุ่มงานโครงการ และกลุ่ม Developer โดยในส่วนของตลาดขายปลีกเองก็ยังคงมีโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายช่องทางจำหน่ายทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด รวมถึงการใช้ซูเปอร์สตาร์คนดัง ณเดชน์ คูกิมิยะ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นแม่เหล็กที่จะช่วยสร้างการรับรู้และเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมาก

รวมทั้งมีการเพิ่มร้านตัวแทนจัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศไดกิ้น หรือที่เรียกว่า “Pro Shop” เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะสามารถเพิ่มได้ถึง 100 แห่ง ภายในปี 2020 โดยมีนโยบาย 1 จังหวัด 1 Pro Shop ซึ่งเราต้องการเห็นดีลเลอร์และตัวแทนจำหน่ายได้เติบโตไปพร้อมกับเรา

อย่างไรก็ดี แม้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังชะลอตัว แต่สำหรับไดกิ้น ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพความเป็นผู้นำและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทิศทางของตลาดเครื่องปรับอากาศในเมืองไทย ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตอีกมาก เนื่องจากปัจจุบันอัตราการถือครองเครื่องปรับอากาศในตลาดเมืองไทยมีประมาณ 23% ของจำนวนครัวเรือนทั้งประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้บริโภคในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเห็นได้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องปรับอากาศในต่างจังหวัดเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยผลักดันให้อัตราผู้ใช้เครื่องปรับอากาศสูงขึ้นมากกว่าเดิม