จุดเปลี่ยนประเทศไทย Republic or Kingdom of Thailand

คำประกาศของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ต่อการชุมนุมของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ว่านี่คือสงครามครั้งสุดท้ายแล้ว นับเป็นการประกาศอย่างมีนัยสำคัญ

เป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่มีเดิมพันสุดใหญ่หลวง เพราะพันธมิตรฯได้ยกระดับการชุมนุมต่อต้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องในระบอบทักษิณ ไปเป็นการขับไล่รัฐบาลชุดนี้ ที่เป็นเพียงหุ่นเชิดของพรรคไทยรักไทย

และเป็นรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

การชุมนุมขับไล่รัฐบาลชุดนี้ มีเดิมพันว่า จะเป็นอวสานของระบอบทักษิณ หรือจุดเริ่มต้นของประเทศไทยที่กำลังกลายเป็นระบอบสาธารณรัฐ เมื่อความพยายามของกระบวนการ Republic of Thailand ได้ถูกทำขึ้นอย่างระบบ และต่อเนื่อง จนกลายเป็นปรากฏการณ์ในสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

กรณีของ “จักรภพ เพ็ญแข” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่โดนข้อหา “หมิ่นสถาบัน” ในข้อหาผิดอาญา ม.112 อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หลังจากที่จักรภพได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งถึงการต่อต้านสถาบัน เป็นหนึ่งในกระบวนการ Republic of Thailand ที่ทำขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีพลพรรคของทักษิณเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

การลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีก็เพียงเพื่อ “ฆ่าตัดตอน” จักรภพ ที่มีสภาพเป็น“สายล่อฟ้า” แต่กระบวนการเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป

บทสัมภาษณ์ คำต่อคำของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หนึ่งในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะมาไขปริศนาว่า อะไรคือสาเหตุทำให้ประเทศไทยต้องเดินมาถึงจุดเปลี่ยน ระหว่างการเป็นประเทศ Republic or Kingdom of Thailand ? และไทยควรจะหาทางออกกับจุดยืนตรงครั้งนี้อย่างไร

POSITIONING – ทำไมคุณสนธิ ถึงมองว่า เมืองไทยกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน ในการกลายเป็นสาธารณรัฐ

ถ้ามองในแง่ของการตลาดของสินค้า จะเห็นได้ว่าทุกสินค้าพยายามสร้างความแตกต่างของตัวเอง เพื่อให้เกิดจุดเด่น ใครมีอะไรดีก็ต้องอวด ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทย ผมมองว่าประเทศไทย โดยพื้นฐานโครงสร้าง และวิธีการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นต่อเรื่องทุน สิ่งแวดล้อม จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับหลายประเทศในภูมิภาคแถบนี้ จริงอยู่ในบางครั้งเราอาจใส่ใจในเงินทุนน้อยกว่าอเมริกา และฮ่องกง แต่เราก็ไม่ได้ปฏิเสธทุน เพียงแต่ช่วงหลังความใส่ใจในทุนของเราส่อไปในลักษณะของทุนผูกขาด ซึ่งในที่สุดแล้วประเทศมันต้องมีจิตวิญญาณ แต่หลายประเทศในโลกนี้ไม่มีจิตวิญญาณ อย่างเช่น สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ไม่มีจิตวิญญาณ เวียดนามก็มีจิตวิญญาณของโฮจิมินห์ ส่วนลาวจะมีจิตวิญญาณหรือไม่ผมไม่รู้ พม่าก็มีจิตวิญญาณของเผด็จการทหารมาตลอด และก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ส่วนเมืองไทยได้กลับเข้าไปสู่การปกครองที่มีประชาธิปไตยแบบตัวแทน ในที่นี้ผมไม่ได้บอก การมีประชาธิปไตยแบบตัวแทน เป็นวิถีทางที่เหมาะที่สุดกับประเทศไทย แต่การมีประชาธิปไตยแบบตัวแทน คือ การล้อกติกาสากล ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ไทยต้องหันมาพิจารณาตัวเอง

ความพิเศษของสังคมไทย คือ วัฒนธรรมและจารีตประเพณี แม้ว่าวัฒนธรรมเราไม่เก่าแก่เท่ากับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี แต่ผมเชื่อว่าวัฒนธรรมของเราถ้าเริ่มนับตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง เป็นจุดเริ่มต้นก็มีอายุเกือบพันปี มันก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนานหลายรัชสมัยดำรงไว้ซึ่งความเป็นคนไทย ของต่างๆ พวกนี้ทำให้ประเทศไทยมีความพิเศษกว่าปลายประเทศ

ประเทศจีนก็มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ แต่เผอิญว่ามีแต่ประวัติศาสตร์ที่เป็นหนังสือบันทึก จีนเขาขาดสถาบันกษัตริย์ เพราะเขาโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ไปนานแล้ว ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้าย การโค่นล้มของสถาบันกษัตริย์ หรือสถาบันจักรพรรดิ์จีนหรือประเทศเนปาล ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับสถาบันกษัตริย์บ้านเราได้ หลายคนพยายามพูดว่า จุดจบของสถาบันกษัตริย์ ต้องเป็นไปตามวิวัฒนาการของโลก ผมกำลังจะบอกว่า…มันไม่จริง ถ้าหากเราทำความเข้าใจกับสถาบันกษัตริย์ให้ดี ไม่ใช่แค่การบอกว่า เรารักในหลวง ถ้าเราเข้าใจว่า สถาบันกษัตริย์ คือ ศูนย์รวมใหญ่ของเครือข่ายจิตวิญญาณของประเทศ ไทยเลยกลายเป็น 1 ในไม่กี่ประเทศที่มีจิตวิญญาณเหลืออยู่ จิตวิญญาณทำให้คนเป็นคน ไม่ได้ทำให้คนเป็นสัตว์

ถ้าไม่มีศูนย์รวมจิตวิญญาณ เราจะมองว่ามีเงินก็ถูก ไม่มีเงินก็ผิด มีเงินก็ได้รับความชมเชย ไม่มีเงินก็ถูกดุด่า สังคมไทยเราขณะนี้ ตั้งแต่คุณทักษิณขึ้นมา ได้เริ่มพัฒนาสังคมบางส่วนไปสู่สังคมเห็นแก่อำนาจเงิน เมื่อเป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องที่อันตรายต่อคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่นี้ อันตรายต่อประเทศไทยในระยะยาว อันตรายต่อวงการธุรกิจ เพราะวงการธุรกิจ ทุกอย่างมุ่งไปที่เงิน ไม่ได้มุ่งที่สังคม เพราะทุกคนเห็นแก่เงินเป็นตัวตั้ง

แต่ถ้าสถาบันกษัตริย์ยังอยู่ ทำให้หลายๆ คนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการยุติธรรม ถูกเงินซื้อ ทหาร ตำรวจ นักวิชาการถูกเงินซื้อ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สังคมไทยจะล่มสลาย คนบางคนอาจบอกว่า ล่มสลายก็ดีเหมือนกัน ก็สร้างสังคมใหม่ขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องมีสถาบันกษัตริย์ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ไง เราต้องมาตกลงกันก่อนว่า สถาบันกษัตริย์มีความจำเป็นต่อประเทศไทยหรือไม่ ฝ่ายที่ต่อต้านบอกไม่จำเป็น สถาบันกษัตริย์เก่าเกินไป ผมบอกถ้าคุณพิจารณาดูพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ พระองค์เหมือนใครบ้าง …หลายคนบอก ถ้าหมดพระองค์ท่านองค์นี้ไปแล้วจะเป็นยังไง … ผมบอกไม่น่ามีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าสถาบันกษัตริย์ …ซึ่งได้ปฏิรูปตัวเองไปอย่างเงียบๆ โดยที่พวกเขาไม่รู้หรอก เพราะถ้าสถาบันกษัตริย์ไม่ปฏิรูป เขาจะปล่อยให้พวกคุณมาจาบจ้วง หรือล่วงละเมิด แสดงว่า สถาบันกษัตริย์มีขันติ มีอุเบกขา ตรงนี้เป็นคุณูปการ เมื่อมองไม่เห็น ดังนั้นจึงเป็นปัญหาใหญ่ เขาเลยมองว่าสถาบันกษัตริย์ไร้คุณค่า เหมือนกับไก่ได้พลอย ฉะนั้นแล้ว พวกนี้ไปตั้งข้อสมมติฐานว่า สถาบันกษัตริย์เมื่อ 100 ปี หรือ 200 ปีที่แล้วเป็นยังไง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ สถาบันกษัตริย์พัฒนาตัวเองมาตลอด เพียงแต่ไม่ได้รวดเร็ว เหมือนกับฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลง

ดูอย่างรัชกาลที่ 7 ตอนที่พระองค์ท่านโดนคณะราษฎร์ยึดอำนาจ ถ้าพวกเขายึดอำนาจไปแล้วทำให้ประชาชนจริงๆ พระองค์ท่านไม่ขัดข้องหรอก แต่พวกคุณยึดเพื่อให้อำนาจกับตัวคุณเอง พระองค์ท่านจึงคงเจรจาต่อรองเพื่อคงไว้ ซึ่งเพื่อพระราชอำนาจบางส่วน และพระราชอำนาจอันนี้ก็กลายเป็น “เสาหลัก” ที่ทำให้ประชาชนเห็นว่า 50 ปี พระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจอย่างสุขุมรอบคอบ และใช้พระราชอำนาจเมื่อความขัดแย้งในสังคมหาที่สิ้นสุดไม่ได้ และจะมาบอกว่า สถาบันกษัตริย์ไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร และบุญที่พระองค์ได้สร้างให้กับประเทศนี้เป็นเวลา 50 ปี

เมื่อพระราชวรกายถดถอยลง ไม่สามารถไปออกไปตามที่ต่างๆ ได้ เลยเป็นช่องว่างที่เปิดให้คนอย่างคุณทักษิณเข้ามาแทนที่ ทีนี้คุณทักษิณ แทนที่จะทำงานเพื่อพระองค์ท่านโดยทำให้ประชาชนดีขึ้นไปเรื่อยๆ แต่คุณทักษิณทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อพรรคไทยรักไทย เจตนาตรงนี้เลยเคลือบแคลงน่าสงสัย จนมีคนต่างจังหวัดเริ่มพูดกันแล้วว่า ในหลวงไม่เห็นทำอะไรให้เขาเลย มีแต่คุณทักษิณที่ทำให้ ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัว เป็นกระบวนการทำลายเอกลักษณ์ของชาติ ชาติไทยนั้นมีความแปลกแยก และแตกต่างจากทุกชาติในโลก ชาติไทยเป็นชาติที่น่ารัก และนี่คือ The Royal Kingdom of Thailand พวกเราพูดได้เต็มปากว่า นี่คือราชอาณาจักรไทย จะบอกว่าพระองค์ท่านอยู่เหนือกฎหมายก็ไม่ได้ พระองค์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

มีอยู่ข้อเดียวที่กำหนดไว้ คือ ผู้ใดจะละเมิดพระองค์ท่านมิได้ ก็เพราะว่าพวกเราเห็นคุณงามความดีของสถาบันกษัตริย์ พวกเราถึงบอกว่า ละเมิดไม่ได้ สมมติถ้าพระองค์ท่านทำผิดกฎหมายอะไร พระองค์ท่านก็ต้องรับโทษทัณฑ์ทางกฎหมายเช่นกันไม่ต่างจากพวกเรา แต่จู่ๆ จะลุกขึ้นไปใช้วาจาที่ไม่เหมาะสมกับพระองค์ท่านนั้นไม่ได้ ผมคิดว่านี่เป็นความสวยงาม เหมือนกับเราอยู่ในบ้านที่ครอบครัวมีความสุข และพ่อมีคุณธรรม และดูแลลูกทุกคนให้มีความสุข ถึงแม้ว่าไม่ได้เขียนในกฎหมาย แต่ลูกนั้นสมควรหรือไม่ที่ลุกขึ้นมาด่าพ่อ ขนาดเราโกรธพ่อบางครั้งเราพูดอะไรแรงหน่อย แม่เราบอกว่าอย่าไปว่าพ่อ พ่อเขาหวังดี เขาทำมาหาเลี้ยงลูก ขนาดในบ้านเรายังเป็นอย่างนี้ รากเหง้าวัฒนธรรมของเราไม่เหมือนกัน เราเคารพผู้ใหญ่ นี่คือ หลักธรรมอันยิ่งใหญ่ ในทางศาสนาเองก็บอกว่า ผู้ที่มีพระคุณต่อเรา คือ พ่อและแม่ผู้ให้กำเนิด ใครทำร้ายบุพการี จะต้องลงนรกกี่ชั้น ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด

ในเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฯ ทรงเป็นพ่อหลวง และแม่หลวง ยิ่งต้องเคารพมากขึ้น นี่คือจุดโดดเด่นของอาณาจักรไทย ถ้ารักษาตรงนี้ได้ เมืองไทยจะเป็นเมืองที่มีเหตุผล เคารพสิทธิ แต่เมืองไทยจะไม่ยอมให้ทุนสามานย์มาผูกขาด ผมอยากเห็นลูกหลานไทย เจริญเติบโตด้วยวัฒนธรรมเหมือนเดิม อาจจะน้อยกว่าเดิมไปบ้าง ผมไม่ขัดข้อง แต่หัวใจหลักๆ ยังต้องอยู่ ถ้าไม่อยู่แล้ว เราไม่ต่างจากสิงคโปร์ ฮ่องกง ประเทศไทยจะไม่มีเสน่ห์ ไม่มีความหมาย และไม่มีคุณค่าเลยแม้แต่นิดเดียว

POSITIONING – อะไรคือสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาในสังคมไทย

มีนักวิชาการที่ไปเรียนรู้จากทางตะวันตก และมีฝ่ายซ้ายส่วนหนึ่งที่เคยเข้าป่า ทั้งสองฝ่ายมองเห็นว่า สถาบันกษัตริย์ไม่มีความหมาย บางคนมองเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2514 ว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เบื้องหลัง ก็เลยมองสถาบันด้วยความเคียดแค้น คนพวกนี้ เป็นคนที่ผมไม่กล้าไปว่าเขาด้อยปัญญา เพราะถ้าเขาไม่มีปัญญา เขาคงไม่ได้เป็นนักวิชาการระดับสูง เพียงแต่ไม่รู้จักใช้ “สัมมาปัญญา” เขามีมิจฉาปัญญา ใช้ปัญญาในทางที่ผิด ไม่คิดถึงบริบท ทุกๆ บริบท เขามองว่าสถาบันกษัตริย์กดขี่ เมื่อก่อนมีข้าทาสเยอะ การที่คุณวิเคราะห์สังคม ถึงแม้ว่าจะวิเคราะห์จากแง่มุมประวัติศาสตร์ คุณต้องวิเคราะห์พลวัตรที่เปลี่ยนแปลงด้วย คุณอย่าเอาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์บางเหตุการณ์ และไปตีเหมา เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป สถาบันกษัตริย์ของไทยเองก็เปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น

คุณจะเอาเหตุการณ์ในอดีต 100 ปี -200 ปี หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง มาบอกว่าสถาบันกษัตริย์เป็นตัวการขวางประชาธิปไตย ซึ่งเป็นประชาธิปไตยในมุมมองของนักวิชาการที่มีมิจฉาปัญญา ก็คือ ประชาธิปไตยในลักษณะตะวันตก เป็นประชาธิปไตยแบบตัวแทน คือมีลักษณะของการลงทุน ใครมีเงินก็สามารถเป็นผู้แทนราษฎรได้

เมื่อประชาธิปไตยคือการลงทุน ใครเป็นเจ้าของทุน ก็คือ ทุนสามานย์นี่แหละ ทำทุกอย่างเพื่อแบ่งผลประโยชน์ของชาติมาให้ตัวเองได้มากที่สุด เหมือนกับขนมเค้กชิ้นหนึ่ง ประชาธิปไตยแบบตัวแทนจะแบ่งเค้กของตัวเองออกเป็น 90 ส่วน อีก 1 ส่วน หรือ 10% เอาไปแจกให้ประชาชน และบอกว่า นี่คือประชาธิปไตย คุณจะได้ยินคำพูดเก่าๆ ตลอดเวลาว่า ผมได้รับเลือกตั้งเข้ามา ผมจะทำอะไร ไม่มีใครมาขวางได้ เพราะผมได้ฉันทามติของประชาชน แต่ละคนไม่ยอมพูดที่มาที่ไปของการเลือกตั้ง บางคนบอกเรามี คณะกรรมการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่ได้พิสูจน์มาแล้วทั้ง 2 ยุค 2 สมัยว่า กกต.ก็ถูกซื้ออีก

ถ้าถามว่ามีประชาธิปไตยแบบนี้ สู้อย่ามีดีกว่า เป็นระบอบสมบูรญาณาสิทธิราชย์ดีกว่า แต่พระมหากษัตริย์ของไทยเองไม่ต้องการ เพราะพระองค์ท่านได้พัฒนาไปตามกระแสโลก ฉะนั้นมีแต่เราที่ต้องปกป้องพระองค์ท่านเอาไว้ เพราะพระองค์ท่านเป็นที่พึ่งทางใจของเรา

POSITIONING – ประชาธิปไตยแบบไหนที่เหมาะกับสังคมไทยมากที่สุด

สำหรับผม ประชาธิปไตยที่เหมาะสังคมไทยมากที่สุด คือ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ผมยังไม่เคยเห็นตัวแทนกรรมการ ตัวแทนชาวนา หรือครูเข้ามานั่งในสภาผู้แทนราษฎร ก็เพราะการเลือกตั้งใช้เงินเป็นที่ตั้ง ทุกอย่างมันจะเป็นเรื่องของเงินไปหมดแล้ว ถ้ามีตัวแทนภาคประชาชนเข้าไป อยู่ในประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม จู่ๆ เขาจะขึ้นราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้นอีก 5 บาท เขาก็ทำไม่ได้ จู่ๆ ร้านโชห่วยจะโดนบริษัทใหญ่รังแก ก็ไม่ได้เหมือนกัน

แต่คนเหล่านี้จะหาเงินที่ไหนมา เพราะลงสมัคร ส.ส. แต่ละครั้งต้องใช้เงิน 10-20 ล้านบาทต่อ ส.ส. 1 ที่นั่ง อย่างพรรคพลังประชาชนมี ส.ส. อยู่ 180 คน แค่ถูกที่สุด คุณก็ต้องใส่ไปคนละ 20 ล้าน เป็นเงิน 3,600 ล้านบาทแล้ว ต่างชาติพูดว่ามีเงิน 15,000 ล้านบาทก็ซื้อเมืองไทยได้ทั้งประเทศแล้ว…ทุกวันนี้ประเทศไทยถูกตัดแบ่งขายได้ ยกแลนด์บริดจ์ให้ดูไบ ยกเขาพระวิหารไปให้เขมร ก็เพื่อแลกกับสัมปทานแก๊สธรรมชาติที่ตัวเองเข้าไปทำ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทุกอย่างทำเพื่อให้ต้นทุนประชาชนแพงขึ้น ในที่สุด ประชากร 63 ล้านคนจะต้องแบกรับตรงนี้ไป และนี่คือผลพวงของประชาธิปไตยแบบตัวแทน

POSITIONING – การลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักฯ ของจักรภพบอกถึงอะไรได้บ้าง

สังคมไทย ขาดอยู่อย่างหนึ่ง คือ การมองปัญหาแบบองค์รวม การจักรภพลาออกเพราะจำเป็น เนื่องจากเรื่องมันเข้าใกล้ตัวทุกที คำถามคือ จักรภพ เพ็ญแขไม่ได้เพิ่งทำ แต่เครือข่ายคุณจักรภพทำมาแล้วทุกอย่างที่เป็นการดูหมิ่นสถาบันฯ ไม่ว่าจะเป็นนิตยสารฟ้าเดียวกัน หรือบรรดาครูบาอาจารย์หลายๆ คนได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ถึงการไม่เอาสถาบันกษัตริย์ ตลอดจนเครือข่าย นปก. การบุกไปโจมตี ป๋าเปรมฯ แสดงอาการถ่อย แท้ที่จริงก็เพื่อต้องการสะท้อนไปถึงพระเจ้าอยู่หัวฯ เพราะป๋าเปรมฯ เป็นประธานองคมนตรี แบบนี้มันมีมานานแล้ว แต่นายกสมัครไม่เคยทำอะไรสักครั้งเดียว เจตนาเขารู้อยู่แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง เมื่อทหารเตรียมลุกขึ้นมาด้วยความทนไม่ได้ เขาเลยต้องจัดการให้จักรภพลาออก การจะให้คุณจักรภพออกมันง่ายถ้าเขาสั่ง แต่เขาไม่สั่ง เขารอจนกระทั่งเขาเริ่มรู้ว่า คุณจักรภพ คือ สายล่อฟ้าที่กำลังทำให้บ้านเขาพังทั้งหลัง เขาเลยฆ่าตัดตอน แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่การให้พักชั่วคราว แต่กระบวนการยังอยู่เหมือนเดิม…ไม่ได้หายไปไหน

POSITIONING – กระบวนการจาบจ้วงสถาบันฯ เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี เว็บไซต์มนุษยดอทคอมก็เกิดขึ้น เป็นเว็บไซต์ที่ด่าว่าราชวงศ์จักรี ใช้ชื่อว่ารู้ทันราชวงศ์จักรี อาจารย์ผู้ชายคนหนึ่งในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นคนทำ ซึ่งคนในวงการรู้กันหมดว่าคือใคร จุฬาฯ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งขึ้นมา กลายเป็นแหล่งซ่องสุมของบรรดาอาจารย์ที่ต้องการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์อย่างน่าเสียดาย

POSITIONING – เครือข่ายเหล่านี้ทำไมเกิดขึ้นมาได้ในสังคมไทย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี

เพราะว่าไม่มีใครลุกขึ้นมาต่อต้าน ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องราวเหล่านี้มาตีแผ่ให้ประชาชนฟัง มีแต่พวกเรา ผมเป็นคนแรกที่เตือนสติคุณทักษิณ ถึงความไม่เหมาะสมในการเป็นประธานทำพิธีในวัดพระแก้ว ใครเป็นคนแรกที่พูด…ผม ทุกคนเห็นแล้วอึดอัดใจ แต่ทุกคนไม่กล้าพูด ผมไม่ได้เป็นคนกล้า แต่เป็นเพราะผมมีความรู้สึกว่านี่คือบ้านผม นี่คือชาติที่ให้ผมเกิด และเป็นชาติให้ลูกผมจะต้องเจริญเติบโตต่อไป เป็นชาติที่พวกคุณ ลูกหลานคุณต้องอยู่ต่อ ถ้าทำอย่างนี้ผมรับไม่ได้ ซึ่งกระบวนการชัดเจนมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปีแรกที่คุณทักษิณมาเป็นนายกฯ จนกระทั่งผมสู้มาตลอด จนคุณทักษิณออกไป ขบวนการนี้มันก็เริ่มเข้มข้นขึ้น จริงๆ แล้วมี 50 กว่าเว็บไซต์ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างรุนแรงที่สุด โดยที่รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรแม้แต่นิดเดียว เหมือนจงใจปล่อยให้เกิดขึ้น จนพันธมิตรทนไม่ไหว เอาเรื่องนี้เป็น 1 เรื่องในความชั่วร้ายที่รัฐบาลชุดนี้ทำ พอเขาเห็นจวนตัว เขาก็เลยฆ่าตัดตอนคุณจักรภพ นั่นแหละคือข้อเท็จจริง

POSITIONING – ปัญหาเวลานี้เลยยิ่งกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ

ยิ่งกว่า

POSITIONING – ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทางออกของประเทศควรจะเป็นอย่างไร

ผมไม่มีความเห็น ผมทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นลูกเจ๊ก ลูกจีน เครื่องราชฯ ก็ไม่มี มีแต่บาดเจ็บ มีแต่สูญเสียทรัพย์ มีแต่เสี่ยงตาย มีแต่โดนคนที่ไม่เข้าใจดุด่า ว่าไม่พอเสียที นี่คือปัญหาใหญ่ในสังคมไทย คนที่ด้อยปัญญามีมาก คนที่พูดว่าไม่รู้จักพอเสียที เป็นคนที่ด้อยปัญญาที่สุด

POSITIONING – นี่คือ จุดเปลี่ยนประเทศไทย

ผมยืนยันว่า เป็นจุดเปลี่ยน ถ้าผมไม่สามารถดึงเมืองไทย เข้าไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง เราก็แพ้.. ถ้าเราแพ้แล้ว เราก็เตรียมรับเมืองไทยอีกแบบหนึ่ง แน่นอน 100% พวกเรากำลังลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันอย่างสุดชีวิต แต่ถ้าพวกเราพ่ายแพ้ไป สถาบันจะโดดเดี่ยวมาก เพราะสถาบันมีสถานภาพที่ลำบาก เพราะพูดไม่ได้

POSITIONING – คุณสนธิมั่นแค่ไหนว่าจะชนะกับการต่อสู้ในครั้งนี้

ผมไม่มั่นใจว่าจะชนะ แต่ผมต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าสังคมไทยมันจะต้องเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องถือว่า เป็นเวรกรรมของประเทศชาติ ก็ต้องปล่อยไป ผมทำดีที่สุดแล้ว ในฐานะลูกเจ๊ก ลูกจีนคนหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่เครื่องราชฯ ไม่เคยไปยืนถวายสัตย์ต่อหน้าองค์พระบาทสมเด็จฯ ไม่เคยไปรวมตัวที่สนามหลวงแล้วเปล่งเสียงว่า ทรงพระเจริญ ไม่เคย แต่ทำให้จริง