BMW iPerformance รถยนต์ไฟฟ้าเพื่ออนาคต

โลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันนั้นหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีที่พัฒนาในทุกวันนี้ช่วยให้การใช้ชีวิตของเราง่ายกว่า 70 ปีก่อนเป็นอย่างมาก เมื่อก่อน การจะเดินทางข้ามโลกในยุคเครื่องจักรไอน้ำนั้นอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ แต่ในปัจจุบัน เครื่องบินเจ็ทสามารถย่นระยะเวลาให้สั้นลงเหลือเพียงไม่ถึง 1 วัน

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้ก็คือการค้นพบน้ำมันจากซากฟอสซิล ที่ถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในหลากหลายอุตสาหกรรม ขณะที่การค้นพบนี้นำมาซึ่งนวัตกรรมหลายอย่างที่ช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น แต่มันก็มีราคาที่เราต้องจ่ายเคลือบแฝงเข้ามาด้วย นั่นก็คือผลกระทบจากการสารปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศนั่นเอง

อุตสาหกรรมรถยนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ต้องให้ความสำคัญในการลดปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง ค่ายรถทุกค่ายควรต้องคำนึงถึงอนาคตที่ยั่งยืนมากกว่าจะเน้นขายรถให้ได้จำนวนมากที่สุดแต่เพียงอย่างเดียว

BMW เห็นความสำคัญในจุดนี้ จึงได้ค้นคว้าและพัฒนารถยนต์เพื่ออนาคต ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยปัจจุบันนี้ ประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ของ BMW ก้าวหน้ากว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก สามารถเปลี่ยนพลังงานจากแบตเตอรี่ให้เป็นพลังงานกลที่ใช้ขับเคลื่อนรถยนต์ได้ถึง 96 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มจากเดิมที่ทำได้เพียงแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ โดยพลังงานที่เหลือสูญเสียไปในรูปของความร้อน

20160825-bmw-03

Carbon Fiber : Magic Making

ความท้าทายอีกหนึ่งอย่างของรถยนต์ไฟฟ้าก็คือน้ำหนักของแบตเตอรี่ที่ถูกนำมาใช้ในเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนรถยนต์นั้นมีน้ำหนักค่อนข้างมาก การจะออกแบบเพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพจึงต้องคำนึงจุดนี้เป็นหลัก วัสดุที่จะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในรถยนต์จะต้องมีความเบาทนทานและแข็งแรง

CFRP หรือ Carbon Fiber Reinforced Plastic ที่ใช้กันในรถแข่ง F1 จึงถูกนำมาใช้งานในการสร้างรถยนต์เพื่ออนาคต ด้วยน้ำหนักที่เบากว่าเหล็กกล้าถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และแข็งแรงกว่า 5 เท่า โดยใช้วัสดุ CFRP ในการสร้างห้องโดยสารทั้งหมด ทาง BMW เรียกในส่วนนี้ว่า “Life” และในส่วนแชสซีส์ขับเคลื่อนเครื่องยนต์ช่วงล่างที่ใช้วัสดุอลูมิเนียมเรียกว่า “Drive” เมื่อนำทั้งสองส่วนมาประกอบกันกลายเป็นรถยนต์ “LifeDrive” คอนเซ็ปต์ ที่จะกลายเป็นต้นแบบในการสร้างสรรค์และพัฒนารถยนต์ของ BMW ซีรี่ส์ i นั่นเอง

20160825-bmw-02-r30

จุดเริ่มต้นของ i ซีรี่ส์

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1972 ปีเดียวกันกับมหกรรมโอลิมปิค ที่เมืองมิวนิค เยอรมนี BMW ได้เปิดตัวคอนเซ็ปต์คาร์สีส้ม “electrifying” 1602 ที่ใช้แบตเตอรี่รถยนต์ 6 ลูกเป็นพลังงานขับเคลื่อน โดยสามารถเดินทางได้เพียง 30 กิโลเมตรก็ต้องกลับมาชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ ต่อมาในปี 1982 รถยนต์ไฟฟ้า BMW “E1” สามารถเดินทางได้ไกลขึ้น ทำระยะได้ถึง 150 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ด้วยการใช้วัสดุน้ำหนักเบาอย่างพลาสติกมาใช้ทำเป็นห้องโดยสาร ถัดมาอีก 3 ปีที่งานแฟรงก์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ คอนเซ็ปต์คาร์อย่าง E1 ได้ถูกพัฒนาไปอีกขั้นสามารถเพิ่มระยะการเดินทางได้เป็น 200 กิโมเมตร ถือเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญสำหรับวงการรถยนต์ไฟฟ้าในยุคนั้น

แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในด้านการทดลอง แต่รถยนต์ต้นแบบเหล่านั้นก็ไม่เคยถูกผลิตออกมาเพื่อใช้งานบนถนนจริงๆ เลย จนกระทั่งปี 2009 รถ “MINI E” และปี 2012 รถ “ActivE” ได้ถูกทดสอบโดยผู้ใช้งานจริงจากคนขับกว่า 1,000 คน ใน 10 ประเทศ เป็นระยะทางรวมกันกว่า 20 ล้านกิโลเมตร จากการทดสอบดังกล่าว BMW ได้ค้นคว้าและพัฒนาโปรเจกต์นี้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถเปิดตัว “BMW i3” ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบทั้งคันในปี 2014 ที่สิงคโปร์

ด้วยขนาดเครื่องยนต์ 650 ซีซีเดินทางได้ไกล 190 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟจนเต็ม 1 ครั้ง ในการขับขี่ในชีวิตจริงสามารถทำระยะได้ 130-160 กิโลเมตร ถือว่าเพียงพอต่อการเดินทางไปกลับที่ทำงานตลอดสัปดาห์ และการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันของคนเมือง

และสำหรับผู้ขับขี่ที่ยังต้องการสมรรถนะในเรื่องของความเร็ว ควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คงจะไม่มีตัวเลือกไหนที่เหมาะสมไปกว่าการเข้ามาตอบโจทย์ของ รถยนต์ “BMW i8” ที่เป็นรถยนต์ไฮบริด เปิดตัวเมื่อปี 2013 ที่งานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ ประหยัดน้ำมันได้ถึง 40 กิโลเมตรต่อลิตร หรือถ้าต้องการเปิดโหมดที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวก็ยังสามารถเดินทางได้ถึง 35 กิโลเมตร

มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้าของ BMW i8 นั้นให้พลัง 131 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยเวลาเพียง 4.4 วินาที เมื่อรวมกับเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหลังอีก 231 แรงม้าสามารถเพิ่มกำลังเป็น 362 แรงม้า และแรงบิดเป็น 570 นิวตันเมตรเลยทีเดียว

พัฒนาการของรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีมาเนิ่นนานแล้ว ค่ายรถยนต์อื่น ก็มีเช่นเดียวกันอย่าง

LaFerrari: ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 6.3 ลิตร มีกำลัง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุดได้ที่ 700 นิวตัน/เมตร ขับเคลื่อนด้วย 2 ล้อหลัง ใช้เกียร์กึ่งอัตโนมัติ 7 จังหวะ ในระบบคลัทช์คู่ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 350 กม./ชม.โดยที่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ในเวลาเพียง 3 วินาที

McLaren P1: ใช้เครื่องยนต์ McLaren M838TQ twin-turbo 3.8 ลิตร V8 ซึ่งสามารถให้กำลังได้ถึง 727 แรงม้า แรงบิดที่ 719 นิวตัน/เมตร ส่วนเครื่องยนต์ไฟฟ้า สามารถทำกำลังได้ที่ 176 แรงม้า และแรงบิดที่ 260 นิวตัน/เมตร เมื่อรวมกันแล้วสามารถทำกำลังได้มากถึง 903 แรงม้า และแรงบิดที่ 978 นิวตัน/เมตร สำหรับในเรื่องของอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ที่ 2.8 วินาที

Porsche 918: ใช้เครื่องยนตร์ขนาด 4.6 ลิตร V8 สามารถทำกำลังได้ถึง 608 แรงม้า พร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่ให้พลังงานเพิ่มอีก 279 แรงม้า รวมเป็น 887 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 340 กม./ชม.

BMW i8: ใช้เครื่องยนต์ eDrive (iPerformance) ให้ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. ขับเคลื่อนได้เป็นระยะทางถึง 37 กม. โดยปราศจากการปล่อยไอเสีย และหากปรับเป็นโหมดสปอร์ตสามารถเร่งความเร็วจาก 80-120 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 2.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 250 กม./ชม.

20160825-bmw-04-r30

Best of Both World

เทคโนโลยีอัจฉริยะ eDrive หรือปลั๊กอิน ไฮบริดได้ถูกนำมาใช้กับรถยนต์ BMW X5 ที่ผสานการขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TwinPower Turbo กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างลงตัว โดย X5 กับเทคโนโลยี eDrive ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2015 ที่ผ่านมาถูกขายในชื่อ X5 xDrive40e ซึ่งเทคโนโลยี eDrive นั้นนอกจากจะมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนแล้วยังช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกไปสู่ชั้นบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 ที่ผ่านมา BMW เองได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ iPerformance เป็นชื่อใหม่ของเทคโนโลยีปลั๊กอิน ไฮบริดที่พัฒนามาจาก eDrive ซึ่งประกอบไปด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และการควบคุมเครื่องยนต์ด้วยกัน ซึ่งถูกใช้ใน BMW i3 และ BMW i8 และหลังจากเดือนมีนาคมเป็นต้นไป BMW ก็จะหยิบ iPerformance มาใช้กับหลายซีรีส์ได้แก่ซีรีส์ 3 และซีรีส์ 7 ในปลายปี

ในปี 2008 มีรถยนต์ BMW ที่ใช้เทคโนโลยีที่คำนึงถึงต่อสิ่งแวดล้อมกว่า 7 แสนคันถูกใช้งานในแถบยุโรป สามารถลดความสิ้นเปลืองในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 150 ล้านลิตร ลดการปล่อยปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 373,000 ตัน พลังงานที่รถยนต์ BMW ใช้งานลดลงนี้ เทียบเท่ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนของ 780,000 ครอบครัวตลอดทั้งปี

ลองจินตนาการดูว่าตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นไปนี้ เทคโนโลยี eDrive (iPerformance) จะช่วยโลก ได้มากมายมหาศาลขนาดไหน

20160825-bmw-05-r80