ปตท. มี “โรงกลั่นน้ำมัน” อยู่ 5 โรง จากทั้งประเทศที่มีอยู่ 7 โรง ทำให้ปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่ไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะหากอยากมีน้ำมันไว้ขายก็ต้องซื้อจาก ปตท. เป็นส่วนใหญ่ หรือแม้ว่าจะเป็นโรงกลั่นของต่างประเทศอย่างยักษ์ใหญ่ “เชฟรอน” ที่ควบรวมกิจการกับยูโนแคลไปแล้ว ก็ต้องรับสัมปทานอีกต่อหนึ่งจาก ปตท.
เมื่อมีสถานะผูกขาดธุรกิจ ย่อมมีอำนาจการคิดราคาขายหน้าโรงกลั่น โอกาสเช่นนี้ ราคาไหนที่สูงกว่าทำกำไรได้มากกว่า บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง ปตท. ย่อมต้องไขว่คว้า และเกาะติด ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างที่ทำให้ ปตท. จำเป็นต้องขายน้ำมันแพงมาตลอด นั่นคือ “ราคาขายที่ตลาดสิงคโปร์”
ผลก็คือ ปตท. รายได้เพิ่มขึ้นปีละ 15% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปี 2550 ขณะที่คนไทยกำลังทุกข์ยากราคาน้ำมันที่แพงลิ่ว แต่ ปตท. กลับมีรายได้สูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท และกำไรถึงเกือบ 1 แสนล้านบาท
ราคาน้ำมันตลาดโลกไม่ว่าจะเป็นในตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่สิงคโปร์ ที่พุ่งขึ้นทุกวัน จน ณ ต้นเดือนกรกฎาคม 2551 เกือบแตะ 150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นปัจจัยที่ประเทศไทยไม่สามารถควบคุมได้ และต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันกับทุกประเทศในโลก แต่เคราะห์ซ้ำสำหรับประชาชนคนไทย เมื่อความแพงส่วนหนึ่งมาจากบริษัทไทยที่เอาเปรียบคนไทยด้วยกันเอง โดยมุ่งกำไรมากกว่า
ผูกขาดโรงกลั่น อิงสิงคโปร์ทำกำไร
“ปตท.” เป็นบริษัทที่มีอำนาจผูกขาดตลาด เพราะเป็นองค์กรที่มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ คือการขุดเจาะกลางน้ำ และปลายน้ำ หรือตั้งแต่ขุดเจาะน้ำมัน ขุดก๊าซ มาจนถึงการกลั่นน้ำมัน แยกก๊าซ และการจำหน่ายผ่านปั๊มน้ำมัน รวมไปถึงการมี “สถานะเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ” ที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2545 กำหนดให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ที่ต้องใช้น้ำมันตั้งแต่ 10,000 ลิตรขึ้นไป ต้องซื้อจาก ปตท. หรือบางจากที่มี ปตท. ถือหุ้นใหญ่เท่านั้น นอกเหนือจากความได้เปรียบจากการยกเว้นกฎเกณฑ์ เพราะมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
หนึ่งในธุรกิจหลักของ ปตท. คือ “โรงกลั่นน้ำมัน” ที่ถือเป็นช่องว่างสร้างกำไรให้กับ ปตท. ได้อย่างมาก เพราะ ปตท. เป็นเจ้าของ 5 โรงกลั่นจากทั้งประเทศมี 7 โรงกลั่น คิดเป็นการผูกขาดธุรกิจการกลั่น ณ 31 ธันวาคม 2550 ที่ 73.13% จากความสามารถการกลั่นน้ำมันทั้งประเทศ
โรงกลั่นในเครือ ปตท.
—————————————————————————————————————————————
โรงกลั่นในเครือ ปตท. ปตท. ถือหุ้น (%) กำลังการกลั่น คิดเป็น% รายได้ กำไร
บาร์เรลต่อวัน ของกลั่นในประเทศ (ล้านบาท) (ล้านบาท)
————————————————————————————————————————————-
1.บางจากปิโตรเลียม 29.75 120,000 11 95,456.04 1,763.76
2.ไทยออยล์ 49.10 275,000 24 263,832.71 19,175.63
3.สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟนนิ่ง 36.00 150,000 13 179,645.32 6,195.25
4.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น 48.66 215,000 19 70,950.20 1,487.63
(โรงกลั่นน้ำมันระยองควบรวมกับอะโรเมติกส์ฯ)
5.ไออาร์พีซี 31.50 215,000 19 232,306.94 12,985.99
—————————————————————————————–
รวม – 975,000 73.13 842,191.21 41,608.26
——————————————————————————————————————————–
ที่มา : ปตท. + ตลาดหลักทรัพย์ฯ
แหล่งนำเข้าน้ำมันดิบ ปี 2550 (ปริมาณ 46,333 ล้านลิตร มูลค่า 707,037 ล้านบาท)
—————————————————————————————————-
แหล่ง ปริมาณ (ล้านลิตร) สัดส่วน %
—————————————————————————————————-
ตะวันออกกลาง 36,176 78.1
ตะวันออกไกล 4,477 9.7
อื่นๆ 5,680 12.2
(รวมในประเทศประมาณ 3%)
—————————————————————————————————-
ที่มา : กรมธุรกิจพลังงาน
ที่มาของกำไรของ ปตท. นอกจากเทคโนโลยีการกลั่นที่ดีขึ้น และการเทกโอเวอร์กิจการบริษัทน้ำมันและโรงกลั่นหลายแห่งแล้ว ในมุมมองของ “โสภณ สุภาพงษ์” คือสูตรราคาที่ใช้อยู่คือสูตร “หายนะ”
“โสภณ” ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารบางจาก และวุฒิสมาชิก อธิบายว่า ไทยนำเข้าน้ำมันดิบส่วนใหญ่จากตะวันออกกลาง ซึ่งราคาจากแหล่งผลิตน้ำมันดิบย่อมต่ำกว่าตลาดซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นในนิวยอร์ก ยุโรป และสิงคโปร์ ซึ่งตลาดเหล่านั้นเปรียบเหมือนตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีการซื้อขายหุ้นกันหลายรอบ จนราคาถูกปั่นสูงขึ้นเรื่อย ๆ หรือในบางวันอาจมีราคาลดลง แต่ส่วนใหญ่คือการปั่นให้มีราคาสูงขึ้นเกินจริง ซึ่งตลาดน้ำมันมีการปั่นราคาได้ง่าย เพราะมีปัจจัยกระทบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการอ้างถึงความขาดแคลนจากการผลิตไม่เพียงพอ การมีสงคราม หรือแม้แต่ท่อน้ำมันระเบิด
ตัวอย่างเช่น น้ำมันดิบจากโอมานราคา 122 เหรียญต่อบาร์เรล ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2551 หรือเท่ากับ 24.8 บาทต่อลิตร (การแปลงหน่วยบาร์เรลเป็นลิตร คำนวณจาก 1 บาร์เรล เท่ากับ 159 ลิตร ราคา 122 เหรียญเท่ากับ 3,904 บาท อัตราแลกเปลี่ยน 32 บาทต่อเหรียญ)
เมื่อบวกค่าการกลั่นอีกประมาณ 1.5 บาทต่อลิตร ราคาขาย ณ โรงกลั่นควรเป็น 26.3 บาทต่อลิตร แต่เมื่อมีการอ้างความจำเป็นว่าต้องอิงราคาตลาดสิงคโปร์ที่มีการปั่นราคาน้ำมัน เพราะมีการเก็งกำไรจากการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าเป็นเดือน ทำให้ราคาขาย ณ โรงกลั่นสูงขึ้น
ตัวอย่างเช่น กรณีของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 30 พฤษภาคม มีการโค้ดราคา ณ โรงกลั่นอยู่ที่ 33 บาท ตามตลาดสิงคโปร์ ทำให้โรงกลั่นมีส่วนต่างกำไรที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ 6.7 บาท และยังมีการบวกค่าขนส่งอีก 0.8 บาท เมื่อรวมกับภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 5 บาท และค่าการตลาดอีก 1.5 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกขึ้นมาถึง 39.5 บาท
ข้อเสนอของ “โสภณ” คือ ควรตั้งราคาขายในประเทศควรต่ำกว่าราคาที่สิงคโปร์ 1-2 บาทต่อลิตร
หรือหากลดราคาได้ถึงลิตรละ 3 บาท
ผลก็คือ จะทำให้กำไรของธุรกิจโรงกลั่นทั้งประเทศลดลง 57,000 ล้านบาท (ในปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลในประเทศ 19,000 ล้านลิตรต่อปี) จากกำไรรวมในปี 2550 ที่โรงกลั่นทุกบริษัททั้งของ ปตท. และต่างชาติทำกำไรได้รวมกัน 169,438 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 2544 ถึง 730% ที่ทำกำไรได้เพียง 20,330 ล้านบาท
ด้วยความที่คำนึงถึงแต่ผลกำไร และผลประกอบการขององค์กร เป็นเรื่องที่ ปตท. ไม่เคยยอมทำมาตลอด
การอิงตลาดสิงคโปร์ เป็นสิ่งที่ผู้บริหารปตท.ชี้แจงมาตลอดว่า นี่คือกลไกของตลาดโลก เพราะทุกประเทศต้องอิงตลาดที่มีการซื้อขายน้ำมันกันจำนวนมาก (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์”) ไม่เช่นนั้นหากตลาดใดโค้ดราคาต่ำกว่าจะทำให้เกิดความปั่นป่วนของตลาดน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอจากอดีตผู้บริหารบริษัทน้ำมันเพื่อเป็นทางออกสำหรับ ปตท. ว่าหากต้องการอิงราคาตลาดสิงคโปร์ก็สามารถทำได้ และมีทางออกสำหรับคนไทยให้ได้ใช้น้ำมันถูกลง คือใช้สูตรราคาสิงคโปร์ ลบ 2-3 บาท ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันต้องยินยอม แม้ว่าจะทำให้กำไรลดลงบ้าง
จากโครงสร้างการผูกขาดธุรกิจพลังงานชนิดครบวงจร มาจนถึงการคำนวณราคาที่แพงทั้งที่มีทางเลือกคำนวณให้ถูกลงได้ แต่ ปตท. ยืนยันไม่เลือก ณ วันนี้จึงทำให้คนไทยได้บทเรียน และกำลังส่งสัญญาณชัดมายังก๊าซแอลพีจี และแม้จะมีการส่งเสริมให้ใช้พลังงานทดแทนอื่นๆ แต่หากอำนาจเหนือตลาดยังคงเป็นของ ปตท. และ ปตท. ยังคงเน้นกำไรสูงสุด เพื่อติดอันดับระดับโลก ข้อกังวลของประชาชนจึงเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เช่นนั้น คงต้องนับถอยหลัง รอวันเจ๊งกันทั้งประเทศ
——————————–
ที่มาราคาน้ำมันจำหน่ายหน้าปั๊ม (ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2551) (กรณีตัวอย่างน้ำมันเบนซิน 95 และดีเซลหมุนเร็ว) หน่วย : บาทต่อลิตร
————————————————————————————————-
รายการ เบนซิน 95 ดีเซลหมุนเร็ว
————————————————————————————————-
*ราคาหน้าโรงกลั่น 29.65 35.81
ภาษีสรรพสามิต 3.68 2.30
ภาษีท้องถิ่น 0.36 0.23
กองทุนน้ำมัน 3.45 -0.30
กองทุนอนุรักษ์พลังงาน 0.75 0.25
ราคาขายส่ง 37.91 38.30
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.65 2.68
รวมราคาขายส่ง 40.56 40.98
**ค่าการตลาด 1.42 0.79
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 0.09 42.09
ราคาขายปลีก 42.09 41.84
————————————————————————-
ที่มา : อ้างอิงราคาขายปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
*ราคาหน้าโรงกลั่น =ราคานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ (Import parity Price) ที่มาจาก
ราคาน้ำมันจรในตลาดจรที่สิงคโปร์ (FOB) + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย + ค่าจัดเก็บน้ำมัน + ภาษีศุลกากรนำเข้า
**ค่าการตลาด = ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ + ค่าขนส่ง + ค่าส่งเสริมการตลาด + ค่าผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจ
เปิด 3 เงื่อนปม ปัญหา ปตท.
1. โครงสร้างการบริหารกิจการพลังงาน และ ปตท. มีผลประโยชน์ทับซ้อน
การที่ผู้กำกับดูแลกิจการด้านพลังงานเข้ามาเป็นบอร์ดของ ปตท. ที่ได้ทั้งเบี้ยประชุม โบนัสจากผลงานการดำเนินงาน และบางคนอาจมีหุ้น จนเกิดข้อสงสัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน (อ่านเรื่องผู้บริหารรวยหุ้น โบนัส เงินเดือน) ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาที่สำคัญ
2. เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
เสียงของตัวแทนผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น “รสนา โตสิตระกูล” วุฒิสมาชิก และ “สารี อ๋องสมหวัง” ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งต่างบอกว่าผู้บริโภคถูกเอาเปรียบจาก ปตท. มานาน และมองว่าปัญหามาจากการแปรรูป ปตท. และเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะยิ่งมีการซื้อหุ้นขายหุ้นมาก ผู้บริหาร ปตท. จะคำนึงถึงตัวเลขกำไร และการเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ มากกว่าความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งในกลุ่มผู้บริโภคแม้จะไม่ชนะคดีในการฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอน ปตท. ออกจากตลาดหุ้น โดยมีคำพิพากษาเพียงการแยกทรัพย์สินคืนกระทรวงการคลังเมื่อปลายปี 2550 เท่านั้น แต่ “สารี” บอกว่า กลุ่มผู้บริโภคจะเดินหน้าต่อเพื่อให้รัฐซื้อหุ้น ปตท. คืนทั้งหมด
3. ข้อมูลบิดเบือน
ปตท. และหน่วยงานด้านพลังงานของประเทศ ไม่พยายามชี้แจงข้อมูลที่ชัดเจนกับประชาชน ซึ่ง “วิฑูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ” เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ อดีตประธานคณะทำงานศึกษาปัญหาและนโยบายพลังงาน สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บอกว่า ปตท. ไม่เพียงทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ แต่ยังเดือดร้อนจากราคาน้ำมันแพงอย่างสมบูรณ์แบบ
ในความเป็นจริงคือ ปตท. ไม่ได้เพียงนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อผลิตเชื้อเพลิงจำหน่ายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีการขุดเจาะน้ำมันดิบในประเทศได้บางส่วน ซึ่งต้นทุนน้ำมันดิบในประเทศ กับต่างประเทศย่อมต่างกัน และผลผลิตที่ออกมา ก็มีความหลากหลาย ตั้งแต่น้ำมันเบนซิน น้ำมันสำหรับเครื่องบิน ไปจนถึงน้ำมันเตา ซึ่งแต่ละชนิดมีต้นทุนต่างกัน น้ำมันที่กลั่นได้ยังมีผลผลิตส่วนเกินออกจำหน่ายต่างประเทศ ที่ใช้มาตรฐานราคาในสิงคโปร์ บวกค่าค่าขนส่ง จนราคาสูงกว่าที่ควรจำหน่ายในไทย แต่เมื่อ ปตท. ต้องส่งออกน้ำมันด้วย จึงต้องใช้ราคามาตรฐานเดียวกัน
สิ่งที่ภาคประชาชนอยากเห็นคือ ปตท. ชี้แจงข้อมูลทั้งหมด เช่น น้ำมันดิบในประเทศ ต้นทุนเท่าไหร่ ถูกกว่าการนำเข้าหรือไม่ ผลผลิตจากการกลั่น มีน้ำมันคุณภาพสูงจำนวนเท่าไหร่ การที่บอกว่าค่าการกลั่นน้ำมันบางประเภทติดลบจนต้องชดเชย อย่างน้ำมันเตา นั้นจำเป็นหรือไม่ที่ผู้ใช้น้ำมันทั้งหมดต้องชดเชยให้น้ำมันเตาที่ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมการรายใหญ่
3 ยุค 3 แบบ “ราคาน้ำมัน”
ในอดีตการคิดราคาน้ำมันขายปลีกแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ตามที่ “คุณหญิง ทองทิพ รัตนะรัต” ที่ปรึกษาสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้เคยบรรยายพิเศษ มีข้อน่าสังเกตคือ ในช่วงหลังเปิดเสรี ปี 2534 จนมาถึงปี 2544 ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ รัฐมีการแทรกแซงราคาเป็นระยะ นโยบายพลังงานกลายเป็นเครื่องมือหาเสียงและผลโยชน์มากขึ้น และยิ่งสร้างปัญหาให้กับราคาน้ำมัน
1. ก่อนเปิดเสรี (ก่อนปี 2534)
สภาวะตลาด-มีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิด และมีโรงกลั่นในประเทศ 3 แห่ง คือไทยออยล์ เอสโซ่ และบางจาก
ราคา- ณ ธันวาคม 2542 เบนซิน 95-91 ลิตรละ 12.99-13.79 บาท ดีเซล 10.79 บาท
ผู้กำหนดราคา-รัฐบาล กำหนดทั้งราคาหน้าปั๊ม และค่าการตลาด
หลักการกำหนดราคา-ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และพัฒนาประเทศได้
สูตรการคำนวณราคาหน้าปั๊ม = ราคา ณ โรงกลั่น+ภาษีต่าง ๆ +กองทุนต่างๆ +ค่าการตลาด
การปรับราคา –ช่วงแรกปรับทุก 15 วัน ต่อมาปรับทุก 7 วัน
2. ช่วงเปิดเสรี (ตั้งแต่ปลายปี 2534-2546)
สภาวะตลาด-นำเข้าน้ำมันช่วงแรกและตั้งแต่ปี 2538 มีการส่งออก เพราะมีโรงกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 7 แห่ง หรือเพิ่มมาอีก 4 แห่ง
ราคา-เบนซิน 95 เท่ากับ 13.79-17.29 บาท , เบนซิน 91 เท่ากับ 12.99-16.49 และดีเซล 11.02-14.39 บาท
ผู้กำหนดราคา- ผู้ค้าปลีก กำหนดให้เป็นไปตามกลไกการแข่งขันในธุรกิจขายปลีก
หลักการกำหนดราคา-ผู้ค้าปลีกใช้กรณีที่โรงกลั่นต้องส่งออกเป็นข้อต่อรองราคาซื้อจากโรงกลั่น
สูตรการคำนวณราคาหน้าปั๊ม-ราคา ณ โรงกลั่น+ภาษีต่างๆ +กองทุนต่างๆ +ค่าการตลาด
การปรับราคา-ปรับตามสภาวะตลาด
3. ช่วงรัฐแทรกแซงราคา (ตั้งแต่มกราคม 2547-1 กรกฎาคม 2551)
สภาวะตลาด-โรงกลั่นบางแห่งปิดซ่อมแซม มีการนำเข้าน้ำมันดีเซล
การกำหนดราคา-รัฐบาล และมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซล 18.19 บาทต่อลิตร น้ำมันประเภทอื่นลอยตัว LPG กึ่งลอยตัว
ราคา-เบนซิน 95 เท่ากับ 17.79-42.09 บาท เบนซิน 91 เท่ากับ 16.99-41.79 บาท และดีเซล 14.69-42.64 บาท
หลักการกำหนดราคา-ตั้งราคาน้ำมันดีเซลในระดับที่ประชาชนกินดีอยู่ดี และพัฒนาประเทศได้ โดยรัฐมีกองทุนอุดหนุน นำเงินส่วนหนึ่งชดเชยให้โรงกลั่น ส่วนน้ำมันประเภทอื่นเป็นไปตามกลไกตลาด
สูตรการคำนวณราคาหน้าปั๊ม-ราคา ณ โรงกลั่น+ภาษีต่าง ๆ กองทุนต่างๆ +ค่าการตลาด
การผลิตเชื้อเพลิง และราคาขายปลีก
——————————————————— ——————————————–
ผลผลิต แหล่งพลังงาน ราคาจำหน่าย(ปั๊ม ปตท.) (ณ วันที่ 1 ก.ค.51)
—————————————————————————————————–
เบนซิน 91-95 น้ำมันดิบ 100% 41.79-42.09 บาท/ลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดิบ 100% 42.64 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ออกเทน 91(อี10) น้ำมันดิบ 90% 37.39 บาท/ลิตร
แอลพีจี – ผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมัน 18.13 บาทต่อกิโลกรัม*
-กลั่นจากก๊าซธรรมชาติ
เอ็นจีวี -แหล่งก๊าซธรรมชาติ 8.50 บาท/กิโลกรัม
อี 85 น้ำมันดิบ 15% คาดถูกกว่าเบนซิน 17 บาท/ลิตร
—————————————————————————————— ——–
*กระทรวงพลังงานเตรียมปรับราคาแอลพีจีหลังเดือนกรกฎาคม 2551 หลังตรึงราคามาตั้งแต่มีนาคม 2551
การจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
—————————————-
จำหน่ายในประเทศ 42,016 ล้านลิตร
ส่งออก 8,019 ล้านลิตร



