สื่อใหญ่นิวยอร์กไทมส์ (New York Times) รายงานว่า แอปเปิล (Apple) กำลังปรับแผน และโครงสร้างในโครงการลับอย่างโปรเจกต์พัฒนารถขับเคลื่อนตัวเองที่ไม่ต้องพึ่งพาคนขับรถครั้งใหญ่ โดยตัดสินใจเลิกจ้าง และปิดแผนกงานที่มีอยู่แล้วเพื่อ “reboot” เริ่มใหม่ทั้งหมด
แน่นอนว่ารายงานของ New York Times ไม่มีชื่อแหล่งข่าว มีเพียงการยืนยันว่า ข้อมูลนี้มีเนื้อความตรงกันกับข้อมูลที่ได้จากแหล่งข่าว 3 คน เบื้องต้นมีการให้เหตุผลว่า การเลิกจ้างครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในตลาดนี้ของแอปเปิลนั่นคือ การหันมาเน้นพัฒนาซอฟต์แวร์ และทิ้งส่วนงานพัฒนาฮาร์ดแวร์ หรือตัวรถไป
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้รับการยืนยันใดๆ จากแอปเปิล เนื่องจากที่ผ่านมา แอปเปิลไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดของโครงการนี้ต่อสาธารณชน แต่โครงการนี้กลับเป็นที่รู้กันทั่ว เพราะซีอีโอเทสลา (Tesla) อย่างอีลอน มัสก์ (Elon Musk) เป็นผู้เปิดเผยว่า แอปเปิลดึงตัวหัวกะทิของบริษัทไป เพื่อดำเนินโครงการลับที่เรียกกันเป็นการภายในว่าโปรเจกต์ไททัน (Project Titan)
ข้อมูลล่าสุด ระบุว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แอปเปิลได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบรถ และเซียนซอฟต์แวร์มากกว่า 200 คนสำหรับโครงการนี้ ซึ่งเมื่อมีข่าวว่าแอปเปิลเปลี่ยนแปลงนโยบาย การเลิกจ้างพนักงานหลักสิบคนจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ถือเป็นการปิดฉากความหวังที่รายงานจากสื่อต่างประเทศเคยระบุว่า แอปเปิลจะเปิดตัวรถยนต์กลไกไฟฟ้าในปี 2020 โดยเลื่อนจากที่เคยตั้งไว้ในปี 2019
รายงานครั้งนั้นระบุว่า อดีตทีมงานในโครงการพัฒนารถของแอปเปิลเป็นผู้เปิดเผยว่า แอปเปิลได้ตัดสินใจเลื่อนกรอบเวลาพัฒนารถออกไปอีกครั้ง ทำให้ชาวโลกอาจไม่ได้เห็นรถยนต์แอปเปิลจนกว่าจะถึงปี 2021 ทั้งหมดนี้อาจเป็นผลส่วนหนึ่งจากการที่หัวหน้าทีม Project Titan โบกมือลาไปเมื่อต้นปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณของความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นในการพัฒนา
ทั้งหมดทั้งปวง ข่าวการเริ่มต้นใหม่ของโครงการพัฒนารถยนต์ของแอปเปิลนี้สวนทางกับข่าวที่ถูกเผยแพร่ช่วงต้นปี เวลานั้น ประธานบริหารค่ายรถเก่าแก่อย่างเดมเลอร์ (Daimler) เปิดเผยต่อสำนักข่าวเยอรมนีว่า การเยือนซิลิกอนวัลเลย์ ครั้งล่าสุด ทำให้ทีมผู้บริหารเดมเลอร์ พบว่า แอปเปิลเป็นหนึ่งในบริษัทไอทีที่มีโครงการพัฒนารถยนต์ที่ก้าวไกลกว่าที่คิด คำให้สัมภาษณ์นี้ถือเป็นเชื้อไฟที่โหมให้โลกยิ่งจับตาแบรนด์ไอทีว่า จะมีบทบาทเพียงใดในเวทีรถยนต์โลก เพราะแม้แต่ผู้ที่เป็นเสาหลักของวงการรถยนต์ยังยอมรับว่า ประหลาดใจต่อพัฒนาการก้าวกระโดดของโครงการรถไฮเทค
ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000091745