ความหลงผิดของนักพนัน

โฆษณาทางโทรทัศน์ชิ้นนี้ของเครือกระทิงแดง ออกมารับจังหวะของสถานการณ์บอลยูโร 2008 ของเดือนมิถุนายนพอดิบพอดี เรียกว่าโหนกระแสก็ไม่ผิดอะไร และไม่ได้น่าเกลียดอะไร แต่กลับจะเป็นเรื่องน่าชมเชยเสียด้วยซ้ำที่หมั่นติดตามกระแสมาดัดแปลง

สาระสำคัญของโฆษณา ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่คนหนุ่มสาวหลงเสน่ห์การพนันบอล พากันกู้เงินมาพนันบอลกับบรรดาโต๊ะบอลที่แทรกซึมเข้าไปทุกระดับชั้นในวงสังคม

ตัวเลขประเมินของศูนย์วิจัยธนาคารใหญ่อย่างกสิกรไทย ประเมินเอาไว้ว่า การพนันในบอลยูโรคราวนี้ จะตกอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาว่าวงเงินหมุนเวียนที่เกิดขึ้นภายใน 1 เดือนเช่นนี้ ก็ถือว่ามากทีเดียว

ที่น่าสนใจก็คือคนหนุ่มสาว และเด็กวัยรุ่นที่อยากทำตัวเข้ากระแสจำนวนไม่น้อย ต่างตกเป็นทาสของการพนันบอล ซึ่งบรรดาผู้รู้ระบุว่า ไม่มีการพนันบอลที่ไหนในโลก จะซับซ้อนเท่ากับที่เมืองไทยอีกแล้ว

ประเภท เสมอ-เสมอ ต่อครึ่งลูกควบ…หรืออะไรต่อมิอะไร มันไม่มีคนในโลกจะจินตนาการถึงหรอก ต่อให้บ่อนใหญ่อย่างวิลเลียม ฮิลล์ หรือแร็ดโบร็กส์ ก็ไม่เคยคิดมาก่อนด้วยซ้ำ ถือเป็นนวัตกรรมที่มีแต่พวกบ้าบอลไทยเท่านั้นจะเข้าถึงได้

เนื้อหาของภาพยนตร์โทรทัศน์ชิ้นนี้ เอากันง่ายๆ ด้วยภาพของเด็กหนุ่มที่หมกมุ่นหน้าจอโทรทัศน์กำลังดูคู่แข่งขันฟุตบอลที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่อย่างจริงจัง จากนั้นตัวของเด็กหนุ่ม เครื่องนอน และโทรทัศน์ ก็เคลื่อนที่ออกมาจากห้อง ลงกระไดไปจนถึงชั้นล่างสุด จากนั้นก็เลื่อนไถลไปที่หน้าประตูบ้าน ท้ายสุดไปสะดุดหยุดที่กลางถนนตามลำพัง พร้อมด้วยข้อความเตือนใจ ประเภท ”การพนันจะทำให้ต้องออกมานอนตัวเปล่ากลางถนน”

เป็นการเตือนสติกันตรงไปตรงมาดีแท้ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม

เพราะว่าพวกกลุ่มคนที่มัวเมาการพนันบอลนั้น พูดอ้อมค้อมไม่ได้ เนื่องจากมักจะมีเหตุผลมาเข้าข้างตนเองเสมอ เป็นประเด็นทางจิตวิทยาที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจ

สำหรับนักจิตวิทยา และนักการพนันศาสตร์ (ที่อเมริกาแถบๆ ลาสเวกัสเคยมีมหาวิทยาลัยการพนันเสียด้วย) ทำการศึกษาเบื้องลึกทางด้านจิตวิทยาว่า เหตุใดคนบางคนจึงหลงใหลในการพนันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แบบเดียวกับพวกติดยาเสพติด โดยที่ไม่มีใครบังคับหรือล่อลวงแต่อย่างใด

ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าการเดินเข้าสู่บ่วงการพนันนั้น เสมือนกับเดินตามเนื้อเพลง Hotel California อันแสนประทับใจของ The Eagles นั่นแหละ คือ เป็นการตีตั๋วเดินทางของชีวิตเที่ยวเดียว ไม่มีทางออกหรือทางกลับ

นักจิตวิทยาด้านการพนัน เรียกปรากฏการณ์หลงใหลได้ปลื้มกับการพนันเอาไว้ว่าเป็น “ความหลงผิดของนักพนัน” (Gambler’s Fallacy) หรือจะให้ไพเราะกว่าเดิมก็เรียกว่า ความหลงผิดที่มอนติคาร์โล (Monte Carlo Fallacy) ซึ่งสร้างหายนะให้นักการพนันมานับไม่ถ้วน

เสน่ห์ลึกลับของความหลงผิดดังกล่าว อยู่ที่ความเชื่อว่าเกมการพนันนั้นมีโอกาสสำหรับการชนะ-แพ้ในอัตราส่วน 50:50 ดังนั้น หากมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว ย่อมทำให้เรียนรู้ความผิดพลาดจากครั้งก่อนๆ ได้ และเพิ่มโอกาสแห่งชัยชนะ-แพ้ ในระดับ 51:49

ความเชื่อที่ว่า ยิ่งเล่น ยิ่งมีประสบการณ์ และจะยิ่งชนะมากขึ้น ถือว่าเป็นการใช้วิชาสถิติอย่างผิดพลาด เพราะ จากการวิจัยเชิงปริมาณกี่ครั้งๆ ล้วนยืนยันเสมอมาว่า กฎของโอกาสในการพนันดังกล่าว ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามความเชื่อของใครทั้งสิ้น

ข้อเท็จจริงในบ่อนการพนันใหญ่ทั้งหลายแหล่ทั่วโลก ยังคงยืนยันกฎของพาเรโต้ (นักคิดชาวอิตาเลียน) ที่ว่า ยิ่งเล่นการพนันมากเท่าใด และบ่อยเท่าใด โอกาสที่จะชนะของนักการพนันนั้น จะลดต่ำลงไปเรื่อยๆ ที่ระดับ 20:80 เท่านั้นเอง

เหตุผลที่พาเรโต้ใช้อธิบายก็คือ ยิ่งเล่นนานและบ่อยเท่าใด ความหมกมุ่นจะทำลายสมรรถนะในการตัดสินใจให้ถดถอยในอัตราเร่งเท่านั้น

ความหลงผิดของนักพนัน จึงเป็นได้แต่เพียงความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับสถิติใดๆ ทั้งสิ้น มีลักษณะเป็นอคติแห่งญาณ ของคนที่หมกมุ่นและเชื่อมั่นตัวเองเกินขนาดธรรมดาเท่านั้นเอง

พฤติกรรมของนักพนันบอลทั้งหลายในโลกนี้ก็ไม่แตกต่างกัน พวกเขาพยายามเชื่อมโลกสองโลกเข้าด้วยกัน ระหว่างทีมที่ชื่นชอบ เข้ากับ สูตรของการเดิมพันที่มีคนกำหนดเอาไว้เป็นอุบายชัดเจนอยู่แล้ว

ที่สำคัญก็คือ อุบายของเจ้ามือพนันบอล หรือโต๊ะบอลนั้น เป็นอุบายที่ไม่ได้ขึ้นกับใครทั้งสิ้น เป็นกลไกปกติของเกมแห่งการคาดเดาโอกาสและความเป็นไปได้เท่านั้นเอง

ไม่เชื่อลองถามนักการพนันที่ชื่นชอบทีมฟุตบอลไทยดูเอาเอง จะได้ยินเรื่องราวของโศกนาฏกรรมจากการเชียร์และทุ่มเดิมพันทีมฟุตบอลไทยครั้งแล้วครั้งเล่า คือ ความเชื่อ ไม่เคยเป็นจริงสักที แม้จะมีคนน่าไม่อายบางคนพยายามป่าวประกาศโดยอาศัยมุมมองชาตินิยมสายตาสั้นว่า “อีกไม่นาน ฟุตบอลไทยจะไปบอลโลก”

ภาพยนตร์โฆษณาที่ ”แรง” ของค่ายกระทิงแดงชิ้นนี้ (ซึ่งตรงกับคอนเซ็ปต์ทางธุรกิจของสินค้าพอดี) จึงเป็นการล้มเลียนกับพฤติกรรมของนักพนันบอลไร้เดียงสา และเภทแมงเม่าที่กระโจนเข้าสู่การเดิมพันที่ตนเองไม่เคยเข้าใจกับสูตรที่เคยมีคนศึกษาเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า หนทางแห่งหายนะเพราะไม่ใส่ใจกับสูตรประเภท “ความเป็นไปได้ของโอกาส” หรือ “หายนะของนักพนัน” หรือ “กฎแห่งการถัวเฉลี่ย” หรือ “เกมกาสิโน” (หาข้อมูลเหล่านี้ได้ไม่ยากตามเว็บไซท์ต่างๆ ที่เป็นความรู้)

บทสรุปของกฎหรือเกมข้างต้นนี้ แม้จะมีกระบวนวิธีคำนวณหรือการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีข้อสรุปที่ตรงกันอย่างบังเอิญว่า ท้ายที่สุดแล้ว นักพนันรายย่อยจะหมดตัวเสมอ เพราะไม่สามารถหักห้ามใจออกจากกับดักที่เสน่ห์ของมารร้ายหลอกล่อเอาไว้

จอน สจ๊วต นักวิจัยเรื่องกฎแห่งการถัวเฉลี่ยชาวอังกฤษ เคยสรุปเอาไว้ว่า หากเดิมพันด้วยการโยนเหรียญหาหัวก้อย (ซึ่งว่าไปแล้วมีธรรมชาติค่อนข้างยุติธรรมกว่าการพนันอื่นๆ) จำนวน 100 ครั้ง โอกาสที่ฝ่ายเราจะชนะฝ่ายตรงข้าม จะมีเพียงแค่ 8% เท่านั้นเอง

ใครที่ดูภาพยนตร์โฆษณาชิ้นนี้แล้วยังหาญกล้าเล่นพนันบอลกับโต๊ะบอลต่อไป ก็ขอให้ยืนหยัดกับความกล้าหาญในนรกล่วงหน้าให้แน่วแน่ก็แล้วกัน อย่าได้บ่นว่าหรือตีอกชกหัวตัวเองให้เปล่าประโยชน์เลย

เอวัง!!