ชื่อของ “ผู้พันทิพย์” หรือ “ชลรัศมี งาทวีสุข” ผู้ประกาศข่าวสาวสวยแห่ง ททบ.5 ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนคุ้นหน้า หลายคนเกิดความสงสัย ว่าเธอเป็นใคร ทำไมถึงมีบทบาทสำคัญต่อกองทัพและททบ.5 มากมายขนาดนี้ วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับเธอ ว่ากว่าจะเดินทางมายืนในจุดนี้ได้ ต้องผ่านเส้นทางการฝึกฝนและพัฒนาตัวเองมากมายขนาดไหน
เริ่มต้นในปี 2544 ขณะที่เรียนอยู่ที่คณะนิเทศศาสตร์จุฬา เธอมีโอกาสได้เข้ามาฝึกงานด้านโทรทัศน์กับช่องไอทีวี ที่ถือว่าเป็นก้าวสำคัญในการเริ่มต้นเส้นทางชีวิตสายข่าวที่แท้จริง ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทในขณะนั้น ทำให้เธอได้รับการชักชวนให้เธอสอบเข้าทำงานที่ไอทีวี นอกจากที่นี่แล้ว เธอก็ยังสมัครสอบที่ ททบ.5 ไว้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งด้วย
เมื่อประกาศผลสอบ ก็ทราบว่าผ่านการคัดเลือกทั้ง 2 ที่ ทำให้ต้องตัดสินใจเลือก ด้วยความที่เป็นคนสนใจเรื่องการศึกษาและพัฒนาตนเอง เธอมีแพลนที่จะเรียนต่อควบคู่ไปพร้อมกับการทำงาน จึงได้นำคำถามนี้ถามไปยังผู้บริหารทั้ง 2 แห่งว่ามีนโยบายในการสนับสนุนให้พนักงานเรียนต่อหรือไม่ ซึ่งที่ ททบ.5 เปิดโอกาสให้เธอได้เรียนอย่างที่เธอตั้งใจไว้มากกว่า จึงตัดสินใจเข้าทำงานที่ ททบ.5 ตั้งแต่วันนั้น
ชลรัศมีเริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวลงพื้นที่ สลับกับการเป็นผู้ประกาศช่วงข่าวเที่ยงคืน และเวลาตี 5 อยู่ถึง 2 ปีเต็ม ผู้ใหญ่ของทางช่องมองเห็นถึงความสามารถ จึงให้เปลี่ยนจากผู้สื่อข่าวสายราชสำนัก ให้ลองมาทำข่าวสายเศรษฐกิจ ทำให้เธอต้องพัฒนาความรู้ในด้านนี้เพิ่มเติม ช่วยให้กระบวนการคิดวิเคราะห์ข่าวสารต่างๆ เจาะลึกและครอบคลุมมากขึ้น เห็นได้จากฝีมือในการรับหน้าที่ดำเนินรายการ “เข็มทิศเศรษฐกิจ” กับ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล ในช่วงเวลานั้น
หลังจากนั้นความสามารถในการวิเคราะห์ประเด็น และปฏิภาณในการสัมภาษณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้ใหญ่ เลือกเธอให้อ่านข่าวภาคค่ำ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาข่าวที่ดีที่สุดในตอนนั้น แต่โลดแล่นอยู่หน้าจอในบทบาทนี้ในระยะเวลา 1 เดือนเท่านั้น ชลรัศมีก็ตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ มหาวิทยาลัยลีดส์ สาขา International Journalism ตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่วันแรกในการทำงาน จนสำเร็จการศึกษา คว้าเกียรตินิยมกลับมา พร้อมด้วยเส้นทางชีวิตในบทบาทใหม่ ที่ไม่เคยนึกฝัน กำลังรออยู่
หลังจากกลับมาจากเรียนต่อปริญญาโท ชลรัศมีก็กลับเข้ามาทำงานในตำแหน่งของผู้ประกาศข่าวดังเดิม พร้อมประสบการณ์และความสามารถที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในตัว จนกองทัพเสนอให้เข้ารับราชการเป็นทหารเพื่อหวังดึงความสามารถพิเศษด้านการสื่อสารและการเป็นผู้ประกาศมาใช้สร้างความเข้าใจงานด้านการข่าวของกองทัพกับผู้ชม
การเข้ามาเป็นทหารของ ชลรัศมี งาทวีสุข ก็เริ่มต้นด้วยการเข้าฝึกที่เต็มไปด้วยสีสันและความอดทน ทั้งการไปเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี ฝึกอาวุธ ฝึกระเบียบวินัยพร้อมๆ กับทำหน้าที่ผู้ประกาศไม่ให้บกพร่อง
“ชลรัศมี” เข้าแถวรับการฝึกทุกวัน 7 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ที่ศูนย์การกำลังสำรอง วิภาวดีรังสิต และกลับไปอ่านข่าวรอบ 4 ทุ่ม ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เป็นแบบนี้จันทร์ – ศุกร์ ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนเต็ม จนเผลอหลับกลางสนามก็มี
ส่วนบทบาทในกองทัพของชลรัศมีนั้น “ทิพย์” นำความรู้และประสบการณ์งานข่าว ไปแลกเปลี่ยนแบ่งปันกับทุกเหล่าทัพ โดยเฉพาะในเรื่องของการให้ความรู้ด้านงานข่าว งานพิธีกร ผู้ประกาศ ทั้งในด้านการเป็นผู้ดำเนินการเสวนา พิธีกรในงานกองทัพหลายต่อหลายงาน
เป็นวิทยากรรับเชิญพิเศษ ให้กับนักเรียนนายร้อย จปร. หลายรุ่น รวมไปถึงอาจารย์สอนปฏิบัติการรักษาสันติภาพ ให้กับกองปฏิบัติการพิเศษ ไทย – ดาร์ฟู ที่ต้องออกปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือประเทศที่ 3
ชลรัศมีรับใช้กองทัพจากวันแรกจนถึงปัจจุบันกว่า 10 ปี เติบโตก้าวเข้าสู่ยศ “พันตรีหญิงชลรัศมี” ในปัจจุบัน
จากการที่เธอได้มีโอกาสสัมภาษณ์บุคคลมากมายในระดับประเทศ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีไปจนถึงชาวบ้านเดินดินกินเข้าแกง จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างรายการของตัวเอง “ชลรัศมีกับวีไอพี” รายการแรกในชีวิต ที่มาจากความรักและความง่ายๆ ในมุมมองว่า อยากเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของคนดี คนเก่ง ให้สามารถใช้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม และผลักดันให้ผู้ชมที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตของตัวเอง
หลังจากนั้นผู้พันทิพย์ได้สร้างสรรค์รายการใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติม โดยในช่วงแรกๆ จะเป็นในรูปแบบของสารคดีสั้น ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยแนวคิดที่ออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ
“ทิพย์รักในหลวง และอยากให้คนไทยรักพระองค์มากๆ เช่นเดียวกัน”
รายการ “จากภาพของพ่อ” และ “กว่าจะเป็นไทย” นั้น เป็นรายการที่ชลรัศมีตั้งใจ บอกเล่าถึงพระราชกรณียกิจ พระจริยาวัตรและพระมหากรุณาที่คุณ ที่ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 9 และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงทุ่มเททำเพื่อแผ่นดินไทยมาช้านาน
นอกจากนี้ก็ยังมีรายการ “ด้วยสองมือที่สร้างให้” เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์ พระบรมราชินีนาถ ตามมาด้วย “แรกมีที่สยาม” และ “รู้ไว้ใช่ว่า…ประชาคมอาเซียน” ตามลำดับ ทุกงานที่เธอทำล้วนสะท้อนภาพความคิดของเธอชัดเจนในความรักและความเทิดทูนที่เธอมีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ชลรัศมีได้จุดประกายไอเดียรายการใหม่ขึ้นมา ว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คน ก็มีครอบครัวเป็นแรงผลักดันอยู่เบื้องหลัง และคงจะดีไม่น้อยเลย หากบุคคลเหล่านั้นได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เรื่องราวการใช้ชีวิต และข้อคิดดีๆ ให้กับผู้ชม จึงทำให้เกิดเป็นรายการ “คุยยกบ้าน” ขึ้นมา
ตามมาด้วยรายการ “คนเปลี่ยนโลก” ที่มุ่งหวังถ่ายทอดเรื่องราวของจากบุคคลต่างๆ ที่ได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เมื่อวันหนึ่งที่ถึงยุคทีวีดิจิตอล ด้วยจำนวนช่องที่เพิ่มมากขึ้นนี้เองที่ทำให้เกิดหลั่งไหลของบรรดาช่องหลัก ไปสู่ช่องทางเลือกอีกมากมาย ที่ส่งผลให้เนื้อหาทางช่องรายการหลักมีจำนวนลดลง ช่วงเวลานั้นเองที่ทาง ททบ. 5 ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ด้วยความเป็นคนของของ ททบ.5 ที่เกิดและเติบโตจากที่นี่ มีพัฒนาการและความตั้งใจในการทำงานให้เกิดประโยชน์กับ ททบ. 5 ชลรัศมีจึงได้ถูกทาบทามให้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์รายการข่าวตอนเช้าที่เธอมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ดำเนินรายการข่าวเช้ามาเกือบ 10 ปี
นี่จึงเป็นจุดกำเนิดของรายการ “เช้านี้ประเทศไทย” ในสไตล์การเล่าข่าวที่ทันสมัย สบายๆ ชมได้ทุกเพศทุกวัย ที่การันตีว่าผู้ชมจะไม่ตกข่าว ด้วยความตั้งใจ ที่อยากให้ ททบ. 5 ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองกลับมาคึกคักไปด้วยคนดู และเต็มเป็นด้วยรายการที่มีสาระดีๆ ดังเช่นเมื่อก่อน
ผู้พันทิพย์ยืนยันในตอนท้ายว่า การทำงานด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าในวิชาชีพ ตำแหน่งที่ได้รับในกองทัพนั้นล้วนเกิดขึ้นจากความเพียรพยายาม ต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ขั้นตอนการรับตำแหน่งก็เป็นไปตามระเบียบขั้นตอนของทางราชการทั้งสิ้น
“แม้ในบางจังหวะของชีวิตจะต้องเผชิญวิกฤตปัญหา แต่ด้วยความเชื่อในผลของการกระทำดี จะช่วยให้เราผ่านพ้นเหตุการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ด้วยดี”