เกาะติดขอบสนามฟุตบอลยูโร กับการเป็นเป็นเจ้าภาพครั้งแรกของสวิตเซอร์แลนด์ ตามดู “แฟนโซน” ไฮไลต์สุดแรง ได้ทั้งคน และสร้างแบรนด์ของสปอนเซอร์
ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้บินไปดูการแข่งขันระดับโลก “ฟุตบอลยูโร 2008” ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถึงขอบสนาม ได้เห็นบรรยากาศการแข่งขันสดๆ ของนักฟุตบอลฝีเท้าระดับโลกดวลแข้งบนสนามหญ้าเขียวๆ เรียบกริ๊บ ท่ามกลางกองเชียร์ชาติยุโรป และอีเวนต์รอบสนาม
สร้างรสชาติแปลกใหม่ให้กับการดูฟุตบอลแตกต่างไปจากที่เคยดูผ่านหน้าจอทีวีที่มีเสียงพากย์ประกอบตลอดเวลา อาจเป็นเพราะความเคยชินจากการดูแบบเดิมๆ พอเผลอแป๊บเดียว ลูกบอลถูกยิงเข้าประตูแบบไม่ทันรู้ตัว มารู้อีกทีก็ได้ยินเสียงเฮของแฟนบอลแล้ว
การได้มาเยือนสวิตเซอร์แลนด์ในครั้งนี้ เป็นเพราะ เอ.พี.ฮอนด้า ตัวแทนจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า เข้าร่วมเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโรในไทย ที่มีบริษัทอาร์.เอส.เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอด ผู้บริหารเอ.พี.ฮอนด้า จึงใช้โอกาสนี้พาผู้สื่อข่าวจากหลายสำนัก บินมาดูฟุตบอลยูโรถึงขอบสนาม
ทีแรกได้ยินมาว่า เอ.พี.ฮอนด้าจะจัดอีเวนต์เปิดตัวมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ตอนเปลี่ยนแผนใหม่ เหลือเฉพาะพาไปดูบอลยูโร
ส่วนการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ยังมีอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เลื่อนออกไปอีก 2-3 เดือน และครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมมอเตอร์ไซค์เลยทีเดียว หลังจากที่เคยเปลี่ยนจากเกียร์ 2 จังหวะมาเป็น 4 จังหวะมาแล้ว เพราะเป็นการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ระบบ “ไฮบริด” ที่สามารถใช้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า เพื่อรับมือกับปัญหาราคาน้ำมันแพง
จุฑามาศ อินปริงกานันท์ ผู้จัดการแผนกส่งเสริมการจำหน่าย ฝ่ายการตลาด บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า เล่าให้ฟังว่า ปกติแล้ว เอ.พี.ฮอนด้า จัดอีเวนต์ตามต่างจังหวัดร่วมกับดีลเลอร์ โปรโมตสินค้าให้กับลูกค้าทั่วประเทศเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ช่วงหลังเพิ่มน้ำหนักในเรื่องประชาสัมพันธ์ การสร้างแบรนด์ และการตลาดที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์มากขึ้น
สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เป็นรูปแบบการตลาดที่ฮอนด้าทำต่อเนื่องยาวนานโดยเป็นสปอนเซอร์สนับสนุน น้องฟิม รัฐภาค วิไลโรจน์ จนแจ้งเกิดในการเป็นดาวรุ่งมอเตอร์ไซค์ และยังสนับสนุนกิจกรรมด้านกีฬามาตลอด เพราะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ยิ่งการทำตลาดยุคนี้ ต้องเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้ได้มากที่สุด และกีฬาก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ หรือความชอบของลูกค้า
สำหรับฟุตบอลยูโร หรือฟุตบอลชิงแชมป์ระดับชาติของประเทศในแถบยุโรป เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี 1954 ที่ประเทศฝรั่งเศส จากนั้นจัดต่อเนื่องทุก 4 ปี โดยแต่ละประเทศผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเจ้าภาพ ฟุตบอลยูโรปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 13 และเป็นครั้งแรกที่สวิตเซอร์แลนด์รับเป็นเจ้าภาพร่วมกับออสเตรีย ซึ่งการแข่งขันมีขึ้นระหว่างวันที่ 7-29 มิถุนายน
แม้ว่าชาวสวิสจะไม่ใช่แฟนบอลตัวยง แต่ก็รับมือการเป็นเจ้าภาพได้ดี ชาวบ้านที่นั่นมีวิธีแสดงออกของการมีส่วนร่วมในอีเวนต์ใหญ่ๆ ระดับประเทศ ด้วยการติดธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ไว้หน้าบ้าน
ร้านค้าต่างๆ ในตัวเมือง โดยเฉพาะในย่านท่องเที่ยว พร้อมใจกันจัดร้านรับฟุตบอลยูโร ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้า ร้านช็อกโกแลต ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายแว่นตา ไปจนถึงร้านขายชุดว่ายน้ำ ถ้าไม่มีสินค้าเกี่ยวกับบอลยูโร ก็ต้องสัญลักษณ์ฟุตบอลยูโร เพื่อกระตุ้นยอดขายรับกับบิ๊กอีเวนต์ในครั้งนี้
ย่านที่คึกคักมากหน่อย เป็นบริเวณที่เรียกว่า “แฟนโซน” ที่เจ้าภาพจัดขึ้นเป็นพิเศษ โดยนำจอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ไว้ให้แฟนบอลเชียร์กันแบบไม่ต้องตีตั๋วไปดูในสนาม แถมยังมีสปอนเซอร์เข้าร่วมจัดอีเวนต์ทำกิจกรรมหลายราย ก็ยิ่งทำให้ย่านนี้มีสีสัน และเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
แทบทุกเมืองหลักๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ จะมีบริเวณที่เรียกว่า “แฟนโซน” ไว้ให้แฟนบอลมารวมกันเชียร์เกือบทุกเมือง ยิ่งเป็นเมืองที่ใช้จัดการแข่งขันด้วยแล้ว บริเวณแฟนโซนถือว่าเป็นไฮไลต์ หรือจุดขาย ของฟุตบอลยูโรในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ เช่น กรุงเบิร์น แฟนโซนของเมืองนี้ ตั้งอยู่อยู่บริเวณบริเวณเมืองเก่าใกล้วิหาร ไม่ไกลจากสนามฟุตบอล Stade de Suisse ที่ใช้ในการแข่งขัน
วันที่ได้ไปเห็นนั้น เป็นนัดฟาดแข้งระหว่างทีมเนเธอร์แลนด์ และโรมาเนีย ในการแข่งขันรอบสุดท้ายของกลุ่มซี แข่งในสนาม Stade de Suisse ของกรุงเบิร์น ได้เห็นบรรยากาศความคลั่งไคล้ของแฟนบอลชาวดัตช์นับแสนรวมตัวบริเวณแฟนโซน เพื่อร่วมเชียร์ “อัศวินสีส้ม” ซึ่งสมญานามของทีมเนเธอร์แลนด์ มีทั้งกลุ่มคนหนุ่มสาว เด็ก คนสูงอายุ ทำให้ทั้งเมืองของกรุงเบิร์นกลายเป็นเมืองสีส้ม กระหึ่มไปด้วยเชียร์ของกองเชียร์ที่เดินกันขวักไขว่ทั่วเมือง เริ่มช่วงสายจนถึงดึก
บรรดาสปอนเซอร์ทั้งหลาย มีตั้งแต่เบียร์คาร์ลสเบิร์ก ไฮเนเก้น โค้ก แมคโดนัลด์ ร่วมออกบูธ แจกของที่ระลึก จัดกิจกรรมบริเวณแฟนโซน ก็ยิ่งสร้างความอย่างคึกคักให้กับแฟนบอลในย่านนี้เสียยิ่งกว่าในบริเวณสนามที่ใช้ฟาดแข้งเสียอีก
ตระเวนดูแฟนโซนจนหนำใจ ได้เวลาขึ้นรถไฟไปสนามฟุตบอล Stade de Suisse ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล สนามนี้จุคนได้ 30,000 ที่นั่ง แฟนบอลทยอยเดินทางมาถึงสนามตั้งแต่ช่วงเย็น บางส่วนที่ไม่มีตั๋วก็ปักหลักกันหน้าประตูทางเข้า แฟนบอลบางส่วนทยอยเข้าประตู ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตรวจตราเข้มงวดก่อนเข้าสนาม ห้ามตั้งแต่กล้องใช้เลนส์ขนาดใหญ่ ร่ม ขวดน้ำ ปากกา ธง รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ที่ดูแล้วจะเป็นอันตราย ห้ามนำเข้าหมด ต้องฝากไว้หน้างานเท่านั้น
ถ้าเทียบกับบริเวณแฟนโซนแล้ว ภายในสนามแข่งขันซึ่งจุคนน้อยกว่า จึงไม่คึกคักมากนัก มีบูธขายของที่ระลึก และได้เห็นสปอนเซอร์หลักเกือบทุกรายออกบูธทำกิจกรรมกับแฟนบอลในบริเวณสนาม แคนนอนทำลูกบอลขนาดยักษ์ให้เซ็นชื่อ ส่วนมาสเตอร์การ์ด ให้แฟนบอลถ่ายรูปทำบัตรที่ระลึก อาดิดาส จัดบูธและให้แฟนบอลถ่ายรูปร่วมกับทีมงานสาวหน้าตาดี
โค้ก เป็นสปอนเซอร์ที่ดูจะพยายามสร้างสีสันมากที่สุด ผ่านลวดลายบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบขึ้นใหม่ เพื่อรับกับฟุตบอลยู โดยใช้กับทุกขนาดของบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่ขวดแก้ว ไซส์เล็ก ไปจนถึงขาดเพ็ท และใช้กับโค้กสูตรดั้งเดิม และโค้กซีโร่
เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางการตลาด โค้กจึงใช้อีเวนต์นี้จ้างพนักงานยืนแจกโค้กซีโร่ขนาดเล็กพิเศษ แจกให้กองเชียร์ในย่านนั้นได้ทดลองชิมสลับกับการเชียร์บอล
ส่วนเป๊ปซี่ คู่แข่งตลอดกาล ไม่ได้วาดลวดลาย ใช้กลยุทธ์ “ฟรีไรเดอร์” ช่วงชิงโอกาสการตลาดจากสปอนเซอร์ตัวจริงแข่งกับโค้ก เหมือนกับที่ทำใน “โอลิมปิก” อาจเป็นเพราะในตลาดยุโรป โค้กครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ แทบไม่เห็น เป๊ปซี่ในร้านขายของทั่วไป หรือในซูเปอร์มาร์เก็ตมากนัก
แบรนด์ที่ดวลกันสนั่นในบอลยูโรนี้ เห็นจะมีเพียงแค่ เบียร์คาร์ลสเบิร์ก และไฮเนเก้น ทำหมวกแจกฟรีให้กองเชียร์สวมใส่ โปรโมตแบรนด์
ต้องบอกเลยว่า ถ้าอยากเห็นไอเดียแปลกๆ ใหม่ๆ ของสปอนเซอร์หลักที่ใช้สร้างแบรนด์ในบอลยูโรครั้งนี้อาจต้องผิดหวัง เพราะเป็นกิจกรรมออกบูธทั่วไป ส่วนโฆษณาก็เป็นรูปแบบปกติ คือ บิลบอร์ด ป้ายโฆษณาแถวป้ายรถเมล์ มัปปี้ ที่ใช้สัญลักษณ์ยูโร หรือดาราฟุตบอลมาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา ส่วนบริเวณรอบสนามฟุตบอล ก็เป็นเพียงการติดแผ่นป้ายธรรมดาๆ ไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษ สลับแผ่นป้ายเหมือนกับบางสนามเวลาที่มีอีเวนต์บอลใหญ่ๆ
อาจเป็นเพราะประเทศยุโรปพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าของคนที่นั่นเน้นเรื่องของการใช้งาน ไม่ได้เน้น Emotional เหมือนกับคนเอเชีย ที่ต้องเน้นอารมณ์มากเป็นหลัก ทำให้การทำกิจกรรม หรือโฆษณาของประเทศเหล่านี้ไม่หวือหวา
มาดูบรรยากาศ กองเชียร์ในสนามแข่งขัน ก็ไม่ต่างจากแฟนโซนนัก เต็มไปด้วยกองเชียร์สีส้มชาวดัตช์ขนกันมาเต็มพิกัด ส่วนโรมาเนีย แม้จะเป็นมีกองเชียร์น้อยกว่ามาก เพียงแค่ 1 ใน 4 ของกองเชียร์เนเธอร์แลนด์ แต่สู้ไม่ถอย ออกแรงเชียร์กันสนั่นไปทั้งอัฒจันทร์ เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจจริงๆ
แม้ผลการดวลแข้งในวันนั้นจะจบลงตามความคาดหมาย โดยเนเธอร์แลนด์คว้าชัยชนะเหนือโรมาเนีย ไปด้วยการยิงไป 2-0 ประตู ผ่านเข้ารอบไปได้ ไปชิงชัยต่อในรอบต่อไป แต่ถ้าพูดถึงใจแล้ว โรมาเนียสู้เต็มที่ไม่แพ้ใคร
สีสันของฟุตบอลยูโร 2008 ปิดฉากไปแล้ว โดยมี — เอาชนะเยอรมันไปได้ นอกจากกองเชียชาวเยอรมันจะผิดหวังไปตามๆ กันแล้ว ยังทำให้ชาวสวิสเซ็งไม่น้อย เพราะมีแฟนบอลเยอรมันอาศัยอยู่ในสวิสค่อนข้างมาก
แม้ผลบอลจะไม่ได้ดังใจ แต่การเป็นเจ้าภาพครั้งแรกของสวิสในครั้งนี้ ถือว่าสอบผ่าน และลูกบอลยูโรก็ยังไม่หยุดหมุน โดยพร้อมจะส่งต่อไป “โปแลนด์ และ ยูเครน” ที่จะร่วมในยูโร
ครั้งต่อไปในปี 2010
เรื่องต้องรู้ในฟุตบอลยูโร 2008
-เป็นครั้งที่สองที่การจัดแข่งขันฟุตบอลยูโรใช้เจ้าภาพรวม ครั้งแรกยูโร 2000 มีประเทศเบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ เป็นเจ้าภาพร่วม
– สนามฟุตบอลที่ใช้แข่งในสวิตเซอร์แลนด์มี 4 สนามใน 4 เมือง เมืองบาเซิลใช้สนามชื่อว่า Jacob Park จุได้ 42,500 คน มี FC Basel เป็นเจ้าของสนาม แห่งสอง คือ Stade De Suisse Wankdorf กรุงเบิร์น จุได้ 32,000 คน
แห่งที่สาม คือ Stade de Geneve เมืองเจนีวา จุได้ 32,000 คน และสนาม Letziground Stadion เมืองซุกริก จุได้ 30,000 คน
-สปอนเซอร์หลักในฟุตบอลยูโร อดิดาส โค้ก ซีโร่ คาร์ลสเบิร์ก แมคโดนัลด์ แคนนอน คาสตรอล คอนติเนนตัล เกีย-ฮุนได เจวีซี มาสเตอร์การ์ด