AT&T ซื้อ Time Warner รับยุค 5G !?!

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โลกตกตะลึงกับข่าวโอเปอเรเตอร์เบอร์ 1 แดนลุงแซมอย่างเอทีแอนด์ที (AT&T) ประกาศซื้อบริษัทไทม์วอร์เนอร์ (Time Warner) มูลค่า 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 3 ล้านล้านบาท ล่าสุดซีอีโอทั้ง 2 บริษัทร่วมกันแถลงถึงแนวคิดการดำเนินงานหลังการควบรวมแล้ว นั่นคือการวางเป้าหมายทำเงินที่ธุรกิจโฆษณาและการลงทุนในระบบรับส่งข้อมูลไร้สายเทคโนโลยี 5G ที่กำลังเกิดขึ้น

แรนแดล สตีเฟนสัน (Randall Stephenson) ประธานและซีอีโอ AT&T ร่วมกับเจฟฟ์ บิวเคส (Jeff Bewkes) ประธานและซีอีโอของ Time Warner ให้สัมภาษณ์สื่อผ่านรายการ Squawk Box ของสถานี CNBC ว่าการประกาศซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทั้งคู่เริ่มเจรจาตรงตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้ว โดยระบุว่าทั้งหมดเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของวงการสื่อ ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจรวมตัวกันเพื่อสร้างนวัตกรรมที่เหนือกว่าแก่ผู้บริโภค

วงการสื่อที่ 2 ซีอีโอมองว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสุดขีดในอนาคตคือ SVOD [subscription video on demand] หรือบริการสมัครสมาชิกเพื่อชมวิดีโอออนไลน์ จุดนี้ซีอีโอ Time Warner มองว่าทิศทางนี้ชัดเจนมากเพราะความนิยมชมวิดีโอบนอุปกรณ์พกพาที่เพิ่มขึ้น

ความจริงที่ทั้งคู่พบตรงกันทำให้เกิดเป็นดีลอภิมหาโปรเจ็กต์มูลค่าล้านล้านบาท รายงานระบุว่าเจ้าพ่อโทรคมนาคมอเมริกันเทเงินซื้อ Time Warner ในราคา 107.50 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น โดยจะแบ่งจ่ายครึ่งหนึ่งเป็นเงินสดและอีกครึ่งหนึ่งเป็นหุ้น มูลค่าเบ็ดเสร็จ 8.5 หมื่นล้านเหรียญ

ผลจากดีลจะทำให้หน่วยธุรกิจภาพยนตร์และทีวีของ Time Warner (ได้แก่ Warner Bros., HBO, TNT, TBS และ CNN) ถูกรวมกับแพคเกจบอร์ดแบนด์ของ AT&T อย่าง U-Verse รวมถึงบริการเครือข่ายข้อมูลไร้สายและทีวีดาวเทียมของ AT&T ในชื่อ DirecTV

เมื่อถูกถามว่าทำไมดีลนี้จึงเกิดขึ้นรวดเร็วนัก ซีอีโอ AT&T ตอบว่าทั้งหมดเกิดขึ้นบนความมั่นใจและเห็นด้วยกับดีลที่กำลังจะเกิดขึ้น เบื้องต้น ทั้งคู่มองว่าโอกาสใหญ่ที่สุดที่รออยู่คือธุรกิจโฆษณาแบบ targeted advertising หรือโฆษณาแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นรูปแบบโฆษณาที่ทรงประสิทธิภาพมากกว่าโฆษณาทีวีดั้งเดิมทั่วไป

ซีอีโอ Time Warner มองว่าโฆษณาแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมายคืออนาคตของวงการโฆษณา เพราะโฆษณานี้จะลดโอกาสแสดงตัวต่อคนที่ไม่สนใจในสินค้าหรือบริการบนโฆษณานั้น นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เม็ดเงินโฆษณามากมายหลั่งไหลไปที่เจ้าพ่อออนไลน์อย่างกูเกิล (Google) และเฟซบุ๊ก (Facebook) จุดนี้ทั้ง AT&T และ Time Warner จึงตั้งเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพให้วงการโฆษณาบนทีวีและบริการอินเทอร์เน็ตอื่นสามารถแข่งขันกับ Google และ Facebook ได้มากขึ้นกว่าที่เป็นในปัจจุบัน

“ปีที่แล้ว มากกว่าครึ่งหนึ่งของเม็ดเงินโฆษณาที่เติบโตขึ้นในสหรัฐฯหลั่งไหลไปที่ 2 บริษัทเท่านั้น นั่นคือ Google และ Facebook” Bewkes ระบุ

นอกจากนี้ ความที่ผู้สร้างคอนเทนต์สามารถโชว์วิดีโอให้โลกชมออนไลน์ได้ทันทียังแสดงว่าทั้ง Time Warner และ AT&T ไม่อาจรอได้ จุดนี้ประธาน AT&T ระบุว่า “โลกแห่งคอนเทนต์และการเผยแพร่กำลังกลายเป็นโลกเดียวกัน เราจำเป็นต้องเดินให้เร็ว” ซึ่งผลที่ได้คือ AT&T จะมีคอนเทนต์ที่ต่างจากผู้ให้บริการเครือข่ายรายอื่น ขณะที่ผู้ใช้ก็จะสามารถสร้างคลิปวิดีโอหรือคอนเทนต์อื่นเพื่อส่งต่อเพื่อนได้เร็วผ่านสื่อโซเชียลเช่นเดิม

ประธาน AT&T ยอมรับว่าการลงทุนครั้งนี้ถูกวางไว้เพื่อรับการลงทุนระบบ 5G ของบริษัท เนื่องจากความเร็วเครือข่ายข้อมูลไร้สายที่สูงขึ้นย่อมเพิ่มความต้องการในการชมวิดีโอออนไลน์แน่นอน จุดนี้ Stephenson เชื่อว่าบริการ 5G ที่สามารถรับส่งข้อมูล 1 Gbps นั้นจะทำให้ AT&T สร้างบริการวิดีโอออนไลน์ที่ชาวอเมริกันจะสามารถเปิดชมได้ทั่วประเทศเหมือน Comcast ได้อย่างสบาย

ผู้บริหาร AT&T เชื่อว่าความเคลื่อนไหวในมุม 5G นั้นจะเป็นผลดีต่อทั้งวงการโฆษณาและผู้สร้างคอนเทนต์ จุดนี้ทำให้ทั้ง AT&T และ Time Warner เห็นถึงความจำเป็นที่ทั้งคู่ต้องรีบดำเนินการแม้จะต้องใช้เวลาอีกนับปีกว่าการควบรวมบริษัทจะสมบูรณ์

2
แฟ้มภาพ แรนแดล สตีเฟนสัน (Randall Stephenson) ประธานและซีอีโอ AT&T
การประกาศซื้อ Time Warner กลับทำให้หุ้น Time Warner ลดลง 20% ในช่วงแรก แสดงถึงความกังวลของนักลงทุนต่อข่าวนี้
การประกาศซื้อ Time Warner กลับทำให้หุ้น Time Warner ลดลง 20% ในช่วงแรก แสดงถึงความกังวลของนักลงทุนต่อข่าวนี้

ที่มา : http://manager.co.th/cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000106626