ทวิตเตอร์อาจเลิกจ้างพนักงาน 350 ตำแหน่ง หรือเท่ากับ 9 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานทั้งหมด 3,860 คน หลังผลประกอบการโดยรวมไม่สดใส โดยบริษัทมียอดผู้ใช้งานรายเดือนเพิ่มขึ้นเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 317 ล้านคนเท่านั้น
โดยในไตรมาสที่ 3 ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือนกันยายนนั้น ทวิตเตอร์มีรายได้เพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์แตะ 616 ล้านเหรียญสหรัฐ ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และมีผู้ใช้งานรายเดือนเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์เป็น 317 ล้านคน
อย่างไรก็ดี เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ที่มีแผนจะขายบริษัทให้กับ Salesforce หรือ กูเกิล (Google) และถูกปฏิเสธการเจรจามานั้นก็ได้ทำให้หุ้นตกไปถึง 7 เปอร์เซ็นต์มาแล้ว แถมเมื่อวานนี้ ทางบริษัทยังได้ประกาศปิดบริการ Vine ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับแชร์คลิปวิดีโอของตนเองลงแล้วด้วย โดยไม่มีการให้เหตุผลเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าวแต่อย่างใด
แจ็ค ดอร์ซีย์ ซีอีโอของทวิตเตอร์เผยว่า เขาเห็นโอกาสในการเติบโตของบริษัทในอนาคตจากการปรับปรุงแพลตฟอร์มนี้อยู่ แต่ทุกวันนี้ ยอดผู้ใช้งานทวิตเตอร์กลับมีไม่ถึง 1 ใน 5 ของเฟซบุ๊ก (Facebook) ผลิตภัณฑ์ที่เติบโตมาในยุคเดียวกัน รวมถึงยังน้อยกว่า Instagram แอปสุดฮิตภายในปีกของเฟซบุ๊กด้วย
อนาคตที่ทวิตเตอร์ฝากความหวังไว้ก็คือ Live VDO ซึ่งทวิตเตอร์เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดผู้ใช้งานให้สนใจแพลตฟอร์มของตนเองได้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ทวิตเตอร์สามารถจับมือกับลีกการแข่งขันฟุตบอลคืนวันพฤหัสบดีของสหรัฐอเมริกาให้ถ่ายทอดผ่านทวิตเตอร์ ได้แล้ว
ทั้งนี้ ทางบริษัทมีแผนจะอัปเดตครั้งใหญ่ในเดือนหน้า ซึ่งจะมีอัปเดตเกี่ยวกับการปกป้องผู้ใช้งานจากคอนเทนต์ประเภทข่มขู่ คุกคามต่าง ๆ ด้วย
สำหรับตัวเลขผลประกอบการในไตรมาส 3 นั้น ทวิตเตอร์ยังคงติดตัวแดง ด้วยยอดขาดทุน 102.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งผู้บริหารด้านการเงินของทวิตเตอร์อย่าง Anthony Noto เผยว่า บริษัทตั้งเป้าว่าจะกลับมาทำกำไรได้ในปี 2017 ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Wedbush อย่าง Michael Pachter เผยว่า ทวิตเตอร์ต้องสร้างกำไรประมาณ 200 – 300 ล้านเหรียญสหรัฐต่อไตรมาสเพื่อให้บริษัทกลับมามีกำไรอีกครั้งในปีหน้า
“การเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นคือการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน ซึ่งทวิตเตอร์ทำได้ไม่ดีนัก”
ส่วนรายได้จากการโฆษณาของทวิตเตอร์เพิ่มขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์เป็น 545 ล้านเหรียญสหรัฐ และรายได้จาก Data Licensing และรายได้อื่น ๆ เพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์ หรือ 71 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ตัวเลขรายได้ทั้งหมดมาจากการทำตลาดต่างประเทศ นอกสหรัฐอเมริกากว่า 1 ใน 5 ซึ่งเมื่อวัดในแง่ของการเติบโตแล้วพบว่า มีอัตราการเติบโตเหนือกว่าในตลาดสหรัฐอเมริกา
ที่มา:http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000107816