เคทีซีแจงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ธุรกิจยังเติบโตดีต่อเนื่อง โดยทำกำไรสุทธิ 640 ล้านบาท ในขณะที่ 9 เดือนมีกำไรถึง 1,854 ล้านบาท ฐานสมาชิกบัตรเครดิตทะลุ 2.04 ล้านบัตร อัตราเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของบริษัทฯ สูงกว่าอุตสาหกรรม ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้รวม (NPL) ลดลงต่อเนื่องเหลือเพียง 1.86% เตรียมแผนกลยุทธ์รุกทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล ร้านค้า ช่องทางจัดจำหน่าย และธุรกิจออนไลน์ สร้างทางเลือกแพลทฟอร์มการชำระเงินใหม่ ตอบสนองสมาชิกครบทุกความต้องการ เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน และเป็นแบรนด์ในใจที่สมาชิกชื่นชอบและเลือกใช้
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย ในครึ่งปีแรกเติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการปรับประมาณการ GDP ทั้งปี 2559 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.2% ในส่วนของเคทีซี ยังคงความสามารถในการสร้างรายได้และทำกำไร จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรและการขยายตัวของยอดลูกหนี้ทั้งสองธุรกิจหลัก คือ บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ภายใต้มาตรฐานการอนุมัติบัตรที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อีกทั้งแนวทางการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ NPL อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม”
“ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำกำไรเท่ากับ 1,854 ล้านบาท เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากรายได้รวม 9 เดือนเติบโตที่ 13% การบริหารต้นทุนเงินทุนได้ดี และประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตลูกหนี้ รวมทั้งควบคุมให้ NPL อยู่ในระดับต่ำ สำหรับไตรมาสที่ 3/2559 มีกำไรสุทธิ640 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 2/2559 และเพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาส 3/2558 ที่มีมูลค่า 499 ล้านบาท เนื่องจากรายได้เติบโต 12% มากกว่าค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้น 10% จากค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้กับบริษัทภายนอก การตัดหนี้สูญและตั้งหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของพอร์ต”
“ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 61,146 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่ 54,773 ล้านบาท โดยพอร์ตลูกหนี้การค้ารวมสุทธิเท่ากับ 57,015 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 2.8 ล้านบัญชีเพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น บัตรเครดิต 2,039,967 บัตรยอดลูกหนี้บัตรเครดิตสุทธิ 38,247 ล้านบาท สินเชื่อบุคคล 793,486 บัญชี ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลสุทธิ 18,603 ล้านบาท ลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้รวม (NPL) ลดเหลือ 1.86% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่
2.19% NPL บัตรเครดิตลดเหลือ 1.37% จาก 1.42% และ NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ในระดับเดิมที่ 1.01% และมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตที่ 14.0% ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 7.2%”
“บริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาส 3/2559 เท่ากับ 4,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ย (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) รายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นๆ จำนวน 2,735 ล้านบาท 951 ล้านบาท และ 717 ล้านบาท ตามลำดับ มีสัดส่วนคิดเป็น 62%, 22% และ 16% ของรายได้รวม โดยรายได้อื่นๆ นั้นส่วนใหญ่มาจากหนี้สูญได้รับคืน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมภาษีเงินได้) เท่ากับ 3,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จาก 3,287 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 โดยเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานรวมถึงหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น 9% และ 15% ตามลำดับ แต่ค่าใช้จ่ายการเงินที่เป็นต้นทุนเงินทุนลดลงที่ 8% จากการออกหุ้นกู้ใหม่ชดเชยหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอายุด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถจัดโครงสร้างแหล่งเงินกู้ยืมทั้งระยะสั้นและระยะยาวจากสถาบันการเงินหลายแห่ง โดยไม่ได้พึ่งพิงสถาบันการเงินแห่งใดแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายรวมต่อรายได้รวม3/2559 (Cost to Income Ratio) เท่ากับ 39.2% (ค่าเฉลี่ย 9 เดือนเท่ากับ 39.6%) มีสัดส่วนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีค่า 40.3%”
“ไตรมาส 3/2559 บริษัทฯ มีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) 25,390 ล้านบาท เป็นวงเงินของธนาคารกรุงไทย 18,030 ล้านบาท และจากธนาคารพาณิชย์อื่นๆ 7,360 ล้านบาท โดยมีต้นทุนการเงินไตรมาส 3 อยู่ที่ 3.15% (ค่าเฉลี่ยต้นทุนเงิน 9 เดือนเท่ากับ 3.27%) ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ สามารถออกหุ้นกู้ใหม่ชดเชยหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอายุ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ทั้งนี้ บริษัทฯ มีอัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 5.27 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า”
“สำหรับแผนการตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 ต่อเนื่องถึงปี 2560 เพื่อบรรลุแผนในการก้าวสู่การเป็นแบรนด์ในใจที่สมาชิกชื่นชอบและเลือกใช้ ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืน เคทีซีจะมุ่งบริหารงานใน 3 แกนสำคัญ คือ 1. บุคลากรจะต้องมีศักยภาพเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ ทำงานเชิงรุกและมีความรู้สึกเป็นเจ้าของบริษัทฯ ร่วมกัน 2. กระบวนการทำงานมุ่งเน้นที่ตัวลูกค้าเป็นหลัก (Customer Centric Approach) และ 3. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืนในระยะยาว และควบคุมคุณภาพหนี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม”
“บริษัทฯ ยังได้จัดเตรียมแผนระยะยาว เพื่อรองรับแนวโน้มของเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ส่งผลอย่างมากต่อโครงสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจ และเพื่อตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของระบบ National E-Payment และธุรกิจฟินเทค (Fin-Tech) ที่กำลังมา โดยสร้างทางเลือกต่างๆ เพื่อตอบความต้องการของลูกค้าในการชำระค่าใช้จ่ายผ่านแพลทฟอร์มการชำระเงินใหม่ๆ ด้วยบัตรเครดิต (Card/Payment Platform) ในส่วนของบุคลากร จะต้องพัฒนาตนเองให้มีทักษะความรู้ความเข้าใจในลูกค้า มีการใช้ Insight Intelligence ผ่านการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ รวมถึงการบริการที่เป็นเลิศ เพื่อให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นที่จะเลือกใช้บริการ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน”
”ในปี 2560 บริษัทฯ ได้วางแนวทางดำเนินงาน ด้วยแผนขยายตัวของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวม ที่ไม่ต่ำกว่า 15% พอร์ตลูกหนี้ขยายตัวประมาณ10% และจะรักษาระดับของ NPL ให้อยู่ในระดับเดียวกันกับปี 2559 โดยคาดว่า ในปี 2560 บริษัทฯ จะสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 10%”