กางแผน “ไทยเบฟฯ” ปี 60 เร่งเครื่องบุก ตปท. ลุยเครื่องดื่มสุขภาพ

ฐาปน สิริวัฒนภัคดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

จาก Vision 2020 ที่ทางไทยเบฟเวอเรจได้วางไว้ตั้งแต่ปี 2557  ต้องการเเป็นเบอร์หนึ่งในบริษัทเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในปี 2563 รวมทั้งผลักดันเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ให้มีสัดส่วน 50%

ผ่านการลงทุนธุรกิจ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มสุรา กลุ่มเบียร์ และกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังขยายตลาดในทุกกลุ่ม โดยกลุ่มสุราเน้นการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เวียดนาม พม่า และฟิลิปปินส์ กลุ่มเบียร์ได้มีการปรับภาพลักษณ์เพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น และกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ต้องสร้างยอดขายให้มากขึ้น ด้วยการออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง

ฐาปน สิริวัฒนภัคดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยเบฟฯ มีเป้าหมายที่ชัดเจนตามวิชั่น 2020 ที่ประกาศไปแล้วว่าจะเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียนให้ได้ มีการผลักดันในทุกกลุ่มสินค้า วางเป้าหมายรายได้ต้องเติบโตปีละ 12-16% และภายในปี 2020 จะมีรายได้ 300,000 ล้านบาท”

แต่ทุกตลาดมีความท้าทายทั้งเรื่องเศรษฐกิจ และปัจจัยเรื่องการบริโภค แต่ไทยเบฟฯ ใช้วิธีปรับตัวใหเข้ากับสถานการณ์ ทุกแบรนด์ต้องมีการปรับตัว ต้องศึกษาตลาดอยู่เสมออย่างที่ปรับเรื่องเบียร์ และโซดาในช่วงปีที่ผ่านมา

ควัก 9 พันล้านขยายลงทุนปี 60

ในปีหน้าได้วางงบลงทุนรวม 9,000 ล้านบาท จะแบ่งเป็น 4,000 เป็นในเรื่องของระบบ เครื่องจักร และเทคโนโลยี เน้นเป็นโรงงานผลิตเครื่องดื่ม และศูนย์กระจายสินค้าที่ต้องสร้างให้ครบ 19 แห่งใน 3 ปี และอีก 5,000 ล้านบาท เป็นงบอื่นๆ ในการปรับโครงสร้างองค์กร ส่วนในปี 2559 ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาได้ใช้งบลงทุน 3,000 ล้านบาท ปกติทุกปีมีการลงทุนเฉลี่ย 3,000-4,000 ล้านบาท

9 เดือนรายได้ 1.39 แสนล้าน

สำหรับรายได้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านของปี 2559 มีรายได้รวมทั้งหมด 139,153 ล้านบาท เติบโต 14.8% สัดส่วนรายได้ของไทยเบฟฯ ในตอนนี้ยังคงเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 90% และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 10% แต่ถ้าเป็นรายได้ที่หักภาษีสรรพสามิตแล้ว สัดส่วนของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเป็น 70% และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 30%

สุรา” ลุยส่งออกเพื่อนบ้าน-ปั้นโซดา “ร็อค เมาเท็น”

กลุ่มสุราเป็นกลุ่มที่ไทยเบฟฯ ค่อนข้างมีความแข็งแกร่ง เพราะอยู่ในตลาดมานาน และมีระบบการกระจายสินค้า และเรื่องความสัมพันธ์กับคู่ค้า สินค้าในกลุ่มนี้มีทั้งเหล้าขาว และเหล้าสี ซึ่งในกลุ่มเหล้าสีไทยเบฟฯ ก็ครองส่วนแบ่งตลาดไปแล้ว 95% หงส์ทอง, เบลน 285, แม่โขง และแสงโสม อีก 5% เป็นเหล้าอินเตอร์ ได้แก่ ตระกูลจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ และอื่นๆ

ปีที่ผ่านมาตลาดสุราลดลงราว 7% มีมูลค่าในด้านปริมาณการขายรวม 160 ล้านลิตร เพราะด้วยปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และคนหันไปดื่มเบียร์กันมากขึ้น เพราะในช่วงปีที่ผ่านมาตลาดเบียร์มีความคึกคักเพราะด้วยการรีล็อนช์สินค้าใหม่ของเบียร์ช้าง

โจทย์ใหญ่ในปีนี้จึงต้องการให้ผู้บริโภคกลับมาดื่มเหล้ามาขึ้น จึงออกเป็นโซดาตัวใหม่ “ร็อค เมาเท็น” ที่วางจุดขายว่าชงกับเหล้าและอร่อยโดยไม่ต้องผสมน้ำเหมือนกับโซดาช้าง หรือโซดาแบรนด์อื่นที่อาจจะมีความซ่าเกินไปจนต้องผสมน้ำเพิ่มเติม และอาจจะทำให้รสชาติเหล้าเปลี่ยน

การมีโซดาตัวใหม่จึงจะเข้ามากระตุ้นให้คนรู้สึกอยากมาทดลอง เหมือนตอนอยากทดลองช้างขวดใหม่บ้าง ซึ่งภาพลักษณ์จะมีความทันสมัยมากกว่าโซดาช้าง แต่ราคาเท่ากัน โดยที่ช่วงหลังปีใหม่จะมีการทำตลาดที่มากขึ้น ใช้งบการตลาดรวม 250 ล้านบาท

ส่วนอีกกลยุทธ์หนึ่งก็คือการขยายตลาดสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โฟกัสที่ประเทศเวียดนาม พม่า และฟิลิปปินส์ ทางไทยเบฟฯ มองว่า กลุ่ม CLMV เป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีการเติบโตสูงที่สุดในโลก เติบโตกว่ากลุ่มละตินอเมริกา

ประเทศเวียดนามได้มีการตั้งบริษัทพร้อมทีมขาย โดยมองว่าจะนำสุราระดับพรีเมียมเข้าไปทำตลาดก่อน เช่นเดียวกับประเทศฟิลิปปินส์ที่นำสุราระดับพรีเมียมเข้าทำตลาดก่อน

1_thaibev

“เบียร์” เป้าเป็นเบอร์ 1 ในปี 2020

หลังจากที่มีการรีล็อนซ์เบียร์ช้างใหม่ในเดือนสิงหาคมปี 2558 เป็นช้างขวดเขียว เป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของเบียร์ช้างเลย ซึ่งช้างได้ใช้เวลาในการพัฒนาสินค้าร่วม 2 ปี ทั้งการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค และปรับรสชาติของสินค้า ช้างโฉมใหม่จึงดื่มสะดวกมากขึ้น และบรรจุในขวดสีเขียวสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเบียร์ช้างเปลี่ยนแปลงไปด้วย มีกลุ่มผู้บริโภคที่วัยรุ่นขึ้นมาดื่ม เพราะให้ความรู้สึกทันสมัย

ผลตอบรับที่เบียร์ช้างได้กลับมานั้นนอกจากเรื่องแบรนด์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่วนแบ่งการตลาดยังเพิ่มขึ้นจาก 28% เป็น 38% ในปีหน้าตั้งเป้าเพิ่มอีก 10% และจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเบียร์ให้ได้ในปี 2020 โดยที่มองว่าจะต้องมีส่วนแบ่งการตลาดราว 57% ถึงจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ได้

ทิศทางต่อไปก็คือการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการสร้างแบรนด์เพื่อให้ยังครองใจของผู้บริโภคต่อไป ในปีนี้มีการออกแพ็กเกจจิ้งในช่วงเทศกาลออกมาเพื่อคอสะสม เป็นการเปลี่ยนลุคให้ทันสมัย และให้คนยังติดต่อต่อเนื่อง

สำหรับในช่วงปลายปีนี้ที่ไม่มีกิจกรรมลานเบียร์ หรือกิจกรรมรื่นเริงต่างๆ มากนัก อาจจะส่งผลกระทบเรื่องรายได้บ้าง แต่ทางเบียร์ช้างมองว่าจะกลับมาลุยช่วงหลังปีใหม่ให้มากขึ้น รอให้อารมณ์ของผู้บริโภคกลับมาเต็มที่ และเชื่อว่าปีหน้าจะกลับมาเติบโตได้ดีกว่า

ลุยเครื่องดื่มสุขภาพ

เป็นกลุ่มเครื่องดื่มที่ทางไทยเบฟฯ ค่อนข้างให้น้ำหนักเป็นพิเศษ เพราะต้องการปั้มรายได้ให้ได้สัดส่วน 50% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจึงเห็นการบุกตลาดของแบรนด์ต่างๆ ในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ของไทยเบฟฯ ทั้งคริสตัล เอส โออิชิ และ 100 พลัส

เอสในกลุ่มน้ำอัดลมที่เป็นแบรนด์เบอร์ 3 ในตลาดตอนนี้ต้องการสร้างแบรนด์เลิฟในใจผู้บริโภค ในปีที่ผ่านได้อัดแคมเปญทั้งฟุตบอลยูโรกับณเดชน์, แคมเปญกับวอลเลย์บอลทีมชาติ และล่าสุดกับบอยแบนด์แดนกิมจิ GOT7 ซึ่งเอสก็ยังคงเดินหน้าสร้างแบรนด์ต่อหลังจากจับจุดได้ในการโฟกัสกลุ่มวัยรุ่น และมีการออกรสชาติใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการดื่ม

เซ็กเมนต์ที่กลุ่มนอนแอลกอฮอล์โฟกัสเป็นพิเศษก็คือกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จากปัจจุบันมีสัดส่วนสินค้า 56% จะเพิ่มเป็น 70% ใน 5 ปี เพราะเทรนด์เรื่องการดูแลสุขภาพมีให้เห็นหลายปีแล้ว มีสินค้าที่เป็นหัวหอกหลักก็คือน้ำดื่มคริสตัล และเครื่องดื่มเกลือแร่ 100 พลัส ซึ่งตลาดน้ำดื่มมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี และน้ำดื่มคริสตัลเองก็มีส่วนแบ่งการตลาดที่เริ่มเบียดเบอร์ 1 อย่างสิงห์แล้วด้วย

โดยที่ทิศทางต่อไปจะมีการลงทุนในเรื่องโรงงานผลิตน้ำดื่มมากขึ้น จะเพิ่มขึ้นอีก 5 โรงให้ครอบคลุมบริเวณที่คริสตัลแข็งแกร่ง เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ทำให้รายได้เพิ่มมากขึ้น

info1new2

info2new

info3_new