• บมจอาฟเตอร์ ยู เสนอขายหุ้น IPO แก่ประชาชนทั่วไป หุ้นละ 4.50 บาท เปิดให้จองวันที่ 14-16 ธันวาคมนี้
  • โฟกัสขยายสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งเป้าขยายให้ได้ครบ 30 สาขาในปี 2561
  • เพิ่มเมนูใหม่ทุกเดือน

แม้จะทำตลาดมาแล้ว 9 ปี แต่แบรนด์ขนมชื่อดังอย่างอาฟเตอร์ ยูยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วความฮอตลงไปได้ เพราะในแต่ละสาขายังคงมีคิวต่อแถวยาวเหยียดต่อเนื่อง แต่ด้วยปัจจุบันมีทั้งหมด 18 สาขา อาจจะยังไม่ครอบคลุมต่อความต้องการของผู้บริโภคได้เท่าไหร่ การตัดสินใจเข้าตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นเส้นทางสำคัญในการที่จะช่วยเร่งสปีดในการเพิ่มสาขาได้

ล่าสุด บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) ได้ขายหุ้น IPO เป็นครั้งแรก รวมถึงเสนอขายให้กับกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 165 ล้านหุ้น แบ่งเป็น 1.เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนจำนวน 161.5 ล้านหุ้น 2.เสนอขายให้แก่กรรมการบริษัท จำนวน 1.5 ล้านหุ้น และ 3. เสนอขายให้แก่ผู้บริหาร และพนักงานบริษัท จำนวน 2 ล้านหุ้น

ปัจจุบัน บมจ. อาฟเตอร์ ยู มีทุนจดทะเบียน 72.5 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 725 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.10 บาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้วมีจำนวน 56 ล้านบาท

a1_afteryou

ทิศทางต่อไปหลังจากที่อาฟเตอ ร์ยูเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว ทำให้สามารถติดสปีดในการขยายสาขาได้เร็วขึ้น เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปโฟกัสในการขยายสาขา ในปีหน้าจะเริ่มขยายไปยังต่างจังหวัดครั้งแรก แต่ยังไม่เปิดเผยว่าเริ่มที่จังหวัดอะไร แต่อยู่ในโซนปริมณฑล พร้อมกับวางแผนจะขยายไปยังต่างประเทศ แต่กำลังศึกษาอยู่ว่าจะไปด้วยรูปแบบไหน เป็นการขายแฟรนไชส์ หรือลงทุนเองพร้อมหาพาร์ตเนอร์ในแต่ละประเทศ ตอนนี้เริ่มมีหลายประเทศติดต่อเข้ามาบ้างแล้ว แต่อาจจะเริ่มต้นจากประเทศใกล้เคียงอย่างประทเศเพื่อนบ้านก่อน

ภายในปี 2561 มีการตั้งเป้าจะต้องเปิดสาขาให้ครบ 30 สาขา นั่นก็คือเพิ่มอีก 12 สาขาใน 2 ปี จากปัจจุบันมีทั้งหมด 18 สาขา โดยที่ปกติปีก่อนๆ มีการเปิดสาขาเฉลี่ยปีละ 5 สาขา โมเดลในการเปิดสาขาอาจจะมีโมเดลใหม่ๆ เข้ามาทัง้ในรูปแบบสแตนอโลนและอยู่ในโมเดิร์นเทรด ซึ่งทางอาฟเตอร์ ยูไม่ปิดกั้นถ้ามีพื้นที่ที่เหมาะสม

นอกจากนั้นยังมีแผนลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในโรงงานเพิ่มเติม และสร้างศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน ศูนย์กระจายสินค้า สำนักงานใหม่ และพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งาน

กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ. อาฟเตอร์ ยู กล่าวว่าหลังจากที่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์คงไม่การเปลี่ยนแปลงอะไรมาก หลักๆ จะเป็นเรื่องการขยายสาขาที่สามารถขยายได้มากขึ้น และเร็วขึ้น จากเดิมที่ขยายได้เพียงแค่ปีละ 5 สาขา ต่อไปจะได้ปีละ 7 สาขา สามารถช่วยลดปัญหาเรื่องการต่อคิวหน้าร้านได้ เพราะลูกค้าบางคนไม่พอใจ ไม่ชอบรอนาน ทำให้แบรนด์เสียโอกาสได้

หลังจากที่มีการขายหุ้น IPO แล้วจะทำให้โครงสร้างการถือหุ้นเปลี่ยนแปลงเป็น กลุ่ม น..กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ 38.5% (เดิม 55%) กลุ่มนายแม่ทัพ ต.สุวรรณ 31.5% (เดิม 45%) ประชาชนทั่วไป/พันธมิตร 2 ราย 29.5% ผู้บริหาร/พนักงาน 0.3% และกรรมการ 0.2%

เพิ่มเมนูใหม่เดือนละ 1 เมนู สร้างเทรนด์ให้ตลาด

นอกจากเรื่องแบรนด์แล้ว เรื่องสินค้าก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน อาฟเตอร์ ยูเป็นร้านขนมหวานที่มีเมนูของหวาน และเครื่องดื่มรวมกว่า 100 รายการ แต่จำเป็นต้องมีเมนูใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าอยู่ตลอดเวลา โดยกำหนดเลยว่าต้องมีเมนูใหม่ออกเดือนละ 1 เมนู ซึ่งแต่ละเมนูจะมีระยะเวลาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความนิยม

a2_afteryou

a3_afteryou

ส่วนตัวเป็นคนทำขนมเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว อยู่กับการทำขนมได้เป็นครึ่งวัน มีเมนูในสต็อกเยอะมากเป็น 100 กว่าเมนู การออกเมนูใหม่ จากแต่ก่อนอยากออกเมนูไหนก็ออกได้เลย แต่ตอนนี้พฤติรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ต้องกลับมาดูสถิติสินค้าขายดี แล้วมาดูตลาดและเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค ขนมหวานแบบไหนกำลังเป็นที่นิยม จึงค่อยออกเมนูใหม่ในแต่ละเดือนกุลพัชร์ กล่าวเสริม

a4_afteryou

ปัจจุบัน บมจ. อาฟเตอร์ ยู มีแบรนด์ในเครือทั้งหมด 2 แบรนด์ด้วยกัน ได้แก่ อาฟเตอร์ ยู ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2550 และแบรนด์เมโกริ ร้านน้ำแข็งใสคากิโกริสไตล์ญี่ปุ่น เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2559 ส่วนแผนที่จะมีแผนอื่นเพิ่มเติมกุลพัชร์บอกว่ากำลังศึกษาอยู่ว่าขนมแบบไหนที่เหมาะกับประเทศไทยบ้าง

สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรก (..-.. 59) มีรายได้รวม 440.9 ล้านบาท เติบโต 54.1% เมือ่เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 286.2 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.6%

info1_new

info2_new

info3_new

4_afteryou