ต่อยอดความสำเร็จในฐานะผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชาเขียวพร้อมดื่มโออิชิ กรีนที ทุ่มงบกว่า 70 ล้านบาท รุกตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยการส่ง “โออิชิ กลิ่นซากุระ สตรอเบอร์รี่” มาสร้างสีสันผ่านนวัตกรรมความสดชื่นที่ไม่เหมือนใคร กับไฮไลต์เทคโนโลยีขวดเปลี่ยนสีได้ครั้งแรกในประเทศไทย แค่ขวดเย็น ดอกซากุระบนขวดก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพู สร้างปรากฏการณ์เขย่าตลาดชาพร้อมดื่มส่งท้ายปลายปี
ผลิตภัณฑ์ชาเขียวนั้นอยู่ในตลาดมายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว กลุ่มลูกค้าเดิมที่เคยดื่มเป็นประจำ ก็หันไปดื่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเฮลตี้ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ชาเขียวโออิชิเองต้องสร้างสรรค์โพรดักต์ให้ดูทันสมัยและแปลกใหม่อยู่เสมอ เพื่อรุกตลาดจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ชาวมิลเลนเนียลที่ชื่นชอบในนวัตกรรม และความแตกต่างไม่เหมือนใคร
ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมานั้นตัวเลขการเติบโตในกลุ่ม Regular Tea ทั้งตลาดโตติดลบ 7 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่กลุ่ม Fruit Tea นั้นเติบโต 8.5 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขการเติบโตนี้มาจากโออิชิฟรุตทีที่เติบโตถึง 24.9 เปอร์เซ็นต์ ช่วยดึงตัวเลขของตลาดฟรุตทีทั้งตลาดให้เป็นบวกขึ้นมาได้ โดยเฉพาะ โออิชิรสองุ่นเคียวโฮที่ได้รับการตอบรับจากกลุ่มวัยรุ่นแบบเหนือความคาดหมาย
นางเจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่โออิชิให้ความสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งในปี 2559 นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันให้โออิชิประสบความสำเร็จ และสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดชาพร้อมดื่มด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ 43 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูลเฉลี่ยเดือนมกราคม – ตุลาคม 2559) โดยมีกลุ่มสินค้าชารสผลไม้หรือ “ฟรุตที” เป็นเซ็กเมนต์ที่ผลักดันการเติบโตด้วยมูลค่าการตลาด 2,160 ล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2559)
โดยมีผลิตภัณฑ์ โออิชิ องุ่นเคียวโฮ นำทัพการขับเคลื่อนความสำเร็จ และเมื่อผนวกกับการสื่อสารดิจิตอลเชิงรุก ทำให้ภาพรวมแบรนด์ของโออิชิเป็นที่ยอมรับในกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น ทั้งนี้ จากการสำรวจความแข็งแกร่งของแบรนด์ล่าสุด พบว่า ภาพลักษณ์แบรนด์โออิชิที่เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่น เติบโตขึ้นเป็น 79 เปอร์เซ็นต์ และยังได้รับการยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายว่า เป็นแบรนด์ที่มีนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ถึง 84 เปอร์เซ็นต์ อีกด้วย”
จากความสำเร็จของโออิชิในตลาดชารสผลไม้ ที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ออกสู่ตลาดมาโดยตลอด ไล่ตั้งแต่การแนะนำหลากหลายรสชาติใหม่ เช่น ชาเขียว แตงโม ที่เป็นชาเขียวสีแดงเจ้าแรกในไทย ตามมาด้วยชาเขียวเคี้ยวได้ องุ่นเคียวโฮ ที่มีส่วนผสมของวุ้นมะพร้าว ที่สั่นสะเทือนวงการชาผลไม้ จนคู่แข่งต้องออกโพรดักต์รสชาติเดียวกันมาประกบอยู่ตลอด
คราวนี้โออิชิพร้อมต่อยอดความสำเร็จในฐานะผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชาเขียวพร้อมดื่มอีกครั้ง ด้วยการส่ง “โออิชิ กลิ่นซากุระ สตรอเบอร์รี่” มาให้คนรุ่นใหม่ได้ลิ้มลอง ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ความหอมหวานโดนใจของกลิ่นซากุระ กับรสชาติสตรอเบอร์รี่ ผสานรวมอยู่ในขวดเดียวกัน
แนวคิดของการออกฟรุตทีตัวนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทศกาลฮานามิ ที่ถือเป็นช่วงเวลาที่มีเสน่ห์ที่สุดของปีที่ชาวญี่ปุ่นใช้เวลาร่วมกันในการเฉลิมฉลอง ร้องรำทำเพลง ท่ามกลางดอกซากุระที่บานสะพรั่งสวยงามอยู่รายรอบ ซึ่งเวลาอันสุดแสนพิเศษนี้มีแค่เพียง 7 วันเท่านั้นในหนึ่งปี
ทางโออิชิจึงได้นำแนวคิดของการนำช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมาส่งมอบให้แก่แฟนคลับโออิชิในไทย เพียงแค่ดื่มก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นดอกซากุระ ที่ผสานได้อย่างลงตัวกับรสชาติของสตรอเบอร์รี่
ซึ่งไฮไลต์ที่สำคัญของการเปิดตัวในครั้งนี้อยู่ที่การนำนวัตกรรม Thermochromic Shrink Label มาใช้ในการทำแพ็กเกจจิ้ง เมื่อขวดอยู่ในอุณหภูมิที่เย็นลง ดอกซากุระจะเปลี่ยนจากสีขาว เป็นสีชมพูสดใส ซึ่งฉลากแบบเปลี่ยนสีได้นี้จะมีจำนวนจำกัดเฉพาะในช่วงแรกของการออกผลิตภัณฑ์เท่านั้น หลังจากเริ่มวางจำหน่ายไปเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาพบว่า ได้รับการตอบรับที่ดี ผู้บริโภคให้ความสนใจในนวัตกรรมขวดเปลี่ยนสีได้เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์บนโลกออนไลน์
เพื่อให้ทุกคนได้ฟินกับปรากฏการณ์ซากุระบานในเมืองไทย และได้บรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่นสุดสดชื่นเต็มๆ โออิชิ เตรียมจัดกิจกรรมการตลาดดิจิตอลสนั่นโลกโซเชียล กับแคมเปญ “ปฏิบัติการ Live ทายเวลาซากุระเปลี่ยนสี” ในวันที่ 21 ธันวาคม 2559 ที่จะให้ผู้บริโภคทั่วประเทศมาร่วมทายเวลาซากุระเปลี่ยนสีแบบสดๆ พร้อมลุ้นรับรางวัลมากมาย แถมท้ายด้วย โออิชิซากุระแอพพลิเคชั่น ที่ทุกคนต้องสนุกสนานไปกับกราฟิกดอกซากุระที่พุ่งออกมาจากปาก หู ตา แบบสุดมันส์ โดนใจวัยรุ่นอย่างแน่นอน
“ในปี 2560 คาดว่า กลุ่มสินค้าชาผลไม้จะยังคงเป็นเซ็กเมนต์ที่โดดเด่น และเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโออิชิมั่นใจว่า นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ‘โออิชิ กลิ่นซากุระ สตรอเบอร์รี่’ จะเป็นหนึ่งในรสชาติที่ช่วยผลักดันให้ตลาดชาเขียวพร้อมดื่มเติบโต และเสริมแกร่งให้กับแบรนด์โออิชิได้อย่างแน่นอน” นางเจษฎากร กล่าวทิ้งท้าย