เจ้าของเพลง “ถ้าไทยรักไทย” บี๋ -คณาคำ อภิรดี สาวร่างใหญ่เสียงดี ที่เธอแต่งเองร้องเอง เพื่อต้องการสะท้อนถึงปัญหาที่ทำให้คนไทยต้องมาโกรธเกลียดกันเอง เมื่อครั้งการชุมนุมของพันธมิตรในปี 2549
มาถึงการชุมนุมครั้งนี้ บี๋ ก็ยังทำหน้าที่ของศิลปิน ที่ใช้บทเพลงและวิธีคิด มาร่วมกล่อมเกลา และให้กำลังใจแก่ผู้ร่วมชุมนุม ซึ่งเธอมองว่า เป็นเรื่องปกติของวิถีประชาธิปไตย ที่ทุกคนมีสิทธิชุมนุมได้โดยสันติวิธี โดยเฉพาะข้อเรียกร้องในการปัญหาของชาติ แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉย
“เราไม่ได้ต้องการความรุนแรง หรือบอบช้ำ อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี เพียงแต่อยากมาแสดงออกว่าเราไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กับการทำให้ประชาชนเดือดร้อน กับปัญหาโกงกิน โบราณบอกว่า จิ้งจกทักยังต้องฟัง แต่นี่คนเป็นหมื่นเป็นแสนทัก รัฐบาลก็ยังไม่เข้าใจ ไม่รับรับรู้อะไรเลย” บี๋ คณาคำ สะท้อนความเห็น
บนเส้นทางดนตรี คณาคำเป็นศิลปินที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการดนตรีมานาน ด้วยบทบาที่หลากหลาย เป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง และนักร้องคอรัส เคยออกอัลบั้ม และร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ ละคร รวมถึงในวงการโฆษณา ที่เธอผู้พากย์เสียงในสปอตโฆษณาหลายชิ้น ล่าสุด นอกจากกำลังมีมีงานเพลงร่วมฟอร์ด-สบชัย ไกยูรเสน เธอยังเตรียมตัวออกคอนเสิร์ต รำลึกถึงจรัล มโนเพ็ชร
ในอีกด้านหนึ่งของชีวิต บี๋-คณานำ เป็นศิลปินที่ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาบ้านเมืองและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลกระทบกับคนไทย อย่างเหตุการณ์สึนามิ เธอแต่งเพลงปลุกปลอบใจให้กับผู้ประสบภัยพิบัติในครั้งนั้น รวมถึงในการชุมนุมของพันธมิตรครั้งล่าสุด บี๋ยังคงเดินขึ้นเวทีใช้เสียงเพลงปลุกปลอบผู้ชุมนุมเหมือนที่เคยทำมา
“บี๋มาในฐานะของปลุกปลอบใจ มาด้วยจิตบริสุทธิ์ ได้คุยกับผู้ชุมนุมบางคนเขามาปักหลักแล้ว 60 กว่าวัน อายุก็เยอะ แต่ละคนที่มาเป็นผู้มีความรู้ มาร่วมชุมนุมตากแดด ตากฝน ทำทุกอย่างเพื่อรักษาประชาธิปไตย แล้วเราจะไม่มาให้กำลังใจกับคนเหล่านี้เหรอ แค่เห็นพี่ป้า น้า อา มีรอยยิ้ม ก็ดีใจ แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แค่ 3 นาที 10 นาที กับเสียงเพลง ให้ผู้ชุมนุมได้เติมพลังด้วยเสียงเพลง บี๋ก็ดีใจแล้ว”
การที่ไม่ได้สังกัดค่ายเพลงไหน การออกมาเคลื่อนไหวจึงทำได้สะดวกได้มากกว่าเพื่อนๆ ที่เป็นศิลปินนักร้องด้วย ยิ่งเธอได้เห็นศิลปินบางกลุ่มยอมตัดสินใจยกเลิกงานแสดงเพื่อมาร่วมชุมนุมในการกู้ชาติครั้งนี้
ยิ่งถ้าได้รู้ว่าเธอเป็นลูกจีนผสมมาเลเซีย แต่มาใช้ชีวิตในไทยตั้งแต่เด็ก กว่าจะพูดภาษาไทยได้ก็เมื่อ 10 ขวบแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกรักและผูกพันต่อเมืองไทยและเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในไทยโดยไม่คิดจะไปไหน เธอยังยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินไทย
“เมืองไทย เป็นประเทศเดียวที่เรามีคนทุกศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม อยู่รวมกันได้โดยไม่มีความขัดแย้งเหมือนกับบางประเทศ บี๋จึงรู้สึกเดือดร้อนที่ใครมาล่วงเกินแผ่นดินไทยและในหลวง”
การรวมต่อสู้ในฐานะของศิลปินของเธอในวันนี้ ก็เพื่อหวังจะทวงความเป็นชาติไทย กลับคืนมาสู่วิถีของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง